วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

วัดประจำตัว





บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย
เราคือองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ผู้เป็นศูนย์กลางของมหาจักรวาล
เราเป็นทั้งผู้เริ่มต้นหรือผู้สร้าง
และเราเป็นทั้งผู้สิ้นสุดในทุกสรรพสิ่ง

เรากำลังกล่าวโอวาทต่อบุตรทั้งหลาย
บนดาวเคราะห์โลกซึ่งเป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีนี้
ผ่านบุตรเอกแห่งบิดา...มายังพวกเจ้าด้วยความรัก

บิดามีข่าวสารจะบอกต่อพวกเจ้าว่า
ทุกวันนี้ดาวเคราะห์โลก
ได้สูญเสียความสมดุลโดยสิ้นเชิงแล้ว
เพราะบุตรมนุษย์ทั้งหลายขาดการใส่ใจในพระโอวาท
เพราะบุตรมนุษย์ส่วนใหญ่ยังขาดความสามารถ
ที่จะคนตนเองให้เป็นมนุษย์

เพราะบุตรส่วนใหญ่ไม่เคยถามตนเองเพื่อ
ค้นหาคำตอบกันเลยว่า....

จิตวิญญาณแก่นแท้ของเจ้าเป็นใคร
มาจากไหน ใครอนุญาตให้มาเกิด
มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
มีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง

เมื่อพวกเจ้าไม่รู้ความจริงในสิ่งที่ต้องรู้เหล่านี้
การประพฤติตนขณะดำรงอยู่บนโลกนี้ของพวกเจ้า
จึงเกิดการผิดพลาด บกพร่อง วิปริต ผิดปกติ
จนยังผลให้สังคมพวกเจ้าซึ่งสมควรที่จะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ต้องเกิดการแบ่งแยก แตกร้าว ก้าวล่วงกัน
อีกทั้งยังหมุนกรรมจักรร่วมกัน แทนการหมุนธรรมจักร
เสียอีกต่างหากด้วย.....

ใครบางคนที่เข้าถึงจุดของความเบื่อหน่ายก่อน
ก็มักจะหันหน้าหาวัด หาพระ หาโบสถ์ หาเจ้า
หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนแม้แต่ภูติผี
ค้นหาสิ่งที่ตนเองคิดว่าจะสามารถเป็นที่พึ่งทางใจได้บ้าง
โดยลืมไปว่า....บิดาแห่งเจ้า
ได้ประทานความศักดิ์สิทธิ์ไว้ในตนเองของพวกเจ้า
เพื่อให้เจ้าเป็นที่พึ่งของตนเองได้โดยมิพักต้องพึ่งพา
ความศักดิ์สิทธิ์ของคนอื่นๆเลยก็ได้

แต่ทว่าเจ้าจะสามารถค้นพบความศักดิ์สิทธิ์ในตนเองได้
ก็ต่อเมื่อตัวเจ้าเองจักต้องสั่นสะเทือนมันเท่านั้น
เพราะบิดากำหนดสร้าง เครื่องยนต์แห่งกรรมของเจ้า
ให้เป็น "วัดประจำตัว" ของพวกเจ้าแต่ละคน
โดยมีตัวเจ้าเองเป็นทั้งเจ้าอาวาสหรือเจ้าวัด
และยังเป็นผู้จำวัดแห่งนี้ตราบสิ้นอายุขัยเลย

ความศักดิ์สิทธิ์ของวัดคือตัวเจ้า
จะต้องเกิดได้จากการสั่นสะเทือน 6 ประการร่วมกัน
กล่าวคือ....

1.ทำให้โลกสั่นสะเทือน
เพราะโลกเป็นดั่งลูกนิมิต

ทำได้โดย ตัวเจ้าเพียงแค่สั่นสะเทือนจิตสำนึกของตนทางด้านบวก
ด้วยการรักให้ได้ ให้ให้เป็น
และไม่กระทำก้าวล่วงต่อผู้อื่นทั้งกาย วาจา และจิตใจ
ตลอดทุกวันเวลาเท่านั้นเอง
ดาวเคราะห์โลกก็จะสั่นสะเทือน
ไปตามจิตสำนึกด้านบวกของเจ้าแล้ว

เมื่อทำได้สำเร็จ
ตัวเจ้าเองกับโลกก็จะเข้าถึงซึ่ง
การเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างลงตัว
อำนาจในการเป็นคนสองมิติของเจ้า
ก็จักบังเกิดขึ้นมาโดยพลัน

2.ทำให้จิตสั่นสะเทือนด้านบวก
เพราะจิตของเจ้าเป็นดั่งมหาวิหาร

นอกจากเจ้าจะสั่นสะเทือนจิตสำนึกเป็นความรักโลกแล้ว
ในชีวิตประจำวันเจ้าก็จักต้องเรียนรู้ที่จะสั่นสะเทือน
จิตสำนึกด้านบวกต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆให้จงได้
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะทำดีพูดดีต่อเจ้า....หรือ....
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะทำชั่วพูดชั่วต่อตัวเจ้าก็ตาม
เจ้าก็จักต้องเรียนรู้ที่จะรักให้ได้ ให้ให้เป็น
และไม่กระทำก้าวล่วงเขากลับคืนอีกด้วย

ในชีวิตประจำวัน ตัวเจ้าจักต้องเรียนรู้ที่จะ
สั่นสะเทือนจิตใจตนเองเป็นความรักไว้มอบให้ผู้อื่น
สั่นสะเทือนทางปัญญาเป็นการคิดด้านบวก
เพื่อการแสดงออกหรือกระทำด้านบวกต่อผู้อื่นเสมอ

ความประพฤติของจิตเป็นกิจวัตรเยี่ยงนี้เอง
จึงไม่ต่างจากการปฏิบัติธรรมภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์เลย
เมื่อเจ้าปฏิบัติธรรมด้วยจิตของเจ้า
กรรมดีๆนั้นบังเกิดขึ้นจากการกระทำที่จิตของเจ้า
ดังนั้น.....
จิตของเจ้าจึงไม่ต่างไปจาก
มหาวิหารสถานธรรมศักดิ์สิทธิ์โดยทั่วไปนั่นเอง

3.มีแก่นแท้เป็นประธาน

ในที่นี้หมายถึง การปฏิบัติจิตของเจ้าในมหาวิหารนั้น
เจ้าจักต้องรู้ว่าตัวเจ้าเองยังมีจิตวิญญาณแก่นแท้
ประทับอยู่อย่างนิ่งสงบภายในมหาวิหารนั้นด้วย

