วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

กลไกกำหนดวันตายของมนุษย์





นี่คือกลไกกำหนดวันตายของมนุษย์:
เฉลยคำตอบว่าทำไมทุกคนจึงหนีความตายไม่พ้น!
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้"
เพราะทุกคนต้องตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นคำกล่าวที่ดูเหมือนว่าน่าจะถูกต้อง
ทั้งๆที่ความจริงที่เหนือจริงก็คือ.......
"มนุษย์ทุกคนไม่จำเป็นต้องตายเลย"
ถ้าหากรับประทานอาหารถูกต้อง ครบสูตร ครบหมู่

นั่นคือ......
การทานเลือดเนื้อของสัตว์เข้าไปในร่างกาย จนทำให้โรงงานผลิตสร้างโปรตีน(ดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอต่างๆ) ในร่างกายของตนเองพากันตกงาน ไม่มีงานทำกันมาช้านาน กายสังขารก็เลยเสื่อมสมรรถภาพไปตามกาล

นอกจากนั้น....
มนุษย์ทุกคนยังจะไม่ต้องตายให้เกิดมีภพชาติใหม่ๆเลยก็ได้
ถ้าแต่ละคนสามารถปฏิบัติตนให้เป็นคน "เหนือกรรม" ได้อย่างสิ้นเชิง
นั่นคือ....
รักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร ใช้จิตสำนึกดำเนินชีวิต!!!

แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์บนโลกเสรีนี้นั้น
แต่ละคนก็ยังคงกระทำผิดบาปต่อตนเอง ต่อผู้อื่น
ต่อพระบิดาผู้ทรงเป็นเอกองค์จิตจักรวาล
และกระทำผิดต่อดาวเคราะห์โลกของตนที่ได้อาศัยหยัดยืนอีกด้วย
เพราะขาดมหาสติ และขาดปณิธานแห่งนิพพานนั่นเอง

เมื่อมีการกระทำผิดบาปต่อกัน ผลกรรมที่เกิดขึ้นในมิติแห่งแก่นแท้ก็คือ รูปธรรมทางพลังงานที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าซึ่งเป็นได้ทั้งบวก คือ ผลกรรมดี และที่มีคุณสมบัติเป็นลบ คือ ผลกรรมที่ไม่ดี

ผลกรรมทั้งสองชนิดนี้นั้น มันคือ "ขยะพลังงาน" รายวัน ที่พวกเธอแต่ละคนขยันสร้างมันขึ้นไว้ในระบบโลกอย่างขาดสติและไร้จิตสำนึก ซึ่งพวกเธอจักต้องรู้ว่า ใครเป็นผู้สร้างขยะขึ้นมาให้รกโลก ใครคนนั้นก็จักต้องรับผิดชอบในการเก็บกวาดขยะของตนให้ออกไปจากระบบให้หมดสิ้น ขยะพลังงานที่ว่านี้ก็คือ อิเล็คตรอนอิสระกับโปรตอนอิสระในชั้นบรรยากาศโลกนั่นเอง

วิธีการกำจัดขยะพลังงานอันเกิดแต่กรรมของพวกเธอนั้น พระบิดาจะทรงอนุญาตให้แก่นแท้ของเธอทิ้งกายสังขารที่เป็นมิติแห่งเนื้อหนังเมื่อเสื่อมโทรมจนใช้การไม่ได้ สู่การเกิดมีภพชาติใหม่ต่อไปได้เรื่อยๆ ภายในหกหมื่นปีที่กำหนดให้เป็นยุคพลังงานเก่าเอาไว้แล้วนั้น ใครจะเวียนตายเวียนเกิดกันสักกี่ภพชาติก็ได้ ก็ให้มันเป็นไปตามอำนาจแห่งกรรมที่ตนกระทำ

