วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

มีความรู้ใหม่ที่ดีๆมาฝากท่าน




●ศัตรูของมะเร็งปอด
คือผักโขม
●ศัตรูของมะเร็งลำไส้
คือหน่อไม้น้ำ
●ศัตรูของมะเร็งเต้านม
คือสาหร่ายทะเล
●ศัตรูของมะเร็งผิวหนัง
คือหน่อไม้ฝรั่ง
●ศัตรูของ มะเร็งปากมดลูก
คือถั่วเหลือง
●ศัตรูของมะเร็งกระเพาะอาหาร
คือกระเทียม
●ศัตรูของมะเร็งตับ
คือเห็ด
●ศัตรูของมะเร็งตับอ่อน
คือบร็อคโคลี่
ขอให้ทุกท่านจงมีสุขภาพดี
ตลอดปีใหม่ 2559 นี้
เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
31-12-2015

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"สุญญตา" คือ อะไร





เราจะกล่าวความจริงเรื่อง "สุญญตา"
ให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้ว่า
ถ้าท่านไม่สามารถเข้าถึงสภาวะแห่งสุญตาได้
ท่านก็จะไม่สามารถกลับบ้านทางจิตวิญญาณ
ในภพชาติปัจจุบันนี้ได้พันเปอร์เซ็นต์
ท่านจงอย่าไปเชื่อใครบางคน
ที่เขามากล่าวต่อท่านว่า
การแสวงหาคำตอบเรื่องสุญญตา
เป็นการแสวงหา "ตัวตน"
มันจะทำให้หลุดพ้นคือนิพพานไม่ได้
โดยเขาจะอ้างว่า "สุญญตา" นั้น
มันเป็นของมันตามธรรมชาติอยู่แล้ว
เราจึงขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
การแสวงหาความจริงหรือสัจธรรม
เกี่ยวกับ "สุญญตา" นั้น
มันเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่จะต้องรู้
ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ต่างหากล่ะ
ก็เป็นความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง
ที่คนพวกนั้นเขากล่าวว่า
สุญญตา หรือ "สุญตา" นั้น
มันเป็นธรรมชาติของทุกคนอยู่แล้ว
เพราะตั้งแต่มาเกิดเป็นมนุษย์
ในภพชาติแรกนั้นน่ะ
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่าน
ล้วนมีคุณสมบัติแรกเริ่มเดิมที
เป็นสุญญตาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่ทว่าในปัจจุบันนี้
จิตมนุษย์ของพวกท่านทั้งหลาย
มันได้เสื่อมคลายไร้สมดุลกันหมดแล้ว
เหตุเพราะมีกิเลสตัณหาเข้าครอบงำ
จนเสียจริตผิดบาปกันอยู่ทุกวัน
ความจริงเรื่องสุญญตาก็คือ
การที่กลไกอายตนะภายนอกทั้ง 5 ของท่าน
เมื่อมีการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดแล้ว
จะถ่ายทอดข้อมูลเข้าสู่ "จิต" ภายใน
จากนั้นจิตที่เป็นอายตนะภายใน
เมื่อมีการรับรู้สรรพสิ่งใดๆเกิดขึ้นแล้ว
ก็จะนำเอาข้อมูลที่รับรู้ทั้งหมดนั้นมาเรียนรู้
เรียนรู้เพื่อให้ได้ความรู้ว่า
ที่ตนกำลังสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น
มันคืออะไร อย่างไร
สภาวะจิตที่สั่นสะเทือน
เพื่อการเรียนรู้ให้ได้องค์ความรู้
เมื่อจิตได้รับรู้ข้อมูลใดๆ
จากอายตนะภายนอกนี่แหละท่าน
พระบิดาได้ทรงบัญญัติว่า
สภาวะจิตของท่านผู้นั้นในขณะนั้น
มีคุณสมบัติเป็น "สุญญตา"
ในทางตรงกันข้าม
เมื่อใดที่กลไกอายตนะภายนอก
มีการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดเรื่องใดเข้า
ก็จะสื่อถ่ายทอดข้อมูลเข้าไปสู่จิตภายใน
จิตภายในก็จะมีการรับรู้ข้อมูลนั้น
แต่แทนที่จิตของท่าน
จะรับรู้ข้อมูลนั้นแล้วเรียนรู้ว่า
อะไรเป็นอะไร
จิตของท่านกลับสั่นสะเทือน
เพื่อการรับเอาขึ้นมาแทน
การสั่นสะเทือนเพื่อการรับเอาของจิต
เมื่อได้รับรู้ข้อมูลจากอายตนะภายนอก
คือการสั่นสะเทือนจนเกิดเป็นความรู้สึก
ที่เรียกว่า "เวทนา" นี่เอง
จิตที่รับรู้แล้วสั่นสะเทือนเป็นการรับเอา
แทนที่จะเรียนรู้ไปตามหน้าที่ปกตินี่แหละ
พระบิดาทรงบัญญัติว่า
เป็นอาการของคน "จิตตก ใจแตก" โดยแท้
ดังนั้น
หากเราจะกล่าวโดยสรุปความก็คือ
"สุญญตา" หมายถึง
สภาวะสูงสุดของจิตหยาบ
ที่เสมือนจะรับรู้ดูเห็นสิ่งต่างๆได้
ด้วยความสามารถของตนเอง
โดยไม่ต้องอาศัย ตา หู จมูก
ลิ้น และกายสัมผัสเลย
เพราะสามารถ "รับรู้" เพื่อเรียนรู้ได้
โดยมีตาแต่เหมือนไม่มี
(ตาสูญแปลว่าตาไม่มี)
มีหูก็เหมือนไม่มี
(หูสูญแปลว่าหูไม่มี)
มีจมูกก็เหมือนไม่มี
(จมูกสูญแปลว่าจมูกไม่มี)
มีลิ้นหรือมีปากก็เหมือนไม่มี
(ปากสูญแปลว่าปากไม่มี)
มีกายสัมผัสได้แต่ก็เหมือนไม่มี
(กายสูญแปลว่ากายไม่มี)
ที่มีอยู่แต่เหมือนไม่มีก็เพราะว่า
อายตนะเหล่านี้เมื่อมีการสัมผัสแล้ว
ก็ไม่เกิดความรู้สึกใดๆว่าสัมผัสนั่นเอง
ทุกๆท่านจึงต้องปฏิบัติเยี่ยงนี้ให้ได้
ด้วยการทำจิตให้เป็นสุญญตา
คือ "รับรู้ไม่รับเอา"
เรายืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านเร่งรัดตนเอง
ฝึกทำจิตให้เป็นสุญตาได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้
ภพชาตินี้ท่านจักเป็นผู้หนึ่ง
ที่จะเข้าถึงการหลุดพ้นได้แน่นอน
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-12-2015

สัจจะวาจา







เคยสละชีวิตเพื่อรักษาสัจจะไว้
แล้วย้อนคืนกลับมาใหม่
เพื่อทำหน้าที่ตามสัจจะวาจาที่ให้ไว้อีกครั้ง
นี่จะต้องเนิ่นนานสักเท่าใดหนอ
ประดาเจ้าสาวอันเป็นที่รักแห่งเราทั้งหลาย
จึงจะพอฉุกคิดกันได้ว่า
เจ้าบ่าวซึ่งพวกตนเฝ้ารอมานานนับพันปีนั้น
ได้เดินทางมาถึงที่ตั้งหลายเพลาแล้ว
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-12-2015

"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"






เพราะดาวเคราะห์โลกมีแรงโน้มถ่วง
จึงดึงดูดเหนี่ยวรั้งทุกสรรพสิ่ง
ที่มีมวลเกิน 30 มิลลิกรัม
ลงสู่จุดศูนย์กลางที่แกนโลกเสมอ

เมื่อท่านโยนอะไรขึ้นไปในอากาศ
สิ่งนั้นมันก็จะตกลงมาสู่พื้นดินหรือพื้นโลกเสมอ

ถ้าท่านถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า
น้ำลายของท่าน
มันก็จะตกลงมาใส่ใบหน้าของท่านเอง

เปรียบดั่งท่านทำความไม่ดีงามใดๆ
ไม่ว่าจะด้วยกายวาจาหรือจิตใจ
ผลกรรมที่ท่านก่อขึ้นไว้นั้น
มันก็จะย้อนกลับคืนมาหาท่านเสมอ

ที่คนเขาว่ากันว่า
"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"
ความจริงก็เป็นดั่งที่เรากล่าวมานี่แหละ

ดังนั้น
ถ้าท่านไม่ชอบแบบไหน
ก็จงอย่าไปทำกับใครๆแบบนั้น
ถ้าชอบแบบไหน
ก็รีบทำกับใครๆแบบนั้นเลย
มิพักต้องรั้งรอให้ใครทำดีกับท่านก่อน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-12-2015

หน้าที่ของท่าน เมื่อเผชิญกับความทุกข์






เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายอีกว่า
ทุกข์กับสุขแม้มันจะไม่มีรูปธรรมตัวตนอะไร
แต่จิตของท่านก็สามารถ
ปั้นมันขึ้นมาให้เกิดมีอัตตาตัวตนขึ้นมาได้

เพียงแค่ท่านเกลียดกลัวความทุกข์
มันก็จะยังผลให้ความทุกข์
ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงอาการของจิตอย่างหนึ่ง
จักแปลงสภาพเป็นมีอัตตาตัวตนขึ้นมา
เพื่อให้จิตเองนั้นสามารถผลักไส
หรือปฏิเสธความทุกข์ที่ในใจนั้นได้ดั่งมีตัวตน

เพียงแค่ท่านอยากมีความสุข
มันก็จะยังผลให้ความสุข
ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงอาการของจิตอย่างหนึ่ง
จักแปลงสภาพเป็นมีอัตตาตัวตนขึ้นมา
เพื่อให้จิตเองนั้นสามารถยึดเกาะเหนี่ยวรั้ง
ความสุขที่ในใจท่านได้ดั่งมีตัวตนเช่นกัน

การที่ท่านพยายามวิ่งหนีเพื่อให้พ้นทุกข์
จึงเป็นการไม่ฉลาดเป็นอย่างยิ่ง
เพราะทุกข์มันเกิดที่จิตใจท่าน
ท่านแล่นไปไหนทุกข์นั้นก็ไปด้วย
ท่านหลบไปอยู่ในหลืบในถ้ำหรือในตุ่มน้ำ
ความทุกข์นั้นมันก็ติดตามท่านไปทุกที่
จะหนีจึงย่อมหนีไม่พ้น

นอกจากนั้น
ยิ่งท่านแปลงทุกข์ที่เดิมเป็นนามรูป
คือเป็นแค่เพียงความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้น
ภายในจิตใจของท่าน
ให้มันกลายสภาพเป็นมีอัตตาตัวตนขึ้นมาด้วยแล้ว
จิตของท่านมันก็จะยิ่งยึดเกาะเอาไว้แน่นขึ้น
แน่นจนยากที่จะปล่อยวางมันลงเลยทีเดียว

ดังนั้น
หน้าที่ของท่าน
เมื่อเผชิญกับความทุกข์ก็คือ

1.จงอย่าพยายามปฏิเสธหรือหลีกหนีมัน
ท่านจงจำไว้ว่ายิ่งพยายามเลี่ยงหนีก็ยิ่งทุกข์
เพราะความทุกข์ของมนุษย์นั้น
มันเกิดจากอุปสรรคหรือปัญหา
เมื่อมนุษย์ทุกคนล้วนต้องมีปัญหาให้เผชิญ
พวกท่านจึงย่อมหนีทุกข์ไม่พ้น

เพราะปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา
ปัญหาช่วยให้พวกท่านฉลาดมากขึ้น
ปัญหาจะช่วยให้ท่านยกระดับสภาวะจิต
ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

2.บอกตนเองว่าความทุกข์นั้น
เป็นเพียงสิ่งที่ทนได้ยากกว่าปกติเท่านั้นเอง
ความทุกข์จึงมิใช่สิ่งที่ท่านจะทนไม่ได้

3.บอกตนเองว่าไม่มีใครบนโลกนี้
ที่จะไม่เผชิญกับสิ่งที่เรียกว่าทุกข์
คนอื่นเขาข้ามผ่านหรือฟันฝ่ามันไปได้
ทำไมตัวท่านจะข้ามผ่านฟันฝ่ามันไปไม่ได้

4.บอกตนเองว่าทุกข์เกิดที่ใจเรา
หากจะดับทุกข์ก็เพียงดับที่ใจเรา
ไฟมันลุกลามอยู่ตรงไหน
ท่านก็ดับไฟที่ตรงนั้นมิใช่ดอกหรือ

เวลาดับไฟร้อนดั่งไฟสุมอก
ท่านจักต้องใช้น้ำเย็นๆมาดับไฟ
ค่อยๆรดค่อยๆราดมันลงไป
เดี๋ยวไฟก็มอดดับเอง

จะทำเป็นใจร้อนหรือหวั่นไหว
จะวิ่งหนีไฟเพราะกลัวไฟ

ไฟความทุกข์ในใจท่าน
มันก็มิอาจมอดดับลงไปได้เลย

ด้วยเหตุดั่งนี้เอง
ท่านทั้งหลายจึงไม่ควรหนีทุกข์
ให้กล้าๆเผชิญหน้ากับมัน

จงใช้ความรักและปัญญา
จัดการกับไฟรักและไฟชีวิตอย่างกล้าหาญ
มันจะได้ผลกับทุกคนทุกสถานการณ์
แล้วท่านจะผ่านมันไปได้
โดยไม่ก่อกรรมใหม่และแก้ไขกรรมเก่าได้ด้วย

แน่นอนว่า "มหาสติ"
กับ "ปณิธานแห่งนิพพาน"
ลูกแก้ว 2 ดวงนี้เท่านั้น
ที่มันจะช่วยให้ท่านเข้าถึง
ความรักและความฉลาดทางปัญญา
ที่จะนำมาจัดการกับสาระพัดทุกข์ของท่านได้

วิถีแห่งจิตจักรวาล
จึงขอส่งความปรารถนาดีมาสู่ทุกท่าน
ให้ได้ค้นพบความมหัศจรรย์ในตนเอง
จากพระโอวาทเหล่านี้
ตามสมควรเถิด
ป.วิสุทธิปัญญา
เอเมน สาธุ
29-12-2015

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า เรากลับมาตามสัญญา มาทันเวลาที่พระบิดาพิพากษาโลก





เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
นี่เป็นปลายยุคพลังงานเก่าแล้ว
เราจึงกลับมาตามสัญญา
มาทันเวลาที่พระบิดาพิพากษาโลก
เรากลับมาเพื่อจะบอกท่านทั้งหลายว่า
วันๆเพียงการท่องธรรมจากพระคัมภีร์
เพราะจดเอาไว้หรือจำได้นั้น
มันจะช่วยเกื้อกูลจิตวิญญาณของท่าน
ให้ไปถึงด่านนภาลัย
ประตูแห่งการหลุดพ้น
อันไกลโพ้นนั้นไม่ได้หรอกนะท่าน
วันๆหมั่นจะโพสต์จะเผยแพร่พระคำ
แต่ตัวท่านเองกลับไม่นำพระคำเหล่านั้น
มาปฏิบัติในชีวิตจริงให้เป็นรูปธรรม
ก็เป็นอีกบริบทหนึ่ง
ที่ท่านมิอาจถึงสภาวะการหลุดพ้นได้เช่นกัน
จิตวิญญาณของท่านจะหลุดพ้นได้
ต้องเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์
จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ทั้งหลายนั้น
จะเป็นจิตวิญญาณที่ได้ผ่านการชำระ
สิ่งไม่บริสุทธิ์ออกไปจนหมดสิ้นแล้ว
สิ่งไม่บริสุทธิ์เหล่านั้นประกอบด้วย
1.บุรพกรรมแม่เหล็กหรือวิบากกรรม
ที่ท่านกระทำผิดบาปต่อจิตวิญญาณตนเอง
ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
เช่น การก้าวล่วงผู้อื่นด้วยจิต เป็นต้น
2.นิสัยทางจิตด้านลบประกอบด้วย
จำพวกโทสะ โลภะ โมหะ
จำพวกการนึกลบทั้งสามนึก คือ
นึกได้(จิตจำได้)แต่เรื่องร้ายๆ
นึกเอา(จิตอิสระ)นึกใหม่
คิดใหม่แต่เรื่องลบ
นึกเอง(จิตก้าวล่วง) คือ คิดแทนคนอื่น
แต่เป็นด้านร้าย ด้านไม่ดีเป็นสำคัญ
3.ความอาฆาตมาดร้ายผู้อื่น
ที่เคยทำร้ายต่อตนเองมาแล้วในอดีต
ซึ่งแม้จิตหยาบจะลืมไปแล้ว
แต่จิตวิญญาณของท่านไม่มีวันลืมแน่นอน
จิตส่วนนี้ก็ต้องชำระให้ใสหรือให้ว่าง
4.ต้องยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิต
ให้สูงขึ้นทางด้านบวกไปเรื่อยๆในชีวิตประจำวัน
เช่น ฝึกจิตให้มีเมตตา ฝึกการให้ทาน
ฝึกการอดทน อดกลั้น ต่อคนที่ไม่น่ารัก
ฝึกการให้อภัยหรืออโหสิคนอื่นให้ได้
โดยไม่มีเงื่อนไขต่อรอง แลกเปลี่ยน
ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า
หน้าที่ของท่านมีอยู่หลักๆตั้งสี่อย่าง
แต่ละอย่างมิใช่ว่าจะทำง่ายๆเสียเมื่อไหร่
เพราะท่านยังต้องสร้างเครื่องมือ
ที่จะช่วยชำระทั้งสี่นั้นด้วยตนเองก่อนด้วย
เครื่องมือชิ้นนี้เรียกว่า... "มหาสติ" นั่นเอง
เราใคร่ถามท่านทั้งหลายว่า
ทุกวันที่ผ่านมาและผ่านไป
นอกจากการท่องธรรม
กับการโพสท์พระคัมภีร์ให้เพื่อนๆดูแล้ว
ท่านว่าง..ว่าง...ว่าง
ไม่ต้องชำระจิตตนเองให้ใสสวยอีกแล้วหรือ
เพราะเวลาแห่งการปิดยุค
ช่วง 56 วัน 8 ราตรี
ที่โลกจะมืดมิดทั้งวันคืนอันยาวนาน
เพื่อการชำระขยะด้วยภัยพิบัติรุนแรงสุดๆนั้น
มันคืบคลานเข้ามาใกล้ๆแล้ว...
จะเผาคืนวัน
จะผลาญโอกาสที่เหลืออยู่ให้สิ้นไป
อย่างไร้ค่ากันอีกทำไม
ควรหันมาทำอะไรที่ดีกว่าและควรทำ
เพื่อจิตวิญญาณตนเองเสียบ้าง
จะดีมั้ย?
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-12-2015

ตะเกียงส่องธรรม







ตะเกียงของท่าน เราหมายถึง
ความฉลาดทางปัญญาของสมองเพื่อการคิด

น้ำมันตะเกียง เราหมายถึง
พลังงานอันเกิดจากแรงสั่นสะเทือนของจิต
เพื่อใช้กระตุ้นให้เกิดพลังการคิด
ของสมองสองซีกของท่าน

เราถามพวกท่านว่า....
เมื่อเรากลับมาตามสัญญา
ท่านทั้งหลายก็ได้เตรียมถือตะเกียง
มารอท่าคอยเราอยู่นั้น
ท่านลืมเติมน้ำมันใส่ตะเกียงมาด้วยหรือเปล่า

ท่านจักต้องรู้ว่า
ตะเกียงถ้าไร้น้ำมันเชื้อเพลิงก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เพราะเปลี่ยนความมืดให้เป็นสว่างไม่ได้
แม้ว่าเราจะช่วยจุดไฟให้
ไส้ตะเกียงนั้นก็มิอาจลุกเป็นไฟได้เลย

นี่แน่ะท่าน...
น้ำมันเชื่อเพลิงที่จะต้องหมั่นเติม
ใส่ตะเกียงของท่านไว้นั้น
มันหมายถึง "พลังแห่งการคิด"หรือคลื่นการคิด
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนร่วมกันของจิตกับสมอง
ภายในตะเกียงอันหมายถึง
ภายในกระโหลกศีรษะของท่านนั่นเอง

จงระลึกเอาไว้ว่า
ตะเกียงใครคนนั้นต้องรับผิดชอบ
น้ำมันตะเกียงอันหมายถึงพลังแห่งการคิด
ท่านเองก็ต้องรับผิดชอบมันด้วย
การเติมบ่อยๆก็คือ
การฝึกคิดบ่อยๆนั่นล่ะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-12-2015

เรื่องของหมา คนไม่น่าจะเกี่ยว!






เรื่องของหมา คนไม่น่าจะเกี่ยว!

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ท่านไม่ควรจะทะเลาะกับหมานะ
เพียงแค่หมามันเห่าเสียจนท่านหนวกหู
หมามันเห่าเสียงดัง เสียจนน่ารำคาญ

หรือว่าในยามหลับอยู่
จู่ๆท่านก็ต้องตกใจตื่นอย่างฉับพลัน
เพราะเสียงหมามันเห่าดังลั่น
ฝันกำลังหวานๆ
พลันต้องสลายไปอย่างน่าเสียดาย

ท่านจักต้องรู้ว่า
หมามันเห่าเพราะว่ามันมีปัญหา
ถ้าหมาจะหยุดเห่า
หมาต้องหุบปากของตัวมันเองเอาไว้เท่านั้น
ใครจะไปบังคับหมาหรือปิดปากหมา
เพื่อให้มันหยุดเห่าไม่ได้

ท่านจักต้องรู้ว่า
ปัญหาของท่านที่แท้จริงคือต้องการหลับต่อ
ท่านจึงต้องกระทำที่ตัวเอง
เพื่อข่มตาข่มใจให้หลับต่อไปให้จงได้

ปัญหาที่แท้จริงของท่านมันมิได้อยู่ที่หมามันเห่า
ท่านจึงไม่จำเป็นต้องไปจัดการที่หมา
เพื่อบังคับข่มขืนหมาให้มันหุบปากเพื่อหยุดเห่า
เพราะยิ่งท่านไปทะเลาะกับหมา
เวลาที่ท่านควรจะได้หลับนอนต่อสบายๆ
มันก็จะสิ้นเปลืองไป
กับการมัวทะเลาะกับหมานี่แหละ

ยิ่งตะโกนด่าหมา หงุดหงิดหมา
เอาหินเขวี้ยงหมา เอาปืนยิงหมา
นอกจากจะนำพาจิตวิญญาณของท่าน
ไปก่อกรรมสัมพันธ์กับหมาตัวนั้นอย่างขาดสติ
ด้วยการประทุษร้ายหมา
หรือเป็นเหตุให้หมาตายแล้ว

ถ้าหมาไม่ตาย ไม่เจ็บ
มันก็จะยิ่งเห่าหนักขึ้นกว่าเดิม เห่าไม่หยุด
จนตัวท่านเองนั่นแหละ
ต้องหยุด "ทะเลาะ" กับหมา
เพราะท้อแท้ใจที่ทำอะไรหมาไม่ได้

เรากำลังจะบอกท่านว่า
คนที่โผล่เข้ามาในชีวิตประจำวันของท่าน
แล้วสร้างเงื่อนไขด้านลบให้ท่าน
ด้วยการทำตัวไม่น่าคบหา
ด้วยทำกิริยาที่ไม่ดีต่อตัวท่าน
เราเปรียบคนพวกนั้นเสมือน "หมา" นั่นเอง

ปัญหาของท่านคือ "ความโกรธ" ที่เกิดขึ้นในใจ
มิใช่คนที่ก่อปัญหาให้ท่านโกรธหรอก

เพราะท่านจะหันไปจัดการคนที่ก่อปัญหาให้ท่าน
ด้วยการทำร้ายตอบ เสมือนหันไปกัดกับหมา
แทนที่จะรีบหาวิธีจัดการความโกรธที่ในใจ
ให้มันสงบระงับอย่างฉับไว
เพื่อมิให้จิตใจตกอยู่ในห้วงแห่งทุกข์นั้น

มันมิใช่วิถีของผู้ฉลาดปราดเปรื่อง
มันมิใช่วิถีของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
มันมิใช่มรรควิถีแห่งจิตจักรวาลหรอกท่าน

หมามันเห่าก็เป็นเรื่องของหมา
ท่านจะไปเห่าตอบหมามันทำไม
เพราะตัวท่านมิใช่หมา

หมามันชวนกัดชวนทะเลาะ
ท่านจะไปกัดกับหมาไปทะเลาะกับหมากันทำไม
เพราะตัวท่านมิใช่หมา

ท่านรู้ไหมว่า....
การไปเห่ากับหมา ไปกัดกับหมา
ไปทะเลาะกับหมานั้น
มันทำให้ท่านไม่ต่างกันกับหมาเลย
เป็นคนอยู่ดีๆจะลดศักดิ์ศรีไปทำไมกัน

เอเมน สาธุ
สวัสดีปีใหม่ 2559

ป.วิสุทธิปัญญา
29312-2015

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สวยเพชฌฆาต





ATTN:
Ahchawharahyh Nirahtii
Question:
กราบเรียนถามท่านอาจารย์
1.กรณี"พืชกินสัตว์"
เขากินเพราะเผลอติดในรสละไม่ลง
หรือเขามีกรรมอะไรถึงต้องเป็นพืช
ที่ต้องดักจับกินชีวิตผู้อื่น?
2.ในกาลข้างหน้าพืชเหล่านี้
จะต้องถูกชำระด้วยดังเช่นพี่ๆน้องๆ
ที่ยังคงเสพกินกันเองด้วยใช่หรือไม่?
3.ฤๅองค์พระบิดาท่านทรงต้องการสื่อสอนอะไร
จากสิ่งนี้แก่ลูกๆให้ได้เรียนรู้กันครับ?
Answer:
1.พืชที่กินแมลงเหล่านี้
มีสมญานามว่า "สวยเพชฌฆาต" !!!!!
2.ที่พวกเขาดักจับแมลงกินเป็นอาหาร
เป็นเพราะถูกกำหนดมาให้มีพฤติการณ์อย่างนั้น
พวกเขาไม่มีปุ่มหรือกลไกใดๆ
ที่จะสั่นสะเทือนร่วมกับจิตเหมือนมนุษย์
ที่จะปรุงแต่งรสชาติอาหารว่าอร่อยไม่อร่อย
มนุษย์จงอย่าเอาตนเองเป็นบรรทัดฐาน
ในการพิจารณาพืชและสัตว์อื่นๆ
ที่พวกเขามิได้ใช้ "จิตสามนึก" เช่นมนุษย์
จึงนำมาเปรียบกันไม่ได้
ทั้งพืชทั้งสัตว์ล้วนใช้สัญชาตญาณ
ที่พระบิดาทรงกำหนดเอาไว้ให้พวกเขา
เป็นในแบบที่เขาต้องเป็นทั้งสิ้น
3.สาเหตุที่ทรงกำหนดให้พวกเขา
เป็นพืชกินแมลง (สัตว์) ก็เพื่อจะให้พวกเขา
ช่วยสร้างสติทางวิญญาณแก่มวลมนุษย์
เพื่อการสื่อสอนมนุษย์ทั้งหลาย
ในพระนามแห่งพระองค์ว่า
3.1 จงอย่ามองทุกสรรพสิ่งของพระบิดา
อันหมายถึงทุกสิ่งทุกเรื่องราวที่เผชิญ
ที่องค์จิตจักรวาลทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
เพียงแค่เปลือกนอกที่เป็นตัวตนรูปลักษณ์เท่านั้น
3.2 เพราะรูปลักษณ์ที่อายตนะมนุษย์
สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้แค่ภายนอกนั้น
ล้วนเป็น "มายา" หรือเงาของแก่นแท้
ที่อำพราง "ตัวตนแท้จริง" เอาไว้ข้างในทั้งสิ้น
3.3 การมองสรรพสิ่งอย่างรายรอบตัวท่าน
จึงจะต้องมองให้ซึ้งถึงแก่นแท้ที่อยู่ข้างใน
ท่านจึงจะเข้าถึงสัจธรรม
อันเป็นความจริงของสรรพสิ่งนั้นได้
3.4 วิธีที่จะมองหาความจริงมิใช่มายาของสิ่งนั้น
จะต้องทำด้วยการปฏิบัติดังนี้
(1).ไม่ใช้จิตปรุงแต่ง ทันทีที่ได้เห็น ได้ฟัง
ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส หรือ ได้จับสัมผัสสรรพสิ่งนั้นๆ
ให้เกิดเป็นความสวย ไม่สวย
ให้เกิดเป็นความน่าฟัง ไม่น่าฟัง
ให้เกิดเป็นความหอม ไม่หอม
ให้เกิดเป็นความอร่อย ไม่อร่อย
ให้เกิดเป็นความชอบใจ ไม่ชอบใจ
จนนำไปสู่ความอยาก ไม่อยาก
โดยเปลี่ยนจากกิเลสไปเป็นตัณหา
ที่จิตไปยึดติดกับมายาของสรรพสิ่งนั้น
(2) ต้องให้เวลาตนเอง
ในการพิจารณาค้นหาความจริงของสิ่งนั้น
ให้มากพอควรแก่เวลาที่มีอยู่
เพื่อมองหาแก่นแท้หรือความจริง
(3) ต้องใช้ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส
กลไกอายตนะเหล่านี้เป็นเครื่องมือ
ที่จะช่วยให้ท่านเรียนรู้ที่จะพบเจอความจริง
เพื่อจะเข้าถึงตัวตนแก่นแท้ของสรรพสิ่งได้
4.ท่านต้องรู้ว่าท่านต้องสามารถ
ข้ามผ่านมายาภายนอกของทุกสรรพสิ่งไปได้เท่านั้น
ท่านจึงจะเข้าถึง "แก่นแท้" ของมันได้
5.เคล็ดลับสำคัญที่จะบอกท่านก็คือ
ท่านจะมิอาจมองด้วยตาเนื้อ
แล้วแลเห็นแก่นแท้จริงของทุกสรรพสิ่งได้เลย
เพราะพระบิดาทรงกำหนดสร้าง
อายตนะภายนอกทั้งห้าซึ่งรวมทั้งตาด้วย
เอาไว้ให้มนุษย์แห่งโลกเสรีทุกคน
ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อค้นหา "ความรู้" เท่านั้น
มิใช่เอามาใช้เพื่อค้นหา "ความจริง" หรือสัจธรรม
6.ท่านจักต้องรู้ว่า
"ความรู้" เรียนรู้ได้ เข้าถึงได้ด้วย "อายตนะ"
ส่วน "ความจริง" นั้น
เรียนรู้ได้ เข้าถึงได้ด้วย "จิตตปัญญา"
หรือ จิตกับสมองสองซีก ที่ทุกคนล้วนมีอยู่นั่นแหละ
โดยที่มนุษย์สามารถเข้าถึงการใช้จิตตปัญญาได้
ด้วยการ "ฝึกคิด" ฝึกใช้ปัญญาของสมอง
ดังที่เรากำหนดให้มีการฝึกอบรม "ไซโคโชว์"
เพื่อช่วยพวกท่านที่ใฝ่นิพพาน
ให้เข้าถึงภาวะการรู้แจ้งในตนเองและสรรพสิ่งทั้งปวง
อันเป็นบันไดสู่สภาวะสุญญตาของจิตอยู่เนืองๆ
กับการหมั่นสื่อพระโอวาทด้วยวัตถุประสงค์พิเศษ
คือ ให้ความรู้และฝึกการคิดขณะรับพระโอวาท
ตลอดเวลาอันยาวนานต่อเนื่อง 4-5 ชั่วโมง
เป็นประจำทุกเดือนมิได้ขาดเว้นนั่นเอง
7.สุดท้ายสิ่งที่ท่านต้องรู้ก็คือ
ท่านจะสามารถเข้าถึงแก่นแท้หรือความจริงได้
โดยไม่ไปหลงยึดติดคิดว่ามายาเป็นแก่นแท้
ก็ด้วยการที่ท่านจะต้องฝึกฝนตนเอง
ให้มองหาสิ่งที่เรียกว่า
"คุณสมบัติแท้จริง" ของสิ่งนั้นให้พบ
โดยอย่าไปใส่ใจในมายารูปลักษณ์ของสิ่งนั้น
เช่น อย่ามองแค่สาระรูป หรือกิริยาท่าทางของเขา
แต่ให้ค้นหาสิ่งที่อยู่ในใจของเขาแทน
ด้วยการใช้ปัญญาหาวิธีที่จะล่วงรู้ให้ได้ว่า
ขณะนั้นเขาคนนั้นกำลังมี "ความจริง" อันใดอยู่ในใจ
ที่เขาปิดบังอำพรางเอาไว้
ด้วยมายาแห่งอากัปกริยาภายนอก
บ้างหรือไม่อย่างไร
ปากกับใจเขาตรงกันจริงมั้ย
หล่อนสวยเพชฌฆาตหรือเปล่า
เขาปากร้ายใจดีหรือเปล่า
หรือปากปราศรัยแต่ใจเชือดคอ เป็นต้น
8.จะรู้เท่าทันคน ท่านต้องสนที่แก่นแท้
ซึ่งเป็นนิสัยทางจิตของเขา
มิใช่ใส่ใจที่บุคลิกภาพภายนอกอย่างเดียว
เพราะมัน "หลอก" มัน "ล่อ" มัน "ลวง" กันได้
เข้าใจมั้ย?
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-12-2015

