วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ทุกข์ได้แต่อย่าท้อ




ความทุกข์ คือ สิ่งที่เธอพบพานผ่านเผชิญแล้ว
ในใจรู้สึกว่าทนได้ยาก

เมื่อใดที่เธอ....ยอมรับในความทุกข์นั้นได้ เธอก็ไม่ต้องทน
เมื่อใดที่เธอ....คุ้นชินกับความทุกข์นั้นได้ เธอก็ไม่ต้องทน
เมื่อใดที่ใจเธอ....ไม่รู้สึกนึกคิดเอาว่ามันคือทุกข์ เธอก็ยิ่งไม่ต้องทน

ป.วิสุทธิปัญญา
16-06-2014

คืนกลับมาตามสัญญา





ATTN: 
อาชวารย นีรติ,สมกิจ รวยเต็มหัตถ์,Manassanant Porncharoenroj และนักเรียนห้อง Visudhi Punya ทุกคน

Question: ของคุณ อาชวารย นีรติ
.............................................
ขออนุญาตถามครับ.

ผมมีรุ่นน้องที่มีศรัทธาในพระคริสต์คัมภีร์มาก 
เขาเรียนเนื้อหาในนั้นอย่างหนัก
เพื่อจะเป็นศาสนาจารย์ในอนาคต 
แต่ผมเห็นว่าเขามีทิฏฐิและยึดตึดความหมายตามตัวอักษร 
เขาเห็นที่เราพูดกันถึงเรื่องพันธะสัญญา 6 แล้วเกิดจิตคัดค้าน 
ปรามาสว่าเป็นพระวจนเท็จไม่ควรรับฟังหรือทำตาม

ผมควรจะช่วยเหลือเขาอย่างไรดี

๑.เกรงจิตเขาจะปรามาสต่อพระบิดา ทั้งอาจารย์ และพระโอวาทจนเป็นบาปแก่เขา

๒.เราควรบอกเขาอย่างไรดีให้ยอมรับฟังและเข้าใจอย่างไม่มีทิฏฐิปิดกั้น

Answer:
......................................

1.สิ่งที่พวกเธอเผชิญนี่แหละ เป็นปัญหาของดาวเคราะห์โลก เป็นปัญหาของจักรวาล และเป็นที่รักห่วงใยของชาวฟ้าด้วยกันทั้งหมด เพราะหวั่นเกรงว่าปัญหาของชาวโลกที่เธอยกมาถามนี้ มันจะนำไปสู่การแตกสลายของจักรวาลระบบใหญ่ที่เรียกกันว่า "เอกภพ" ได้ในไม่ช้านาน ก่อนกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าเลยทีเดียว

2.สิ่งที่พวกเธอเผชิญนี่แหละ จึงเป็นแรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณแห่งเรา ที่เป็นเหตุให้เราต้องย้อนคืนกลับมา 

กลับมากอบกู้วิกฤติด้านจิตสำนึกทั้งของมวลมนุษย์แห่งโลกเสรีและจิตสำนึกแห่งดาวเคราะห์โลกดวงนี้อีกครั้ง เรากลับมาในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ เพื่อยกระดับจิตปัญญาที่ตกต่ำของมนุษย์ซึ่งกำลังดิ่งลงๆสู่ความเป็นผู้ใช้ได้แค่เพียงสัญชาตญาณเยี่ยงสัตว์ประจำโลก กับการใช้สันดานที่เคยตัวในการดำเนินชีวิต เช่น เห็นแก่กิน เห็นแก่กาม เห็นแก่เกียรติ เห็นแก่โกย เห็นแก่กาย เห็นแก่เกาะ เห็นแก่กู เห็นแก่กวน เห็นแก่โกง ฯลฯ 

เพราะจิตหยาบของผู้คนเหล่านี้ มีความผิดบาปต่อจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ในตนเอง ที่ขาดสำนึกทางวิญญาณกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ

< ได้แต่นึก ไม่ฝึกคิด
< คิดแบบอริยะหรือคิดแบบจิตจักรวาลไม่เป็น
< ยึดติดตัวตนของตน เช่น ความรู้สึกของตน ความชอบของตน ความเชื่อของตน ความลุ่มหลงงมงายของตน ครูของตน คัมภีร์ของตน ฯลฯ แล้วปฏิเสธความรู้ ความคิด ความจริงและไม่จริงของคนอื่นๆ
< ใช้ข้ออ้างแทนเหตุผล
< เหมือนจะมีเหตุผล แต่ก็ใช้เหตุผลไม่เป็น
< หลงตนเอง ข่มคนอื่น
< เกลียดกลัวการเปลี่ยนแปลง
< ดีแต่คิดบวกตามกระแส แต่คิดด้านบวกไม่เป็น
< ได้แต่คิดลบ แต่กลับคิดด้านลบไม่เป็น