การสั่นสะเทือนใดๆที่ดีงามของเจ้าภายในมหาวิหารนั้น
พระประธานคือแก่นแท้ของตัวเจ้าเอง
ล้วนรับรู้ดูเห็นในกรรมดีๆนั้นอยู่ตลอดเวลา
แต่เนื่องจาก จิตหยาบของเจ้าเป็นตัวแทนของแก่นแท้
ดังนั้น เมื่อเจ้าสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกขึ้นมาได้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของเจ้า มีหรือที่จะไม่ปิติยินดีในกุศลนั้น

4.ทำให้สั่นสะเทือนทางปัญญาเป็นการคิด
เพราะปัญญาญาณของเจ้าเป็นเสมือนเจดีย์วัดนั่นเอง

ในชีวิตประจำวัน เจ้าจึงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าถึงการใช้สติปัญญา
และปัญญาญาณของตนเองให้ได้
ด้วยการฝึกคิด แทนการได้แต่นึกด้วยจิตไปวันๆ
เจ้าจะต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า จะใช้ความฉลาดทางปัญญา
ของสมองสองซีกที่ตนเองมีอยู่อย่างมีประสิทธิผลได้อย่างไร
ถ้ายังคิดแบบจิตมนุษย์ คลื่นการคิดของเจ้า
มันก็จะยังคงวนเวียนอยู่แต่ภายในกระโหลกเท่านั้น
ผลการคิดก็จะได้แต่บทสรุปจากการวิเคราะห์ด้วยเหตุผล
ซึ่งมันเกิดขึ้นอยู่ภายในกระโหลกศีรษะของเจ้านั่นแหละ

แต่ถ้าเจ้าเรียนรู้ที่จะใช้ปัญญาญาณของสมองซีกขวาบ้าง
เจ้าก็จะต้องรู้วิธีกดปุ่มมัน เรื่องการฝึกทักษะเช่นว่านี้

บุตรเอกแห่งบิดานั้นเชี่ยวชาญในการช่วยฝึกฝนพวกเจ้า
ให้แคล่วคล่องในการใช้มันมานานแล้ว
เพียงแค่พวกเจ้าเฝ้าฟังพระโอวาท
แล้วหมั่นคิดตามและตอบคำถามไปเรื่อยๆ
และการที่พวกเจ้าเข้าร่วมฝึกอบรมบ่มจิตปัญญา
กับค่ายปฏิบัติธรรมยุวจิตจักรวาลสัญจร
ตลอดทุกครั้งที่ผ่านมาและตลอดไปเรื่อยๆ
เจ้าก็จะสามารถเปลี่ยนระบบการคิดรู้ไปเป็นล่วงรู้
ด้วยพลังอำนาจแห่งปัญญาญาณของตนเองได้
ภายในไม่ช้านาน

ปัญญาญาณ คือ คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
ซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นความคิด อันเกิดจาก
การสั่นสะเทือนของจิตร่วมกับสมองซีกขวานำซีกซ้าย
ที่มันสามารถขับเคลื่อนออกมาภายนอกกระโหลกศีรษะ
ของพวกเจ้าได้ เพื่อทำการดูดซับรับเอาคำตอบที่เจ้าต้องการ
อันเป็นข้อมูลที่สั่งสมอยู่บนระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
อยู่แล้ว ให้แก่เจ้าเป็นรางวัลในทันทีที่เจ้ายกระดับคลื่นการคิด
เป็นการใช้ปัญญาญาณได้
ความรู้ใหม่ๆที่เจ้าคิดเองได้ด้วยวิธีคิดสร้างสรรค์นั้น
ล้วนเป็นกระบวนการใช้ปัญญาญาณระบบนี้ทั้งสิ้น

เจ้าจักต้องรู้ว่า
ปัญญาที่เจ้าสามารถหยิบมาใช้นิพพานทุกสิ่งได้
ก็คือ "ปัญญาญาณ" นี่เอง

5.สั่นสะเทือนกายสังขารของเจ้าทางด้านบวกเสมอ
เพราะสังขารของเจ้าเปรียบดั่งอารามนั่นเอง

อารามนั้นเป็นอาณาเขตคามของวัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม
กายสังขารของเจ้า ซึ่งมีจิตเป็นมหาวิหารก็อยู่ในอาราม
จิตวิญญาณของเจ้า ซึ่งเป็นดั่งพระประธานก็อยู่ในอาราม
ปัญญาญาณของเจ้า ซึ่งเป็นดั่งเจดีย์ก็มีอยู่ในอาราม

ถ้าเจ้าจดจำคำว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวได้
เจ้าก็คงจะเข้าใจได้เป็นอันดีว่า
พฤติกรรมใดๆที่เจ้าแสดงออกมาภายนอก
ทั้งกายกรรมและวจีกรรมคำพูดใดๆก็ตาม
มันจักต้องสงบ สำรวม และมีมหาสติ ดั่งผู้ทรงศีล
มันจักต้องงดงาม สง่างามในทุกอิริยาบถโดยแท้
จะทำตนกระโดกกระเดกไม่งามไม่สำรวมย่อมมิได้

6.สั่นสะเทือนองค์ความรู้ที่บิดาแห่งเจ้าถ่ายทอดมาให้
เพราะองค์ความรู้ทั้งหลาย คือ พระคัมภีร์ที่เจ้าวัดจักต้องถือปฏิบัติ
อย่างเคร่งครัดกันนั่นแหละ

ทั้งการสื่อถ่ายทอดพระโอวาทด้วยการกล่าวสดๆ
หรือสื่อถ่ายทอดผ่านตัวอักษร
หลากล้วนเป็นดั่งพระคัมภีร์ ซึ่งจะศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อ
ตัวเจ้าต้องหมั่นอ่าน หมั่นฟัง หมั่นคิดพิจารณา
และหมั่นนำเอาออกมาใช้ในชีวิตประจำวันให้จงได้

การสั่นสะเทือนของเจ้าดังกล่าวนี้
จะยังผลให้พระโอวาทแห่งบิดา
เกิดพลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้

ขอพวกเจ้าจงเร่งหันมาบูรณะวัดของตนเองเถิด
อย่าปล่อยให้เป็นที่สิงอยู่ของสิ่งสกปรกรกรุงรัง
เช่น กิเลส ตัณหา ราคะ อุปาทาน
และความงมงายอยู่ต่อไปอีกเลยนะ

มัวแต่ไปพึ่งพาวัดคนอื่นมามากแล้ว
หันกลับมาทำวัดของตนให้สะอาดก่อนเถิด
วัดไหนๆก็ไม่สำคัญเท่าวัดของตนหรอก
บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....