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อัตลักษณ์ของคนที่เกิดวันอังคาร







อัตลักษณ์ของคนที่เกิดวันอังคาร

วันอังคาร หวานจริง เป็นสิ่งใหญ่
ขี้น้อยใจ ยุ่งขิง เป็นสิ่งสอง
แต่พูดจริง ทำจริง เป็นสิ่งครอง
ความถูกต้อง ความดี เป็นศรีวัน

ขอมอบให้ผู้ที่เกิดวันอังคารทุกคน
นี่เป็นอัตลักษณ์ของพวกท่านล่ะนะ...

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-12-2015

จิตจักรวาล มิใช่ลัทธิ แต่จิตจักรวาลเป็นศูนย์รวมแห่งปัญญากับองค์ความรู้ทั้งปวงต่างหาก





จิตจักรวาล มิใช่ลัทธิ
เพราะมิได้เป็นศูนย์รวมแห่งความเชื่อทั้งปวง
แต่จิตจักรวาลเป็นศูนย์รวมแห่งปัญญากับองค์ความรู้ทั้งปวงต่างหาก

ตัวเราก็มิใช่จ้าวลัทธิ
เพราะเรามิได้บังคับ เชื้อเชิญ หรือจูงใจ ให้ใครเชื่อ
แต่เราท้าทายให้พวกเธอใช้ปัญญาของเธอเอง
เรียนรู้ในองค์ความรู้ทั้งปวงต่างหาก

ป.วิสุทธิปัญญา
29-08-2014

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ชี้ทางหลุดพ้นบนมรรควิถีจิตจักรวาล





เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
องค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ของเราและของพวกท่านทั้งหลาย
ทรงใช้ให้เรามาทำหน้าที่ปิดยุคพลังงานเก่า

ด้วยการกล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งพระองค์
ในระบบจิตสู่จิต ต่อท่านทั้งหลาย
พร้อมแจ้งข่าวสารการชำระโลกและความรู้ใหม่ๆ
เพื่อให้ท่านได้เตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
เพื่อการผจญภัยที่ท่านจะไม่เคยพบเจอมาก่อน
อย่างมีกฤตสติ

กับชี้ทางหลุดพ้นบนมรรควิถีจิตจักรวาล
เพื่อนำพาแก่นแท้ของพวกท่านกลับบ้าน
ยังแดนสุญญตา
ซึ่งพระองค์ทรงเฝ้ารอคอยพวกท่าน
รักษาคำมั่นในพันธะสัญญา 6
มานานนับหลายหมื่นปีแล้ว

ความจริงอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเราขอกล่าวต่อท่าน
นั่นคือ ในการเป็นคนสองมิติ
ที่ท่านเรียกตนเองกันว่า "มนุษย์" นั้น
หากท่านปรารถนาจะนิพพานแท้จริง
ท่านจะต้องยอมรับให้ได้ว่า
ตัวท่านนั้นยังมีจิตวิญญาณแก่นแท้อยู่ข้างใน

ท่านจะไปไหนมาไหน
ท่านจะทำอะไรกับใคร
ท่านจะทำอย่างไร
ตัวตนแก่นแท้ของท่านที่อยู่ข้างใน
ล้วนรับรู้และรับผิดชอบการกระทำนั้นๆทั้งหมด
เสมือนหนึ่งกระทำด้วยตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำดีหรือชั่ว
ด้วยกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรมก็ตาม

เพราะจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่าน
เป็นตัวแทนได้รับมอบอำนาจจากจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ให้มีหน้าที่สั่นสะเทือนเครื่องยนต์แห่งกรรม
เพื่อแสดงบทบาทการเป็นคนสองมิติแทนตนเอง

โดยมีเงื่อนไขว่า
ตั้งแต่ท่านมีอายุขัยครบสามขวบปีบริบูรณ์เป็นต้นมา
ท่านจักต้องเรียนรู้ที่จะ
ยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ให้สูงขึ้นทางด้านบวก
จนสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้
คือจิตวิญญาณของตนเองให้จงได้

วิธีที่จะยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบได้
ก็ด้วยการสอบให้ผ่านบททดสอบจิตสำนึก
ที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ได้วางแผนขีดเขียนบทละครนั้นๆเอาไว้ให้ท่านเล่น

โดยประชุมวางแผนกันกับเพื่อนร่วมบททดสอบ
ณ วิหารสีขาวตรงด่านนภาลัย
ตั้งแต่ภพชาติแรกที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วล่ะ
ซึ่งหนึ่งในเพื่อนร่วมบททดสอบร่วมวางแผนกันมา
ก็มีจิตวิญญาณของท่านนี่แหละเป็นหนึ่งในนั้น

ดังนั้น
หน้าที่ของท่านก็คือ
รับผิดชอบต่อการสั่นสะเทือนตนเอง
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้ของท่านให้ได้

ด้วยการรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้
ให้อภัยแก่คนที่ไม่น่าให้อภัยให้เป็น
ในทุกบททดสอบที่คนรอบข้างหยิบยื่นมาให้
แล้วท่านก็จะเป็นมนุษย์ที่สมดุล
ที่มีสิทธิ์ใช้นามเรียกขานจิตตนเองว่า"จิตใจ"
ซึ่งคำว่า "ใจ" ก็คือ แก่นหรือแกนกลาง
อันหมายถึงจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านนั่นเอง

ในชีวิตประจำวัน
ท่านทั้งหลายจึงต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
ท่านจะระวังรักษา "จิตใจ" ของท่าน
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันไว้ได้อย่างไร

คำตอบคือ "อย่าทำจิตตก ใจแตก"
ใช่หรือไม่ล่ะ?

จิตกับใจจะแตกแยกออกจากกันก็ต่อเมื่อ
จิตสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ต่ำๆ
ในย่านของโลภะ โทสะ โมหะ
กับอารมณ์หยาบๆรายวันทั้งหลายนี่แหละนะ

เหตุเพราะจิตสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำนี่เอง
จึงขาดจากการเป็นหนึ่งเดียวกันกับ "ใจ"
เพราะค่าความถี่ไม่เสมอภาคกัน ไม่เท่ากัน

ท่านจึงต้องระวังจิตดูแลใจให้จริงจัง
อย่ายอมใหจิตตกใจแตกง่ายนัก
วิธีที่เหมาะสมที่สุดก็คือ
การสร้างเครื่องมือค้ำจุนจิตของท่านไว้
เราเรียกเครื่องมือสำคัญชิ้นนี้ว่า "มหาสติ"
ซึ่งเป็นคำสั้นๆไม่มีอะไรต่อท้ายอีก

มหาสติจะช่วยให้จิตของท่าน
ไม่เกิดอาการเสียสมดุลไป
ในทุกครั้งคราที่อายตนะภายนอกทั้งห้า
สัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งใดๆในทุกขณะจิต

มหาสติของพระบิดา
ที่ทรงเมตตาประทานมาให้ท่านทั้งหลายนี้
มิได้มีมาตั้งแต่เกิด
มิได้เป็นกลไกอัตโนมัติ
แต่เป็นกลไกที่ท่านจักต้องสร้างมันขึ้นมาเอง

โดยต้องรู้ว่า
"มหาสติ คืออะไร"
"มหาสติ" คืออย่างไร
"มหาสติ" มีประโยชน์ต่อการค้ำจุนจิตใจอย่างไร
ฯลฯ

ท่านจะต้องสำรวมจิตเอาไว้เสมอ
และท่านก็จักต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า
จงอย่าทำจิตตกเดี๋ยวใจจะแตก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-12-2015

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วัตถุประสงค์ ของชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก








   1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

HAPPY IN WORKS/งานสำเร็จ คนเป็นสุข




ชื่อกิจกรรม: คนคู่หู
ลำดับกิจกรรม: 11/12

สาระพฤติกรรม:
จงอย่ากลัวความไม่รู้
หลักสูตร:
HAPPY IN WORKS/งานสำเร็จ คนเป็นสุข
กลยุทธฝึกอบรม:
ถ่ายทอดพฤติกรรมด้วยกระบวนการ PsychoShow

วิทยากร:
อาจารย์ปริญญา ตันสกุล และคณะ
สถาบันสร้างเสริมจิตปัญญาเพื่อพัฒนาพฤติกรรมศาสตร์ HMDC

หน่วยงาน:
คณะผู้บริหารบริษัทในกลุ่ม PAN รุ่นที่ 3

วันฝึกอบรม: 17-19 ธันวาคม 2558
สถานที่:
ห้องพรรณราย 1 เอ-วัน รอยัลครูส โฮเต็ล
ชายหาด พัทยาเหนือ ชลบุรี

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตที่มีสีสัน คือ ชีวิตที่มีหลากหลายรสชาติ




ชีวิตที่มีสีสัน คือ
ชีวิตที่มีหลากหลายรสชาติ

ความหลากหลายรสชาติของชีวิต
จักต้องมีหวือหวา ท้าทาย เรียบง่าย
หวั่นไหว วุ่นวาย หวีดหวิว วูบวาบ
วิงเวียน แล้วก็วกวน
คละเคล้าปะปนกันไปในแต่ละวัน

บางเรื่องสำเร็จ บางเรื่องล้มเหลว
บางทีสมหวัง บางทีผิดหวัง
บางครั้งก็ยากแทบตาย บางครั้งก็แสนง่าย

ดังนั้น
จงอย่าไปอะไรๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้มันมากนัก
โดยเฉพาะในสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วและผ่านไปแล้ว
ซึ่งท่านน่ะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
นอกจากจะทำใหม่ให้มันดีกว่าเดิม

จงถือเสียว่าความหลากหลายในชีวิต
มันช่วยทำให้โลกส่วนตัวของท่านสวยงาม
แม้บางเรื่องราวท่านอาจไม่ค่อยจะพิศมัย
กับมันมากเท่าใดนัก
ไม่ต่างจากมีบางสีที่ท่านไม่ชอบ
ซึ่งปะปนอยู่กับสีสันอันหลากหลายนั้น
โดยเมื่อมองแบบองค์รวมแล้ว
สีที่ท่านไม่ชอบกลับเป็นองค์ประกอบหนึ่ง
ที่ทำให้ทั้งหมดสวยงามจับใจ....

เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
15-12-2015

คุณสมบัติของผู้เป็นครอบครัวยุวจิตจักรวาลทายาท





เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สำหรับ "ครอบครัวจิตจักรวาล" นั้น
ผู้เป็นสมาชิกองค์สำคัญในครอบครัว
จะประกอบด้วย องค์ 3 ดังนี้ คือ
1.องค์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงเป็นองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
พระผู้ทรงเป็นจุดเริ่มต้น(ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ)
และทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ทั้งยังทรงเป็นพระผู้สิ้นสุดยุติ
(การคืนกลับบ้านหรือนิพพาน)
ของจิตวิญญาณอีกด้วย
2 องค์จิตจักรวาลดวงเล็ก คือ "พระบุตร"
ซึ่งเป็นตัวตนภาคแรกที่สูงส่ง
ของจิตวิญญาณมนุษย์แต่ละคน
ที่ถูกแบ่งภาคออกมา
เพื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้
โดยที่ขณะนี้พวกเขาทั้งหลายนั้น
ยังดำรงตนเองอยู่กับพระบิดา
ในแดนสุญญตาหรือแดนนิพพาน
นอกระบบเอกภพซึ่งอยู่ห่างไกลมาก
ซึ่งห่างไกลมากเสียจนไม่สามารถ
ติดต่อสื่อสารกับจิตวิญญาณของตน
ที่ขันอาสาลงมาเกิดเป็นมนุษย์
บนดาวโลกเสรีนี้ด้วยตนเองโดยตรงได้
นอกเสียจากการทำสามเหลี่ยมกับพระบิดา
ผ่านพระบุตรเอกแห่งองค์พระบิดา
ในกาลที่พระบุตรเอกนั้น
เสด็จลงมาทำหน้าที่พิเศษ
ในวโรกาสพิเศษบนโลกเสรีนี้
ดังเช่นปลายยุคพลังงานเก่านี้เท่านั้น
ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของจิตวิญญาณมนุษย์
หรือจิตจักรวาลดวงเล็กเหล่านี้
ต่างล้วนรอคอยการคืนกลับบ้านของจิตวิญญาณแห่งตน
เพื่อกลับสู่การเป็นหนึ่งเดียวกันดังเดิม
ในสภาวะนิพพานนับนานเนิ่นมาแล้ว
3.องค์จิตวิญญาณ หรือ "พระจิต"
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ในความมนุษย์แต่ละคน
ที่จิตหยาบหรือจิตมนุษย์
สามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนด้านบวกให้สูงขึ้น
จนเป็นหนึ่งเดียวกันกับดวงจิตวิญญาณของตน
จนเป็นผลสำเร็จได้แล้ว
สำหรับพี่ๆน้องๆชาว "ยุวจิตจักรวาลทายาท" นั้น
เราจะหมายถึงมนุษย์แห่งโลกเสรี
ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติสำคัญดังต่อไปนี้
2.1 เป็นผู้ถือครองมหาสติ
2.2 เป็นผู้มีปณิธานแห่งนิพพานชัดเจนแท้จริง
2.3 เป็นผู้ยอมรับในการมีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
2.4 เป็นผู้ยอมรับในพันธะสัญญา 6
2.5 เป็นผู้ทำ 3 เหลี่ยมกับพระบิดาอยู่เสมอ
2.6 เป็นผู้ศรัทธาการเป็นมนุษย์ของตนเอง
2.7 เป็นผู้เฝ้าฟังพระโอวาทอยู่เป็นประจำ
และนำพาตนเองเข้าสู่ปฏิบัติการชำระจิต
ให้มีจิตใสใจสวยด้วยกระบวนการ "ไซโคโชว์"
อยู่เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
15-12-2015

