วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม





เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าท่านเกิดมาชาตินี้
มีผู้คนมากมายนับหน้าถือตา
เป็นผู้ที่บุคคลอื่นล้วนให้เกียรติ
เป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคม

ไม่ว่าท่านจะมีตำแหน่งที่มีเกียรติในสังคม
หรือเป็นเพียงบุคคลธรรมดาๆ
ท่านก็มักจะเป็นผู้หนึ่ง
ที่จะได้รับความเชื่อถือและนับถือ
ของคนหมู่มากเสมอ

นั่นย่อมถอดรหัสกรรมได้ว่า
ในภพชาติที่ผ่านมานั้น
ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีอุปนิสัยดี
จนเป็นที่รักของคนหมู่มาก

พฤตินิสัยอันโดดเด่นของท่านก็คือ
ท่านเป็นคนที่ไม่อิจฉาตาร้อนใคร
เมื่อเห็นว่าใครมีดีกว่าท่าน ได้ดีกว่าท่าน
ท่านก็จะรู้สึกยินดีไปกับเขาด้วยเสมอ

ในชีวิตของท่านจึงมักแสดงความยินดี
ในความสำเร็จของผู้อื่นอยู่เนืองๆ

เวรกรรมด้านบวกอันเป็นผลกรรมจากอดีต
จึงส่งผลมาถึงชาตินี้

ด้วยการค้ำจุนให้ท่านเป็นผู้มีเกียรติ
เป็นที่ยอมรับนับถือของคนหมู่มาก

ท่านจะไม่มีใครดูหมิ่นเหยียดหยาม
ท่านจะไม่มีใครคอยปัดแข้งปัดขา
ท่านจะไม่มีใครอิจฉาตาร้อนหรือหมั่นไส้
ไม่ว่าท่านจะทำดีจนเพลินแล้วเด่นเกินใคร

บนเส้นทางชีวิตของท่าน
มันจะเต็มไปด้วยความราบรื่น
เพราะปราศจากคนอื่นๆเป็นอุปสรรค

รู้แล้วเช่นนี้....
นิสัยขี้อิจฉาตาร้อน
นิสัยชอบดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่นน่ะ
เลิกเสียทีดีมั้ย?

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31-3-2016

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

ภารกิจ แห่งฟ้า






*กลับมาเกิด ตามบัญชา ว่ายากแยะ
แต่ต้อนแกะ หลงฝูง ยุ่งยากกว่า
แกะบางตัว ชั่วเกิน จะเชิญมา
แถมทำท่า ท้าทาย เลวร้ายจัง
*แกะบางตัว เห็นเรา วิ่งเข้าขู่
ทำอวดรู้ วางโต แถมโอหัง
กล่าวจาบจ้วง ล่วงเกิน ทำเมินฟัง
มิได้ตั้ง ใจคิด พินิจความ
*แกะหลายตัว หูตึง เกือบครึ่งฝูง
พอลากจูง กล่าวซ้ำ ทำงุ่มง่าม
จะสอนมาก สอนนิด ไม่คิดตาม
จึงมองข้าม ธรรมรส อย่างหมดไฟ
*แกะกลุ่มน้อย คล้อยตาม ด้วยความคิด
รู้ถูกผิด เท็จจริง สิ่งเก่าใหม่
มีสติ มากล้น รู้สนใจ
รู้จักใช้ ปัญญา อย่างน่าชม
*ภารกิจ แห่งฟ้า บัญชาลูก
มาสร้างปลูก เมล็ดพันธุ์ อันสวยสม
สร้างสวรรค์ บนดิน ถิ่นภิรมย์
ที่เคยล่ม กลับคืน มาตื่นตา
*จะพากเพียร เรียนรู้ เพื่อสู้-สร้าง
ในท่ามกลาง ท้องนที ที่เหว่ว้า
เพราะพวกเขา จำไม่ได้ ว่าใครมา
จึงเฉยชา เยือกเย็น แม้เห็นเรา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28-3-2016

คำนิยาม





เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ครูบาอาจารย์ที่มีอยู่จริงก็หลายประเภท
ที่ชวนงมงายก็มีอยู่มาก

นิยามเหล่านี้
จะช่วยให้นักเรียนง่ายขึ้นในการแยกแยะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-3-2016

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 11







จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม
แบบที่ 1,2,3,4,5,6,7,8,9 และ 10 ไปแล้ว

เรายังมีความรู้เรื่อง "กรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในมุมมองของกรรมปัจจุบัน
ที่มันจะส่งผลต่อชาติหน้าได้
ด้วยความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 11
กล่าวคือ....

ถ้าชาตินี้ท่านบุญมีมากมาย
จนได้รับโอกาสดีให้มาเกิดเป็นเจ้านาย
เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นหัวหน้างาน
เป็นผู้นำ เป็นผู้มีอำนาจ

แต่แสดงบทบาทของท่านไม่ถูกต้อง
ด้วยการปฏิบัติต่อลูกน้องหรือบริวาร
ในลักษณะต่างๆดังต่อไปนี้

1.กระทำการกดขี่
2.กระทำการข่มเหง
3.กระทำการเอารัดเอาเปรียบ
4.กระทำการทารุณจิตใจ

ถ้าท่านมีภพชาติหน้า
บทเรียนและบททดสอบที่ท่านผู้นั้น
จักต้องเผชิญมันอย่างแน่นอนก็คือ

ท่านจะมีรูปลักษณ์สังขารที่ไม่สมดุล
จนแลดูอัปลักษณ์กว่าคนทั่วไป
แม้ว่าท่านจะมีอาการครบสามสิบสองก็ตาม
มันจะอัปลักษณ์จนแลดูน่าเกลียด
แม้แต่ตัวเองก็จะรู้สึกเช่นนั้นเช่นกัน

สาเหตุที่ท่านผู้นั้น
ต้องเผชิญกับเวรกรรมในลักษณะเช่นนี้
ก็เพราะจะได้เป็นเงื่อนไขให้
เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
เพื่อให้เรียนรู้ว่า "กรรมเวร" ที่ก่อไว้
กับข้าทาส บริวาร บริพาร หรือลูกน้องนั้น

มันเป็น "พฤติกรรมอันน่ารังเกียจ"
มันเป็นพฤติกรรมด้านลบที่ลูกน้องไม่รัก
มันเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ลูกน้องหนีหน้า
มันเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ตัวท่านไม่น่ารัก
มันเป็นพฤติกรรมที่บ่าวไพร่ลูกน้องเกลียด

การที่ท่านปฏิบัติต่อบ่าวไพร่ทั้งหลาย
ด้วยกรรมทั้ง 4 ประการในแบบใดๆก็ตาม
จนเป็นนิสัยเคยชินเคยตัวแล้ว
มันจะยังผลให้บ่าวไพร่ของท่าน
มีทัศนคติเป็นลบต่อตัวท่าน
จนเกิดความเคยชินไปเช่นเดียวกัน

ดังนั้น
เพราะตัวท่านเป็นผู้กระทำให้บ่าวไพร่
รังเกียจ เกลียด ไม่รัก และหนีหน้า
มันจึงประหนึ่งว่ากายสังขารของท่าน
มีรูปลักษณ์อันน่ารังเกียจหรืออัปลักษณ์
จนพวกเขาไม่อยากและไม่กล้าเข้าใกล้

การปฏิบัติตนไม่เหมาะสมต่อบ่าวไพร่
ด้วยการกระทำอยู่เนืองนิจจนติดเป็นนิสัย
จึงเสมือนหนึ่งว่าท่านน่ะได้ใส่รหัสพิเศษ
บันทึกไว้ในจิตวิญญาณของท่านเอง
ตั้งแต่ชาติที่ผ่านมาแล้วว่า

ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า
เพื่อจะมีรูปกายอันอัปลักษณ์
ที่ผู้คนทั้งหลายจักต้องรังเกียจโดยแท้
เพราะเมอร์คขะบาห์ของท่าน
ผู้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือทางจิตวิญญาณ
ที่เราเรียกว่า "จิตใต้สำนึก" (ไม่ใช่จิตสำนึก)
มีคุณสมบัติสำคัญที่มนุษย์ไม่รู้ว่าไม่รู้

นั่นคือ
จิตใต้สำนึกคิดเองไม่เป็น
จิตใต้สำนึกแยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่ได้

จิตใต้สำนึกของท่านจะไม่เข้าใจหรอกว่า
การที่จิตของท่านสั่นสะเทือนขึ้นมานั้น
มันเป็นการพอใจใฝ่หาสิ่งนั้นเรื่องนั้น
หรือว่าเป็นการปฏิเสธสิ่งนั้นเรื่องนั้นกันแน่

อันจิตใต้สำนึกที่ว่านี้
เขามีหน้าที่เป็นเครื่องมือของ "จิตสำนึก"
โดยเขาจะคอยตอบสนองความต้องการ
ด้วยการเหนี่ยวรั้งสิ่งนั้นเรื่องนั้นมาให้ท่าน
แม้ว่าท่านมิได้ปรารถนามันเลย
แท้แล้วท่านปฏิเสธมันต่างหาก

ดังนั้น
ในกรณีที่ท่านกระทำตน
น่าเกลียดหรือน่ารังเกียจต่อบ่าวไพร่บริพาร
จนตลอดภพชาติที่ผ่านมา
มันจะยังผลให้ "จิตใต้สำนึก" ของท่าน
บรรจงใส่รหัสความอัปลักษณ์ของสังขารเอาไว้ให้
เพื่อให้จิตวิญญาณถือติดตัวมาเกิด
ในภพชาติปัจจุบันตามแบบที่ท่านกำหนด
อย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลย

หากชาตินี้ท่านใดเผชิญกับเวรกรรมนี้
ก็จงเร่งมีสำนึกให้ถูกต้องเสีย
กรรมเวรที่เคยก่อไว้
ก็จะได้กลายเป็นโมฆะกรรมไป
เส้นทางสายนิพพานก็จะใช้เวลาสั้นลง

แต่ถ้าหากจะป้องกันตนเองไว้
เผื่อชาติหน้าอาจต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็ให้ท่านจงเลิกนิสัยที่ไม่ดี
เพราะกดขี่ข่มเหงบ่าวไพร่ลูกน้องเสีย
จงอย่าเคยตัวกับการกระทำไม่ถูกต้อง
ควรทำตัวให้ลูกน้องรักเพราะนายน่ารัก
เสียตั้งแต่บัดนี้ชาตินี้จะดีกว่า

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-3-2016

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

ความรู้เรื่อง "สติปลอม"









ความรู้เรื่อง "สติปลอม"
***********************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ท่านจะล่วงทุกข์ใดที่อยู่ในจิตใจได้
ก็ด้วยปัญญาอันเกิดจากสมองของตนเอง

ท่านจะล่วงทุกข์ใดที่เกิดแต่กายได้
ก็ด้วยปัญญาอันเกิดจากสมองของท่าน
เช่นเดียวกันนั่นเอง

หากตราบใดที่ท่าน
ยังห้าม "ทุกข์" มิให้เกิดแต่จิตและกายได้
อันว่า "ปัญญา" นี้ก็จักเป็นของสำคัญยิ่ง
ที่พวกท่านจักต้องเร่งแสวงหามันก่อน

