วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558




ท่านเห็นชะนีตัวนี้มั้ย
เขาจะย้ายตนเองจากต้นไม้ต้นเดิมไปยังต้นใหม่
ที่มือข้างหนึ่งสู้อุตส่าห์ไขว่คว้าเอามาได้แล้วได้หรือไม่ล่ะ
ถ้าสองขาหลังกับหนึ่งหางของเขา
ยังคงยึดรั้งอยู่กับกิ่งเก่าต้นเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น

เขาคงต้องละล้าละลัง
เขาคงยังหยุดรั้งอย่างลังเลอยู่อย่างนั้น

เหตุผลของชะนีผู้มิกล้าเปลี่ยนแปลงตัวนี้อาจเป็นเพราะ

1.กลัวกิ่งใหม่ที่คว้ามาได้จะไม่แข็งแรง
ตนอาจพลัดตกลงมาให้บาดเจ็บได้
.......................................................
หมายถึง การมองว่า....
พระโอวาทพระบิดาที่ชี้ทางหลุดพ้น
ด้วยวิถีแห่งจิตจักรวาลที่ท่านพบเจออยู่นี้
ท่านกลัวว่าจะเป็นลัทธิใหม่
ท่านกลัวว่าจะเป็นธรรมะที่ไม่ถูกต้อง
ถ้าหันมารับเอาท่านอาจผิดพลาดเพราะถูกหลอกลวงได้
จึงมิกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงใดๆ

การคิดเข้าใจเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
พระโอวาทพระบิดาที่เราสื่อมาให้นั้น
เป้าหมายสำคัญ คือ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ "เรียนรู้"
มิได้หมายจะให้ท่าน "รับเอา" โดยไม่เรียนรู้ทันทีที่ได้รู้
ไม่ว่าการรับเอาของท่าน
จะเป็นการรับเอาไว้หรือไม่รับเอาโดยปฏิเสธทันที

2.เชื่อว่าต้นใหม่จะไม่เหมาะสมเท่าต้นเดิม
...........................................................
หมายถึง
เมื่อท่านได้พบเจอพระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาล
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาแล้ว
ก็ปฏิเสธทันทีด้วยเชื่อว่า
ธรรมะเดิมๆที่ตนรู้อยู่ ยึดอยู่ ถืออยู่ ปฏิบัติอยู่
ดียิ่งยวดแล้ว ชอบแล้ว ถูกต้องถ่องแท้เป็นที่สุดแล้ว
ทั้งๆที่เราติงเตือนว่า.....

จงให้เวลากับตัวเองแล้วรับฟังเรา
เพื่อนำเอาสิ่งที่เราสื่อสอนไปขบคิดพิจารณา
ในลักษณะของการเรียนรู้ "ความรู้ใหม่"
โดยไม่ปิดกั้นการเรียนรู้ของตัวเองเอาไว้กับสิ่งเดิมๆ
เพราะมันจะช่วยให้ท่านรู้มากขึ้นและฉลาดขึ้นกว่าเดิม
เนื่องจากธรรมะมิได้กล่าวไว้ให้ใครเชื่อ
แต่เรากล่าวไว้ให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้ต่างหาก

ทั้งเรายังติงเตือนอีกด้วยว่า
"อย่าเดินถ่างขา" ถ้าปรารถนาการหลุดพ้น
ด้วยการไปเอาวิถีนักบวชคือนักรบแห่งแสงสว่าง
มาผสมผสานปนเปกันกับวิถีแห่งฆราวาส
คือ นักสู้เพื่อการรู้แจ้งมาฝืนปฏิบัติ
จนท้ายที่สุดก็ยังความสับสนให้ตนเอง
ถึงขั้นปฏิบัติธรรมมานานก็ยังนิพพานไม่ได้
ไม่รู้จะดำเนินตนไปทางใดแน่

บางคนถึงกับต่อต้านคำสื่อสอนของพระบิดา
โดยเอาทานศีลภาวนามาเป็นเครื่องมือโต้แย้ง
ทั้งๆที่พระบิดามิได้ปฏิเสธสักนิดเลยว่า
ทานศีลภาวนานั้นไม่ดีหรือชี้ว่าไม่ถูกต้อง
แต่พระองค์ทรงย้ำว่าถ้าถือปฏิบัติเพียงเท่านั้น
แล้วแถมกรรมฐานให้อีกหนึ่งกรรม
ก็ยังมิอาจนำแก่นแท้ของท่าน
ผ่านประตูมิติออกไปได้เลย