ถ่ายทอดคลื่นการคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย: อ.ปริญญา ตันสกุล
9-09-2014



เราขอกล่าวกับพวกท่านอีกครั้งว่า
ขณะนี้ปฏิบัติการชำระโลกทั้งระบบ
เพื่อเปลี่ยนจากยุคพลังงานเก่าเข้าสู่โลกยุคพลังงานใหม่
มันได้เริ่มต้นกันอย่างจริงจังแล้ว.....
ทุกรูปธรรม ทุกสรรพสิ่ง ที่ดำรงอยู่ในระบบโลก
กำลังเดินหน้าเข้าหา....วันเวลาที่ 11

<<<จงเร่งชำระความตามกฎแห่งกรรมระหว่างกัน
ที่มันยังคงเหลืออยู่ในบัญชีกรรมของท่านด้วยการบั่นมันให้สิ้น

จงหยุดก่อเวรเกี่ยวกรรมหลักใหม่ๆกับใครเขาอีก
เขายื่นเงื่อนไขใดมา จงอย่ารับเอาเงื่อนไขนั้น
จงยุติกรรมนั้นด้วยการยุติที่ใจตนเถิด

<<<จงเร่งชำระจิตให้ใส ทำใจให้สวย
ด้วยการปลดปล่อยจิตใจตนเองให้หลุดจากอาสวะกิเลส
โดยไม่จำเป็นต้องทิ้งครอบครัว ไม่ต้องทิ้งสังคม
ไม่ต้องปีนเขาเข้าป่า ไม่ต้องหาที่พึ่งอื่นใด
นอกจากพึ่งพระโอวาทองค์จิตจักรวาลและตัวปัญญาญาณที่ท่านมีอยู่

<<<จงเร่งยกระดับจิตตปัญญาเสียโดยไว
เพราะจะมีจอมมารลวงโลกปรากฏขึ้นอีกมากมาย
ศัตรูร้ายบนเส้นทางสายวิมุตติ์
ที่พวกมันจะใช้พลังอำนาจด้านลบ กลบเกลื่อนพระคำแห่งองค์จิตจักรวาล
ทั้งจะบิดเบือนคำสอนของพระศาสดาทั้งหลาย
เพื่อทำให้สัจธรรมมากมายกลายเป็นโทษ

<<<พวกท่านจงอย่าเกียจคร้านต่อการเรียนรู้
จงอย่ายึดติดอยู่กับความรู้เดิม
จงหมั่นคิดตามให้เข้าใจว่าเราสื่อเราสอนอะไร...
แทนที่ใจจะคิดแต่ต่อต้าน

หากท่านทั้งหลายจะเรียนรู้ด้วยการฟัง
เพื่อสร้างพลังแห่ง "สุตมยปัญญา"
จงมีแค่เพียง 5 คำถามตนเองเสมอว่า.....
1.ทำไมจึงเป็นเช่นว่านั้น?
2.เพราะเหตุใดเราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น?
3.ทุกคำกล่าวนั้นมันมีหมายความหมายว่าอย่างไร?
4.ฉันจะเข้าใจความรู้นี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้นได้อย่างไร?
5.ความรู้นี้มีประโยชน์อย่างไรต่อตัวฉันบ้าง?

เอเมน...
ป.วิสุทธิปัญญา
2-09-2014

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

Brian & Jenn Johnson - Where You Go I Go



Where you go I go
จะเดินตามพระองค์ แปล โดย อจ เจริญ ยธิกุล
Am G
*จะเดินตามพระองค์ จะพูดตามพระองค์
Where you go I go, what you say I say, God
Dm
เมื่อทรงอธิษฐาน ฉันจะอธิษฐาน(ซ้ำ*)
Where you pray I pray, where you pray I pray
พระเยซูทรงนำ ทำตามพระบิดา
Jesus only did what he saw you do
ให้ฟังเสียงพระองค์ ทำตามน้ำพระทัย
he would only say what he heard you speak
ทรงเคลื่อนนำฉันไป ให้ฉันตามพระองค์
he would only move when he felt you lead
ติดตามสุดดวงใจ ตามโดยจิตวิญญาณ
following your heart following your spirit
(หาก) ฉันจะเดินอย่างไร หากไม่มีพระองค์
How… could I expect to walk without you
ขอพระเยซูทรงนำทิศทาง
when every move that Jesus made
จะยอมจำนน
was in surrender
ไม่ต้องการมีชีวิตโดยไร้พระองค์
I would not begin to live without you
พระองค์ผู้เดียวที่ดีที่สุด
for you alone are worthy and you are always good
ทรงดีผู้เดียว
you are always good
พระองค์ดีที่สุด
พระองค์ดีที่สุด ดีที่สุด
you are always good,
always good, always good

จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด


1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

สื่อพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล: อนุตรธรรม: ความจริงอันสูงสุด




สื่อพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล: อนุตรธรรม: ความจริงอันสูงสุด:

องค์จิตจักรวาลทรงเป็นผู้ใด
 1.ทรงเป็นพระผู้อุบัติขึ้นมาด้วยพระองค์เอง ในกาลก่อนที่พระองค์จะทรงอุบัติขึ้นนั้น  ภายในจักรวาลซึ่งเป็นสนา... 1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558



เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คุณครู "น้องหมา" แม้จะถูกเจ้าของ
ทำการแปลงร่างสร้างรูปลักษณ์ให้เขาอย่างไร
แต่หัวใจของเขาก็ยังเป็น "หมา" อยู่อย่างนั้น
แม้กายจะเปลี่ยนไป
แต่จิตใจ (น้องหมา)ไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ทำไมผู้คน......
พอมีลาภยศสรรเสริญประดับกายเข้าหน่อย
หัวใจคนมันจึงเปลี่ยนไปจากเดิมได้อย่างง่ายดายนัก
ความรักที่เคยมี
ความดีที่เคยมา
ใยต้องเสื่อมสลายหายไป
พร้อมกับกายที่เปลี่ยนแปลงกันด้วยเล่า
มันเป็นเพราะ "ความหลง" ในรูปเงาของตนนั่นแหละนะ
คงต้องถอดเปลือกปรุงแต่งภายนอกที่รุงรังออกให้หมดก่อน
ใครหลายๆคนจึงจะสะท้อน
ธาตุแท้ในความเป็นคนของตนออกมาได้
เอเมน....สาธุ.....
ป.วิสุทธิปัญญา
16-01-2015

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

ทำไมมนุษย์โลกจึงไม่รักกัน





มีผู้ถามเราว่า.....
ทำไมมนุษย์โลกจึงไม่รักกัน
เราจึงจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
สาเหตุมีดังนี้.......