โดยท่านต้องเร่งค้นหาปัญญาในตนเองให้พบ
ก่อนจะเที่ยวเร่ร่อนเสาะหาแต่ "ความรู้"
ด้วยการแสวงหาสารพัด "ครู" ไปทั่วโลกหล้า
ทั้งๆที่สติปัญญาของท่านยังไม่พร้อม
จึงต้องถูก "ครูปลอม" ลวงล่อให้หลงทาง
ให้หลงสรรเสริญเดินตามอย่างว่าง่าย
ด้วยการงมงายเพราะ "ความไม่รู้" นี่แหละ

ที่ไม่รู้ว่า "ครูปลอม" ก็เพราะด้อยปัญญา
ที่ด้อยปัญญาก็เพราะเกิดมาไม่รู้คิด
คงรู้แต่เชื่อ แต่ชอบ แต่ชัง และชินเท่านั้น

อันปัญญาซึ่งเกิดจากสมองของท่านนั้น
มันเป็นความเฉลียวฉลาด (Intelligence)
ที่ท่านต้องสั่นสะเทือนมันขึ้นมาเอง
ไปหาเอาจากภายนอกไม่ได้
ไปเที่ยวหยิบยืมของใครเขามาก็ไม่ได้
นอกจากจะวานให้คนอื่นช่วยคิดแทน

แต่ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ความฉลาดทางปัญญาของสมองน่ะ
มันต้องสร้างด้วยอะไรบ้าง
มันต้องสั่นสะเทือนด้วยอะไร
มันต้องสั่นสะเทือนอย่างไร
ท่านจึงจะบรรลุ "ความฉลาด" ที่ต้องการได้

หากท่านยังไม่รู้คำตอบใน 3 ข้อนี้
ท่านก็เข้าถึงความฉลาดทางปัญญาไม่ได้

ความทุกข์ทั้งหลายทั้งกายใจก็จักคงอยู่
การมีภพชาติหรือมีสังสารวัฏก็จักคงอยู่
การหลงใน "ครูปลอม" ก็จักคงอยู่

นี่แน่ะ....
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านฟัง
โดยเฉพาะจำพวกที่ทำตัวแบบ "กูรู้แล้ว!"
ในเรื่องความฉลาดหรือโง่ในแต่ละคน
ที่มันไม่ทัดเทียมเท่ากันว่า

ตามหลักจริงนั้น
มันมักเกิดจากข้อบกพร่องต่อไปนี้
(รู้แล้วแก้ไขตนเองเสีย พัฒนาตนเสีย)

1.เข้าถึง "มหาสติ" ตามวิถีจิตจักรวาลไม่ได้
2.เข้าถึง "มหาสติ" ได้บ้างแต่ก็เป็นบางที
3.เข้าไม่ถึงอำนาจในการใช้ "อายตนะ 6"
4.เข้าถึง "มหาสติ" ไม่ได้แต่ใช้ "สติปลอม" อยู่

ในที่นี้เราจะกล่าวเฉพาะเพียง "สติปลอม"
เพื่อจะบอกให้ท่านรู้ว่า....

ในกระบวนการใช้ปัญญา (การคิด) นั้น
สมองจะต้องสั่นสะเทือนกลุ่มเซลประสาท
เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เข้มข้นขึ้น
ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กไฟฟ้านี่แหละ
จะเป็นตัวชี้วัดค่า "ความฉลาดทางปัญญา"
ซึ่งสมองต้องอาศัยแรงสั่นสะเทือนของจิต
อันเกิดจาก "สามนึก" หรือ จิตสามนึก
คือ นึกได้ นึกเอา และ นึกเอง
เป็นเครื่องช่วยให้เซลประสาทสมอง
เกิดการสั่นสะเทือนไปตามพลังของจิต
ที่กำลังสั่นสะเทือนเป็นนึกทั้ง 3 นึกนี่แหละ

ถ้านึกดี ในภาวะจิตสงบ
แรงสั่นสะเทือนของจิตที่ไปกระตุ้นสมอง
ก็จะสั่นสะเทือนสูงขึ้นทางด้านบวก

ถ้านึกลบ นึกชั่ว ในภาวะจิตไม่สงบ
แรงสั่นสะเทือนของจิตที่ไปกระตุ้นสมอง
ก็จะสั่นสะเทือนสูงไปทางด้านลบ

แต่ที่เป็นความมหัศจรรย์อันน่าสนใจ
ของสมองมนุษย์ก็ตรงที่ว่า
ไม่ว่าท่านจะนึกดีหรือนึกชั่วก็ตาม
ไม่ว่าท่านจะนึกผิดหรือนึกถูกก็ตาม
สมองของท่านมันจะยอมเป็นเครื่องมือ
ให้จิตสามนึกของท่านอยู่เสมอ

นั่นคือ...
ถ้าจิตนึกดี สมองก็คิดดีให้
ถ้าจิตนึกบวก สมองก็คิดบวกให้
ถ้าจิตนึกด้านบวก สมองก็คิดด้านบวกให้

ถ้าจิตนึกชั่ว สมองก็คิดชั่วให้
ถ้าจิตนึกลบ สมองก็คิดลบให้
ถ้าจิตนึกด้านลบ สมองก็จะคิดด้านลบให้

โดยมีข้อแม้ว่า...
จิตจะนึกเพื่อให้สมองคิดตามได้
คนๆนั้นจักต้อง "รู้สติ" เท่านั้น!!!!

การเป็นผู้รู้สติเท่านั้นที่จะทำให้ท่าน
เข้าถึงความสามารถในการใช้ "จิต3นึก" ได้
ถ้าท่านไม่รู้สติ เช่น เมาเหล้า เมายา
สลบไสล ต้องนะจังงัง งงงวย หรือหลับ
ท่านก็จะไม่สามารถสร้างความฉลาดได้

แต่ให้ท่านระวังจิตของท่าน
ทั้งสามนึกนี้เอาไว้ให้ดี
เพราะว่า...มันสามารถจะนึกลบ นึกชั่ว
จนไปสั่นสะเทือนสมองให้คิดลบคิดชั่ว
ตามพลังอำนาจของจิตได้เสมอ

เนื่องจากพวกท่านชอบพูดและเชื่อว่า
"สติมาปัญญาเกิด" อันหมายความว่า
ถ้าท่านกำลังคิดได้คิดเป็นอยู่ในขณะนั้น
ไม่ว่าจะคิดลบ คิดชั่ว
ก็เหมาเอาเองว่ากำลังคิดอย่างรู้สติแล้ว
ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็น "สติปลอม" ต่างหาก

"สติปลอม"
หมายถึง การรู้สติไม่จริงของจิตสามนึก
ที่จะสั่นสะเทือนตนเองเพื่อกระตุ้นสมอง
ให้สั่นสะเทือนตามเพื่อให้เกิดการคิด
ในสิ่งที่จิตกำหนดให้มันคิดนั่นแหละ

แต่เป็นการนึกที่ไม่ถูกต้อง
เป็นการนึกในด้านที่ผิดบาป
เพราะรู้ผิด เข้าใจผิด เห็นผิด รู้น้อย
หรือเกิดจากนิสัยทางจิตบกพร่อง เป็นต้น

คนที่หลงตัวเองว่าฉลาด
หากยังใช้ "สติปลอม" อยู่
มักจะแสดงความอวดฉลาดแต่เรื่องโง่ๆ
มักจะแสดงความอวดรู้แต่เรื่องชั่วๆ
ให้เราแลเห็นอยู่เสมอมา....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-3-2016

"ภาวะโลกร้อน"





ผลลัพธ์บั้นปลายที่เกิดขึ้น
ล้วนเกิดจากเหตุทั้งสิ้น
เหตุเบื้องต้น...
มันจึงนำไปสู่ผลเบื้องปลายเสมอ
แต่ถ้าสาเหตุมีมากกว่าหนึ่งแล้ว
ท่านก็จงอย่ามองแต่เหตุเบื้องปลาย
ที่ทำให้เกิดผลเบื้องปลายอยู่เพียงเหตุเดียว
เป็นต้นว่าขณะนี้โลกกำลังวิกฤต
อันเกิดจาก "ภาวะโลกร้อน"
ผลเบื้องปลาย คือ อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น
สูงจนน้ำแข็งขั้วโลกละลาย
สูงจนภูมิอากาศของโลกเริ่มวิปริต
สูงจนระบบนิเวศน์ของโลกเปลี่ยนไป
สูงจนเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มนุษย์พบสาเหตุว่า
สถานการณ์เบื้องปลายทั้งหลายนี้
ล้วนเกิดจากภาวะโลกร้อนทั้งสิ้น
มนุษย์จึงค้นหาคำตอบจนรู้ว่าโลกร้อนน่ะ
มี "สาเหตุ" มาจากสภาวะเรือนกระจก
สภาวะเรือนกระจกเกิดจากก๊าซมวลหนัก
จำพวก HC ก๊าซไฮโดรคาร์บอน
กับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2
ลอยขึ้นไปห่อหุ้มปกคลุมบรรยากาศโลกไว้
อย่างหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อคิดหาสาเหตุที่ทำให้เกิด
สภาวะเรือนกระจกได้เท่านี้
เขาจึงพยายามหาวิธี "ลด"
การผลิตก๊าซพวกนี้
ด้วยการรณรงค์กันยกใหญ่หลายๆวิธี
ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ
"การดับไฟฟ้า" บางดวง
ร่วมกันพร้อมกันทั้งโลก
เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง
จะได้ลดก๊าซพิษเหล่านั้น
อันเกิดจากการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า
ให้น้อยลงตามไปด้วย
โดยเมื่อวานนี้ประเทศไทย
ก็สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ถึง
2 หมื่นกว่าเม็กกะวัตต์ภายใน 1 ชั่วโมง
ซึ่งการคิดแบบนี้เป็นการคิดไม่สุด
เพราะเอาเหตุเบื้องปลายมาเป็นตัวตั้ง
แต่ไม่ยอมคิดต่อไปอีกว่า
ก๊าซหนักทั้งสองชนิดที่เป็นปัญหานี้
ทำไมจึงลอยขึ้นไปค้างเติ่งต่องแต่ง
อยู่ตรงชั้นบรรยากาศที่ตรงนั้น
จนกลายเป็นเรือนกระจกห่อหุ้มโลกไว้
ทำไมจึงไม่คิดหาสาเหตุต่อไปอีกว่า
ใยก๊าซพวกนี้มันจึงไม่ลอยสูงขึ้นไปอีก
ธรรมชาติของก๊าซมันต้องลอยใช่มั้ย?
แต่มันลอยไปค้างอยู่ตรงนั้นเพราะอะไร
มันลอยขึ้นไปรอคอยอะไรอยู่กระนั้นหรือ
มนุษย์จึงถูกนิยามว่าชอบอวดรู้
ทั้งๆที่รู้ไม่จริง
มนุษย์จึงถูกนิยามว่าอวดฉลาด
ทั้งๆที่ฉลาดไม่จริง
เพราะคิดไม่สุดทาง
เราช่วยนำทางความคิดไว้ให้เท่านี้แล้วกัน
ตราบใดผู้อวดรู้มิหันมาฟังเรา
แม้กล่าวไปเช่นไร
ก็หามีประโยชน์อันใดไม่
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-3-2016

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

สวัสดียามเช้า


น้ำยาชำระจิตตปัญญา "มหาสติ"