สาเหตุที่ต้องยอมให้มีการตายแล้วเกิดใหม่นั้น นอกจากกายสังขารหรือเนื้อหนังมันเสื่อมคือ ชราภาพ จนใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อีกแล้ว ยังจะเป็นการย้อนกลับมาเกิดใหม่ให้ทันกับบททดสอบจิตสำนึกที่มันจะย้อนกลับมาสู่ตน ที่เรียกว่า "กรรมสนอง" เพื่อการแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง เพื่อการชดใช้ และเพื่อการเรียนรู้ในจังหวะที่เหมาะสม โดยในห้วงเวลาของการเปลี่ยนภพชาติใหม่นั้น แต่ละคนจะสามารถเปิดโอกาสให้คนอื่นๆที่เขายังมีภาระกิจแห่งกรรมที่ต้องรับผิดชอบอยู่เป็นจำนวนมาก ได้รับโอกาสให้สลับสับเปลี่ยนกันมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรี เพื่อทำหน้าที่ของแต่ละคนกันได้บ้างนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง การแบ่งปันโอกาส อันหมายถึงการมีภพชาติใหม่ในหมู่มวลมนุษย์จึงต้องบังเกิดขึ้น....

นักเรียนคงพอสรุปได้ว่า สาเหตุแห่งการมีภพชาติใหม่ ด้วยการตายของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ทุกๆคนนั้น มีเพียง 2 กอ.เท่านั้นเอง คือ

1).กินผิด
2).ก่อกรรมผิด

เมื่อจิตวิญญาณแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคน ต้องแบ่งปันโอกาสแห่งการเกิดใหม่ให้แก่กันและกัน โดยผู้ที่มีภารกิจแห่งกรรมหนักหนากว่าจะเป็นผู้ได้รับโอกาสให้มาเกิดก่อน...และให้มีอายุขัยที่ยาวนานกว่า

ส่วนผู้ใดที่มีภารกิจแห่งกรรมน้อยกว่า ก็จะต้องเป็นผู้ที่ต้องเสียสละหรือแบ่งปันโอกาสแห่งการเกิดใหม่ให้แก่ผู้ที่มีภารกิจน้อยกว่าตนเสมอ แถมยังต้องตัดทอนอายุขัยของตนให้น้อยลง เพื่อแสดงบทบาทแห่งการเป็นผู้ให้ ซึ่งนักเรียนจักต้องรู้ว่าพวกเธอแต่ละคน จึงต่างต้องถูกกำหนดให้มีวันเกิดและวันตายเอาไว้ล่วงหน้ากันแล้วทั้งสิ้น...มันเป็นเรื่องปิดลับมานาน แต่วันนี้เราจะเฉลยให้พวกเธอได้รู้ความ

(ดูภาพสไลด์ประกอบ)

กลไกที่พระผู้สร้างทรงกำหนดติดตั้งไว้ ภายในเครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกเธอทุกคน เพื่อกำหนดวันตายเอาไว้ให้ตั้งแต่แรกเกิดนี้
พระบิดาทรงเรียกว่า "ดิจิตัลลิส"

กลไก ดิจิตัลลิส ที่ว่านี้จะมีลักษณะเป็นรูปตัวยู หรือเกือกม้า
ทำด้วยโปรตีนชนิด DNA จำนวน 3 แท่งประกอบเข้าด้วยกันดังภาพ
ตรงบริเวณท้องตัวยู จะมีกลไกลักษณะคล้ายตลับยาหม่อง ยึดติดอยู่ ซึ่งกลไกชิ้นนี้จะทำหน้าที่เป็นสมองกลในการแปลรหัสสัญญาณไฟฟ้าของดิจิตัลลิสนั่นเอง
พระบิดาทรงเรียกว่า Lang Year