1.เพราะทุกคนจดจำไม่ได้ว่า "หน้าที่" ของพวกท่าน
คือ มาเกิดเพื่อรักกันแล้วแบ่งปันพลังงานความรัก
จากจิตสำนึกในรูปของพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กให้โลก
เพื่อช่วยค้ำจุนโลกให้สมดุล เพราะถูกอำนาจแม่เหล็กโลก
ปิดบังมิติไว้มิให้ล่วงรู้นั่นเอง

2.เพราะทุกคนไม่รู้ว่าการปฏิบัติดีปฏิบัติชั่วต่อกัน
ในชีวิตประจำวัน มันคือการหยิบยื่นบททดสอบจิตสำนึก
ให้แก่กันและกัน ตามแผนการที่จิตวิญญาณของพวกท่าน
ต่างตกลงใจเขียนบทละครนั้นๆกันมาเองว่า จะใช้บทละคร
ดีๆร้ายๆ เป็นเงื่อนไขเพื่อให้อีกฝ่ายสั่นสะเทือนจิตสำนึก
ด้านบวกเป็นความรักให้ได้

3.เพราะพวกท่านไม่รู้ว่าบทบาทของผู้ดีผู้ร้าย
ที่แสดงต่อกันอยู่ทุกวันๆนั้นมันคือ "บทละคร" มิใช่เรื่องจริง
ทุกคนพากันเข้าใจผิดต่างคิดว่าเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น
เพราะต่างคนต่างเล่นกันสมจริงสมบทบาทเป็นอย่างยิ่ง
การต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้านกันจึงเกิดขึ้นจริงๆ

4.เพราะมนุษย์มีจริตผิดๆคือ
ถือตัวตนของตนสำคัญเหนือใคร
ยึดถือตนเองเป็นใหญ่ โดยติดนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก
ทั้งๆที่นิสัยเด็กในการคิดถึงตนเองก่อนผู้อื่นนั้น
มันเป็นแค่เพียงสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด

พอเติบใหญ่ก็หยิบฉวยเอาสัญชาตญาณวัยเด็กมาใช้
ทั้งๆที่เลยวัยนั้นไปแล้ว
ควรจะใช้สติปัญญญาของสมองแทนได้แล้ว
แต่มนุษย์ก็ทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ

เนื่องจากการยึดถือตนเองเป็นสำคัญนี่แหละ
มนุษย์จึงเอาแต่ใจตนเอง
ใช้อารมณ์ของตนเอง
ยึดแนวคิดของตนเอง
ยึดสันดานของตนเอง
แล้วเที่ยวใช้มันชี้วัดตัดสินคนอื่น
และใช้มันขับเคลื่อนพฤติกรรมของตนในชีวิตประจำวัน
เสียจนเคยตัว....

5.เรียนธรรมะแต่ไม่เข้าถึงธรรมะ
เพราะยังใช้ปัญญาญาณของสมองซีกขวาไม่ได้
เนื่องจากขาดการฝึกฝนตนเอง
เก่งแต่หาข้อธรรมะมาท่องจำหรือมาทำตาม
แต่ก็ทำด้วยความไม่เข้าใจแท้จริง

วันๆจึงมีแต่คิดที่จะเอา มากกว่าคิดที่จะให้
นานวันเข้าก็เลยกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไป

6.เพราะสังคมมนุษย์ปัจจุบัน
ไม่เกื้อกูลต่อการแสดงความรักต่อกันเอาเสียเลย
เพราะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ การแข่งขัน
การชิงดีชิงเด่นกันอย่างรุนแรง
ขนาดพี่น้องกันเองก็ยังขาดความปรองดอง
ทุกคนจึงพากันบ้าอำนาจ
แข่งกันใช้อำนาจ
จึงไม่มีเวลาว่างที่จะใส่ใจในรัก

7.เพราะปัจจุบัน
โลกนี้เป็นโลกแห่งทุนนิยม วัตถุนิยม เทวนิยม
ทำให้จิตสำนึกของคนส่วนใหญ่ตกต่ำ
การสั่นสะเทือนเป็นความรักและการใช้ปัญญา
จึงด้อยสมรรถภาพ เพราะใช้น้อยหรือใช้ด้านลบมากกว่า

ดังนั้น....
ทั้งหมดนี้ คือ ปัญหาที่ทำให้มนุษย์โลก
ไม่รู้จักว่าความรักที่แท้จริงนั้นมันคืออะไรกันแล้ว
บททดสอบแห่งความกลัวตาย
จากมหันตภัยในอีกไม่ช้า จึงจำเป็นต้องถูกส่งมา
ให้พวกท่านทั้งโลกได้เผชิญ!

เรากล่าวความจริงทั้งเจ็ดเพื่อตอบคำถามเพื่อนเธอ
ที่ถามว่า "ทำไมมนุษย์โลกจึงไม่รักกัน"

เอเมน.....สาธุ........