คุณสมบัติด้านลบเหล่านี้ เธอสามารถพบเห็นได้จากคนเหล่านั้น และคนส่วนใหญ่ตามท้องถนนบนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้ ซึ่งเราเรียกพี่ๆน้องๆแห่งเราผู้เหลวไหลเหล่านี้ว่า "ผู้คนที่งมงาย เพราะสับสนในตนเอง"

3.เราจึงขันอาสาพระบิดาเพื่อลงมาฉุดช่วยมนุษย์แห่งโลกเสรี โดยเน้นสั่นสะเทือนกันแรงๆที่ประเทศไทย คล้ายดั่งแผ่นดินไหวที่มันจะกระจายคลื่นไปกระตุ้นให้ผู้คนได้รู้ตื่นคืนสติทางวิญญาณกันอีกครั้งจนทั่วทั้งโลก เพื่อแก้ไขปัญหาทั้ง 9 ประการดังกล่าวในแต่ละคนให้ลุล่วง

เราจึงกล่าวกับพวกเธอตลอดมาว่า ปฏิบัติการชำระโลกเพื่อการเปลี่ยนยุคของพระบิดาครั้งที่สี่นี้...มันจะมีจำนวนผู้เหลือรอดปลอดภัยน้อยกว่าที่ถูกเก็บชำระออกไปหลายร้อยเท่า....ซึ่งเรากำลังพยายามอยู่ทุกทิวาราตรีที่จะเก็บเกี่ยวเพิ่มเติมจากที่คิดคำนวณไว้ให้มากขึ้นอยู่เรื่อยๆ....อย่างไม่ย่อท้อ

จงปลดปล่อยพวกเขาไปเถอะ วางเสีย แล้วหันมาทำหน้าที่ดูแลจิตวิญญาณของเธอเองเถิดนะ เขาก่อกรรมแบบใดเขาสมควรต้องรับผิดชอบในผลกรรมนั้น...อย่าปล่อยให้ตนเองจิตตกเพราะยกเอาความทุกข์ของเขา ที่โง่งมงายเงิบๆอยู่มาเป็นทุกข์ของตนเองให้เป็นที่ลำบากทางจิตวิญญาณของเธอเลย 
วันข้างหน้า...เธอยังจะพบเจอคนพวกนี้อีกเยอะจนจะชินไปเอง

ที่สำคัญ คือ ผู้ใดต่อต้านเรา 
แสดงว่าพวกเขาได้ถูกพิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว....

4.ในวันข้างหน้า คนส่วนใหญ่ผู้สับสนในตนเองเหล่านี้ จะได้รับบทเรียนบทสุดท้าย คือ บทเรียนแห่งความกลัวตายเพราะไร้"กฤติสติ" และจะได้รับบททดสอบจิตสำนึกครั้งสำคัญก่อนถูกพิพากษาว่า เจ้าบ่าวผู้ที่เขารอคอยได้ย้อนคืนกลับมาตามสัญญาตั้งนานแล้ว 

กลับมาเพื่อจะนำทางพวกเขาเข้าสู่ประตูห้องหอ คือ ด่านนภาลัย 

ถ้าพวกเขาไม่งมงายอยู่กับการยึดติดเสื้อผ้าหน้าผม หนวดเคราและรองเท้าคู่เก่าของเรา...แค่เพียงเขาหลับตาลง แล้วน้อมใจรับฟังพระโอวาทพระบิดาที่ทรงสื่อผ่านมาทางเรา...พระบิดาจะเมตตาพวกเขาให้ได้รำลึกถึงเราคนที่พวกเขารอในบัดดล....
Amen....

ป.วิสุทธิปัญญา
30-05-2014

ทุกศาสนาล้วนเป็นสากล





พระพุทธองค์ มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวพุทธเท่านั้น

องค์เยซูคริสต์เจ้า ก็มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้กล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งพระบิดาต่อชาวคริสต์เท่านั้น

องค์นบีมูฮัมหมัดเจ้า ก็มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้กล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งพระบิดาต่อชาวมุสลิมเท่านั้น