นอกจากนั้น บริเวณขาตัวยูทั้งสองข้าง ทั้งซ้ายขวา
จะถูกพันเอาไว้เป็นขดเกลียวอย่างเป็นระเบียบ ด้วยเส้นใยโปรตีนชนิด RNA โดยจำนวนขดเกลียวที่พันรอบๆแท่งดีเอ็นเอทั้งซ้ายและขวานั้น จะมีจำนวนขดเกลียวหรือจำนวนรอบที่พันไว้เท่ากัน หรือมีจำนวนเกลียวสมดุลกันเสมอ และเส้นใยสองเส้นที่ว่านี้ ปลายข้างหนึ่งก็จะยึดติดอยู่กับ สมองกล ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งก็จะไปยึดโยงเอาไว้กับเส้นใย อาร์เอ็นเอ ของชุดดิจิตัลลิสอื่นๆที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งปลายข้างหนึ่งจะเป็นขั้วลบ อีกข้างหนึ่งจะเป็นขั้วบวก

ยังมีกลไกสำคัญอีกชิ้นหนึ่งก็คือ ส่วนที่ทำหน้าที่เป็น "ขั้วต่างทางไฟฟ้า"
มีลักษณะคล้ายหนวดแมลงสาปสองเส้น ยึดโยงไว้กับกล่องสมองกลอีกด้วย

กลไกดิจิตัลลิสดังกล่าวนี้
จะถูกติดตั้งอยู่ในเซลอวัยวะร่างกายของมนุษย์ทุกคนทุกเซล และมีขนาดเล็กมากเล็กเสียจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไม่ว่าเธอจะใช้แว่นขยายที่ดีที่สุด มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ผลิตได้อยู่ในขณะนี้ก็มองไม่เห็น เพราะพระบิดาทรงรู้ดีว่า ถ้ามนุษย์รู้เห็นมันได้ง่ายๆ มนุษย์จะสร้างปัญหาใหญ่ให้แก่จักรวาลทันที

ตำแหน่งที่ทรงติดตั้งดิจิตัลลิสเอาไว้ก็คือ ซ่อนเร้นอยู่ในนิวคลิโอไทด์คู่ซ้ายของเซล ทั้งหมดทั่วร่างกาย ซึ่งนิวคลิโอไทด์คู่ซ้ายนี้พระองค์ทรงเรียกว่า "ดิจิตัล (Digital)" ขณะที่นิวคลิโอไทด์คู่ขวาของเซล พระองค์ทรงเรียกว่า "อะคอลเลี่ยนส์"

ชุดดิจิตัลลิสที่ว่านี้ ในมนุษย์แต่ละคน จะมีจำนวนขดเกลียวที่พันอยู่รอบๆขาตัวยูทั้งสองข้างไม่เท่ากัน คนที่มีอายุยืนยาวก็จะมีจำนวนขดเกลียวของเส้นใยอาร์เอ็นเอ ตรงขาตัวยูทั้งสองข้าง มากกว่าคนที่มีอายุขัยสั้นกว่าเสมอ โดยหนึ่งขดเกลียวหรือหนึ่งรอบที่พันอยู่จะคิดเป็นอายุขัยของคนๆนั้นเท่ากับ 6 ปี เช่น ถ้าขาตัวยูถูกพันเอาไว้ข้างละ 6 เกลียว สองข้างก็รวมกันเป็น 12 เกลียว เธอจะสามารถบอกได้เลยว่าอายุขัยของคนๆนี้ต้องเท่ากับ 12 x 6 = 72 ปีไม่มีผิดพลาดแน่นอน ที่พิเศษไปกว่านี้ก็คือ ขดเกลียวบนสุดทางส่วนปลายจะสามารถ แบ่งสัดส่วนความยาวต่อรอบออกเป็นจำนวนเดือนและจำนวนวันได้อีกต่างหากด้วย

หลักการทำงานของชุดดิจิตัลลิส ที่ต่อโยงกันอย่างเป็นระบบทั่วทั้งโครงสร้างทางชีววิทยา แบบอนุกรมนี้ ก็คือ