ป.วิสุทธิปัญญา
13-02-2015

มนุษย์กับโลกต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน




มนุษย์กับโลกต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
..................................................
มนุษย์แห่งโลกเสรีที่รักทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาทรงกำหนดให้
ท่านทั้งหลายกับดาวเคราะห์โลก
ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
ถ้าจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลกได้
ท่านทั้งหลายจักต้องกระทำที่จิตสำนึกตนเองเท่านั้น
ด้วยการปฏิบัติตนดังนี้
1.มองทุกสิ่ง ทุกคน ทุกเรื่องราว ในแง่ดีเสมอ
2.มีความรู้สึกนึกคิดที่ดีต่อทุกเงื่อนไขที่เผชิญ
3.อย่าคิดแบบจิตมนุษย์ เช่น ใครร้ายมาจะร้ายตอบ
ไม่ชอบใจใครก็จะเกลียดหรือรังเกียจ
และไม่พอใจใครก็จะโกรธ ขึ้ง ขุ่น เคือง เป็นต้น
4.มีอารมณ์ดีเสมอ อย่าจิตตกง่ายเมื่อถูกยั่วยุ
5.มีจิตใจเมตตา กรุณา และมีมุทิตาจิตเสมอ
6.รู้จักอดทน อดกลั้น และให้อภัย ต่อผู้อื่นได้ทุกคน
7.มีความรักและปรารถนาดีต่อทุกๆคน
8.มีความพร้อมที่จะเป็นมิตรกับผู้อื่นเสมอ
9.ไม่เป็นเงื่อนไขด้านลบของผู้อื่น
10.รักโลกที่ตนเหยียบยืน
บัญญัติ 10 ประการที่กล่าวนี้
ท่านสามารถปฏิบัติกันในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย
ความรักบริสุทธิ์จากจิตใจท่าน
ปัญญาญาณที่สั่นสะเทือนเพื่อการคิดบวก
รวมทั้งการกระทำใดๆที่ดีงามในชีวิตต่อผู้อื่นและโลก
มันคือการสั่นสะเทือนทาง "จิตตปัญญา" ด้านบวก
ที่จะนำไปสู่การแสดงออกหรือการกระทำด้านบวก
ของท่านทั้งหลายบนโลกนี้ ที่จะกระทำต่อตนเอง
ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อทุกสรรพสิ่ง และต่อโลกของท่าน
โดยมันจะสั่นสะเทือนร่วมกันไปในคราเดียวกันนั่นเอง
ซึ่งมันจะก่อให้เกิดพลังอำนาจในมิติทางพลังงาน
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่จะไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนที่แกนโลก
เพื่อสร้างจิตสำนึกของโลกขึ้นมาให้ได้
ด้วยการกระตุ้นให้มันสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
จากพลังจิตตปัญญาหรือจิตสำนึกด้านบวกของพวกท่าน
ที่กระทำผ่านบัญญัติทั้ง 10 ประการที่กล่าวนั้น
ดังนั้น......
บัญญัติทั้งสิบประการจึงเสมือนเป็นวิธีการทางเท็คนิก
ซึ่งเรายินดีที่ได้กล่าวความจริงมาให้ท่านได้รับรู้ไว้ทั้งหมดนั้น
จงระลึกเสมอว่า....
จิตสำนึกของโลกจะเกิดขึ้นมาได้
เพราะท่านทั้งหลายช่วยกันสั่นสะเทือนมันขึ้นมานั่นเอง
โดยใช้ความรักและความคิดด้านบวก
ที่ท่านมีต่อกันและกันเป็นเครื่องมือ
จงระลึกเสมอว่า....
จิตสำนึกของโลกจะตกต่ำดิ่งลงสู่หายนะทันที
หากท่านทั้งหลายรักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น
การเห็นแก่ตัว
ก้าวล่วงซึ่งกันและกัน
การเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้
การทะเลาะเบาะแว้งกัน ขัดแย้งกัน
การทำร้ายกัน ฆ่ากัน เกลียดชังกัน
การทำศึกสงครามกัน
พฤติกรรมเหล่านี้มีแต่จะนำโลกเข้าสู่หายนะ
เพราะดาวเคราะห์โลกจะเสียสมดุลรุนแรง
จนเกิดภัยพิบัติรุนแรง
ถึงขั้นแผ่นดินมากมายจะสูญหายไปจากแผนที่โลก
ถึงขั้นผู้คนบนโลกจำนวนมากมาย
จะพากันล้มตายอย่างอเนจอนาถ
มนุษย์โลกที่รักทั้งหลาย
แม้มหันตภัยจะเกิดรุนแรงอย่างไร
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้จะไม่มีวันแตกดับหรอก
พระบิดาจะทรงยอมให้แตกสลายไม่ได้
เพราะดาวโลกทำหน้าที่เป็นผู้ค้ำจุนเอกภพ
โดยมีมนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตในระบบโลก
เป็นกลจักรสำคัญในภารกิจหลักนี้
มนุษย์นี่แหละ....
จะต้องสติแตกกันเอง ในเร็ววัน!
เพราะท่านจะต้องตื่นตกใจกลัวมหาภัยพิบัติทุกรูปแบบ
ที่มันจะทวีความถี่และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ประดาช่างเท็คนิกจะจัดสรรให้
ที่มันไม่เคยเกิดภัยพิบัติมันก็จะเกิด
ที่ๆมันเคยเกิดมาแล้วมันก็จะมาเกิดซ้ำอีก
ที่ๆเคยเกิดแบบเบาะๆแค่เคาะเตือนมันก็จะสะเทือนแรงขึ้น
เร็วเข้าเถอะพวกท่าน
โดยเฉพาะรายที่ยังทำตัวเหลวไหล
โดยไม่สั่นไหวและไม่ใส่ใจในคำเตือนของเรา
เสมือนท่านจะท้าทายมัจจุราชหรือปานนั้น.....
เพราะขณะนี้โลกกำลังป่วยหนัก
จักต้องรักษาเป็นการด่วนแล้ว
แผ่นดินที่ไหว ภูเขาไฟที่ระเบิด
การเกิดจลาจลด้วยสงครามกลางเมือง
ดินฟ้าอากาศที่วิปริตผิดธรรมชาติจากที่เคยเป็น
โรคร้ายที่ระบาดพิฆาตชีวิตคนไปมากมายเพราะขาดยา
ศาสนาที่ฟูเฟื่องก็มีแต่เรื่องชวนธรรมเสื่อม
มายาเหล่านี้...ท่านทั้งหลายจักควรใส่ใจ
เพราะมันจะคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวท่านเรื่อยๆ
ใกล้เข้ามาช้าๆ.....
เอเมน....สาธุ......
ป.วิสุทธิปัญญา
13-01-2015