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เกิดเป็นคน หล่นแล้ว เป็นแมวเหมียว




เกิดเป็นคน หล่นแล้ว เป็นแมวเหมียว
เพราะจิตเปลี่ยว เสียวซ่าน ร่านสู่สม
ชอบยั่วยวน ชวนชาย ให้หมายชม
ใช้สวยข่ม ทำมารยา ให้ท่าชาย
อีกบางคน ลักขโมย อยู่เป็นนิจ
ก่อกรรมผิด บาปล้น จนคนหน่าย
จึงเป็นแมว ขี้ขโมย โดยที่กาย
"ย่องเบา" ง่าย จมูกไว ไปตามกรรม
เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
15-12-2015

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การทำบุญแบบไหน เพื่อพลังอำนาจ ทางจิตวิญญาณเพื่อการหลุดพ้น





การทำบุญสร้างกุศล
แล้วร้องขอสิ่งตอบแทน
อำนาจแห่งการสร้างกุศลผลบุญนั้น
จะช่วยเพิ่มพลังบารมีให้แก่นแท้ของท่านไม่ได้
แต่มันจะไปเพิ่มน้ำหนักมวล
ให้แก่จิตวิญญาณของท่านแทน
ทำให้มีน้ำหนักมวลมากขึ้น
เหมือนคนที่อ้วนขึ้นเรื่อยๆ
บุญกุศลที่ท่านก่อกรรมทำดีนั้น
จะก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตด้านบวกเสมอ
สัจธรรมของการทำความดีงามก็คือ
เมื่อทำดีก็จะบังเกิดสิ่งดีๆดังนี้ คือ
ความมีปีติสุขที่เกิดขึ้นก่อนกระทำ
ความมีปีติยินดีที่เกิดขึ้นในขณะกระทำ
ความอิ่มเอิบเบิกบานใจที่เกิดขึ้นเมื่อได้ทำแล้ว
การสั่นสะเทือนด้านบวกนี้
หากท่านหมั่นเพียรทำความดีเรื่อยไปในชีวิต
มันจะสามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ให้สูงขึ้นเรื่อยๆจนเป็นบวกสูงสุดได้ในที่สุด
ความสามารถในการสั่นสะเทือนทางจิต
ที่เป็นด้านบวกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จากการสร้างบุญกุศลนี่แหละ
คือ การสร้างบารมีแบบสั่งสมล่ะนะ
ซึ่งจิตวิญญาณของท่านต้องการพลังอำนาจ
จากการสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุดนี่แหละ
เป็น "เสบียง" หรือพลังงาน
ที่จะใช้ดีดตนเองออกไปจากระบบโลกและเอกภพ
หนีแรงดึงดูดของสรรพสิ่ง
กลับไปกราบพระบาทพระบิดาให้ได้ในชาตินี้
ในสภาวะแห่งการ "หลุดพ้น" คือ นิพพาน
แต่ถ้าท่านทำบุญเบื้องล่าง
เพื่อคิดหวังจะไปสร้างเบื้องบน
ตายไปแล้วจิตวิญญาณของท่าน
ก็จะแค่ "หลุดลอย" ไปค้างอยู่ตรงสวรรค์มายาเท่านั้น
แต่ถ้าท่านสร้างกุศลผลบุญทีไร
แล้วเอ่ยปากฝากจิตคิดร้องขอสิ่งดีๆตอบแทน
ทำความดีงามทีไรก็คิดหวังจะได้สิ่งตอบแทนเสมอ
ผลกรรมหรือผลลัพธ์ของการทำบุญ
มันจะเกิดเป็นรูปธรรมขึ้น
ในรูปของบุรพกรรมแม่เหล็ก
แล้วสะสมอยู่ในดวงจิตวิญญาณของท่านเอง
ตรงส่วนที่เรียกว่า "เมอร์คขะบาห์"
ถ้าสะสมมวลของผลกรรมด้านบวกเอาไว้มาก
เพื่อรอไว้ตอบสนองความต้องการของท่าน
ในภพชาติหน้าแล้ว
มันจะยังผลให้จิตวิญญาณของท่าน
มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าน้ำหนักจริง
ที่ท่านเข้ามาเกิดในภพชาติแรก
ขณะที่บารมี คือ
พลังงานที่จะใช้ดีดตนเองออกไปจากระบบ
ก็ถดถอยน้อยลงหรือมีไม่มากพอ
เพราะเป็นเช่นนี้แหละ
บวชนานจึงนิพพานไม่ได้
เกิดมานานจึงนิพพานกันไม่ได้
สาเหตุที่มีมวลของบุรพกรรมแม่เหล็กเพิ่มขึ้น
แล้วทำให้จิตวิญญาณของท่านเสมือนไร้พลัง
ก็เพราะ 2 ประการ คือ
1.น้ำหนักเกินมาก
จึงถูกจักรวาลดึงดูดเอาไว้
จนหลุดพ้นแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งออกไปไม่สำเร็จ
2.แรงสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณต่ำลง
เพราะเมอร์คขะบาห์
ไม่สามารถสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงได้
เนื่องจากที่ว่างภายในส่วนของเมอร์คขะบาห์
ถูกแทนที่ด้วยมวลหยาบๆอันเกิดจาก
การทำดีแล้วหวังสิ่งตอบแทน
การร้องขอสิ่งดีๆในทุกครั้งที่ทำดี เป็นต้น
เมื่อมวลหยาบๆที่สร้างใหม่
เพิ่มจำนวนมากขึ้น
ที่ว่างในส่วนของเมอร์คขะบาห์
ซึ่งเป็นชั้นนอกสุดของดวงจิตวิญญาณของท่าน
จะมีพื้นที่ว่างให้สั่นสะเทือนน้อยลง
เมื่อสั่นสะเทือนได้น้อยลง
ความถี่ของการสั่นสะเทือนด้านบวกก็ต่ำลงไปด้วย
นี่คือที่มาของพลังทางจิตวิญญาณทำไมต่ำลง
นอกจากนั้นมวลหยาบๆนี่แหละ
ที่ท่านจักต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่ในชาติหน้า
เพื่อรับผิดชอบมันด้วยการเสวยตามที่ร้องขอไว้
ใครทำบุญมาก แล้วร้องขอเอาไว้มาก
คงต้องการภพชาติมากกว่าคนอื่นเขาหน่อยละนะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-12-2015

แถลงสัจธรรมตามวิถีจิตจักรวาล




ท่านศาสนิกชนคนใฝ่ธรรมทั้งหลาย
โดยเฉพาะท่านผู้ที่เพิ่งเข้ามาเป็นแขก
ในครอบครัวจิตจักรวาล
ผ่านหน้าเฟสบุ้คของเรา "ป.วิสุทธิปัญญา"
เพื่อศึกษาเรียนรู้สัจธรรมตามวิถีจิตจักรวาลนั้น
เราใคร่แถลงต่อท่านทั้งหลายว่า
1.ทั้งคำกล่าวและข่าวสารของเราทั้งหมดในห้องเรียนนี้
จะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
ส่วนแรกจะเป็นพระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาล
ส่วนที่สองจะเป็นข่าวสารการชำระโลก
ส่วนที่สามจะเป็นข่าวภัยพิบัติกรณีสำคัญทั่วโลก
2.เฉพาะคำกล่าวพระโอวาทและข่าวสารการชำระโลก
จะเป็นการสื่อถ่ายทอดลงมา
จากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
โดยทรงพระนามว่า "องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่"
หรือที่หลายคนถวายพระนามว่า "พระผู้สร้าง"
จากจุดศูนย์กลางของมหาจักรวาลระบบใหญ่
โดยเราสื่อสารกับพระองค์ท่าน
เพื่อกล่าวพระโอวาทและแจ้งข่าวสารสำคัญดังกล่าว
ในพระนามแห่งพระองค์ต่อท่านทั้งหลาย
ซึ่งเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้
ตามแผนการที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า
นานนับหมื่นปีมาแล้ว
ในวาระสำคัญ คือ การสิ้นยุคพลังงานเก่า
เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
กระบวนการสื่อสารกับพระผู้สูงส่งนี้
เป็นการสื่อสารในระบบจิตสู่จิตในแนวดิ่ง
ที่เรียกว่า All Times Vertical Telepathy
3.สำหรับข่าวสารการชำระโลกนั้น
เป็นปฏิบัติการทางเท็คนิกของช่างเท็คนิก
จากนอกระบบโลกทั้งต่างจักรวาลและต่างกาแล็กซี
โดยเราได้รับอนุญาตให้เปิดเผยแผนการ
และความรู้ในเชิงเท็คนิกของภัยพิบัติ
ที่อยู่ในแผนปฏิบัติการของช่างเท็คนิก
ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดทั่วโลก
ให้ชาวโลกเสรีทั้งหลายได้เรียนรู้
โดยเตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
เพื่อการผจญภัยเอาไว้ล่วงหน้า
4.ดังนั้น ทุกถ้อยความที่เรากล่าวในทุกๆสื่อ
มิได้เป็นความรู้ความเห็นส่วนตัวของเราแต่อย่างใด
การเข้ามาตอบกลับท้ายคำถามของใคร
หรือการตอบคำถามของผู้ใด
ก็มิใช่เป็นความใส่ใจในใครๆเป็นพิเศษดอก
แต่เป็นการทำหน้าที่ของเราเพื่อส่วนรวม
ตามพระบัญชาแห่งพระผู้สูงส่งต่างหาก
หากผู้ใดไม่เห็นด้วย
ก็จงอย่าก้าวล่วงเราให้ผิดบาปแก่ตน
หากท่านใดอ่านแล้วคิดแล้วพิจารณาแล้ว
พบว่าความใดที่เรากล่าวในพระนามของพระบิดา
อวดอุตริพาท่านเพี้ยนเปลี่ยนสัจธรรมนำอุตริ
ก็ขอให้ท่านผ่านเลยไปเสีย
ให้เรารับเอาชะตากรรมนั้นไว้เอง
โดยที่ท่านมิต้องมาเกี่ยวกรรมใดๆกับเราจะเหมาะกว่า
ที่นี่...ห้องนี้เป็นห้องส่วนตัว
ของครอบครัวจิตจักรวาลเท่านั้น
ซึ่งผู้ต้องการสร้างสังคมอุดมปัญญา
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นในชาตินี้
ตามวิถีจิตจักรวาล
บนเส้นทางชาวบ้านที่มิใช่วิถีของนักบวช
ก็สามารถเข้ามาเป็นครอบครัวกับเราได้เสมอ
กราบพระบาทพระบิดา
ทรงโปรดเมตตาประทานพระพรแด่ท่านที่ใฝ่ดี
และทรงเมตตาให้อภัยแก่ลูกแกะที่หลงทางด้วยเถิด
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-12-2015

หนึ่งในคุณสมบัติของจิตวิญญาณ เพื่อการหลุดพ้น





ตามที่เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายไว้แล้วว่า
หากปรารถนาจะนิพพานทางจิตวิญญาณแล้ว
อีกหนึ่งในคุณสมบัติที่ท่านต้องจัดการต่อตนเอง
นั่นคือ ต้องลดน้ำหนักมวลของแก่นแท้ของท่าน
ให้เหลือเท่าเดิมเท่ากับครั้งแรก
ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

ซึ่งน้ำหนักมวลของรูปธรรมทางพลังงาน
ที่มีนามว่าจิตวิญญาณนั้น
แม้จะเป็นกล่องพลังงานก็จริงอยู่
แต่ก็มีน้ำหนักเท่ากับ 30 มิลลิกรัมพอดี

สาเหตุที่ผู้ปรารถนาจะนิพพานคือกลับบ้าน
จักต้องลดน้ำหนักมวลของตัวเอง
ให้เหลือ 30 มก.เท่าเดิมก็เพราะว่า
หากมีน้ำหนักตัวมากกว่านี้
รูปธรรมจิตวิญญาณนั้นจะถูกดึงดูดเหนี่ยวรั้งไว้

ด้วยอำนาจแรงโน้มถ่วงของโลก
ด้วยอำนาจแรงโน้มถ่วงของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก
ด้วยอำนาจแรงโน้มถ่วงของเอกภพ

จะถูกดึงดูดเหนี่ยวรั้งไว้
จนมิอาจดีดตนเองให้หลุดพ้นออกไปจากระบบได้
ก็จำต้องย้อนคืนกลับสู่การเกิดใหม่
เพื่อทำการลดน้ำหนักตัวในส่วนที่เกินนั้นให้หมด

โดยวิธีลดน้ำหนักตัวของจิตวิญญาณก็คือ
การกลับมาเกิดใหม่เพื่อทำให้ผลกรรมในอดีต
ที่ติดตัวอยู่ทั้งหมดนั้นเป็นโมฆะ
หรือทำให้เป็นกลางทางไฟฟ้าแม่เหล็กเสียให้สิ้น

การมาเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายภพชาติ
เพื่อการชำระบาปด้วยการขจัดน้ำหนักมวลส่วนเกินนี้
มันคือการมีสังสารวัฏฏ์เวียนว่ายตายเกิดนี่แหละ
ส่วนวิธีทำกรรมให้เป็นโมฆะเพื่อลดน้ำหนักตัว
ก็คือการมาเกิดใหม่เพื่อตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้อง
ในสถานการณ์เดิมๆเหมือนชาติที่แล้วอีกครั้ง

ถ้าในชีวิตประจำวันของท่าน
มีการก่อกรรมใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
น้ำหนักมวลของจิตวิญญาณของท่าน
ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน
คนที่ฉลาดและมีมหาสติ
จึงไม่ก่อกรรมใหม่และแก้ไขกรรมเก่า
โดยมีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาทและไม่ขาดสติง่ายๆ

ท่านจักต้องรู้ว่า
คนอ้วนน้ำหนักตัวมาก
จะมีความอืดอาดอุ้ยอ้าย
ไปไหนมาไหนจะไม่ปรู๊ดปร๊าดปราดเปรียว
หนำซ้ำยังจะเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติด้วย