รับอรุณแห่งแสงแรก...ของวันใหม่
ด้วยเครื่องสำอางแห่งจิตวิญญาณ
ผลิตภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์จากจิตจักรวาล
น้ำยาชำระจิตตปัญญา
"มหาสติ"
ท่านจะสามารถแทรกแซงขันธ์ 5 ได้
ท่านจะเข้าถึงสภาวะจิตใสพิสุทธิ์ได้
ท่านจะเข้าถึงความสงบแท้จริงได้
ท่านจะเข้าถึงปัญญาภิวัฒน์ขั้นอริยะปัญญาได้
ท่านจะเข้าถึงธรรมชาติสมาธิได้ตลอดวัน
โดยไม่ต้องปลีกวิเวก
โดยไม่ต้องแสร้งปิดอายตนะ
โดยไม่ต้องเดินถ่างขาแบบเก่า
โดยไม่ต้องเสแสร้งแบบ "ไม่อะไร กับอะไร"
ท่านจะเข้าถึงสภาวะจิตสุญตาได้
ถ้าใช้เป็นประจำไปตลอดชีวิต
โปรดระวังสติปลอม
รีบนำมาใช้ด่วน...ก่อนหมดโอกาสที่จะได้ใช้
กำหนดสร้างสูตร โดย:
องค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
นำมาฝากท่านฟรี โดย:
ป.วิสุทธิปัญญา
10-3-2016

ผลิตภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์จาก "จิตจักรวาล"







ผลิตภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์จาก "จิตจักรวาล"
1.น้ำยา "มหาสติ"
น้ำยาชำระจิตให้ใสดุจดั่งแก้วมรกต
ใช้ชำระตลอดวัน ชำระได้ทุกวัน
จิตคุณจะผ่องใสจนใครๆต้องอิจฉา
สติปัญญาคุณจะล้ำเลิศเกินคาดคิด
คนทั้งโลก...จักเป็นมิตรของคุณ
2.โลชั่น "LOVE"
ครีมโลชั่นลักษณะเจล
เป็นโลชั่นบำรุงจิตวิญญาณ
ให้สดชื่นแจ่มใส
พร้อมจะรักใครก็ได้
แม้ใครคนนั้นจะไม่น่ารัก
ทาได้ตลอดวัน
ยิ่งทายิ่งสวย
ผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิด
เป็นเครื่องสำอางค์สำหรับจิตวิญญาณ
ของผู้ปรารถนาการชำระจิตให้ใส
ต้องการชำระใจให้สวย
หมั่นใช้ทุกวันตลอดชาตินี้
มีโอกาสหลุดพ้นแน่นอน
ผลิตภัณฑ์ดีๆเช่นนี้
ไม่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด
มอบให้ฟรี...ไม่มีหมดเขต
อ่านรายละเอียดวิธีใช้เครื่องสำอางค์นี้
ในห้องเรียน "ป.วิสุทธิปัญญา"
ตลอด 24 ชั่วโมง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-3-2016

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 10








จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม
แบบที่ 1,2,3,4,5,6,7,8 และ 9ไปแล้ว

เรายังมีความรู้เรื่อง "กรรมดี"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในมุมมองด้านบวกของกรรมปัจจุบัน
ที่มันจะส่งผลต่อชาติหน้าได้
ด้วยความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 10

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะสตรี
ไม่มีใคร "ไม่อยาก" มีผิวเนียนสวย
ไม่มีใคร "อยาก" มีผิวแห้งหยาบกระด้าง

สาวๆจึงต้องสิ้นเปลืองเงินทอง
ไปกับเครื่องสำอางประทินผิวกันยกใหญ่
หมดเงินหมดทองกันไม่รู้เท่าไหร่
เพื่อให้ผิวงามผ่องหน้าตาใสผ่อง

แต่ไม่เคยคิดรู้บ้างเลยว่า
สาเหตุที่ตนผิวไม่สวยกายไม่งามนั้น
มันมาจากสาเหตุใดกันแน่

เพราะพ่อแม่ต้นพันธุ์มียีนส์บกพร่อง
ลูกเลยมีปัญหาด้านผิวพรรณ
เช่นนั้นหรือ......

เคยเห็นไหมที่พ่อแม่ขี้ริ้วขี้เหร่
แต่ลูกสาวกลับผิวขาวสวยหน้าตาดี
จนได้เป็นเทพีบนเวทีประกวดนางงามน่ะ

เพราะว่ามีโภชนาการที่บกพร่อง
จนทำให้ผิวพรรณขาดวิตามินหรือ
จึงทานอาหารเสริมกันยกใหญ่
ทำตัวเป็นเด็กอนามัยในการรับประทาน
ผลลัพธ์ออกมาผิวพรรณก็ยังแห้งเหี่ยว
ไม่เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอยู่อย่างเดิม

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ไว้ด้วยว่า
ถ้าพยายามจัดการกับผิวพรรณตนเองแล้ว
แต่ก็ยังไม่ได้ผลดีอย่างที่ต้องการ
นั่นล่ะ...มันคือ "เวรกรรม"
ที่แก่นแท้ของท่านถือติดตัวมาจากชาติอดีต
เพื่อจะใช้เป็นบทเรียนด้วยการมีสำนึก
ในสิ่งที่ผิดบาปของท่านให้จงได้ว่า
ชาติที่ผ่านท่านก่อกรรมเวรอันใดมา

เราจึงขอกล่าวความจริงให้รู้ว่า
พฤติกรรมผิดบาปต่อไปนี้แหละ
คือสิ่งที่ท่านได้ก่อไว้กำไว้
จนส่งผลให้ผิวพรรณกับผิวหน้า
ไม่สวย ไม่ผ่องใส ไม่เรียบ ไม่เนียน
ผิวแห้ง หยาบกร้าน คล้ำหม่น เป็นต้น

นั่นเพราะท่านเป็นผู้ที่ขาดการ "แต่งจิตใจ"
จนยังผลให้จิตไม่ใส ใจไม่สวย
ท่านได้แต่แต่งหน้าตากับร่างกาย
หมายจะให้หน้าสวย ผิวดี และหุ่นงาม
แต่ท่านกลับมองข้ามการ "แต่งใจ"
ชาติที่ผ่านมาจึงสวยได้แต่รูปลักษณ์

เมื่อชาติที่แล้วท่านมิได้แต่งจิตใจไว้
มาชาตินี้จิตเป็นนายกายเป็นบ่าวอยู่
จิตจึงปรุงแต่งผิวพรรณหน้าตาของท่าน
ไปตามรหัสที่จิตวิญญาณถือมาด้วย

เพราะเหตุนี้เอง...
ผิวพรรณหน้าตาท่านจึงผ่องใสสะสวย
ในแบบที่ท่านต้องการไม่ได้

ท่านจึงควรรู้ว่าจิตมนุษย์ในชาตินี้นั้น
ท่านจำต้อง "ชำระ" หรือ "ปรุงแต่ง" มันด้วย
โดยต้องชำระจิตให้ใสชำระใจให้สวยเข้าไว้

ด้วยเครื่องสำอางค์ยี่ห้อ "จิตจักรวาล"
โดยใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อการชำระจิต
ที่ชื่อว่า "มหาสติ"
คู่กันกับครีมบำรุงใจที่ชื่อว่า "ความรัก"

ผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้
พระบิดาทรงเมตตา
ประทานมาให้มนุษย์โลกฟรีๆ
โดยทรงบัญชาให้เราถือมา
ฝากพวกท่านตั้งนานแล้ว

พวกท่านไม่ต้องซื้อไม่ต้องแสวงหา
ใช้ก็ง่ายไม่ลำบากอะไร
ใครได้นำมาใช้ก็สบายใจ
เพราะไม่มีผลร้ายข้างเคียง

ยิ่งใช้เป็นประจำไปนานวัน
ผิวพรรณผิวหน้าก็จะยิ่งมีสง่าราศี
จะแลดูเปล่งปลั่งดั่งทองนพคุณ
จะเป็นหนุ่มยาวสาวนานเลยเชียว

รู้อย่างนี้แล้ว....
จงหันมาแต่งจิตใจกันได้แล้ว
เผื่อผิดพลาดยังมิอาจหลุดพ้นในชาตินี้
ชาติหน้าเกิดใหม่จะได้มีผิวกายที่งดงาม
โดยไม่ต้องวุ่นวายกับเครื่องสำอางค์
ไม่ต้องขัดผิวเปลี่ยนสีผิวประทินผิว
ให้สิ้นเปลืองเงินทองเหมือนชาตินี้

ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ว่า
จิตที่หมกมุ่นอยู่กับกิเลสตัณหาราคะ
กับอารมณ์หยาบๆรายวันนี่แหละ
เป็นคลื่นการสั่นสะเทือนของจิตที่หยาบ
ซึ่งเป็นเป็นคลื่นความถี่ในย่านต่ำๆ

คนที่เต็มไปด้วยความโลภ
คนที่มีนิสัยคดโกง ฉ้อฉล เอาเปรียบ
คนที่เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห ฉุนเฉียว
คนที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย
ผู้คนแบบนี้นี่แหละ
จิตวิญญาณของเขา
จะสะสมคุณสมบัติด้านลบนี้ไว้

เมื่อกลับสู่การเกิดในชาติใหม่
จิตวิญญาณก็จะสั่นสะเทือน
เพื่อการสร้างเซลอวัยวะของกายหยาบ
ด้วยคลื่นพลังงานหยาบๆระดับต่ำๆเท่านั้น

จึงยังผลให้เซลอวัยวะร่างกาย
แลดูเหี่ยวย่น หยาบกระด้าง
กระดำกระด่าง ผิวไม่เรียบ
ผิวพรรณโดยรวมจึงไม่เปล่งปลั่งสดใส
ล้วนแต่เป็นไปตามรหัสแห่งมโนกรรม
ในย่านความถี่ต่ำล้วนๆเลยทีเดียว

แม้แต่ชาตินี้ก็เถอะ
หากท่านพบใครผิวขาวสวย
พบใครผิวเนียนหน้าตาผ่องใส
พบใครใบหน้าหวานละมัย
โดยมิได้ใช้เครื่องสำอางค์ประทินล่ะก็
ทั้งบุรุษและสตรีท่านนี้
จิตใสใจสวยพอตัวเลยล่ะท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-3-2016

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

"เลือกข้าง" กับการ "เข้าข้าง"






เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การ "เลือกข้าง" กับการ "เข้าข้าง" นั้น
แท้แล้วมันเป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ถ้ามนุษย์มีการ "เลือกข้าง" เมื่อใด
มนุษย์ก็จะ "เข้าข้าง"
ฝ่ายที่ตัวเองเลือก
แล้วก็จะ "ปฏิเสธ"
ฝ่ายตรงข้ามที่ตนไม่เลือกเมื่อนั้น

ถ้านักเรียนทำตัวเป็น "ผู้ดู"
ก็จะมีหน้าที่แค่ "เรียนรู้" เขาทั้งสองข้าง

โดยเรียนรู้ว่า "อะไร เป็น อะไร"
โดยเรียนรู้ว่า "ใคร เป็น อย่างไร"

โดยเรียนรู้ว่า "ไหนถูกต้อง
ไหนเหมาะสม ไหนดีงาม"

โดยเรียนรู้ว่า "ไหนเป็นบาป ไหนเป็นบุญ
ไหนเป็นคุณ ไหนเป็นโทษ"

โดยเรียนรู้ว่า
"ไหนไม่ควร ไหนควร"

แล้วนักเรียนก็แอบชื่นชม
ฝ่ายที่มีคุณสมบัติด้านบวก
มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเงียบๆ
โดยมิต้องแสดงออกมาให้ใครรู้

เพราะสำหรับมนุษย์แล้ว
กรณีที่มีสองข้างสองฝ่ายเช่นนี้
แม้ท่านจะเป็นบุคคลที่สาม
และเรียนรู้พิจารณาดูแล้วว่า
ข้างที่ถูกต้องกว่าคือข้างไหน

ท่านก็ไม่ควรจะแสดงมันออกมา
ว่าท่านเลือกข้างใด
เพราะมันจะทำให้อีกข้างหนึ่งที่ท่านไม่เลือก
มองว่าท่านเป็นพวกของฝ่ายตรงข้าม

การกระทำตนแบบนี้แหละท่าน
มันคือการก่อกรรมเวรให้ตนเอง
ด้วยการเข้าไป"เกี่ยวกรรม"
กับพวกเขาแล้ว

เกิดมานาน บวชมานาน
แล้วหลุดพ้นไม่ได้
ก็เพราะไม่มีมหาสติในเรื่องนี้นี่แหละ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-3-2016

กฎแห่งกรรม ของผู้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์







จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม
แบบที่ 1,2,3,4,5,6,7 และ 8 ไปแล้ว

เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ในผลกรรมแบบที่ 9 ให้ท่านรู้อีกว่า....