จึงเป็นธรรมดาที่ชะนีจะยังคงยึดโยงอยู่กับต้นไม้ต้นเดิม
โดยไม่ยอมกระโจนไปสู่ต้นไม้ต้นใหม่
เพราะยังพอใจต้นเดิมอยู่นั่นเอง
จึงมิยอมเปลี่ยนแปลง

3.ขาดสัญชาตญาณแห่งการเรียนรู้
.................................................
อันที่จริงแล้วพระบิดาทรงกำหนดให้ทั้งสัตว์และคน
มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นคุณสมบัติหลักด้วยกันทั้งสิ้น
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เกิดพลังแห่งการเรียนรู้
ผ่านช่องทางอายตนะทั้งหกชั่วชีวิต
โดยมีบริบทแบบนี้....คือ

เห็นแล้วอยากเห็นอีก
อยากเห็นชัดเจนขึ้น

ได้ยินแล้วอยากฟังอีก
อยากฟังให้ชัดเจนขึ้น

ได้เรียนรู้แล้วอยากเรียนรู้อีก
อยากเรียนรู้ให้มากขึ้น

ดังนั้น
เมื่อชะนีพบเจอต้นไม้ต้นใหม่
ก็จะใช้สัญชาตญาณของมันเรียนรู้ทันทีว่า
ต้นใหม่สามารถเป็นที่พึ่งของมันได้ไหม
มีอาหารมากกว่าต้นเดิมที่เกาะกินอยู่นานแล้วบ้างไหม
โดยมันจะใช้สองตาและสองรูจมูกเรียนรู้อย่างเต็มที่
เมื่อค้นพบความจริงที่ตนต้องการ
ชะนีตัวนั้นก็จะกระโจนไปสู่ต้นใหม่อย่างไม่ลังเล

มนุษย์มีจิตสำนึกหรือจิตปัญญาเหนือกว่าชะนี
พอเห็นความรู้ใหม่ของพระบิดาเข้า
กลับพากันปฏิเสธทันที
โดยมิได้ใช้สัญชาตญาณเพื่อการเรียนรู้เลย

เพราะมัวเสียดายของเก่า
เพราะหลงยึดติดกับของเก่า
เพราะเกลียดกลัวการเปลี่ยนแปลง

เพราะเหตุเหล่านี้เอง
สิ่งใหม่ๆที่ยิ่งใหญ่กว่า
จึงมิอาจปรากฏผลใดๆได้ในชีวิตของคนส่วนใหญ๋

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
11=02=2015

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
และพวกผู้พเนจรที่หลงทางว่า
เส้นทางสายวิมุตติ์
เป็นเช่นว่านี้ต่างหาก....
ป.วิสุทธิปัญญา
11-02-2015



กลับบ้านดีกว่า

กลับบ้านกันเถอะ
พระองค์ทรงรอท่านอยู่นานแล้ว
โลกนี้มิใช่บ้านของท่าน
ป.วิสุทธิปัญญา
11-02-2015






























1.เสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง
เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่า
จริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น
พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน









ตื่นเถิดเธอมนุษย์จ๋า เรามาแล้ว

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
ให้ลูกได้ย้อนกลับมาทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา
เพื่อนำพาพี่ๆน้องๆย้อนคืนสู่
บ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ
ก่อนกาลปิดยุคพลังงานเก่า ณ เพลานี้....

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
14-02-2015






1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

...Amen.

ทำไมเกิดมานานแล้วกลับบ้าน (นิพพาน) ไม่ได้





เกิดมานานแล้วกลับบ้าน(นิพพาน)ไม่ได้
เพราะจิตหยาบทำให้จิตวิญญาณแก่นแท้ของตนหลงมิติ
พาให้จิตสำนึกดิ่งลงๆ
จนห่างไกลจากการเป็นมนุษย์เข้าไปทุกทีๆแล้ว
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-02-2015