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558



มีความจริงอยู่เรื่องหนึ่ง
ซึ่งไม่ค่อยจะมีผู้ใดกล่าวถึง
ทั้งๆที่เป็นความจริงอีกสิ่งหนึ่ง
ซึ่งท่านทั้งหลายจักต้องรู้
นั่นคือเรื่องของ "สุญตา" ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องมา
เกี่ยวข้องกันกับเรื่องของ "นิพพาน" โดยตรง
หากใครกล่าวถึงเรื่องนิพพาน
หรือการหลุดพ้นออกไปจากระบบเอกภพ
นั่นเท่ากับว่าเขาคนนั้น
กำลังกล่าวถึงเรื่อง "สุญตา" ไปในคราเดียวกันด้วย
เพราะคำว่า "นิพพาน" ที่เป็นกริยานั้น
ในวิถีจิตจักรวาลเราหมายถึง
การดับการเกิดดับของทั้ง 4 อย่างได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ดังนั้น.....
ผู้ที่นิพพานแล้วก่อนตายจึงหมายถึง
ผู้สามารถ "ดับการเกิดดับ" ของสี่อย่างที่ว่านั้น
ได้สำเร็จโดยบริบูรณ์แล้วอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง
การที่ท่านสามารถดับการเกิดดับของทั้งสี่อย่างนี้ได้
จึงหมายถึงตัวท่านนั้น
"ว่างไปจากการมีสิ่งนั้นอยู่"
ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว.....
การดับการเกิดดับทั้งสี่อย่างได้อย่างสิ้นเชิงนี่แหละ
ที่เรียกกันว่า "สภาวะนิพพาน"
หรือกล่าวสั้นๆว่า "นิพพาน"
เพราะท่านเข้าถึงสภาวะนิพพานได้นี่แหละ
ท่านจึงเป็นผู้ "ว่างไปจากสิ่งที่มีอยู่"
การเป็นผู้ว่างไปจากสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่นี่เอง
ที่ส่งผลให้ตัวท่านถึงพร้อมในคุณสมบัติแห่ง "สุญตา"
สำหรับ "วิถีแห่งจิตจักรวาล" อันเป็นสากลนั้น
ของ 4 อย่างที่ท่านทั้งหลายล้วนมีอยู่
ซึ่งท่านจักต้องหาหนทางดับมันให้สิ้นก่อนตาย
เสมือนดั่งดับไฟโดยมิให้เหลือเชื้อไฟลุกติดขึ้นมาได้อีก
ประกอบด้วย
1.อายตนะภายนอกทั้งห้า "ว่าง"
หมายถึง ท่านต้องทำให้มันเหมือนท่านไม่มีมันอยู่
ทั้งๆที่ท่านยังมีอายตนะภายนอกทั้งห้าอยู่ครบ
2.เครื่องยนต์แห่งกรรม หรือ กายหยาบ "ว่าง"
หมายถึง ท่านต้องทำให้มันเหมือนไม่มีตัวตนอยู่
ทั้งๆที่ท่านรู้อยู่ว่าท่านยังมีตัวตนอยู่
3.จิตมนุษย์ หรือ จิตหยาบ "ว่าง"
หมายถึง ท่านต้องทำให้มันเหมือนไม่มีจิตหยาบอยู่
ทั้งๆที่ท่านรู้อยู่ว่าท่านมีมันอยู่และกำลังใช้มันอยู่
4.จิตวิญญาณหรือแก่นแท้ "ว่าง"
หมายถึง ท่านต้องทำให้จิตวิญญาณของท่าน
เสมือนว่างไปจากการก่อกรรมใดๆอย่างสิ้นเชิง
ทั้งๆที่จิตวิญญาณของท่านก็ยังก่อกรรม
ตามพันธะสัญญาอยู่
หากท่านใดสามารถทำให้ตนเอง
เข้าถึงสภาวะแห่งนิพพาน
ผ่านความว่างของทั้ง 4 อย่างดังกล่าวนั้นได้
เท่ากับว่าท่านเป็นผู้หนึ่งที่จะได้ชื่อว่า
เป็นผู้นิพพานก่อนตายสำเร็จแล้ว
บันใดแห่งการหลุดพ้นบนถนนนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
จะทอดตัวนำพาแก่นแท้ของท่านสู่ประตูมิติ
เพื่อการหลุดพ้นออกไปจากเอกภพทางด่านนภาลัย
ในฉับพลันทันทีที่ท่านละวาง
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่านไป
บนมรรควิถีแห่งนิพพาน เราจึงย้ำเตือนท่านเสมอมาว่า
ท่านจักต้องปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะบรรลุวัตถุประสงค์นี้ได้
ซึ่งเราได้สื่อพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล ในระบบจิตสู่จิต
มายังโลกเสรีนี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้ รับรู้ตลอดมา
เป็นต้นว่า.....
อย่าเดินถ่างขานะ ถ้าปรารถนาจะนิพพาน
จงหยิบปัญญามานิพพาน
จงละวางกิเลส ปฏิเสธตัณหาให้ได้
จงฝึกครองมหาสติในชีวิตประจำวันกันให้ได้
จงแสดงปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจน
จงใช้มหาสติสร้างจิตใสใจสวยให้ตนเองให้จงได้
จงเป็นคนพ้นกรรม
จงอย่าคิดแบบจิตมนุษย์
ฯลฯ
นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
วิธีที่จะเข้าถึง "ความว่าง" หรือ "สุญตา" นั้น
มันไม่ได้มีหลายวิธี
อีกทั้งมันก็มิได้มีความยาก
อย่างที่พวกท่านสั่งสอนกันมาหรอกนะ
เพราะพวกท่านส่วนมากชอบไปคิดว่ามันยาก
ขณะที่หลายคนก็ชอบไปคิดให้มันยาก
เรื่องของนิพพาน เรื่องของความว่าง
มันจึงกลายเป็นเรื่องยากไปจริงๆ
วิธีที่จะเข้าถึงสภาวะแห่งความว่างที่ผิด
คือ การแสวงหา "ความว่าง"
เพราะนอกจากท่านจะไม่มีทางพบเจอความว่างแล้ว
มันยังจะทำให้ตัวท่านเองนั่นแหละ "ไม่ว่าง" เข้าให้
วิธีที่จะเข้าถึง "ความว่าง" หรือ "สุญตา" ที่ถูกต้อง
ซึ่งมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น
ที่ท่านจะประสบผลสำเร้จได้อย่างแน่นอน
นั่นคือ "การทำให้มันว่าง"
ทำอะไรให้มันว่างน่ะหรือ
ก็ทำสี่อย่างที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้นไงล่ะ
เร่งรีบเข้า....เพราะพวกท่าน
คงต้องใช้เวลาอยู่ไม่น้อยเลยจึงจะยกระดับตนเองได้
พระบิดากำลังจะทรงเร่งรัดให้เรา "กดปุ่ม" อันสำคัญแล้ว
จงใช้ปัญญาหาวิธีทำให้ทั้งสี่อย่างของท่านมันว่างให้จงได้
เพื่อให้ทันขบวนรถไฟสายที่ยาวที่สุดในโลกขบวนนั้น
ที่เรานำมาอวดท่านทั้งหลายให้เกิดสติทางวิญญาณ
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานั่นแหละนะ
จงอย่ามัว.......
งมงาย หงุดหงิด งุ่นง่าน
งุนงง งกเงิน งุ่มง่าม งี่เง่า ง่วงเหงา
เงอะงะ เงื้อง่า ง่อนแง่น ง่องแง่ง
งึมงำ โงนเงน งอแง งัวเงีย แง่งอน....
กันอยู่เลย.......
เอเมน....สาธุ......
ป.วิสุทธิปัญญา
9-01-2015