หากท่านทั้งหลายใช้ความสังเกต
จะพบว่าในช่วงปลายยุคพลังงานเก่านี้
มีผู้คนฆ่าตัวตายทำร้ายตนเองมากขึ้น
โดยมีวิธีการต่างๆหลากหลาย
แต่หนึ่งในหลายวิธีที่ว่านั้น
ก็คือการ "แขวนคอ" ตนเอง

ตามปกติแล้วคนที่มีสติสัมปชัญญะดี
จะมีความรักตัวกลัวตายด้วยกันทุกคน
แต่ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ฆ่าตัวตาย
ทำเหมือนว่าไม่รักตนเองและไม่กลัว
ทั้งๆที่การแขวนคอตัวเองนั้น
ก่อนสิ้นลมหายใจตายมันสุดแสนทรมาน

นี่ย่อมแสดงว่า....
ตอนที่กำลังจะฆ่าตัวตายอยู่นั้น
เขาขาดสติสัมปชัญญะไปเรียบร้อยแล้ว
ถ้าหากจะถามต่อไปอีกว่า
เขาขาดสติสัมปชัญญะไปเพราะอะไร
คำตอบเดียวก็คือเพราะเขา"ทุกข์ใจมาก"

ถ้าถามต่ออีกว่า
เขาทุกข์ใจมากเพราะอะไร
คำตอบก็คือเพราะเขาประสบปัญหาชีวิต
ที่เป็นปัญหาพิเศษมิใช่ปัญหาธรรมดา
โดยอาจเป็นปัญหาซ้อนปัญหา
หรือเป็นปัญหาที่ยากแก่การแก้ไข
หรือเป็นปัญหาที่ยากต่อการตัดสินใจ
หรือเป็นปัญหาที่รวมไว้ทั้งสามอย่าง
โอ้....ว้าววว.....

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คนที่ตกอยู่ในเงื่อนไขชีวิตแบบนี้
คือคนที่มีเหตุให้เครียดอย่างรุนแรง
คือคนที่มีเหตุให้ถูกกดดันทางประสาท
เพื่อให้จิตหยาบหรือจิตปัจจุบัน
เกิดภาวะขาดสติชั่วคราวหรือชั่ววูบ
ตามบทเรียนโลกที่จิตวิญญาณกำหนดไว้

บทเรียนโลกของจิตวิญญาณบทนี้
ต้องอาศัยการขาดสติหรือไร้สำนึก
เป็นเครื่องมือเพื่อการเรียนรู้ชิ้นสำคัญ
เพราะขณะใดที่จิตหยาบไร้สำนึก
จิตวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะเข้าแทรกแซง
เพื่อทำหน้าที่แทนชั่วคราวทันที

ถ้าจิตวิญญาณนั้นถือรหัสแขวนคอตาย
ติดตัวมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ด้วยแล้ว
การแขวนคอตายเสมือนไม่กลัวตาย
การแขวนคอตายเสมือนไม่รักตัวเอง
ก็จะถูกขับเคลื่อนการกระทำทันที
ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่าอารมณ์ชั่ววูบนั่นแหละ

เพราะการขาดสติสัมปชัญญะ
ขาดสำนึกรู้ดีชั่วและความผิดบาป
ขาดความเป็นตัวของตัวเอง
ขาดการใช้ปัญญาไตร่ตรอง
ขาดการยับยั้งชั่งใจ
เขาจึงทำร้ายตนเองได้อย่างใจดำ

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
ถ้าหากตัวเขาจะ "ยุติกรรม" เรื่องนี้ได้
เขาจักต้องเรียนรู้ที่จะมีสำนึกแก้ไข
ข้อบกพร่องทั้ง 5 ประการที่กล่าวนั้นเสีย

เนื่องจากในชาติอดีตที่ผ่านมา
เขาเป็นผู้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ให้เสียหาย
เขาทำให้ผู้บริสุทธิ์
ต้องตรอมตรมใจต้องทุกข์ใจ
ทั้งๆที่ตัวเขาเองนั้นก็รู้ดีอยู่ว่า
คนที่ตนทำร้ายน่ะเป็นผู้บริสุทธิ์

อาจเพราะขาดสติ
อาจเพราะไม่ใช้ปัญญา
อาจเพราะต้องการจะกลั่นแกล้ง
อาจเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง
อาจเพราะไม่เป็นตัวของตัวเอง

เงื่อนไขเหล่านี้ก็เป็นเหตุให้
เขาก่อกรรมเวรอันใหญ่หลวง
ด้วยการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ให้เสียหาย
ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ให้ทุกข์ใจได้แล้ว

ภพชาตินี้เขาจึงต้องกลับมาเรียนรู้
บทเรียนโลกที่เขาเคยทำผิดพลาด
ด้วยการแขวนคอตัวเองตายเพื่อเรียนรู้
อันเป็นการประจานตัวเองให้ได้อาย
ไปในเวลาเดียวกันด้วย

แล้วจะมีใครช่วยให้เขาสำนึกได้
ทันเวลาที่เขาจะทำร้ายตัวเองกันมั้ย
คงยาก...เพราะคนเหล่านี้
มักจะปลีกวิเวกอยู่คนเดียว
ชอบเก็บตัวอยู่ตามลำพัง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-3-2016

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม:







ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม:

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

ถ้า ก. กับ ข. เขาเกี่ยวกรรมกันมา
อันเกิดจากความอาฆาตโกรธแค้นกัน
พวกเขาจึงจูงมือกันมาเกิดใหม่ในชาตินี้
ด้วยการถือเอา "กรรมเดียวกัน" มาด้วย

พวกเขา 2 คนมาเพื่ออะไรน่ะหรือ
ก็มาเพื่อ "ร่วมกันแก้ไข" สิ่งผิดบาปของตน
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์แบบเดิมๆ
ด้วยการเรียนรู้ร่วมกันว่า
พวกเขาสองคนจะตัดสินใจอย่างไร
จึงจะสอบผ่านบททดสอบจิตสามนึกนั้นได้

สมมติว่า นาย ก.ในภพอดีตนั้น
เคยเป็นเจ้าเหนือหัวผู้ปกครองของชาติหนึ่ง
เป็นผู้ยกทัพไปตีบ้านเมืองของอีกชาติหนึ่ง
ซึ่งมีท่าน ข.เป็นเจ้าผู้ปกครองแผ่นดินนั้น
โดยทั้งสองชาติสองแผ่นดิน
ต่างก็เป็นเพื่อนบ้านกันเพราะอยู่ชิดติดกัน

ผลปรากฏว่าสงครามครั้งนั้น
กองทหารของผู้รุกราน
ที่แตกพ่ายตายไปก็มากมาย
ที่รอดตายถูกจับตัวไว้เป็นเชลยก็ไม่น้อย

แม่ทัพฝ่ายผู้รุกราน คือ นาย ก.
ซึ่งเป็นผู้แพ้ต้องถูกจับตัดหัว
ตามกฏของการศึกสงครามในยุคนั้น
ฝ่ายภรรยาของนาย ก.
ก็ถูกจับตัวไว้เป็นเชลย

ส่วนทรัพย์สมบัติมากมายที่ นาย ก.มี
ก็ถูกฝ่ายผู้ชนะยึดริบเอามา
เป็นสินสงครามจนหมดสิ้น

ด้านลูกสาวคนสวยคนหนึ่ง
ก็ถูกจับตัวมาเป็นภรรยา
ของแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งของ ท่าน ข.
โดยแม่ทัพใหญ่คนนี้แหละ
ที่บัญชาการรบจนเอาชนะ
กองทัพผู้รุกรานฝ่าย นาย ก.ได้

ด้วยการเกี่ยวกรรมกันมาของสองฝ่าย
คือ ฝ่ายนาย ก.ผู้แพ้พ่าย
กับฝ่าย ท่าน ข.ผู้ชนะฝ่ายรุกราน
จึงต่างต้องกลับมาสู่การเกิดใหม่ในชาตินี้
ด้วยแรงแห่งกรรมเวรที่หนุนนำ
แม้ฝ่าย ท่าน ข.จะทำผิดบาปเพียงเพื่อ
จะพิทักษ์แผ่นดินและประชาราษฎร์ก็ตาม

วงศ์ตระกูลชั้นสูงระดับเจ้าของ นาย ก.
อันประกอบด้วยเครือญาติทั้งหลาย
ที่ต้องตายไปจากการพ่ายสงครามนั้น
จึงล้วนเป็นผู้ที่ "เกี่ยวกรรม" กับ นาย ก.
ต่างพากันมาเกิดเป็นคน
บนแผ่นดินของศัตรูคู่อาฆาต
คือ แผ่นดินของท่าน ข.

เพื่อที่จะมาทวงเอาสมบัติของตนคืน
เพื่อที่จะมาสร้างความวุ่นวายไม่สงบสุข
เพื่อที่จะมาแก้แค้นด้วยวิธีต่างๆนานา

ปรากฏว่าฝ่าย นาย ก.
ได้มีพวกที่เคยเป็นไพร่พลที่ตายไป
และพวกที่เคยถูกจับมาเป็นเชลยในครั้งนั้น
ได้ติดตามมาเกิดเป็นคนชาติใหม่
ที่อยู่อาศัยบนแผ่นดิน ของท่าน ข.
เป็นจำนวนมากมายเลยทีเดียว
เราเรียกพวกเขาว่า "กลุ่ม ค." ก็แล้วกันนะ

คนเหล่านี้จึงเป็นผู้เกี่ยวกรรม
กับวงศ์วานว่านเครือของนาย ก.นั่นแหละ
เพราะถูกฆ่าและถูกจับเป็นเชลย
จึงย่อมต้องโกรธแค้นอาฆาตแน่นอน
พลังแค้นนี่เองที่เป็นแรงเหนี่ยวเกี่ยวกรรม
จนแกะไม่ออก จนแยกไม่ได้

ฝ่าย ท่าน ข.อันมีอดีตแม่ทัพใหญ่
ในฐานะตัวแทนของเจ้า
ซึ่งเป็นหนึ่งในคนสำคัญที่ผู้แพ้อาฆาตไว้

เพราะเป็นเหตุให้ นาย ก.แพ้และถูกตัดหัว
เพราะจับภรรยา นาย ก.พร้อมยึดทรัพย์หมดสิ้น
เพราะยึดเอาลูกสาวสุดรักดั่งดอกไม้ของนาย ก.
มายกให้เป็นศรีภรรยาของแม่ทัพใหญ่
นับว่าแค้นนี้...หลายกระทงจริงๆ

ดังนั้น
ฝ่ายนาย ก.ทั้งวงศ์สกุล
ที่เปลี่ยนสัญชาติมาเกิดใหม่ในภพชาตินี้
โดยเกิดอยู่บนแผ่นดินของ ท่าน ข.นี่
ผู้ที่จะเข้าไปเกี่ยวกรรมกับพวกเขาด้วย
ก็น่าจะมีได้ดังต่อไปนี้

1.นาย ก.ต้นกรรมต้นเวรผู้พ่ายสงคราม
2.ภรรยาของ นาย ก.
3.ลูกสาวสุดเลิฟของ นาย ก.
4.แม่ทัพนายกองทหาร ของ นาย ก.
5.วงศาคณาญาติของ นาย ก.
6.อดีตไพร่พลทหารในกองทัพของ นาย ก.