ขั้วต่างทางไฟฟ้าที่มีลักษณะคล้ายหนวดแมลงสาปในทุกเซลร่างกายและอวัยวะ จะถูกทำให้เคลื่อนที่ตัดผ่านโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก ที่ห่อหุ้มอุ้มชูพวกเธอและทุกสรรพสิ่งไว้ ด้วยการเหวี่ยงหมุนของดาวเคราะห์โลกในอัตราเร็วคงที่ คือ 24 ชั่วโมงต่อรอบ เมื่อขั้วต่างทางไฟฟ้าของชุดดิจิตัลลิสในระบบเซลเคลื่อนที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ คือ สนามแม่เหล็กโลกอย่างต่อเนื่องแล้ว มันก็จะก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในระบบเซลนั้นๆทันที โดยภายในเส้นใย RNA ที่ต่ออนุกรมกันไว้กับดิจิตัลลิสข้างเคียง จะเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าขึ้นมาได้ กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำนี้จะมีพลังสูงต่ำมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนขดเกลียวของเส้นใย RNA ที่เธอถูกกำหนดให้มาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว

วิธีกำหนดให้การตายของแต่ละคนเป็นไปตามกำหนด ไม่มีผิดพลาดก็คือ การวางแผนให้เซลอวัยวะร่างกายของเธอแต่ละคน ได้รับพลังงานจากการเหนี่ยวนำ
จากชุดดิจิตัลลิสซึ่งติดตั้งอยู่ทุกเซลทั่วร่างกายที่ว่านี้ ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คือ ให้ขาดแคลนเข้าไว้ในปริมาณที่กำหนดให้นั่นแหละ ความเสื่อมของสังขารของพวกเธอที่มีผลต่อวันตายจะเป็นสัดส่วนแปรตามพลังงานที่ได้รับเสมอ

การส่งสัญญาณกระตุ้น DNA จากนอกระบบโลก โดยช่างเท็คนิกที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ก็ส่งเส้นแสงซึ่งแปลงเป็นพลังงานความรักที่เข้มข้นเข้ามากระตุ้นขั้วต่างทางไฟฟ้าของชุดดิจิตัลลิสของพวกเธอที่ว่านี้โดยตรงเลย ใครมีพลังลบมากก็จะสับสนเสียสมดุลทางสภาวะจิต เช่น ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย โมโหร้าย สมองทึบ ประสาทเครียด ทั้งยังจะเกี่ยวเนื่องไปยังอาการเสียสมดุลทางกายอีกด้วย เช่น ท้องเสียไม่ทราบเหตุ อ่อนเพลียไม่มีแรง ขี้ลืมผิดปกติ เป็นต้น

ดังนั้นนักเรียนจะเห็นได้ว่า....มีสิ่งน่าคิดก็คือ

ถ้าโลกหมุนช้าลงหรือว่าเร็วขึ้น มันจะมีผลต่อการมีอายุขัยของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ คือ อายุสั้นลง อายุขัยตรงตามที่กำหนดให้ หรืออายุยืนกว่าทีกำหนดมา หรือเปล่า?

ถ้าความเข้มสนามแม่เหล็กโลกไม่คงที่ คือ 14 เก๊าส์ มันจะมีผลต่อกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่เกิดขึ้นในระบบเซลโดยชุดดิจิตัลลิสนั้นๆหรือไม่?

มันจะมีผลต่อสมรรถภาพการทำงานของอวัยวะจำพวกตับ ไต ไส้ พุง ปอด ตับ หัวใจ ม้าม และต่อมไร้ท่อต่างๆที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนไปในทางต่ำบ้างหรือเปล่า?

โลกทุกวันนี้ ทุกกรณีที่เราหยิบมาตั้งคำถามชวนพวกเธอคิดกันนั้นมันเป็นไปในทางเสื่อมคือต่ำลงทัั้งสิ้น มันไม่เป็นผลดีต่อกายสังขารและจิตวิญญาณของพวกเธอเลยใช่มั้ย?

ที่ผ่านมานั้น มนุษย์โลกทั้งหลาย
ต่างทำร้ายตัวเองอย่างเสรีด้วยกันทั้งสิ้น! ว่ามั้ย?

ด้วยรักและห่วงใย
ป.วิสุทธิปัญญา
16 พฤษภาคม 2557

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"



จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น