จิตวิญญาณที่มีน้ำหนักตัวมากๆ
เพราะมีผลกรรมติดตัวอยู่มากก็เช่นกัน
เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็จะอืดอาดขาดพลัง
จนไม่สามารถดีดตัวเองออกไป
จากแรงดึงดูดของโลกหรือเอกภพได้

ยิ่งน้ำหนักมวลมากก็ยิ่งถูกเหนี่ยวรั้งมาก
ยิ่งต้องออกแรงดีดตัวเองหนีแรงดึงดูดมากเช่นกัน

ขอให้ท่านโชคดีและกระทำสำเร็จด้วยเถิด
เราจักเป็นกำลังใจให้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-12-2015

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คุณสมบัติ ของผู้หลุดพ้นบนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง




เราบอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การที่ท่านได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็น "คนสองมิติ"
ที่เรียกว่า "มนุษย์" นี้แสนประเสริฐนัก

เมื่อท่านทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
ตามที่ได้ให้สัจจะไว้ต่อองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้ทรงอนุญาตให้ท่านมายังโลกเสรีนี้สำเร็จแล้ว
ดวงจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ก็สามารถจะเดินทางกลับ
บ้านเกิดยังแดนสุญญตาที่ท่านได้จากมาแสนนาน
ซึ่งอยู่ภายนอกระบบเอกภพอันไพศาลนี้ได้

ขณะที่พี่ๆน้องๆของท่านอีกกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งดวงจิตวิญญาณของเขา
เดินทางข้ามมิติมาทำหน้าที่บนโลกเสรีนี้
ก่อนยุคที่พวกท่านจะมา
โดยเข้ามาทำหน้าที่แบบเดียวกันกับท่านนั้น

พวกเขาจะไม่สามารถย้อนกลับคืน
บ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ
เหมือนอย่างพวกท่านที่เป็นมนุษย์ได้
แม้ว่าพวกเขาจะคิดถึงบ้านสักปานใดก็ตาม
ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกพวกเขาว่า
"สัตว์ประจำโลก" นั่นเอง

นี่ก็ลุถึงปลายยุคพลังงานเก่า
หมดเวลาที่พวกท่านขันอาสาพระบิดา
เข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวบนดาวโลกดวงนี้แล้ว
พวกท่านจักต้องเร่งจัดการกับตนเอง
เพื่อนำพาแก่นแท้ของท่านย้อนคืนสู่เหย้ากันให้ได้

โดยท่านต้องระลึกไว้เสมอว่า....
ถ้าแก่นแท้ของท่านจะกลับคืนสู่เหย้าได้ในชาตินี้
ท่านจักต้องปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันที่เหลืออยู่
ให้เคร่งครัดจริงจังดังต่อไปนี้

1.ต้องยกระดับแรงสั่นสะเทือนของ "จิตหยาบ"
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับ"ใจ"
คือ จิตวิญญาณของท่านเอง

ให้สำเร็จโดยเร็ววันที่สุดให้จงได้
เพราะเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
จะมัวแต่เพลิดเพลินเดินสะเปะสะปะไม่ได้แล้ว

2.ต้องลด "น้ำหนักมวล" หรือ น้ำหนักตัว
ของจิตวิญญาณซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
อันเป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านเอง
ที่จะต้องเดินทางกลับบ้าน
หรือเป็นผู้หลุดพ้นออกไปจากเอกภพนี้
เพื่อให้มีน้ำหนักตัวเท่ากับตอนที่
เดินทางเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
ในภพชาติแรก คือ 30 มิลลิกรัม

ให้สำเร็จโดยเร็ววันที่สุดให้จงได้
เพราะเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
จะมัวแต่เพลิดเพลินเดินสะเปะสะปะไม่ได้แล้ว

3.ต้องพัฒนาทักษะการใช้จิตปัญญา
อันเป็นความเฉลียวฉลาดของสมองสองซีก

ให้มีความสามารถในการเรียนรู้โลก
ให้มีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์
ให้มีความสามารถในการตัดสินใจ
ให้มีความสามารถในการใช้แรงบันดาลใจ
เพื่อผ่านบททดสอบจิตสำนึกรายวัน
ในทุกบททดสอบทุกรูปแบบ
เพื่อเป็นคนพ้นกรรม
เพื่อเป็นผู้สิ้นสุดยุติกรรมทั้งปวง
ในการดับการมีสังสารวัฏให้หมดสิ้น

ให้สำเร็จโดยเร็ววันที่สุดให้จงได้
เพราะเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
จะมัวแต่เพลิดเพลินเดินสะเปะสะปะไม่ได้แล้ว

นี่แน่ะ....ท่านทั้งหลาย
เราจะขอกระซิบท่านดังๆว่า
ถ้าปรารถนาการหลุดพ้นอย่างแท้จริงแล้ว
ท่านทำตามที่เราชี้ทางไว้ทั้ง 3 ประการนั้นสิ
ถึงประตูนิพพาน คือ "ด่านนภาลัย" แน่ๆ
รีบทำเดี๋ยวนี้เลย...จะรั้งรออะไรอยู่อีกล่ะ

ถ้าถึงขั้นนี้แล้วยังมีคำถามเราอีกว่า
แล้วจะบรรลุใน 3 ข้อนี้ได้อย่างไร
ก็ขอให้ท่านรีบละสายตาไปอ่านที่สไลด์
ที่เราแนบไว้นั่นสิ...อ่านให้ครบ
ทำความเข้าใจให้ชัดแจ้งว่า
วิธีปฏิบัติใน 5 ข้อตามที่ระบุไว้นั่น
เราเคยสื่อสอนพวกท่านมาบ่อยแล้วว่า
ท่านต้องปฏิบัติมันอย่างไรกันบ้าง

กราบพระบิดาทรงประทานพรให้
บุตรผู้ใฝ่ดีทั้งหลาย
บุตรผู้มากด้วยบุญญาบารมีทั้งหลาย
บุตรผู้มีปณิธานแห่งนิพพานแท้จริงทั้งหลาย

ขอให้พวกเขาได้มีโอกาส
เข้ามาอ่านพระคำเหล่านี้แล้วมีนัยน์ตาเห็นธรรม
เพื่อสำนึกรู้ให้ได้ว่ามรรควิถีแห่งจิตจักรวาลนี้
เป็นวิถีแห่งการหลุดพ้นสำหรับชาวบ้าน
ที่ปฏิบัติง่ายเพราะไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่พางมงาย
สอนให้ทุกท่านพึ่งจิตปัญญาบารมีที่ในตน
แทนการพึ่งพาคนอื่นด้วยการเฝ้าแต่อธิษฐาน
ด้วยการเฝ้าแต่ร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จนจิตปัญญามืดบอดเหมือนที่่ผ่านมาอยู่อีกต่อไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-12-2012

การยกระดับจิตหยาบให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ





เส้นทางสู่การหลุดพ้นนั้น
คูณสมบัติแรกที่ท่านทั้งหลายจักต้องเติมเต็ม
ในการเป็นคนสองมิติของตนเองก็คือ

การยกระดับจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ให้สั่นสะเทือนจนเป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้
หรือจิตวิญญาณของตัวท่านเองให้จงได้
โดยให้มันสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวตลอดไป

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
การที่พระบิดาทรงกำหนดให้พวกท่าน
กล่าวถึงแก่นแท้
ในการเป็นมนุษย์ของท่านเองว่า "จิตใจ"
ก็เพราะสาเหตุว่าท่านเป็นคน 2 มิติ

มิติแรกเป็นมิติทางกายภาพ
เป็นด้านของ "จิตหยาบ" กับ "กายสังขาร"

มิติที่สองเป็นมิติทางพลังงาน
เป็นด้านของแก่นแท้ คือ "จิตวิญญาณ" หรือ "ใจ"

เพราะเหตุว่ากายสังขารของท่าน
ถูกผลิตสร้างขึ้นไว้รองรับจิตวิญญาณผู้มาเกิด
ด้วยโลหิตในครรภ์ของมารดา
พระบิดาจึงทรงต้องกำหนดให้
กายสังขารของท่าน
ซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า "เครื่องยนต์แห่งกรรม"
มีจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
เป็นผู้ควบคุมและปฏิบัติการแทน

เมื่อจิตหยาบเป็นผู้ทำหน้าที่แทนใคร
จิตหยาบก็ต้องทำตามความต้องการของผู้นั้น
จะทำอะไรๆตามใจตนเองโดยพละการไม่ได้

ซึ่งในที่นี้ผู้มอบอำนาจให้จิตหยาบ
ทำหน้าที่แทนตนเองก็คือ
จิตวิญญาณหรือเรียกกันสั้นๆว่า "ใจ" นั่นเอง

ดังนั้น
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่าน
จึงต้องรู้ว่า "ใจ" ของท่าน
เขาต้องการให้ท่านทำอะไรแทนเขาบ้าง

นี่แหละ....เราจึงต้องกลับมาตามสัญญา
มาเพื่อการปิดยุคพลังงานเก่า
มาเพื่อเอาข่าวสารการชำระโลกมาฝากท่าน
มาเพื่อการเฉลยความจริงอีกเรื่องหนึ่งว่า

ถ้าจะพาแก่นแท้ของท่าน
นิพพานในชาตินี้ได้
จิตกับใจของท่าน
ต้องสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันให้สำเร็จ
ซึ่งท่านจักต้องฝึกฝนตนเอง
จากบททดสอบต่างๆในชีวิตประจำวัน
ทั้งด้านดีๆและด้านร้ายที่ท่านไม่พึงประสงค์

วิธีการปฏิบัติทำอย่างไร
เราได้เปิดเผยไว้ในสไลด์นี้แล้ว

จงอย่าเหลวไหลหลบหลับล้อเล่นอยู่อีกเลย
จิตของท่านต้องการเวลาฝึกฝนนานเอาการอยู่
เวลาโลกกับนาฬิกาชีวิตของท่าน
มันเดินเร็วขึ้นทุกที
เหลือน้อยลงทุกวันแล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-12-2015

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

พลังอำนาจทางจิตวิญญาณเพื่อการหลุดพ้น





การทำบุญสร้างกุศล
แล้วร้องขอสิ่งตอบแทน

อำนาจแห่งการสร้างกุศลผลบุญนั้น
จะช่วยเพิ่มพลังบารมีให้แก่นแท้ของท่านไม่ได้
แต่มันจะไปเพิ่มน้ำหนักมวล
ให้แก่จิตวิญญาณของท่านแทน
ทำให้มีน้ำหนักมวลมากขึ้น
เหมือนคนที่อ้วนขึ้นเรื่อยๆ

บุญกุศลที่ท่านก่อกรรมทำดีนั้น
จะก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตด้านบวกเสมอ
สัจธรรมของการทำความดีงามก็คือ
เมื่อทำดีก็จะบังเกิดสิ่งดีๆดังนี้ คือ

ความมีปีติสุขที่เกิดขึ้นก่อนกระทำ
ความมีปีติยินดีที่เกิดขึ้นในขณะกระทำ
ความอิ่มเอิบเบิกบานใจที่เกิดขึ้นเมื่อได้ทำแล้ว

การสั่นสะเทือนด้านบวกนี้
หากท่านหมั่นเพียรทำความดีเรื่อยไปในชีวิต
มันจะสามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ให้สูงขึ้นเรื่อยๆจนเป็นบวกสูงสุดได้ในที่สุด

ความสามารถในการสั่นสะเทือนทางจิต
ที่เป็นด้านบวกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จากการสร้างบุญกุศลนี่แหละ
คือ การสร้างบารมีแบบสั่งสมล่ะนะ
ซึ่งจิตวิญญาณของท่านต้องการพลังอำนาจ
จากการสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุดนี่แหละ
เป็น "เสบียง" หรือพลังงาน
ที่จะใช้ดีดตนเองออกไปจากระบบโลกและเอกภพ
หนีแรงดึงดูดของสรรพสิ่ง
กลับไปกราบพระบาทพระบิดาให้ได้ในชาตินี้
ในสภาวะแห่งการ "หลุดพ้น" คือ นิพพาน

แต่ถ้าท่านทำบุญเบื้องล่าง
เพื่อคิดหวังจะไปสร้างเบื้องบน
ตายไปแล้วจิตวิญญาณของท่าน
ก็จะแค่ "หลุดลอย" ไปค้างอยู่ตรงสวรรค์มายาเท่านั้น

แต่ถ้าท่านสร้างกุศลผลบุญทีไร
แล้วเอ่ยปากฝากจิตคิดร้องขอสิ่งดีๆตอบแทน
ทำความดีงามทีไรก็คิดหวังจะได้สิ่งตอบแทนเสมอ
ผลกรรมหรือผลลัพธ์ของการทำบุญ
มันจะเกิดเป็นรูปธรรมขึ้น
ในรูปของบุรพกรรมแม่เหล็ก
แล้วสะสมอยู่ในดวงจิตวิญญาณของท่านเอง
ตรงส่วนที่เรียกว่า "เมอร์คขะบาห์"

ถ้าสะสมมวลของผลกรรมด้านบวกเอาไว้มาก
เพื่อรอไว้ตอบสนองความต้องการของท่าน
ในภพชาติหน้าแล้ว
มันจะยังผลให้จิตวิญญาณของท่าน
มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าน้ำหนักจริง
ที่ท่านเข้ามาเกิดในภพชาติแรก
ขณะที่บารมี คือ
พลังงานที่จะใช้ดีดตนเองออกไปจากระบบ
ก็ถดถอยน้อยลงหรือมีไม่มากพอ

เพราะเป็นเช่นนี้แหละ
บวชนานจึงนิพพานไม่ได้
เกิดมานานจึงนิพพานกันไม่ได้

สาเหตุที่มีมวลของบุรพกรรมแม่เหล็กเพิ่มขึ้น
แล้วทำให้จิตวิญญาณของท่านเสมือนไร้พลัง
ก็เพราะ 2 ประการ คือ

1.น้ำหนักเกินมาก
จึงถูกจักรวาลดึงดูดเอาไว้
จนหลุดพ้นแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งออกไปไม่สำเร็จ

2.แรงสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณต่ำลง
เพราะเมอร์คขะบาห์
ไม่สามารถสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงได้
เนื่องจากที่ว่างภายในส่วนของเมอร์คขะบาห์
ถูกแทนที่ด้วยมวลหยาบๆอันเกิดจาก
การทำดีแล้วหวังสิ่งตอบแทน
การร้องขอสิ่งดีๆในทุกครั้งที่ทำดี เป็นต้น

เมื่อมวลหยาบๆที่สร้างใหม่
เพิ่มจำนวนมากขึ้น
ที่ว่างในส่วนของเมอร์คขะบาห์
ซึ่งเป็นชั้นนอกสุดของดวงจิตวิญญาณของท่าน
จะมีพื้นที่ว่างให้สั่นสะเทือนน้อยลง
เมื่อสั่นสะเทือนได้น้อยลง
ความถี่ของการสั่นสะเทือนด้านบวกก็ต่ำลงไปด้วย
นี่คือที่มาของพลังทางจิตวิญญาณทำไมต่ำลง

นอกจากนั้นมวลหยาบๆนี่แหละ
ที่ท่านจักต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่ในชาติหน้า
เพื่อรับผิดชอบมันด้วยการเสวยตามที่ร้องขอไว้
ใครทำบุญมาก แล้วร้องขอเอาไว้มาก
คงต้องการภพชาติมากกว่าคนอื่นเขาหน่อยละนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-12-2015