ฝ่ายท่าน ข.ก็มีผู้ที่จะเข้าไปเกี่ยวกรรมด้วย
เพราะมันเป็นหน้าที่ก็น่าจะมีได้ดังนี้

1.ท่าน ข.ผู้ปกครองแผ่นดินที่ถูกรุกราน

2.แม่ทัพใหญ่ของท่าน ข.ผู้ชนะสงคราม
ซึ่งเป็นผู้สั่งลงโทษประหารชีวิตนาย ก.
ทั้งยังเป็นผู้จับภรรยานาย ก.มาเป็นเชลย
เป็นผู้นำลูกสาวนาย ก.มาเป็นภรรยา
เป็นผู้สั่งยึดทรัพย์ของครอบครัวนาย ก.

3.อดีตแม่ทัพนายกองลูกน้องแม่ทัพใหญ่
พร้อมพลทหารที่เคยสู้รบกับกองทัพนาย ก.
อย่างดุเดือดจนบาดเจ็บและเสียชีวิต

เราเล่าเบื้องหลังความเป็นมาคร่าวๆให้ท่านรู้
เพื่อให้ท่านเรียนรู้โดยทั่วกันว่า
การเกี่ยวกรรมกันในกรณีศึกษาที่เล่ามานี้
ฝ่ายใดมีใครบ้างที่จะต้องทำหน้าที่

ถ้าท่านมิได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา
ท่านยังจะนำพาตนเองไปเกี่ยวตะขอกรรม
กับพวกเขาให้เดือดร้อนอีกทำไม
ปล่อยให้คนที่เขามีหน้าที่เขาแสดงกันไป

ใครไม่เกี่ยวกรรมกับเขามา
ก็ทำหน้าที่อย่างเดียว คือ เรียนรู้
อย่าไปเลือกข้าง อย่ายุยงส่งเสริม
อย่าไปร่วมสร้างความแตกแยก
ทุกอย่างมันมีจุดจบของมันอยู่
เฝ้าดูอยู่ห่างๆจะดีกว่า

รักได้ ให้อภัยเป็น
ไม่ก้าวล่วงพวกเขา
เอาปณิธานแห่งนิพพานเป็นที่หมาย
ใช้มหาสติเป็นเครื่องมือ
แล้วทำเฉพาะหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
เพียงเท่านี้...โอกาสหลุดพ้นก็ถูกเปิดแล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-3-2016

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

บทเรียน เรื่องหมากัดกัน






นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ในสังคมพวกท่าน
มีเหตุการณ์เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น
ท่านจักต้องแยกให้ออกก่อนว่า
ไหนเรื่องของท่าน ไหนมันเรื่องคนอื่น

ถ้าไม่ใช่เรื่องของท่าน
ท่านก็ไม่มีหน้าที่อะไรจะต้องเข้าไปยุ่งด้วย
การเข้าไปยุ่งด้วย เช่น การเลือกข้าง
แล้วออกอาการบ้าคลั่ง
ไปตามอารมณ์ฝ่ายที่ท่านเลือกนั่นล่ะ

ท่านเป็นแค่คนดูแล้วเรียนรู้มัน
เพื่อเกี่ยวเก็บเอาไว้เป็นประสบการณ์
ปัญญาที่ใช้เรียนรู้นั้นจะเป็นความฉลาดขึ้น
มันจะเป็นรางวัลที่ท่านได้รับ

แต่ถ้าเข้าไปยุ่งด้วย
ท่านก็จะต้องไปเกี่ยวกรรมกับเขาทั้งสอง
ทั้งๆที่มิใช่หน้าที่มิใช่ธุระอะไรของท่านเลย

แต่ถ้ามันเป็นหน้าที่ของท่าน
ที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง
เช่น ชาติที่แล้วท่านเป็นพวกเดียวกันมา
เคยร่วมก่อกรรมเวรกันมา
ท่านจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย
ก็คงไม่มีใครว่าเพราะมันเป็นหน้าที่จริงๆ
เป็นหน้าที่ๆจะเรียนรู้เพื่อการ "ยุติกรรม" นั้น
เลิกอาฆาตแค้นกัน
มิใช่แก้แค้นกันต่อไปอีก

ท่านดูภาพหมาสองตัวกัดกันสิ
ถ้าท่านไม่รู้จักว่าหมาสองตัวเป็นหมาใคร
ท่านจะเข้าไปยุ่งกับพวกมันมั้ย
โดยเลือกเข้าข้างหมาตัวใดตัวหนึ่ง
ด้วยการสงสารหมาตัวหนึ่ง
แล้วไล่ตีหมาอีกตัวหนึ่ง

หรือพยายามที่จะทำให้
พวกมันเลิกกัดกันสงบศึกกันเสีย

หรือได้แต่เรียนรู้เอาธรรมะจากหมา
ว่าการทะเลาะกันเหมือนหมานั้น
คือการสู้กันด้วยคมเขี้ยวก็บาดเจ็บทั้งคู่
เป็นมนุษย์มีปัญญาต้องใช้ปัญญา
คือ มีเหตุผลสู้กันจะเหมาะกว่าอารมณ์

เรียนรู้ดูไปสงสารพวกเขาไป
ถ้าไม่เข้าไปห้ามทัพ
ก็อย่าเข้าไปยุยงส่งเสริม

ถามเรามาว่าพระบิดาจะให้ท่านทำไง
คำตอบคือ ท่านเห็นหมากัดกัน
ท่านต้องบอกตนเองว่า
ท่านจะทำยังไงกับหมาสองตัวนั้นดี

ถ้าหมาสองตัวนั้นมิใช่หมาของท่าน
และมันกัดกันเองมิได้หันมากัดท่าน
ท่านเพียงแต่หนวกหู
รำคาญพวกมันเท่านั้น

พระบิดามิทรงเกี่ยวข้องด้วยหรอกนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-3-2016

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

จิตจักรวาลอ่านกรรม ผลกรรมแบบที่ 8 เป็นหนี้แล้วไม่ใช้คืน






จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม
แบบที่ 1,2,3,4,5,6 และ 7 ไปแล้ว
เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ในผลกรรมแบบที่ 8
ให้ท่านรู้อีกว่า....
*ผู้ที่ในชาตินี้...........
เกิดมาแล้วต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของคนอื่น
ถูกคนอื่นเขาบงการด้วยการใช้อำนาจเหนือ
โดยต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอม
เช่น ถูกกักขังบังคับใช้แรงงานทาส
บางท่านทั้งชีวิตที่ผ่านมา
ต้องผจญกับความทุกข์ยากด้านปากท้อง
ต้องต่อสู้ดิ้นรน
หาเช้ากินค่ำอย่างยากลำบาก
ทำงานแทบตายแต่กลับมีรายได้น้อย
เพราะถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบเสมอ
แม้จะเปลี่ยนนาย หรือว่าย้ายงานใหม่
ก็จะพบว่านายจ้างของท่านทุกคนน่ะ
ล้วนเป็นเหมือนกันแทบทั้งหมด
นั่นคือ ท่านจะถูกเอาเปรียบ ถูกโกง
บ้างก็ถูกกดขี่ข่มเหงเอาเปรียบ
บ้างก็ถูกข่มเหงให้ใช้แรงงานเยี่ยงทาส
*นอกจากนั้น
หากตัวท่านที่เกิดมาชาตินี้โชคดีมีบุญ
ไม่ยากจนให้ต้องขายแรงงานทาส
ไม่ยากจนถึงขนาดต้องหาเช้ากินค่ำ
แต่กลับมีปัญหาชีวิตจากการถูกคดโกง
ถูกโกงเพราะใจดีให้เพื่อนยืม
ตอนขอยืมก็พูดดีว่าหยั่งงั้นว่าหยั่งงี้
พอได้เงินไปแล้วถึงกำหนดที่ต้องคืน
ก็กลับทำเฉยเมยไม่รู้ไม่ชี้
ทำเหมือนว่าจำไม่ได้
พอถูกทวงถามก็ทำบ่ายเบี่ยงไปเรื่อย
ช่วยเหลือใครให้ยืมเงินทีไร
เป็นถูกชักดาบเบี้ยวหนี้ทุกทีไป
ไม่สามารถติดตามเอาหนี้คืนมาได้
เสียเป็นส่วนใหญ่
ชะตากรรมแบบนี้
หากจะสอบให้ผ่านบทเรียนโลกแล้ว
ท่านที่กำลังเคี่ยวกรรมกันอยู่
จักต้องมีสำนึกให้ได้ว่า
ในอดีตชาติที่ผ่านมานั้น
ท่านมีนิสัยชักดาบเบี้ยวหนี้คนอื่นเขามา
เงินที่ท่านเบี้ยวเขามา
จากการเป็นหนี้แล้วไม่ใช้คืนนั้น
เป็นเงินทองที่เขาหามาได้
ด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของเขาล้วนๆ
ดังนั้น
เมื่อท่านชักดาบเบี้ยวหนี้ใคร
จึงไม่ต่างจากการที่ท่าน
กินหยาดเหงื่อแรงกายของเขานั่นเอง
ตามเงื่อนไขกฎแห่งกรรม
ท่านจึงต้องมาเกิดใหม่
เพื่อชดใช้หนี้เหงื่อหนี้แรงกายให้เขาไป
แน่นอนว่า...
บทเรียนกรรมนี้จะยุติกรรมได้
ท่านจักต้องมีสำนึกให้ถูกต้องว่า
ท่านทำผิดบาปอะไรมา
นั่นคือ "โกงเขามา"
ชักดาบเขามา
กินแรงงานของเขามา
แบบว่า...ยืมอะไรเขามา
ก็ต้องหยิบยื่นสิ่งนั้นคืนให้เขากลับไปนั่นล่ะ
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ยังมีผู้ที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติที่แล้ว
ที่ชอบกระทำผิดบาปด้วยการ
ชักดาบหนี้สินผู้อื่นอยู่เป็นอาจิณ
จนผู้ถูกโกงถูกเบี้ยวหนี้สินต่างโกรธแค้น
เป็นนักหนานั้น
จิตวิญญาณของคนขี้โกงเหล่านี้
จึงต้องมาเกิดภพชาติใหม่ในชาติปัจจุบัน
ด้วยการตกชั้นไปเกิดเป็น "วัว-ควาย"
ทนให้เขาใช้งานดั่งทาสทั้งวันคืน
ต้องทนไถนาท่ามกลางเปลวแดดร้อน
ต้องทนหนาวกายอยู่ท่ามกลางห่าฝน
ต้องทนเหนื่อยหนักกับการลากเกวียน
ทั้งยังต้องทุกข์ทนจากทากปลิงริ้นไร
ที่รุมขบกัดดูดกินเลือดทั้งวี่วัน
สำคัญคือ...ไม่มีมือที่จะตบตี
ไม่มีวิธีที่จะหลีกหนีให้พ้น
เลยต้องทนให้มันกัดดูดกินเลือด
จนกว่าพวกมันจะอิ่มหมีพีมัน
แล้วพากันบินจากไปเอง
การโกงกินหยาดเหงื่อแรงกาย
อันหมายถึงเลือดเนื้อของผู้อื่นนั้น
เวรกรรมมันสนองกันแบบนี้เอง
เกิดเป็นคนยังพอมีจิตปัญญาสำนึกได้
แล้วนี่ตกชั้นไปเป็นวัวเป็นควาย
จะทำอย่างไรกันดีล่ะนี่.....
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-3-2016

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

จิตจักรวาลอ่านกรรม แบบที่ 7 ผลกรรมของนักต้มตุ๋น

จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม
แบบที่ 1,2,3,4,5 และ 6 ไปแล้ว






เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ในผลกรรมแบบที่ 7
ให้ท่านรู้อีกว่า....