บันทึกแผ่นดินไหว
ณ วันที่ 8 มกราคม 2558
....................................
เวลา 02:04 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.0 [ML]
บริเวณ LIBERTADOR O’HIGGINS ประเทศชิลี
ที่ความลึก 43 กม
เวลา 02:30 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 5.0 [mb]
บริเวณ หมู่เกาะคุริว
ที่ความลึก 10 กม.
เวลา 03:33 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.4 [mb]
บริเวณ BURYATIYA ประเทศรัสเซีย
ที่ความลึก 10 กม.
เวลา 04:51 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 5.0 [mb]
บริเวณ เกาะนิวบริเต็น ประเทศปาปัวนิวกินี
ที่ความลึก 20 กม.
เวลา 06:00 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.3 [ML]
บริเวณ NAXCIVAN AZERBAIJAN
ที่ความลึก 5 กม.
เวลา 09:02 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.9 [ML]
บริเวณ เกาะแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา
ที่ความลึก 25 กม.
เวลา 10:21 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.5 [mb]
บริเวณ RAT ISLANDS หมู่เกาะอลูเชียน
ที่ความลึก 124 กม.
เวลา 11:48 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.3 [mb]
บริเวณ CHIAPAS ประเทศเม็กซิโก
ที่ความลึก 109 กม.
เวลา 13:12 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.0 [ML]
บริเวณ นอกชายฝั่ง MAULE ประเทศชิลี
ที่ความลึก 37 กม.
เวลา 15:17 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.4 [mb]
บริเวณ นอกชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรกัมชัตกา
ที่ความลึก 50 กม.
เวลา 15:51 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.9 [mb]
บริเวณ ทิศใต้ของหมู่เกาะฟิจิ
ที่ความลึก 4 กม.
เวลา 17:24 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.9 [mb]
บริเวณ ประเทศฟิจิ
ที่ความลึก 600 กม
เวลา 18:05 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.8 [mb]
บริเวณ หมู่เกาะแอนเดรียนอฟ กลุ่มเกาะอลูเชียน
ที่ความลึก 36 กม.
เวลา 19:15 น.
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 4.7 [ML]
บริเวณ รัฐคูคุย ประเทศอาเจนตินา
ที่ความลึก 200 กม.
หมายเหตุ:
แผ่นดินไหวรวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง
Methis Orios: รายงาน
9-01-2015

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

สื่อพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล: อาจารย์ปริญญา ตันสกุล MBA., M.S.




สื่อพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล: อาจารย์ปริญญา ตันสกุล MBA., M.S.:       •  นักวิชาการสัมผัสพิเศษ ผู้ถ่ายทอดคลื่นความคิดเป็นความรู้ใหม่ ด้านอภิปรัชญา (Pure Meta-Physics Knowledge) และแจ้งข่าวสารการชำระโ... 1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

สื่อพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล: ร่างกายมนุษย์สุดมหัศจรรย์กว่าที่คิด




สื่อพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล: ร่างกายมนุษย์สุดมหัศจรรย์กว่าที่คิด: ร่างกายมนุษย์สุดมหัศจรรย์กว่าที่คิด เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์บนโลกเสรี เป็นสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งมีความพิเศษสุดเหนือสรรพสิ่งอื่นใด ... 1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

วิถีจิตจักรวาล เพื่อการหลุดพ้นในภพชาติเดียว




มรรควิถีจิตจักรวาล
...........................
เพื่อให้ท่านที่ปรารถนาการหลุดพ้นในภพชาติเดียว
ก่อนปฏิบัติการเปลี่ยนยุคของดาวโลกเสรีสิ้นสุดลง
มีบริบทในการดำเนินชีวิตที่ชัดเจนขึ้น
เราจึงจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
ท่านทั้งหลายจักต้องสร้างพฤตินิสัย
ทั้งจิตและกายให้เป็นธรรมชาติไว้ดังนี้

1.ท่านต้องบำเพ็ญทานเป็นนิจ
...........................................
การบำเพ็ญทาน คือ
การรักและการให้ด้วยจิตและกายเป็นประจำ
รักใครก็ได้....รักได้โดยไม่มีเงื่อนไขที่จะรัก
ให้ใครก็ได้....ให้ได้โดยไม่มีเงื่อนไขที่จะให้
แต่จะเป็นการรักและการให้
ที่จะช่วยให้ท่านมีความสุขที่ได้รักหรือได้ให้นั้น

การมีจิตเมตตา กรุณา มุทิตา ปรารถนาดี
การมีจิตอดทน อดกลั้น ให้อภัย
การเสียสละให้ การแบ่งปันให้ การแลกเปลี่ยนให้
พฤติกรรมทางจิตและกายทั้งหลายเหล่านี้
ล้วนเป็นพฤติกรรมแห่งรักและวิธีการให้
ที่ท่านทั้งหลายสามารถแสดงออกมาในชีวิตประจำวัน
ต่อเพื่อนร่วมสังคม เพื่อนร่วมชาติ เพื่อนร่วมโลก
เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนร่วมชีวิตได้เสมอ

2.ท่านต้องครองศีลเอาไว้ตลอดเวลา
....................................................
การครองศีลไว้ตลอดเวลา คือ
การไม่ประพฤติตนก้าวล่วงใครๆ
ไม่ว่าด้วย กาย วาจา หู ตา และจิตใจโดยเด็ดขาด

ต้องไม่เหยียบเท้าหรือกระทำการก้าวล่วงใคร
จนเป็นเหตุให้เขาโกรธแค้นหรือจิตเสียสมดุล

ต้องไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพราะท่านเป็นต้นเหตุ
ต้องไม่พูดจาว่าร้ายผู้อื่นทั้งต่อหน้า
และต้องไม่นินทาผู้อื่นลับหลัง
ทั้งนี้แม้ว่าตัวเขาคนนั้นจะเลวจริงหรือไม่ก็ตาม

ต้องไม่สอดรู้เรื่องราวส่วนตัวอันเป็นความลับของผู้อื่น
ต้องไม่เชื่อคำยุแยงยุแหย่ของคนอื่นเสียจนจิตตก
ต้องไม่นึกลบหรือมองผู้อื่นในแง่ร้ายอยู่ด้านเดียว

โดยทั้งหมดที่กล่าวมานั้น
ท่านจะต้องละเว้นการกระทำทันทีนับแต่นี้ไป

ไม่ว่าเขาจะเป็นสามีหรือภรรยาของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นบุตรบริวารของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นผู้มีพระคุณของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นเพื่อนร่วมงานร่วมสังคมของท่าน
ไม่ว่าเขาจะคุ้นเคยกับท่านหรือเป็นคนแปลกหน้า
ไม่ว่าเขาจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้สูงส่งหรือจะต่ำต้อยกว่าท่าน
ไม่ว่าท่านจะมองเห็นเขาหรือมองไม่เห็น

พฤติกรรมการก้าวล่วงผู้อื่นเหล่านี้

ท่านจักต้องไม่กระทำโดยประมาท
คือรู้แล้วว่าไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่ดีงาม
แต่ท่านก็ยังฝืนที่จะกระทำมัน.....