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หยิบปัญญา ค้นหาสัจธรรม





ท่านศาสนิกชนคนประพฤติธรรมที่รักทั้งหลาย
อย่าเพิ่งเชื่อคำกล่าวของใครก็ตามที่ว่า
"การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง
ท่านจึงสมควรจัดการชีวิตปัจจุบัน
ที่ครอบคลุมทุกมิติ
โดยไม่เน้นหนักในชาติใดชาติหนึ่ง
ชาตินี้ก็ต้องกินต้องใช้
แต่ชาติหน้าก็ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด
กิจกรรมบางอย่างอาจส่งผลดีสูงสุดในชาตินี้
แต่ชาติหน้าอาจทำให้ท่านไม่เหลืออะไรเลย
แม้แต่อัตภาพความเป็นมนุษย์
ทุกๆวันจึงควรถามตนเองว่า
วันนี้ได้เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
ในชาติหน้าบ้างหรือยัง"
เพราะเราจะขอเชิญชวนท่าน
ช่วยกันหยิบปัญญา
มาคุ้ยเขี่ยค้นหาสัจธรรมที่เป็นสาระร่วมกัน
จากคำกล่าวกองโตข้างต้นนั้น
1.การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง
เฉพาะดวงจิตธรรมญาณที่มาเกิดเป็นมนุษย์
แล้วเป็นมนุษย์ไม่เป็นเท่านั้น
มิได้มีจริงสำหรับทุกคนหรอก
ถ้าหากท่านเป็นคนพ้นกรรม
ดำเนินชีวิตได้โดยว่างไปจากบุรพกรรม
ดำรงชีวิตอยู่โดยว่างไปจากพันธะกรรม
เพียงเท่านี้ท่านก็ไม่มีหน้าที่
ต้องเวียนตายเวียนเกิดแล้ว
2.การจัดการชีวิตประจำวันของท่าน
ไม่จำเป็นจะต้องกำหนดเป้าประสงค์ของการกระทำ
ให้ครอบคลุมในทุกมุมทุกด้าน
เหมือนกับเรื่องทางโลกทางสังคมหรอก
ในทางจิตวิญญาณนั้นขอแค่เพียง 4 ข้อ
คือ รักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร
และใช้จิตสำนึกในการดำเนินชีวิต
ซึ่งท่านจะสามารถปฏิบัติได้
ก็ต้องใช้ "มหาสติ"
อันเป็นธรรมชาติสมาธิเป็นเครื่องมือ
ถ้าหากท่านปฏิบัติตนเช่นนี้ได้แล้ว
ท่านก็ไม่จำเป็นจะต้องวุ่นวายเลยว่า
จะเน้นหนักในชาติไหน
ที่ทำไปมันครอบคลุมทุกมิติหรือยัง
3.เพราะการปฏิบัติธรรมของท่าน
ในแนวทางที่เราแนะเน้นนี้
เป็นวิถีแห่งธรรมชาติแท้จริง
โดยเน้นที่การกระทำในปัจจุบันเป็นสำคัญ
มิได้มุ่งเน้นที่ "ผลลัพธ์" ของการกระทำ
เพราะ "ผลลัพธ์" ของการกระทำ
มันถูกกำหนดด้วย "วิธีการที่กระทำ"
ถ้าวิธีทำถูกต้องเหมาะสมดีงามแล้ว
ผลลัพธ์หรือผลกรรมนั้นย่อมดีเสมอ
เมื่อท่านหมั่นกระทำมุ่งกระทำแต่สิ่งดีๆ
ท่านย่อมได้รับผลแห่งกรรมดีที่ทำไปแน่นอน
ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน
ซึ่งมันจะผันแปรไปเป็นอื่นมิได้เลย
4.การใช้ชีวิตประจำวัน
โดยการเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
ที่หมายถึงการสั่งสมบุญกุศลเอาไว้
เพื่อยังประโยชน์ในชาติหน้า
ด้วยการหมั่นทำบุญเยอะๆนั้น
มันเป็นการใส่รหัสเอาไว้ในจิตตนเองว่า
ท่านมิได้ปรารถนาการหลุดพ้นเลย
ท่านยังปรารถนาจะมีชาติหน้าต่อไปอีกต่างหาก
ถ้าหากท่านปรารถนาจะนิพพานแท้จริง
ท่านจะใส่รหัสดังว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด
อีกทั้งท่านควรเรียนรู้ไว้ด้วยว่า
ท่านจะยุติการมีสังสารวัฏ
หยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไรด้วย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-12-2015

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ยิ่งลับ ยิ่งคม




นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เนื่องจากมีความคิดคำนึงของบางท่าน
ที่แสดงออกมาถึงเราซึ่งน่าสนใจมาก
เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่

เราจึงนำมาโพสท์ไว้ในห้องเรียนใหญ่นี้
ทั้งความคิดเห็นของผู้ส่งมา
ซึ่งเราขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่กล่าวนาม
ของเจ้าของความคิดคำนึงนี้
และส่วนที่เป็นคำกล่าวของเรา
เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้

ขอขอบคุณเจ้าของความคิดคำนึงท่านนี้
มา ณ ที่นี้
****************************************

กราบพระบิดาและท่านอาจารย์ค่ะ

หนูเคยได้รู้ว่าหลายเรื่องที่สอนๆกันอยู่แล้ว
และยังเอามาปฏิบัติตามจนเป็นวัฒนธรรมไทยๆ
โดยกล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
จากพระไตรปีดกนั้นไม่ถูกต้อง...
อาจเป็นการบิดเบือน
เพื่อให้ได้ดังใจ(ตามกิเลสของคน)ผู้ตีความ/ผู้แปล
แปลพระไตรปิดกผิดโดยไม่ตั้งใจ
เพราะปัญหาทางภาษา...
เช่นเรื่องทานเนื้อสัตว์ได้/เรื่องพระต้องโกนคิ้ว...

เมื่อท่านอาจารย์เตือนเรื่องความเชื่อ
ที่ถูกสอนๆกันมาก็มีผิดบิดเบือนไป...
ทำให้ต้องมาคิดว่าจะต้องเทขยะความเชื่อ
ที่มิได้มีการพิจารณาก่อนเชื่อออกมาทิ้งก่อน...
แล้วค่อยๆใช้มหาสติคิดก่อนจะปฏิบัติอะไรอะไรออกไป...

แต่ไม่เคยคิดว่าการเลือกคบคนนั้น
มีผลต่อการปฏิบัติขนาดนี้...

หนูกลับคิดว่าการเลือกคบคน
ในขณะที่จิตปัญญาของเรายังเด็กๆ...
มิมีสติมากพอจะสามารถเอาตัวรอดจากการไฝ่ตำ่ได้...

มิได้หมายความว่าจะไม่คบคนต่างๆเลย...
แต่อาจเป็นการอยู่ห่างๆไม่จำเป็นต้องคบสนิด
เมื่อจิตสำนึกและสติปัญญาไม่แข็งแรงพอ...

เมื่อใดที่เรามีสติปัญญาและจิตสำนึกแข็งแรงพอประมาณ
ค่อยเข้าคบทุกคนเพื่อสู้กับบทเรียนต่างที่เข้ามา
และได้เรียนรู้บทเรียนนั้นๆ
โดยไม่ก้าวล่วงหรือไม่ก่อบาปต่อกัน...

ขอกราบขออภัยที่แสดงความเห็นเหล่านี้...
เพราะหนูเองยังคิดว่าตนยังมีจิตสำนึกและสติปัญญา
ไม่แข็งแรงพอจะคบคนทุกรูปแบบ...
บางแบบนั้นกิเลสร้ายแรงเหลือขอจริงๆค่ะ...
คบแล้วเหนื่อยมากค่ะ

กราบ

ANSWER:

ถ้าท่านมีมีดทำครัวอยู่เล่มหนึ่ง
ความต้องการสูงสุดของท่าน
จากมีดเล่มนี้ คือ ความคม

ถ้าหากท่านต้องใช้มีดเล่มนี้ทำครัว
ประกอบอาหารในทุกมื้อต่อๆไป
แต่ท่านพบว่ามีดในมือท่านมันทื่ออยู่

1.ท่านจะรีบลับมันเดี๋ยวนี้
เพื่อทำให้มีดคมพร้อมใช้งาน
ในการทำครัวเลย

2.หรือ เห็นว่ามีดเล่มนี้
ยังไม่พร้อมที่จะลับ
สู้ค่อยๆเลือกผักเลือกหญ้า
ที่มันไม่แข็งมาก ไม่เหนียวมาก
หรือไม่หนามาก
ชนิดที่ไม่ต้องใช้มีดคมๆหั่น
มาทำกับข้าวแทนไปก่อน

3.การไม่ยอมลับมีดให้คม
ทั้งๆที่มีหินให้ลับ

หินก็คือคนไม่ดี
หินที่หยาบมากก็คือคนที่ชั่วมาก
มีดทื่อๆก็คือจิตปัญญาของท่าน

ถ้าเอามีดลับกับหินหยาบมากๆ
มีดของท่านก็จะคมเร็ว
ใช้แรงลับไม่มาก ประหยัดเวลาด้วย

ถ้าลับมีดกับหินหยาบน้อย
ท่านต้องใช้เวลาลับนานมาก
ต้องเปลืองแรงเยอะ
เผลอๆมันจะคมไม่ทันใช้ทำครัว
ในมื้ออาหารถัดไป

ซึ่งหมายถึงจิตปัญญาของท่าน
มันจะฉลาดคมไม่ทันใช้
ในการเผชิญบททดสอบสำคัญ
ที่มันกำลังจะมาเยือนท่าน
ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้านั่นเอง

4.ท่านไม่สมควรกลัวหินลับมีด
มีดทำครัวจักต้องคมพร้อมใช้
ให้ทันเวลาเสมอ

มีดจะคมไว
ต้องลับด้วยหินหยาบๆฉันใด
ท่านจะแกร่งและฉลาดได้
ก็ย่อมต้องเรียนรู้จากการคบคนชั่ว
เช่นเดียวกัน

คบคนยิ่งชั่วมาก
จะยิ่งช่วยให้ท่านฉลาดมากขึ้น
และมีมหาสติแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-12-2015

ขอมหาสติ จงมีแก่ท่าน




เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ท่านจักต้องระวังความคิด
คำพูด และการกระทำของท่าน
ในชีวิตประจำวันเอาไว้ให้จงหนัก
เพราะการกระทำทั้งสามพฤติกรรมที่ว่านี้
มันสามารถส่งผลสะท้อนกลับมาหาท่าน
ในกาลข้างหน้าหรือว่าในอนาคตชาติ
ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ก่อผู้กระทำ
ที่จะต้องรับผลของการกระทำของตนเองนั้น
โดยที่ท่านจะต้องรู้ว่า
ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำของท่าน
มันล้วนสำคัญเท่ากันหมด
ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่ากัน
เหมือนอย่างที่บางคนสอนสืบต่อกันมาแบบผิดๆ
ที่มันสำคัญเท่ากันก็เพราะเหตุว่า
ถ้าท่านใช้มันทั้งสามอย่างไม่ถูกต้อง
มันล้วนจะสะท้อนกลับมาสู่ตัวท่านในกาลข้างหน้า
จนยังผลให้ท่านหลุดพ้นออกไปจากสังสารวัฏ
หรือหลุดไปจากการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้
ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตของท่าน
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบต่อผู้อื่น
อาจเพราะถูกยั่วยุด้วยพฤติกรรมไม่ดีใดๆก็ตาม
หากท่านสามารถเก็บงำอาการทางจิตของท่าน
ที่มีต่อคนผู้นั้นไปในทางต่ำเอาไว้ข้างในได้
คงมีเพียงการสั่นสะเทือนด้านลบอยู่ข้างใน
โดยตนเองรู้อยู่คนเดียวคนอื่นไม่รู้เช่นนี้แล้ว
ผลลัพธ์หรือผลกรรมที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้
เราเรียกว่า "บุรพกรรม" หรือ วิบากกรรมนั่นเอง
บุรพกรรมหรือวิบากกรรม
จึงหมายถึงผลกรรมที่เกิดจาก
การกระทำผิดบาปต่อผู้อื่นที่เขาไม่รู้
จึงนับว่าเป็นการกระทำผิดบาป
ต่อแก่นแท้ของตนเองด้านเดียว
ผลกรรมลักษณะนี้จะส่งผลให้ท่าน
ต้องย้อนคืนกลับมาสู่การเกิดใหม่ในชาติหน้า
เพื่อให้มาเจอสถานการณ์แบบเดิมนี้ซ้ำอีก
เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านได้เรียนรู้ใหม่
เรียนรู้ที่จะสั่นสะเทือนจิตใจของท่าน
ให้เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกให้จงได้
แม้ว่าเขาจะทำตัวไม่น่ารักไม่น่าให้อภัยก็ตาม
ในขณะเดียวกัน
ถ้าท่านถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตของท่าน
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบต่อผู้อื่น
อาจเพราะถูกยั่วยุด้วยพฤติกรรมไม่ดีใดๆก็ตาม
โดยที่ท่านไม่สามารถเก็บงำอาการทางจิต
ที่มีต่อคนผู้นั้นไปในทางต่ำเอาไว้ข้างในได้
ท่านจึงแสดงออกหรือกระทำที่ไม่ดีตอบสนอง
ด้วยคำพูดจาไม่ไพเราะไม่เหมาะสม
หรือเป็นการกระทำใดๆที่ไม่ดีไม่ถูกต้องต่อผู้นั้น
จนยังผลให้เขาคนนั้น
เสียสมดุลตามท่านไปด้วย
ผลลัพธ์หรือผลกรรมที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้
เราเรียกว่า "พันธะกรรม" หรือ ชะตากรรมนั่นเอง
ผลกรรมลักษณะนี้จะส่งผลให้ท่าน
ต้องย้อนคืนกลับมาสู่การเกิดใหม่ในชาติหน้า
เพื่อให้มาเจอสถานการณ์แบบเดิมนี้ซ้ำอีก
เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านได้เรียนรู้ใหม่
เรียนรู้ที่จะตัดสินใจให้ถูกต้องว่า
จะพูดหรือทำตอบสนองต่อตัวเขาอย่างไร
ที่จะไม่เป็นเงื่อนไขด้านลบเหมือนในอดีตอีก
ไม่ว่าจะเป็นบุรพกรรมหรือพันธะกรรม
หากท่านสอบตกบททดสอบเหล่านี้
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่แล้ว
การเวียนว่ายตายเกิดของท่าน
ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไปไม่รู้สิ้นสุด
ดังนั้น....
ขอท่านจงระมัดระวังอารมณ์รู้สึกนึกคิด
ระวังคำพูดและการกระทำของท่าน
ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆเอาไว้ให้มาก
ไม่ว่าเพื่อนมนุษย์คนนั้น
จะเกี่ยวข้องกับท่านมีสัมพันธ์แบบใดก็ตาม
จงสำรวมระวัง
จงอย่าประมาท
จงอย่าพลาดขาดสติง่ายๆ
การไม่ก่อกรรมใหม่และการแก้ไขกรรมเก่า
จึงจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-12-2015

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

จิตสุดท้ายก่อนตาย




นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย

มีผู้กล่าวสอนต่อๆกันมาว่า
จิตสุดท้ายก่อนตายนั้นมันควบคุมยากที่สุด
ถ้าจิตตกก็จะไปปฏิสนธิ
ในภพภูมิที่ต่ำๆหรืออบายภูมิ
แล้วยังกล่าวด้วยว่าเป็นไปได้มากเหลือเกิน
ที่คนจำนวนมากที่ท่านรู้จัก
จะไม่มีใครเลยที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ไม่เว้นแม้กระทั่งคนกล่าวบทความนี้เอง
เขาว่าของเขาอย่างนี้...