ในประดาสัตว์ต่างๆที่มนุษย์เช่นพวกท่าน
นำมาเพาะเลี้ยงนำมาขุนให้เติบโต
เมื่อโตได้ที่แล้วก็นำไปขายไปฆ่า
ฆ่าเพื่อนำเอาเลือดเนื้อมาปรุงเป็นอาหาร
เวลาทานท่านก็จะเคี้ยวกันอย่างเมามันนั้น

ท่านจะต้องรู้ความจริงเอาไว้ด้วยว่า
จิตวิญญาณของสัตว์เหล่านั้น
มีอยู่จำนวนหนึ่งคือผู้ที่ตกชั้นลงไป
จากการเป็นมนุษย์

ดังนั้น
เลือดเนื้อของสัตว์บางตัว
ที่ท่านรับประทานกันอย่างอร่อยลิ้น
เคี้ยวกินกันอย่างเมามันนั้น
บางทีอาจเป็นเครื่องยนต์แห่งกรรม
ของผู้ที่เคยเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ได้

สัตว์ที่มนุษย์นิยมเลี้ยงไว้เป็นอาหาร
จำพวกสัตว์บก เช่น
สุกร เป็ด ไก่ ห่าน วัว ควาย
นกพิราบ แพะ แกะ เต่า เป็นต้น

จำพวกสัตว์น้ำ เช่น ตะพาบน้ำ
จระเข้ ปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอ
รวมทั้ง กุ้ง หอย และปู เป็นต้น

สัตว์เลี้ยงไว้ฆ่าเป็นอาหารเหล่านี้
ผู้เลี้ยงจะจัดระบบการเลี้ยงดูอย่างดี
สิ่งแวดล้อมที่เพาะเลี้ยงดูแล
ก็จัดระบบระเบียบเอาไว้อย่างดี
อาหารที่เลี้ยงดูก็จัดให้กินอย่างดี
ครบสูตร ครบหมู่ ครบเวลา
ชนิดที่ไม่อาจหาข้อบกพร่องได้เลย

สัตว์เหล่านี้จึงมักถูกเลี้ยงถูกขุนเป็นอย่างดี
พวกมันดูเหมือนจะมีความสุขมาก
ได้กินอิ่ม ได้นอนหลับสบาย
บางชนิดถึงขนาดได้นอนเล้าแอร์อีกด้วย

น่าสงสารประดาสัตว์เลี้ยง
เพื่อฆ่าเป็นอาหารบ้างมั้ย
พวกมันเหมือนถูกหลอกลวง
หรือเหมือนถูก"ต้มตุ๋น" ใช่หรือไม่?

โดยพอเริ่มแรกๆก็ทำดีให้ตายใจ
ต่อเมื่อนานวันผ่านไป
เลี้ยงดูจนเติบโตได้ขนาดแล้ว
ก็จะถูกจับตัวเอาไปฆ่าไปขาย

โปรดสังเกตเถิดว่า...สัตว์เลี้ยงเหล่านี้
ล้วนถูกกินเลือดกินเนื้อในบั้นปลาย
โดยไม่รู้ตัวมาก่อนทั้งสิ้น

เราจึงจะกล่าวความจริง
ต่อท่านทั้งหลายไว้ตรงนี้ว่า

จิตวิญญาณของสัตว์ที่เลี้ยงไว้เพื่อฆ่า
ให้คนทั่วไปเขากินเลือดกินเนื้อกันนี้
ส่วนใหญ่จะเป็นจิตวิญญาณมนุษย์
ที่ได้ก่อกรรมเวรเอาไว้ในชาติที่ผ่านมา

กรรมเวรที่พวกเขาก่อไว้
จนต้องได้รับบทเรียนโลกบทที่ 7 นี้
ก็เพื่อสร้างสำนึกใหม่ให้ถูกต้อง
หากสำนึกในผิดบาปของตนได้
ผลกรรมด้านลบที่ถือติดตัวต่ำชั้นมา
ก็จะยุติกรรมนั้นได้ทันที

ความผิดบาปของมนุษย์ที่ต้องตกชั้น
ลงมาเกิดเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อถูกฆ่า
แล้วเอาเลือดเนื้อมากินเป็นอาหาร
ก็เพราะเหตุว่า...

ครั้งที่ได้รับโอกาส
ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติที่ผ่านมา
พวกเขามีอาชีพต้มตุ๋นหลอกลวงผู้อื่น
ให้ต้องเสียทรัพย์สินเงินทอง
ให้ต้องสูญเสียผลประโยชน์
ให้ต้องสูญเสียเกียรติชื่อเสียง

วิธีการของเขาก็คือ "ตีสนิท"
ทำดีทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นตายใจ
พอเห็นว่าเขาตายใจแล้ว
ก็จะฉวยโอกาสฉ้อฉลคดโกงทันที

ยังผลให้ผู้ที่ถูกต้มตุ๋นหลอกลวง
ต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก
จนเสียสมดุลทางจิตใจอย่างรุนแรง
บางคนถึงขนาดล่มจมเหมือนตายทั้งเป็น
บางคนที่ถูกลวงต้องฆ่าตัวตาย
เพราะอับอายและเสียใจรุนแรงก็มี

การต้มตุ๋นผู้อื่นจึงเป็นความผิดบาป
ที่ต้องการความมีสำนึกเป็นเครื่องมือ
เพื่อการชำระกรรมเวรของตนให้สิ้น

แต่ทว่า...มันยากอีกแล้วใช่มั้ย
ที่จะให้สำนึกได้เอง
จากชะตากรรมที่ตนกำลังเผชิญ
เพราะสัตว์มีแต่สัญชาตญาณให้ใช้
มิได้มีจิตสามนึกแบบมนุษย์
แล้วจะทำอย่างไรกันดีล่ะนี่

เรามาช่วยไถ่บาปให้แล้ว
แต่จิตสามนึกที่ต้องใช้ต้องเป็นของท่าน
อนิจจา....อนิจจัง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-3-2016

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

จิตจักรวาลอ่านกรรม "อุบัติเหตุ"


 
 
 
 
จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม
แบบที่ 1,2,3,4 และ 5 ไปแล้ว

เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ในผลกรรมแบบที่ 6
ให้ท่านรู้อีกว่า.......

*ถ้าในชีวิตของท่านที่ผ่านม
ต้องเผชิญกับชะตากรรมแบบหนึ่ง
ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำซากจำเจจนผิดปกติ
จากการประสบ "อุบัติเหตุ" บ่อยๆ

ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านนอกบ้าน
ไม่ว่าจะเดินทางเคลื่อนที่
ไม่ว่าจะหยิบฉวยทำอะไร
ไม่ว่าจะนั่งหรือนอนอยู่เฉย
อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นกับท่านได้เสมอ

ท่านจะต้องรู้ว่า
สิ่งที่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับท่านนั้น
มันมักเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า
โดยที่ท่านไม่อาจรู้ตัวล่วงหน้าได้ว่า
มันจะเกิดขึ้นตอนไหนเมื่อไหร่

เพียงแค่ท่านเผลอเรอหรือประมาท
อุบัติเหตุจากการผิดพลาดก็เกิดได้แล้ว
หนักบ้างเบาบ้างสลับกันไป
ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นมา
ถ้าท่านไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัวก็ต้องเจ็บใจ
ถ้าท่านไม่เสียเวลาหรือเสียเงินเสียทอง
ท่านก็จะต้องเสียใจอย่างใดอย่างหนึ่ง

ชะตากรรมในลักษณะที่ว่ามานี
มันล้วนเป็นเวรกรรมที่ท่านจักต้อง
ทำให้มันเป็นโมฆะกรรมให้ได้ในชาตินี้
ด้วยการมีสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณว่า
ในชาติอดีตนั้นท่านได้ทำผิดบาปอะไรมา

เราจึงจะกล่าวความจริง
ต่อท่านทั้งหลายว่า....

เวรกรรมจากการประสบอุบัติเหตุบ่อยๆนี้
ความมีสำนึกที่ถูกต้องของท่านก็คือ
ท่านต้องตอบคำถามตนเองให้ได้ว่า

ทำไมตัวท่านจึงต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้าย
ซึ่งท่านไม่พึงประสงค์บ่อยๆจนผิดปกติ

ทำไมท่านจึงต้องเผชิญกับเหตุการณ์
ที่ชวนตื่นเต้น หวาดเสียว ตกใจ น่ากลัว
ในรูปแบบต่างๆที่คาดไม่ถึง
ทั้งโดยเหตุจากตัวท่านเอง
และเหตุจากคนอื่นที่ท่านไม่คุ้นเคย

คำตอบเดียวในหลายคำถามเหล่านั้น
ที่ท่านจักต้องมีให้กับตนเอ
พร้อมกับยอมรับมันอย่างสิ้นสงสัย
โดยคำตอบเดียวที่ว่านั้นก็คือ

เพราะในชาติที่ผ่านมา
ท่านเป็นผู้มีพฤตินิสัยบกพร่องข้อหนึ่ง
นั่นคือ "ชอบหาเรื่องด่า" คนอื่น

มีใครทำอะไรกระทบกระทั่งนิดหน่อย
มีใครทำอะไรผิดหูผิดตาท่าน
ท่านเป็นต้องหยิบเอามาสร้างเงื่อนไข
หาเรื่องนินทาด่าว่าเขาอยู่ร่ำไป

โดยไม่สนใจว่า "เขาคนนั้น" เป็นใคร
โดยไม่สนใจว่า "ข้อเท็จจริง" เป็นอย่างไร
โดยไม่สนใจว่าเขาคนนั้น "เจตนา" หรือไม่

การที่คนเหล่านั้นมิได้มีเจตนาร้าย
หรือตั้งใจที่จะทำไม่ดีกับท่าน
แต่ตัวท่านเป็นฝ่ายคิดลบไปเอง
เพราะอคติกับเขาจึงคิดมากเกินไป
เพราะระแวงเขาจึงคิดว่าเขาเป็นลบ

ดังนั้น
การที่ท่านมีนิสัยชอบด่าว่าคนอื่น
โดยที่เขา "คาดไม่ถึง" ว่าจะถูกท่านด่า
โดยที่เขานึกไม่ถึงว่า
เขาเป็นผู้สร้างเหตุอันใดให้ท่านด่า

ด้วยเหตุอันคาดไม่ถึงซึ่งเกิดจากท่านนี้
ยังผลให้ผู้อื่นต้องตื่นตกใจ หวาดกลัว
หวั่นไหว จิตใจไม่สงบ อยู่ไม่เป็นสุข
เป็นทุกข์ยาว เศร้าเสียใจนาน

อาการทางจิตที่เสียสมดุลเพราะท่าน
ดังที่วิสัชนามาทั้งหลายเหล่านี้
มันจึงต้องย้อนกลับมาเป็นบทเรียนโลก
ในรูปของการประสบอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
ในแบบของการตื่นตกใจกลัวที่คาดไม่ถึง
ซึ่งท่านจักต้องเผชิญกับมัน
เพื่อเรียนรู้บ้างว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร

โดยที่ท่านจะโง่งมอยู่กับคำกล่าวที่ว่า
ท่านจะ "ไม่อะไรกับอะไร"
ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของท่านนั้นไม่ได้

เพราะท่านจะไม่มีวันเข้าถึง
การมีสำนึกที่ถูกต้องจากบทเรียนกรรมนี้
เพื่อที่จะชำระกรรมเวรที่ท่านก่อขึ้นไว้
ให้มันเป็นโมฆะเสียในชาตินี้ได้เลย
ก็เพราะท่านมัวแต่เพ้อเจ้ออยู่
กับการเล่นสำนวนชวนหัวว่า
"จะไม่อะไรกับอะไร" อยู่นี่แหละท่าน....