ท่านจักต้องไม่กระทำเพราะขาดสติ
เป็นต้นว่ากระทำไปตามอารมณ์ไม่ดีของท่านเอง
หรือกระทำไปตามสันดานเคยตัวของท่านเอง
โดยไม่คิดพิจารณาให้รอบคอบ
ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจพูดหรือกระทำมันออกไป เป็นต้น

3.ท่านต้องภาวนาตลอดเวลา
.........................................
คำว่า "ภาวนา" ในที่นี้เราหมายถึง
การครุ่นคิด-ใคร่ครวญ-การทบทวนซ้ำ
ในสิ่งใดเรื่องใดที่ท่านได้สัมผัสรู้ดูเห็น
เพื่อประโยชน์แห่งการเรียนรู้มันให้ลึกซึ้งถ่องแท้
และหรือเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจ
ตอบสนองเงื่อนไขนั้นๆได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
โดยต้องไม่ไปก้าวล่วงใครอื่นให้เขาเสียสมดุล

ท่านจักต้องบำเพ็ญตนเป็นนักคิดผู้องอาจ
คือ คิดบวก และคิดด้านบวก
คือ คิดมากๆ แต่ไม่คิดมาก
คือ รู้วิธีที่จะคิดด้วยปัญญาของสมองตนเอง
คือ ไม่ดีแต่จะนึกแล้วพูดแล้วทำ
โดยไม่ฝึกที่จะนึกแล้วนำสิ่งที่นึกนั้นมาขบคิด
ก่อนตัดสินใจแสดงออกไปตามที่คิดดีแล้วนั่น

4.ท่านต้องมีสมาธิขณะภาวนา
...........................................
ขณะที่ท่านกำลังใช้สติปัญญาพิจารณา
ท่านจักต้องมีสมาธิในการคิดด้วย

ความเฉลียวฉลาดทางปัญญาสูงๆ
ที่จะใช้เพื่อการคิดด้วยสมองของท่านนั้น
มันจักต้องได้มาจากสภาวะจิตที่มีพลังอำนาจสูงๆ

คนที่มีพลังอำนาจจิตสูงๆ คือ คนที่มีจิตใสใจสวย
โดยคนที่จิตใสใจสวย คือ
คนที่จิตสั่นสะเทือนเป็นความรัก
เป็นการให้อยู่เนืองนิจ

คือ คนที่มีศีล อันหมายถึง
คนที่ไม่คิดก้าวล่วงใครในชีวิตเลย

ถ้าท่านเป็นผู้มีคุณสมบัติใน 4 บรรทัดข้างบนนั้น
พลังอำนาจจิตที่จะไปสั่นสะเทือนสมองเพื่อการคิด
ก็จะมีพลังอำนาจสูงมากไปตามนั้น

ถ้าท่านปรารถนาจะคิดพิจารณาสิ่งนั้นเรื่องนั้น
ให้ลึกซึ้งมากขึ้น แยบยลมากขึ้น
ให้เข้าถึงคำตอบในปัญหาที่ซับซ้อนยุ่งยากได้ดีขึ้น
ท่านก็จะต้องมีธรรมชาติสมาธิ หรือ "มหาสติ"
เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญเป็นตัวช่วยด้วย

เราได้กล่าวความจริงให้ท่านรู้ทั้งหมดแล้วว่า
ถ้าปรารถนาจะหลุดพ้นในชาติเดียวนี้
ท่านจักต้องมุ่งมั่นปฏิบัติในสิ่งที่เรากล่าวไว้
อย่าได้ขาดตกบกพร่องหรือว่างเว้นเลย

เพราะเพียงท่านรักษา 4 ประการนี้เอาไว้ได้
ท่านจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่.....

1).สามารถหมุนธรรมจักรได้สำเร็จ
2).ไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่มให้จิตวิญญาณท่านต้องเดือดร้อน
3).แก้ไขกรรมเก่าจากอดีตชาติให้ลุล่วงได้ในชีวิตประจำวัน

ขอให้ทุกท่านก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
สู่การหลุดพ้นในภพชาตินี้โดยทั่วกัน

เอเมน....สาธุ.......

ป.วิสุทธิปัญญา
3-1-2014



เราขอกล่าวตามความจริงว่า
เรามาจากพระบิดา
พระองค์ทรงใช้เรามา

มา...เพื่อมอบความรักจากพระองค์ให้กับท่าน
มา...เพื่อแจ้งข่าวสารการชำระโลก
มา...เพื่อการเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
มา...เพื่อนำพาแก่นแท้ของท่านกลับบ้าน
มา...เพื่อการพิพากษาโลก

เรามิได้มาเพื่อสร้างลัทธิใหม่/ศาสนาใหม่
แต่เรามาเพื่อประกาศว่า
ทุกศาสนาล้วนเป็นสากลและเป็นหนึ่งเดียวกัน

เรามิได้มาสร้างสำนักใดๆบนโลกใบนี้
แต่เรามาสร้างสำนึกใหม่ให้กับท่าน
นั่นคือ สำนึกแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน

เอเมน....สาธุ......

ป.วิสุทธิปัญญา
4-1-2014

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558

อรุณสวัสดิ์...วันแรกของปีแพะ




อรุณสวัสดิ์...วันแรกของปีแพะ
1 มกราคม 2015/2558

วันนี้วันดีมิติแห่งฟ้าจะถูกเปิดออก
เชิญพี่ๆน้องๆแห่งเราทั้งหลาย
ร่วมกันรับพระพรจากพระบิดาผ่านมาทางเรา
ด้วยปฏิบัติการสามเหลี่ยมแห่งรัก

เริ่มตั้งแต่พระสุริยะเบิกฟ้า จนเพลาลับโลก
เวลาใดก็ได้ วันนี้ทำกี่ครั้งก็ได้....
เพียง 3-12 นาที/ครั้งเท่านั้น

แล้วจงแบ่งปันพลังแสงแห่งรักจากพระบิดา
ให้แก่บุรพการีของตน
ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่หรือล่วงลับไปแล้ว

ให้แก่ญาติสนิทมิตรสหายของตน
ให้แก่ศัตรูของตน
ให้แก่ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร
ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้แก่เทพไท้เทวา
ซึ่งดำรงอยู่ทั่วทั้งสากลจักรวาลเป็นอาทิ
รวมทั้งมอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ด้วย

ประโยชน์ใหญ่จะบังเกิดแก่ท่านตลอดปีใหม่นี้
มหันตภัยที่ไม่ดีจักได้บรรเทาลงไปสมใจนึก
ขอให้ท่านทั้งหลายจงประสบความสำเร็จ
ด้วยพลังแห่งรักต่อพระบิดา
และด้วยพลังศรัทธาต่อเรา
โดยทั่วกัน.....เอเมน....สาธุ

โปรดบอกบุญนี้
ต่อเพื่อนนักเรียนของท่านด้วยนะ
จงอย่าได้พลาด
เพราะมีวันนี้ของปีเพียงโอกาสเดียว

ป.วิสุทธิปัญญา
1-1-2015