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำกล่าวที่ว่าจิตสุดท้ายก่อนตาย
เป็นกลไกสำคัญที่จะกำหนดว่า
เมื่อตายแล้วดวงจิตธรรมญาณรูปธรรมนั้น
จะไปปฏิสนธิอีกในภพภูมิใด
จะสามารถ "หลุดพ้น" หรือ นิพพานได้หรือไม่
นั้นเป็นความจริงที่จริงแท้

แต่เรามีประเด็นที่จะติติงคำสอนข้างต้นนั้น
ตรงประโยคสำคัญที่ว่า....
"จิตสุดท้ายก่อนตายนั้นมันควบคุมยากที่สุด"
เราจะขออนุญาตกล่าวแสดงความเห็นว่า

1.ถ้าฝึกควบคุมจิตด้วยการมุ่งกำหนดจิต
ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางเท็คนิกกันมาเป็นนิจแล้ว
หากเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
ได้ผลและเหมาะสมจริงแล้ว
ใยจิตสุดท้ายก่อนตาย
ท่านยังยอมรับว่ามันควบคุมยากอยู่อีกล่ะ
ทักษะความชำนาญมิได้เกิดขึ้นเลยหรือ

2.เรามีความเห็นว่า
วิธีการฝึกควบคุมจิตด้วยการเฝ้าดูอาการว่า
สงบอยู่ สมดุลอยู่ หรือว่า
เสียสมดุลแล้ว แบบไหน ตอนไหน
ก็พยายามข่มความไม่สมดุลนั้นไว้
จนดูเหมือนว่าจิตนั้นสงบงันได้จริงๆ
ขณะที่ว่างไปจากสิ่งเร้าภายนอก
เพราะปิดหูด้วยการอยู่คนเดียว
ปิดตามองไม่เห็นสิ่งเร้า

สถานการณ์ฝึกหัดในชีวิตประจำวัน
ขณะปลีกวิเวกเพื่อปฏิบัติจิตอยู่นั้น
มันต่างกันกับสถานการณ์ที่คนกำลังจะตาย
เพราะสภาวะจิตที่เกิดอาการสั่นสะเทือนอยู่นั้น
ต่างกรรมต่างสถานการณ์มันต่างกัน

กิเลสตัณหาในชีวิตประจำวันนั้น
จะควบคุมจิตตนเองได้ง่ายไม่ยากเย็นนัก
เพราะมันเกิดจากความงมงาย
ที่จิตปรุงแต่งมันขึ้นมาเอง
มันมิใช่ความจริง
เพียงแค่หาสติเจอใช้ปัญญาเป็น
กิเลสตัณหาตัวไหนที่มันผุดขึ้นที่ในจิต
ท่านก็สามารถจะเอาอยู่จัดการได้แล้ว

แต่อาการของจิตเมื่อก่อนตายน่ะ
มันมิได้เกิดจากการปรุงแต่ง
เพราะมิใช่ตัวกิเลสตัณหาที่ตนเองคุ้นเคย
และเชี่ยวชาญในการบังคับจิต

ตัวอย่างเช่น...
ความกลัวตาย
เพราะไม่อยากตายเลยจริงๆ
ความเจ็บปวด
เพราะเจ็บปวดจากโรคภัยจริงๆ
ความเศร้าหมอง
เพราะต้องจากคนที่รักไปตลอดกาลจริงๆ
เหล่านี้เป็นต้น

3.อาการทางจิตเมื่อก่อนตายนั้น
นักฝึกควบคุมจิตส่วนใหญ่ย่อมรู้ดีว่า
ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการให้มันสงบได้
ภายในเวลาก่อนสิ้นใจไม่กี่นาที

4.เราขอย้ำต่อท่านทั้งหลายว่า
ธรรมะหมายถึงธรรมชาติ

การปฏิบัติธรรมจึงหมายถึง
การปฏิบัติตนไปตามธรรมชาติ
การปฏิบัติตนไปตามธรรมชาติ
จึงหมายถึงการไม่ฝืนความจริง

ดังนั้น การพยายามจะควบคุมจิต
ในวินาทีสุดท้ายก่อนตาย
เพื่อดวงจิตธรรมญาณจะได้ไปสู่สุคติ
ตามคำสอนผู้อื่นที่เรานำมาแสดงความเห็นอยู่นี้
จึงน่าจะไม่เหมาะสมเพราะไม่ได้ผล
อีกทั้งยังฝืนธรรมชาติของจิตเองอีกด้วย

ที่ว่าฝืนธรรมชาติก็เพราะเหตุว่า
วิธีควบคุมจิตนั้นเป็นการ "ใช้อำนาจเหนือ"
ด้วยการใช้จิตข่มจิตตนเองไว้
ซึ่งเป็นการก้าวล่วงตนเองโดยแท้

5.เรามีคำแนะนำต่อท่านทั้งหลายว่า
จิตสุดท้ายก่อนตายนั้น
ท่านไม่ต้องยุ่งยาก
กับการคิดจะควบคุมเขา
ให้สงบสมดุลเพื่อไปสู่สุคติภพก็ได้
เพียงแค่ชั่วชีวิตของท่าน
ในช่วงวันเวลาที่เหลืออยู่นี้
ให้ฝึกปฏิบัติตนไว้ดังต่อไปนี้

ฝึกรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้
ฝึกให้อภัยคนที่ไม่น่าให้อภัยให้เป็น
ฝึกใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต
ฝึกการมีมรณานุสติ
ฝึกการละวางมายาและอัตตา
เพื่อทำให้จิตว่าง สว่าง สงบ
ฝึกการยอมรับและการปรับตัว
ฯลฯ

การสอนจิตในชีวิตประจำวัน
ให้รู้จักคำว่าสุขสงบ
จนเกิดเป็นคุณสมบัติของจิตได้
โดยไม่ใช้วิธีบังคับข่มใจ
ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
มันง่ายกว่ากันเยอะเลย

ท่านยังจะหยิบฉวยมาใช้ในวินาทีสุดท้าย
เพื่อการตายอย่างสงบสุขได้อีกด้วย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
1-12-2015

จงอย่าจาบจ้วงพระศาสดา




จงอย่าจาบจ้วงพระศาสดา
ด้วยการบิดเบือนพระคำของพระองค์ให้ผู้คนหลงผิด
เพราะคิดแต่จะหาผลประโยชน์ทางศาสนพาณิชย์
เพราะคิดแต่จะล่าสาวก
จนทำให้ศาสนาตกต่ำ
จนนำความเสื่อมทางจิตสำนึกมาสู่หมู่ชนในสังคม
จนยากที่จะแก้ไขเยียวยาแล้วในทุกวันนี้

สไลด์ที่เรานำมาเป็นบทเรียน
สำหรับท่านทั้งหลายในวันนี้
เป็นที่ปรากฏเผยแพร่ในหมู่ศาสนิกทั้งหลาย
ติดต่อกันมานานหลายสัปดาห์แล้ว
มีใจความที่เป็น "ขยะ" ดังต่อไปนี้...

***
ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้...

พระพุทธองค์ทรงให้เลือก
"เดินไปคนเดียว"
เพราะเลือกคบคนอย่างไร
เราก็จะเป็นอย่างนั้น

ถ้าคบคนพาล คนโกง
หลงโลก หลงกามคุณ
ถ้าสติเราไม่พอ
อีกไม่นานเราก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้น
โดยไม่รู้ตัว

คนฉลาดใช้ชีวิต
จึงเลือกคบกัลยาณมิตร
ถ้าไม่มีคนมีศีลมีธรรมรอบตัวเลย
จงเลือก "เดินคนเดียว"
และมี "สติ" เป็นเพื่อน
*******
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ที่เขาอ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ดังกล่าวนั้น
ไม่เป็นความจริงพันเปอร์เซ็นต์

ที่เป็นความเท็จเป็นความไม่จริง
เพราะว่าพระพุทธองค์นั้น
ทรงมีพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ที่เหนือกว่ามนุษย์สามัญคนใดๆจะเข้าถึงได้
จนสามารถตรัสรู้ข้อธรรมะ
ระดับอนุตรธรรมบทสำคัญ
เรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร" ได้เช่นนี้แล้ว
จะทรงมีพระธรรมคำสอนผิดๆในเรื่องง่ายๆ
ที่เป็นธรรมะแค่ระดับโลกียะข้างต้นนั้นได้อย่างไร
ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

1.ที่บิดเบือนว่า....
"ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้...
พระพุทธองค์ทรงให้เลือก
"เดินไปคนเดียว"

นักเรียนจงอย่าเชื่อคำกล่าวนี้
เพราะมันมิใช่สัจธรรมที่ถูกต้องถ่องแท้เลย

ถ้าท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์
ท่านต้องเป็นสัตว์สังคม
หน้าที่หลักของพวกท่านคือ
ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนอื่นๆ
ที่เขาอาจมีนิสัยสันดานแตกต่างกันกับท่านให้จงได้

ท่านจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ
ที่จะผลักไสคนที่ต่ำกว่าท่าน
ให้ออกไปจากสังคมของท่าน
หรือแยกตัวท่านเอง
ออกมาจากผู้คนที่ต่ำกว่าท่าน

เพราะถ้าทำตามหรือเชื่อตามคำกล่าวนั้น
มันคือการสอนมนุษย์ให้แบ่งแยกชนชั้นกัน
มันคือการสอนให้ท่านหลงตัวเอง
สอนให้ท่านยกตัวเองเหนือผู้อื่นโดยแท้

สมมติว่าในสังคมของท่านนี้
ถ้ามีแต่คนที่มีศีลมีดีเสมอกันกับท่าน
แล้วท่านจะฝึกการยกระดับจิตปัญญา
เพื่อชำระจิตให้ใสสร้างใจให้สวย
ร่ำรวยความฉลาดทางอารมณ์และปัญญา
เพื่อแสดงความรักความเมตตากับใครล่ะ

ถ้าท่านจะเลือกคบแต่คนที่มีดีมีศีลเหนือท่าน
ท่านก็จะเป็นได้แค่เพียงผู้รับเอาแต่สิ่งดีๆจากผู้อื่น
ท่านก็จะเป็นได้แค่เพียงผู้ยื่นบทเรียนและบททดสอบ
ให้แก่คนที่เขามีดีเหนือกว่าท่านอยู่แล้วนั้น
ได้ฝึกการพัฒนาจิตปัญญาของเขา
ที่สูงอยู่แล้วให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกเท่านั้นเอง

นี่คงจะเป็นสิ่งดีๆที่จะเหลือไว้ให้ท่าน
จากการเลือกคบแต่คนที่มีศีลเหนือกว่าแค่นั้นเอง

2.ตรงที่แอบอ้างคำสอนพระศาสดาอีกว่า
..........
"เพราะเลือกคบคนอย่างไร
เราก็จะเป็นอย่างนั้น

ถ้าคบคนพาล คนโกง
หลงโลก หลงกามคุณ
ถ้าสติเราไม่พอ
อีกไม่นานเราก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้น
โดยไม่รู้ตัว"

นักเรียนจงอย่าเชื่อคำกล่าวนี้
เพราะมันมิใช่สัจธรรมที่ถูกต้องถ่องแท้เช่นกัน

การที่ท่านคบคนพาลคนโกงหรือคนไม่ดี
มันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านที่รู้ตัวว่า
มีสติไม่เพียงพอมากกว่าจะเป็นโทษ
ที่เรากล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า

(1).ท่านรู้ตัวแล้วว่าท่านมีสติไม่พอ
ท่านจึงควรจะต้องเร่งฝึกฝนการมีสติให้มากขึ้น

(2).การคบคนไม่ดีดังกล่าวนั้น
มันจะช่วยให้ท่านมีสติ
สำรวม ระวังตนอยู่ตลอดเวลา
เพื่อมิให้ท่านซึมซับรับเอาสิ่งไม่ดีนั้นไปตามพวกเขา
ทั้งนี้เนื่องจากท่านน่ะรู้ตัวอยู่ตั้งแต่ต้นแล้วว่า
พวกเขาเป็นคนไม่ดีไงล่ะ

นี่จึงเท่ากับว่าการคบคนไม่ดีนั้น
มันจะช่วยให้ท่านมีสติมากขึ้นโดยแท้
เพราะท่านได้ฝึกจิตฝึกสติอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น
การคบคนชั่วแล้วชั่วตาม
การคบคนดีแล้วดีตาม

นั่นเท่ากับว่าตัวท่านเองต่างหาก
ที่จะต้องระวังตนเองไว้ให้มากเป็นพิเศษ
มิใช่ไประแวงระวังคนรอบข้างที่เขาไม่ดี

การที่เขาเป็นคนแบบไหนที่ไม่ดี
แล้วท่านไปซึมซับรับเอาสิ่งไม่ดีของเขามานั้น
คนที่น่ากลัวที่สุด
น่าจะเป็นตัวท่านนี่เองแหละ
มิใช่คนอื่นหรอก

3.นอกจากนั้นคำสอนที่ไม่ถูกต้อง....
ที่ว่า.........

"คนฉลาดใช้ชีวิต
จึงเลือกคบกัลยาณมิตร
ถ้าไม่มีคนมีศีลมีธรรมรอบตัวเลย
จงเลือก "เดินคนเดียว"
และมี "สติ" เป็นเพื่อน"
........