**นอกจากนั้น....
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านอีกว่า
ยังมีกรรมเวรอยู่อีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นทำนองผิดบาปคล้ายๆกัน
แต่จะเผชิญกับชะตากรรมที่แตกต่าง

ถ้าตัวท่านเป็นผู้หนึ่งที่
ไม่ค่อยจะถูกโฉลกกับสัตว์ประจำโลก
โดยมักถูกพวกเขากัดทำร้ายอยู่เนืองๆ
ไม่ว่าจะทำร้ายท่านแบบซึ่งหน้า
หรือว่าลอบทำร้ายท่านในทีเผลอ

ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ
แค่สร้างความรำคาญให้ท่าน
ในลักษณะคันๆเกาๆแสบๆมันๆ
ที่ท่านต้องเกาจนถลอกเลือดออกซิบๆ

หรืออาจเป็นสัตว์เล็กแต่มีพิษ
จนทำให้ชีวิตท่านต้องวุ่นวา

หรือเป็นสัตว์ใหญ่เช่น แมว หมา
ไปจนถึงสัตว์อื่นที่ตัวใหญ่กว่า
ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าสาระพัดสัตว์
ดูเหมือนว่าไม่มีหน้าขนตัวไหน
จะเป็นที่ไว้วางใจของท่านได้เลย
เผลอเมื่อไหร่จะโดนสัตว์ทำร้ายเมื่อนั้น

หากชะตากรรมท่านเป็นเช่นนี้
แสดงว่าสำนึกในผิดบาปที่ท่านต้องรู้
ก็คือต้องตอบตนเองให้ได้ว่า
ท่านทำผิดบาปอะไรมาจากชาติก่อน

เมื่อเรียนรู้แล้วต้องยอมรับความจริงนั้น
อย่างไม่ลังเลสงสัย
แล้วตลอดไปจะต้องไม่ทำตนเช่นนั้นอีก

กรรมเวรที่ว่านี้ก็คือ....
การมีนิสัยชอบก่อเรื่องทะเลาะวิวาท
อันเป็นการ"ทำลายความสุขสงบ"ของผู้อื่น
โดยที่ท่านไม่เลือกเรื่อง ไม่เลือกที่
ไม่เลือกหน้าว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร
สามารถหาเรื่องทะเลาะกับเขาได้เสมอ

เพียงแค่ขัดหู ขัดตา ขัดข้อง
ท่านก็จะเกิดอาการขัดเคืองขุ่นใจง่ายๆ
จนกระทำตอบสนองด้านลบต่อคนรอบข้าง
ชนิดที่เรียกว่า "ชวนทะเลาะ" ได้เรื่อย
พฤติกรรมเยี่ยงนี้จึงไม่ต่างจากการที่
สัตว์ทั้งหลายที่เที่ยวไล่กัดทำร้ายท่าน
เสมือนไร้เหตุผลอันควรนั่นเอง

หากชาตินี้ท่านมีสำนึกผิดบา
ในชะตากรรมที่ 6 ตามที่กล่าวมานี้ได้
การหลุดพ้นในชาตินี้
จึงใกล้ความจริงเข้าไปอีกหนึ่งแล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-3-2016

จิตจักรวาลอ่านกรรม -ขี้เหล้า-เมายา








จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม
แบบที่ 1,2,3 และ 4 ไปแล้ว
เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ในผลกรรมแบบที่ 5 ให้ท่านรู้อีกว่า
*ถ้าคนใกล้ตัวของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
ที่มีอาการป่วยทางประสาท
แม้ว่าเขาจะสามารถรับรู้
โลกแห่งความเป็นจริงได้
แต่ก็จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมาก
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
โรคประสาทจะมีอาการตั้งแต่ซึมเศร้า
ตื่นตระหนก และกังวลอย่างเฉียบพลัน
ย้ำคิดย้ำทำ หวาดกลัว (phobia)
วิตกกังวล หวาดหวั่นไม่สมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ใจสั่น อาจตัวร้อน ชาเป็นแถบ ๆ หายใจไม่อิ่ม
เบื่ออาหาร มีเหงื่อออกตามมือและเท้า
ก่อนหลับมีอาการสะดุ้งคล้ายตกเหว
เป็นคนเจ้าอารมณ์ หลงตัวเอง
หวาดกลัวอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ
เช่น กลัวการอยู่ตามลำพัง
กลัวสถานการณ์บางอย่าง
เป็นคนย้ำคิดย้ำทำบางอย่าง
ที่เกิดจากความวิตกกังวล
โดยไม่สามารถควบคุมตนเองได้
มีอาการซึมเศร้า
ชนิดที่เป็นความแปรปรวน
อันเกิดจากความขัดแย้งภายในจิตใจ
หรือเกิดจากการสูญเสียของรัก คนรัก
ทำให้มีความรู้สึกเศร้าหมอง
จนขาดความสนใจสิ่งใดๆ
ซึมเศร้าชนิดท้อแท้ ใจ
จะมีอาการหมดแรง ไม่แจ่มใส
นอนไม่หลับ
ซึมเศร้าชนิดบุคลิกวิปลาส
จะรู้สึกสับสน
ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
จะมีความวุ่นวายเกี่ยวกับร่างกาย
โดยย้ำคิดเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเอง
ทั้งๆที่ร่างกายยังปกติเหมือนคนทั่วไป
หรืออื่นๆ
การป่วยด้วยโรคประสาทเช่นที่ว่านี้
จะทำให้คนรอบข้างขลาดกลัว
จะทำให้คนรอบข้างรังเกียจ
จะทำให้คนรอบข้างเหยียดหยาม
จะทำให้คนรอบข้างไม่พอใจ
จะทำให้ตนเองทุกข์ทรมานจิตใจ
จะทำให้ตนเองด้อยสมรรถนะกว่าคนอื่น
จะทำให้ตนเองรู้สึกว่ามีปมด้อย
จะทำให้ตนเองกุมสติไม่ได้
จะทำให้ตนเองใช้ปัญญาไม่ได้
คนที่มีอาการป่วยทางประสาทเหล่านี้
เป็นชะตากรรมอันเกิดจากเวรกรรม
ซึ่งจิตวิญญาณของคนผู้นั้นถือติดตัวมา
อันเป็นบทเรียนโลกที่สำคัญบทหนึ่ง
เพื่อเรียนรู้ที่จะมีสำนึกให้ถูกต้องให้ได้ว่า
ได้กระทำผิดบาปต่อตนเองมาอย่างไร
เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า
จิตวิญญาณของท่านได้ขันอาสาพระบิดา
มาเกิดเป็นคนบนโลกเสรีนี้
หน้าที่แรกที่จักต้องกระทำต่อตนเอง
คือ ต้อง "คน" ตนเองให้เป็น "มนุษย์"
ด้วยกระบวนการของ "ขันธ์ 5"
ตามที่เราเคยสื่อสอนมาให้แล้ว
คำว่ามนุษย์แปลว่า "ผู้มีจิตใจสูง"
ผู้มีจิตใจสูงหมายถึงผู้ที่สามารถเข้าถึง
การสั่นสะเทือนทางจิตปัญญาด้านบวก
คือ รักได้ ให้เป็น ใช้ปัญญาของสมองได้
อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษย์
ที่จะเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญ
เพื่อปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็น "พันธะสัญญา 6" ให้สำเร็จได้
แน่นอนว่าถ้าท่านหรือใครก็ตาม
จะเข้าถึงการคนตนเองให้เป็นมนุษย์ได้
ก็จักต้องเป็นผู้ครอง "มหาสติ"
และมีปณิธานแห่งนิพพานอย่างชัดเจน
มหาสติ คือ รู้สติ มีสติ และใช้สติ
ปณิธานแห่งนิพพาน คือ
การรักได้ ให้เป็น
ไม่ก้าวล่วงใครแม้กระทั่งตนเอง
เราถามท่านทั้งหลายว่า
การทำตนเสเพลเหลวไหล
การทำตนขี้เมาหยำเป
การทำตนเป็นอันธพาลเกเรเมื่อดื่มจัด
มันเป็นการใช้ชีวิตที่ควรจะเป็นหรือไม่?
มันทำตนให้มีค่าพอที่จะเป็นมนุษย์ได้มั้ย?
มันจะบรรลุภารกิจทางจิตวิญญาณได้มั้ย?
มันทำให้เครื่องยนต์แห่งกรรมเสื่อมใช่มั้ย?
มันเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนอื่นๆไม่ได้ใช่มั้ย?
มันเป็นการทำลายสติ
ทั้งของตนเองและผู้อื่นใช่หรือไม่
มันปิดโอกาสการใช้สติปัญญา
ของตนเองใช่หรือไม่
มันมีแต่จะนำไปสู่การเป็นทาสกิเลสตัณหา
เพราะว่าจิตสำนึกตกต่ำจนไร้สำนึก
อันเป็นความล้มเหลวทางจิตวิญญาณ
ใช่หรือไม่
ความผิดบาปที่กระทำต่อจิตวิญญาณ
และต่อเครื่องยนต์แห่งกรรมตนเองเช่นนี้
ล้วนมาจากจิตใจที่อ่อนแอ
จนมีผลต่อกระบวนการทางประสาทสมอง
ที่เสื่อมสมรรถนะในการใช้งานในชีวิต
ดังนั้น
ท่านผู้ใดที่กระทำผิดบาปต่อตนเอง
ในแบบอย่างที่ไม่ดีดังกล่าวมานี้
จึงต้องถือบทเรียนทางจิตประสาท
ที่บกพร่อง ที่ไม่สมดุล ติดตัวมาด้วย
เพื่อให้มีสำนึกรู้คุณค่าในการเป็นมนุษย์
เพื่อให้มีสำนึกรู้คุณค่าของการมีมหาสติ
เพื่อให้มีสำนึกรู้คุณค่าของปัญญา
เพื่อให้มีสำนึกรู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง
หากใครสามารถ
สำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ในชะตากรรมอันไม่พึงประสงค์ในชาตินี้ได้
เวรกรรมที่เผชิญนี้จะเป็นโมฆะทันที
แต่...เมื่อจบสิ้นอายุขัยในชาตินี้เท่านั้น
มันจะสำนึกได้ง่ายมั้ยล่ะ
ถ้าตนมีอาการทางประสาท
จนต้องวุ่นวายอยู่กับความไม่สงบทางจิต
ในชีวิตประจำวันของตนอยู่อย่างนี้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-3-2016

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

จิตจักรวาลอ่านกรรม ชะตากรรม "ปากแหว่ง" "เพดานโหว่"






จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม
แบบที่ 1,2 และ 3 ไปแล้ว

เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ในผลกรรมแบบที่ 4 ให้ท่านรู้อีกว่า

คนที่เกิดมาในภพชาตินี้
ผู้มีเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ลักษณะ "ปากแหว่ง" หรือ "เพดานโหว่"
เป็นคุณสมบัติด้านลบติดตัวมาด้วย
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างนั้น

เป็นเวรกรรมที่เขาจักต้องรับผิดชอบ
ด้วยการสร้างจิตสำนึกที่ถูกต้อง
จากการเรียนรู้ตลอดชีวิตในภพชาตินั้น

โดยเขาจักต้องสำนึกรู้ให้ได้ว่า
ที่ตนต้องประสบกับชะตากรรมเช่นว่านี้
เป็นเพราะก่อกรรมเวรอันใดไว้
เพื่อที่จะมีสำนึกต่อไปให้ได้อีกว่า
ในวันหน้าตนจะไม่ทำผิดบาปเช่นนั้นอีก

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ลักษณะปากแหว่ง-เพดานโหว่นั้น
เป็นลักษณะของผู้พิการทางปาก

ผู้พิการทางปากก็คือผู้ที่ปากพิการ
ผูที่ปากพิการก็คือผู้ที่ปากเสีย
ผู้ที่ปากเสียก็คือผู้ที่ใช้ปากไม่ถูกต้อง

ดังนั้น
ผู้ที่ปากเสียจึงต้องถูกส่งเข้ามาซ่อม
การซ่อมคือการสร้างจิตสำนึกใหม่
ในการใช้ปากให้ถูกต้อง

*กรณีของผู้ที่มาเกิดพร้อมปากแหว่งนั้น
ความมีสำนึกที่ถูกต้องของตัวท่านก็คือ
ท่านจักต้องยอมรับให้ได้ว่า

ในภพชาติที่ผ่านมานั้น
ตัวท่านได้ก่อกรรมเวรที่ผิดบาปไว้
ด้วยการชอบใช้ปาก
ยุยงส่งเสริมคนอื่นให้เขาผิดใจกัน

ด้วยการใช้ปาก
ยุแยงตะแคงรั่วให้คนเขาแตกแยกกัน
เมื่อเข้ากลุ่มไหนก็มักจะวงแตกที่นั่น
จนกลายเป็นนิสัยที่เคยตัวไปในที่สุด

การที่ท่านต้องมาเรียนรู้บทเรียนโลก
ด้วยลักษณะอาการ "ปากแหว่ง"
ก็เพื่อจะได้ใช้ความอายเป็นเงื่อนไข
กระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนจิตสำนึก

เพื่อให้ใช้ปัญญาแยกแยะให้ได้ว่า
ระหว่าง "ปากเสีย" กับ "ปากสวย"
อย่างไหนจะสร้างความมั่นใจให้ท่าน
ในการใช้ชีวิตร่วมกันกับคนอื่นได้มากกว่า
ซึ่งผลลัพธ์แห่งการเรียนรู้นี้
มันจะช่วยให้ท่านเกิดสติทางวิญญาณ
ในการระวังปากระวังคำของท่านมากขึ้น
โดยจะไม่ใช้มันพูด
เพื่อทำร้ายทำลายใครๆอีกตลอดไป

*กรณีท่านที่มาเกิดพร้อม "เพดานโหว่" นั้น
ความมีสำนึกที่ถูกต้องของตัวท่านก็คือ
ท่านจักต้องยอมรับให้ได้ว่า

ในภพชาติที่ผ่านมานั้น
ตัวท่านได้ก่อกรรมเวรที่ผิดบาปไว้
ด้วยการชอบใช้ปากหรือคำพูด
ยุยงให้คนอื่นเขาทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ
ทั้งที่ตั้งใจและมิได้ตั้งใจ

เพราะเที่ยวยุยงให้คนอื่น
เขาทะเลาะเบาะแว้งกันนี่แหละ
จึงเป็นที่มาของเพดานโหว่

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ปากเป็นกลไกอายตนะภายนอกที่สำคัญ
ดั่งคำโบราณว่า "ปากเป็นเอก"

จักรวาลจึงมีเพียงวิธีเดียวที่จะช่วย
ให้มีการสร้างสำนึกใหม่ที่ถูกต้อง
ให้มองเห็นความสำคัญในการใช้ปากได้
ด้วยการย้อนกลับสู่การเกิดใหม่ในชาตินี้
เพื่อคืนสมดุลให้แก่จิตวิญญาณตนเอง
ให้ประสบผลสำเร็จในภพชาตินี้ให้จงได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
1-3-2016

จิตจักรวาลอ่านกรรม "เนรคุณ" ต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์






จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 1และ 2 ไปแล้ว

เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ในผลกรรมแบบที่ 3 ให้ท่านรู้อีกว่า

*ถ้าภพชาตินี้ชะตากรรมของท่าน
ต้องมีอาชีพเป็นคนรับใช้เขามาตลอด
โดยไม่สามารถเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นได้
เพราะคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรที่ดีกว่า
หรือหมายใจว่าจะทำแต่เหมือนไร้โอกาส

*ถ้าภพชาตินี้ในหลายๆปีที่ผ่านมา
ชะตากรรมของท่านที่เผชิญอยู่ก็คือ

การที่ท่านต้องตกอยู่ในสภาพ
เสมือนเป็นทาสของใครบางคน
ที่ชอบใช้อำนาจเหนือนำท่าน
ด้วยการออกคำสั่งบงการท่านให้ทำ
ในสิ่งที่ท่านไม่เต็มใจที่จะทำอยู่เนืองๆ

ท่านมักจะถูกกดขี่ข่มเหงทำร้าย
ทั้งร่างกายและจิตใจของท่าน
ให้ต้องได้รับทุกข์ระทม
ให้ได้รับความทรมาน หรืออับอาย
ในสภาวะจำเป็นต้องยอม
โดยที่ท่านไม่สามารถจะเป็นอิสระได้

ชะตากรรมทั้งสองลักษณะที่กล่าวนี้
ส่วนใหญ่แล้วผู้รับกรรมทั้งหลาย
จักต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ชั่วชีวิต

เพราะมันเป็น "เวรกรรม"
อันเกิดจาก "กรรมเวร" ที่ท่านผู้นั้นก่อไว้
ในภพชาติอดีตที่ผ่านมา

ความผิดบาปที่จิตวิญญาณแก่นแท้
ของผู้ที่ต้องเผชิญชะตากรรมดังว่านี้
จักต้องเรียนรู้และมีสำนึกให้ได้
เพื่อทำให้ผลกรรมนี้เป็นโมฆะก็คือ

ท่านจักต้องรู้สำนึกให้ได้ว่า
การที่ท่านต้องมีอาชีพเป็นข้ารับใช้ชั่วชีวิตนี้
การที่ท่านต้องตกเป็นทาสของคนอื่น
การถูกคนอื่นกดขี่ข่มเหงเอาเปรียบรังแก
มันล้วนเกิดจากความผิดบาปของท่านเอง
ในภพชาติอดีตที่ผ่านมา

ความผิดบาปที่ว่านี้ ก็คือ "เนรคุณ"
ต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณ

คำว่า "เนรคุณ" หมายถึง
การกระทำไม่ถูกต้องต่อผู้มีพระคุณ
ให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
เสียทรัพย์สินสิ่งของ
เสียเวลา เสียโอกาส เสียชื่อเสียง
เสียใจจนแม้กระทั่งเสียชีวิต

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงเน้นย้ำเรื่องความกตัญญูกตเวที
ไว้เป็นลำดับต้นๆ
สำหรับคนที่จะเป็นมนุษย์

เพราะพระองค์ทรงแลเห็นว่า
พวกท่านที่เป็นส่วนใหญ่นั้น
เมื่อจิตวิญญาณได้รับโอกาส
ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้แล้ว
ต่างก็พากันลืมพระผู้ให้กำเนิด
จิตวิญญาณของตนจนหมดสิ้น

มิหนำซ้ำหลายคนยังใช้จิตตปัญญา
กระทำการก้าวล่วงจ้วงจาบพระบิดา
ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณต่อตนเอง
ในฐานะผู้ให้โอกาส
มาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้อีกด้วย
อีกทั้งยังจดจำไม่ได้ด้วยว่า
ตนเคยให้พันธะสัญญา 6 ข้อต่อพระบิดา
กันว่าอย่างไรบ้าง....

นี่มิใช่เป็นการ "เนรคุณ" ต่อผู้ให้กำเนิด
จิตวิญญาณของตนเองดอกหรือ

เพื่อให้ลูกๆที่เป็นบุตรมนุษย์
ได้สั่นสะเทือนจิตสำนึกแห่งผู้กตัญญู
เอาไว้อย่างจริงจังในทุกภพชาติ
จะได้อนุรักษ์คุณสมบัติข้อสำคัญนี้ติดตัวไว้
ไม่ว่าจะต้องเวียนตายเวียนเกิดกันกี่ชาติ
จิตวิญญาณนั้นก็จะได้ไม่ลืมพระบิดา
และไม่กระทำเนรคุณต่อพระองค์กันง่ายนัก

นี่ขนาดพระองค์ทรงเน้นเรื่องกตัญญูมาก
แต่มิวายบุตรมนุษย์ทั้งหลาย
ผู้กระทำตนเนรคุณต่อผู้มีพระคุณของตน
ก็ยังมีให้เห็นอยู่ในสังคมโลกกันอย่างดาดดื่น

ในปลายยุคพลังงานเก่านี้
ยังจะมีบุตรมนุษย์ของพระองค์สักกี่คนกัน
ที่ยังมีสำนึกรักพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ที่ยังปฏิบัติงานตามที่ขันอาสาพระองค์มา
ที่ยังคงรักษาพันธะสัญญา 6 ไว้ได้อย่างมั่นคง

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านว่า
ถ้าท่านปรารถนาการหลุดพ้น
ชะตากรรมของท่าน
ในชาติสุดท้ายสำหรับกรณีนี้
ก็เป็นอีกหนึ่งสำนึกที่ท่านจักต้องมี

เรา...ทราบดีอยู่แล้วว่า
การจะให้ท่านทั้งหลายนั้น
มีสำนึกในผิดบาปที่เนรคุณต่อพ่อแม่
ครูอาจารย์และผู้มีพระคุณกันได้เอง
มันมิใช่เรื่องง่ายดายเลย
หากสนามแม่เหล็กโลก
ยังมีแนวโน้มวิปริตแปรปรวนมากขึ้น

เพียงแค่เมื่อได้มาเกิดในชาตินี้แล้ว
ท่านต้องเผชิญกับการมีชีวิตลำเค็ญ
เพราะมักตกเป็นทาสของผู้อื่นอยู่เสมอ

เพียงแค่เมื่อได้มาเกิดในชาตินี้แล้ว
ชะตากรรมของท่านก็คือ
การตกเป็นข้ารับใช้ผู้อื่นอยู่เนืองๆ
จนมีแนวโน้มว่า....ตัวท่านนั้น
น่าจะตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ไปตลอดชีวิต

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
1-3-2016