เป็นคำสอนที่ท่านจะปฏิบัติตามไม่ได้เลย
เพราะถ้าท่านเป็นมนุษย์เป็น
ท่านจักต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับใครก็ได้
ทำงานร่วมกันกับใครก็ได้
อยู่ร่วมสังคมเดียวกันกับใครก็ได้
มิใช่เลือกคบแต่คนดีๆ
แล้วปฏิเสธคนที่ไม่ดีไม่เลือกคบหา

เราใคร่บอกให้ท่านรู้ว่า
ทั้งตัวท่านเองและคนรอบข้าง
ไม่มีใครดีเลิศไปเสียทุกสิ่งอย่างหรอก
เพราะแต่ละคนจะมีทั้งดี เด่น และด้อยทั้งนั้น
หน้าที่ของแต่ละคนก็คือ
ทำตนให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกๆคนให้จงได้

(1).เรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่าง
ของกันและกันทั้งด้านดีและด้านที่ไม่ดี

(2).เรียนรู้ที่จะรักกันให้ได้
แม้เขาคนนั้นจะทำตัวไม่น่ารัก

(3).เรียนรู้ที่จะให้อภัยเขาให้ได้
แม้เขาคนนั้นทำตัวไม่น่าจะให้อภัย

(4).เรียนรู้ที่จะเป็นคนดีให้มากขึ้น
จากการได้คบกับคนที่เขาไม่ดี
โดยอาศัยคนที่ไม่ดีนั่นแหละเป็นครู
สอนให้ท่านเองรู้ว่าต้องไม่เอาเยี่ยงอย่าง

ดังนั้น
การเลือกคบแต่กัลยาณมิตรถ้ามีให้เลือก
หรือถ้าไม่มีให้เลือกก็อ้างพระพุทธองค์ว่า
ทรงสอนให้ "เดินคนเดียว" นั้น
นอกจากจะเป็นคำสอนที่โง่ๆ
และเป็นการสอนให้คนไม่ฉลาดแล้ว
ยังเป็นการบังอาจป้ายสีต่อพระพุทธองค์อีกด้วย

นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจึงจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ต่อไปนี้จงศึกษาธรรมะด้วยปัญญา
แทนการใช้ศรัทธาและอารมณ์รู้สึกเถิด

จงอย่าเชื่อทันทีที่มีใครกล่าวอ้างว่า
พระศาสดาทรงตรัสสอนว่าอย่างนั้นอย่างนี้
จงอย่าเชื่อทันทีที่พบว่าผู้กล่าวนั้น
ทั้งวาจาและบุคลิกของเขาน่าศรัทธาเลื่อมใส
เพราะท่านอาจหลงทางไปนิพพานได้ทันที
เหมือนตัวอย่างคำสอนที่แอบอ้างพระศาสดา
ที่เราหยิบฉวยมาให้สติแก่ท่านนี่แหละ

หมายเหตุ:
คำกล่าวออกจะยืดยาวสักหน่อย
ค่อยๆอ่านก็แล้วกันนะ....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-12-2015

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หยิบปัญญา มานิพพาน





ท่านศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทั้งหลาย
การที่ท่านมักมีปัญหากับผู้อื่นอยู่เนืองๆนั้น
หากไม่เป็นเพราะว่าท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อน
ด้วยการกระทำบางสิ่ง
ให้เขาเสียสมดุลในจิตใจ
ไปในทางต่ำลงแล้ว
ก็ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายริเริ่มก่อน
จนยังผลให้ตัวท่าน
ค้ำจุนความสมดุลในจิตใจตนเองเอาไว้ไม่ได้
การเสียสมดุลในจิตใจของพวกท่านนั้น
มีหลายอาการอย่างที่คุ้นชินกันอยู่เช่น
หงุดหงิด ขุ่นข้อง หมองใจ
โกรธ เกลียด เคียดแค้น
อาฆาต พยาบาท
ซึมเซา เศร้าสร้อย หม่นมัว
เสียใจ เสียดาย
โหยหา อาลัย อาวรณ์
หลากหลายอาการเหล่านี้
เป็นผลจากการเสียสมดุลทางจิตใจทั้งสิ้น
สาเหตุแห่งทุกข์ใจเหล่านี้ล้วนมาจาก
ความไม่รู้ของพวกท่านเป็นหลัก
**หลักที่ 1.
เป็นเพราะท่านไม่รู้ว่า
ที่เขากระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่านนั้น
มันเป็นไปตามคุณสมบัติด้านลบของเขา
ซึ่งหมายถึงเป็นสันดานด้านไม่ดีของเขา
ที่เขาจะใช้แสดงออกหรือกระทำกับทุกๆคนเลย
ไม่ใช่กระทำกับท่านคนเดียวในโลกนี้หรอก
ดั่งเช่นฟักที่ต้มสุกในน้ำซุปเดือดๆนั่น
เพราะท่านชอบทานมันและอยากทานเร็วๆ
เวลาตักซดเข้าปากหากมันจะร้อนลิ้นกินยาก
ขนาดปากพองลิ้นไหม้
ท่านก็ยังไม่โทษน้ำซุปร้อนฟักร้อนชิ้นนั้น
แต่ท่านโทษตัวเองที่รีบสวาปาม
โดยไม่ทำให้มันร้อนน้อยลงเสียก่อนเสมอ
แล้วท่านก็จะจำไว้ว่าครั้งหน้าถ้าท่านจะซดอีก
ท่านจะต้องรอบคอบให้มันมากกว่านี้
อีกทั้งท่านเองก็รู้ว่า.....
ชิ้นฟักในน้ำซุปที่ต้มจนเดือดพล่านอยู่นั้น
ใครตักมันเข้าปากก็ลำบากปากลำบากลิ้นทั้งนั้น
เปรียบกับเพื่อนมนุษย์นิสัยไม่ดีคนนี้ก็เหมือนกัน
เพราะท่านคบหาสมาคมกันกับเขา
โดยไม่รอบคอบไม่ระวังตัวหรือขาดสติ
ก็ย่อมถูกเขาใช้คุณสมบัติด้านลบนิสัยที่ไม่ดี
แสดงออกหรือกระทำต่อตัวท่านเข้าให้นั่นแหละ
เมื่อไหร่ที่จิตของท่านบอกกับตนเองว่า
"ท่านเป็นผู้ถูกกระทำ"
จิตของท่านก็จะสั่นสะเทือนไปตามจริตของมันทันที
ถ้าเป็นคนมีนิสัยฉุนเฉียวโทสะจริตรุนแรงเคยตัวอยู่
ท่านก็จะแสดงออกทางอารมณ์รุนแรงตอบโต้ทันที
ถ้าเป็นคนมีนิสัยขี้ใจน้อยอยู่
ก็จะแสดงอาการน้อยใจตอบสนองทันที
ถ้าเป็นคนมีนิสัยชอบเก็บกด
ท่านก็จะแสดงอาการสลดหดหู่ใจ
หรือซึมเซา เศร้าหมองเข้าไปโน่นล่ะ
ในทางกลับกัน
ถ้าเป็นผู้ที่ผ่านการฝึก"มหาสติ"มาอย่างดี
ก็จะรู้จักแยกขี้หรือกากออกจากเนื้อที่มีสาระได้ไม่ยาก
ขี้หรือกากก็คืออารมณ์ไม่สมดุลก็จะถูกท่านกำจัดทิ้งไป
ท่านก็จะเลือกหยิบเอาแต่เนื้อที่มีสาระขึ้นมาแทน
หากครอบครัวจิตจักรวาลและศาสนิกทั้งหลาย
ปฏิบัติตามมรรควิถีแห่งเราเชิญชี้ดังว่านี้
เรื่อง "ยึดติดอัตตา" หรือ ไม่ยึดติดอัตตานั้น
มันจะกลายเป็นเรื่องนอกคัมภีร์ไปทันที
นี่ที่เรากล่าวมา
ยังเป็นเพียงแค่หลักที่ 1.
อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ใจของพวกท่านเท่านั้นนะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30-11-2015

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"สติ" มิได้ช่วยให้ท่านดับทุกข์




เราจะกล่าวความจริงให้พวกท่านรู้ไว้อีกว่า.....
"สติ" มิได้ช่วยให้ท่านดับทุกข์
อันเกิดจากจิตท่านกระทบกับ
สิ่งเร้าภายนอกภายในดอกท่าน
แต่สติช่วยให้ท่านเกิดดวงปัญญา
ต่างหาก....
เมื่อเกิดปัญญาแล้ว
ท่านยังต้องฝึกคิดให้เป็นอีกด้วย
การมีสติปัญญาแต่โง่เพราะคิดไม่เป็น
ท่านก็จัดการสิ่งที่เรียกว่าทุกข์
ไม่ได้หรอก...
พอเข้าใจว่ามีสติแล้วดับทุกข์ได้
พวกท่านเลยฝึกสติกันยกใหญ่
สติที่ได้จึงเกิดจากการกดทับ
ตัวทุกข์นั้นไว้ เขาเรียกว่า
"ข่มใจ" ไงล่ะ...พอหลุดจากสติ
ที่ข่มไว้ ทุกข์นั้นมันก็โผล่ขึ้นมาอีก
ถามตัวเองสิ...ใช่มั้ย?
เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
29-11-2015

การรับรู้ไม่รับเอา



การรับรู้ไม่รับเอา
ใช้ได้กับบางเงื่อนไขเท่านั้น
เช่น สุนัขกัดกันเสียงดังหนวกหู
ท่านตกใจตื่นกลางดึก
อย่างนี้ต้องวางแน่นอน
เอามา "ถือสา"
หรือเก็บมาทุกข์ก็โง่แล้ว
เพราะมันไร้สาระสิ้นดี
เรื่องของหมา เราไม่เกี่ยว
หน้าที่เราคือหลับต่อไปดีกว่าโกรธหมา
ไปกัดกับหมา...ว่ามั้ย?
นักบวชนั่งหลับตาอยู่คนเดียว
พอจิตสั่นไหวเขาจึงทำแบบนี้
พวกท่านเป็นคนมีสังคม
ผัวมี เมียมี ลูกมี เพื่อนมี
เมื่อเกิดทุกข์เพราะเกิดปัญหา
ท่านจึงต้องแยกอารมณ์ไม่สมดุล
ซึ่งเป็นขยะออกจากสาระหรือตัวปัญหา
นั้นให้ได้ก่อน
ท่านจึงต้องใช้สติจากจิต
ทำงานร่วมกับปัญญาคือสมอง
จัดการสิ่งที่ทุกข์นั่นให้ลุล่วง
จะมัวนั่งข่มใจไว้
ปัญหาทางจิตอาจคลี่คลาย
แต่ปัญหาทางโลกจะยังอยู่
พระหยุดที่จิต...ดับปัญหาภายใน
จบแล้วก็จบ
แต่ชาวบ้านยังมีปัญหาทางโลก
ตัวการเกิดปัญหาทางจิตให้ขบคิด
ต่อไปอีก...
จึงสอนให้ใช้แต่สติแบบนักบวช
แต่ไม่สอนให้ฉลาดคิด
เพื่อหาทางออกจากปัญหานั้นๆ
ในชีวิตประจำวัน....
บางคนจึงกลายเป็นคนไม่ทุกข์ไม่ทำ
มีชีวิตที่อืดอาดเซื่องซึม
ยามว่างๆเผลอเมื่อไหร่เป็นวูบหลับทุกที
มีชีวิตแบบนี้...จะดีหรือ
เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
29-11-2015

ธรรมมะ มีไว้ใช่แค่ท่อง



บางคนท่องธรรมะเสียจนขึ้นใจ
ต้องมีสตินะ
ต้องไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรานะ
ต้องอยู่กับปัจจุบันนะ
ต้องวางทุกข์และสุขนะ
ต้องละกิเลสตัณหานะ
ฯลฯ
มันล้วนคำพูดหรูๆ ฟังแล้วดูดีจัง
ซึ่งใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้น
แต่ปัญหา คือ รู้มาก...บวชนาน...
แล้วยังนิพพานกันไม่ได้
นี่แน่ะ....เราจะบอกให้
1.เพราะรู้แค่ว่าต้องทำอะไรบ้าง
จึงจะสร้างทางถึงนิพพานได้
2.ได้แค่รู้ว่าต้องทำอะไรตามข้อ 1.นั่น
แต่ไม่คิดต่อว่า...ตนต้องทำอะไรๆที่รู้นั้น
ให้มันสำเร็จเป็นรูปธรรมได้อย่างไร
ผลลัพธ์จึงไม่เกิด
จิตปัญญาจึงมิได้ยกระดับ
จึงทำได้เพียงสะสมเสบียงความรู้ไว้มากมาย
แต่ก้าวหน้าทางจิตวิญญาณไม่ได้
(ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด)
จึงดีแต่พูด ได้แต่คุย
3.บางเรื่องที่รู้ก็รู้ผิด
เพราะคิดเองเออเองบ้าง
เพราะเชื่อตามที่เขาเชื่อกันมาบ้าง
พอรู้ผิดก็เลยติดขัด ก็เลยสะดุด
มีชีวิตที่สับสน
ไปต่อข้างหน้าไม่ได้
เช่น งงๆกับตนเองว่า
เกิดมาเป็นมนุษย์ทำไม...
บ้างก็คิดว่า
ตนเกิดมาเพื่อ....
ละวางกิเลสตัณหา
เกิดมาเพื่อนิพพาน
โดยเอาพันธะสัญญาข้อ๖
มาเพียรทำอยู่เรื่องเดียว
แถมเอาวิธีนักบวช คือ ถนัดทำอยู่คนเดียว
ถนัดนั่งหลับตาอยู่คนเดียว
อีกต่างหากด้วย
นี่แหละเหตุแท้ที่ปฏิบัติธรรมมานาน
คุยธรรมะเก่ง...แต่ทำไมนิพพานไม่ได้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-11-2015

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล ว่าด้วยเรื่อง "ใยจึงทุกข์ทุกวัน" 2




ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล
ว่าด้วยเรื่อง "ใยจึงทุกข์ทุกวัน"
******************************
(2)
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
ถ้าท่านรักที่จะฝันถึงอนาคต
ท่านก็จะต้องฝันให้เป็น
การฝันเป็น หมายถึง
ท่านต้องฝันในสิ่งที่เป็นไปได้
ถ้าท่านฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
มันก็จะกลายเป็นการ "เพ้อฝัน"
ประเภทสร้างสวรรค์วิมานในอากาศ
การฝันเป็น ยังหมายถึง
ท่านต้องฝันในสิ่งที่เป็นจริงสำหรับท่านได้ด้วย
นั่นคือจะต้องรู้ว่าท่านมีพลังอำนาจมากพอ
ที่จะทำในสิ่งที่ท่านฝันนั้นให้สำเร็จ
สมดั่งฝันได้หรือไม่ แค่ไหน อย่างไร
การนั่งนอนอยู่ในปัจจุบัน
แล้วคิดฝันไกลไปข้างหน้า
ฝันถึงสิ่งที่ท่านต้องการ
โดยมีเพียงแค่ฝันแต่ไม่มีการริเริ่มลงมือทำนั้น
ท่านก็จะมิอาจประสบความสำเร็จ
ในสิ่งที่หวังนั้นได้.....
การใฝ่ฝันว่าจะรวย
ด้วยการนั่งนอนรอคอยโชคชะตา
เผื่อว่าจะมีวาสนาบุญหล่นทับ
นี่ก็เป็นการฝากความใฝ่ฝันในอนาคตของท่าน
เอาไว้กับความว่างเปล่าในปัจจุบัน
เหตุที่มันว่างก็เพราะว่า
ท่านมิได้ทำอะไรในสิ่งที่ฝันนั้นเลย
นอกจาก "ฝัน"เท่านั้นเอง
การอยากจะรวย
ด้วยการมุ่งเสี่ยงโชคเสี่ยงลาภไปกับหวย
แล้วมานั่งเฝ้ารอลุ้นที่จะรวยในทุกๆวันที่หวยออก
เผื่อว่าจะมีโชคฟลุ้คกับเขาได้บ้าง
นี่ก็เป็นการฝากความใฝ่ฝันในอนาคตของท่าน
เอาไว้กับความไม่แน่นอน
การอยากจะมีอายุยืนหรือมีสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า
ก็มิได้อยู่ที่ความใฝ่ฝันของท่านในวันนี้
แต่มันอยู่ที่ว่าในวันนี้นั้น
ท่านใส่ใจดูแลตนเองดีอยู่หรือเปล่า
การหลุดพ้นคือนิพพานนั้น
มันก็มิได้ขึ้นอยู่กับว่า
ใครรู้ความหมายของนิพพานหรือไม่
ใครเชื่อเรื่องนิพพานหรือเปล่า
แต่มันอยู่ที่ว่าใครคนนั้น
มีปณิธานแห่งนิพพานแท้จริงหรือเปล่า
โดยใครคนนั้นกำลังปฏิบัติตน
อยู่บนเส้นทางสายวิมุตติ์นี้หรือเปล่า
ถ้าท่านจะไม่ "ทุกข์ทุกวัน"
ด้วยการไม่ยึดโยงอยู่กับอดีตแล้ว
ท่านยังต้องเรียนรู้ที่จะ "ฝันถึงอนาคต"
ให้เป็นด้วย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-11-2015