แท้จริงแล้ว พระศาสดาทุกๆพระองค์ทรงเป็นพระศาสดาแห่งโลก

พระศาสดาทุกๆพระองค์จึงทรงเป็นเอกองค์มหาคุรุในต่างยุคสมัยกัน 
โดยเป็นผู้ทรงมีพระปรีชาญาณพิเศษและพระปรีชาชาญพิเศษในบทบาทของครูผู้ทรงรอบรู้ในเรื่องของความรักสำหรับชาวโลกต่างหาก มิได้จำกัดว่าทรงเป็นผู้นำของใครหรือของพวกใดพวกหนึ่งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง....
เราจึงกล่าวเสมอว่าทุกศาสนาล้วนเป็นสากล
พระศาสดาทุกๆพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน
สัจธรรมที่ทุกพระองค์ทรงสื่อหรือสั่งสอนมนุษย์ ล้วนมาจากต้นธารเดียวกันทั้งสิ้น

จงอย่านำศาสนามาสร้างเป็นลัทธิ
และจงอย่าลบหลู่พระศาสดาด้วยการดึงพระองค์ลงมาเสมอเพียงเป็นเจ้าลัทธิ

ป.วิสุทธิปัญญา
27-05-2014

คำสาบาน




คำสาบาน.....
มิได้มีพลังอำนาจใดที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความจริงที่จริงแท้ได้

ขณะเดียวกัน คำสาบานนั้น.....
ก็มิได้มีพลังอำนาจใดๆที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความเท็จให้เป็นจริงได้เช่นกัน
นอกจาก "หลอกให้ผู้อื่นเชื่อ" เท่านั้น

เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว....
เธอจะอ้างสัจจะด้วยการกล่าวคำสาบานให้เป็นที่ระคายเคือง
ต่อพระองค์ทำไมกัน

ป.วิสุทธิปัญญา
21-05-2014

วิธีดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข


บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง





กลับบ้านเถอะลูก....
องค์จิตจักรวาลทรงรอการหลุดพ้นของพวกเธออยู่...นอกระบบเอกภพ
ที่เป็นสวรรค์นิรันดร....

คำอธิบายว่า "ปัญญา" มีความหมายว่าอย่างไร ด้วยการยึดเอาหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มาท่องตามคำที่จำมานั้นมันเป็นวิธีที่พวกนั่งคิด นั่งมอง นั่งพิจารณาอยู่คนเดียวเขาใช้ปฏิบัติกัน...เพราะมันสร้างสติ รักษาสติ เพื่อการใช้ปัญญาคิดพิจารณาเรื่องนั้นๆได้อย่างต่อเนื่องที่เรียกว่า "อยู่ในสมาธิ" อย่างง่ายดาย

ลองนำมาใช้กับคนใกล้ตัว หรือคนข้างบ้านตอนที่พวกเขายื่นเงื่อนไขด้านลบให้เธอจนทำให้เธอไม่สบอารมณ์ดูสิ เธอจะควานหาไตรลักษณ์ที่นำมาอธิบายอย่างคล่องแคล่วนั้นได้จริงหรือเปล่า....

คำถามที่เป็นปัญหาของผู้ติดอยู่กับวิธีเดิมๆนี้ก็คือ...
1.เธอจะสร้างสติและรักษาจิตมิให้สติแตกได้อย่างไร เมื่อมีคนกวนสะทีนอยู่เบื้องหน้า ณ บัดนั้น

2.เธอจะทนต่อการยั่วยุนั้นได้ดีแค่ไหน โดยไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อต้าน และไม่คิดที่จะหลบเลี่ยงหรือหนีปัญหา แต่สามารถรักษาความสงบเย็นเอาไว้ได้อย่างมั่นคง

3.เธอจะเข้าถึงกฎไตรลักษณ์ที่ท่องมา แล้วหยิบฉวยมาใช้ได้ด้วยปัญญาที่ในตนได้ดีแค่ไหน

หมายเหตุ:
นั่งหลับตาใช้ปัญญาพิจารณากฎไตรลักษณ์นั้นมันไม่อยากหรอกนักเรียน เพราะสร้างสติและรักษาสติขณะอยู่คนเดียว นั่งนึกคิดอยู่คนเดียวนั้นมันเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ระวังจิตตนเองไม่ให้ว่อกแว่กเหมือนลิงที่อยู่ไม่สุขเท่านั้น

แต่ในชีวิตประจำวัน เธอยังมีคนรอบข้างที่จะสร้างเงื่อนไขรบกวนจิตใจเธอได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเงื่อนไขภายนอกที่เธอไม่อาจควบคุมได้ ไม่อาจคาดหมายล่วงหน้าได้....ถ้าไม่ฝึกฝนไปในชีวิตจริง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้จิตและปัญญาด้วยธรรมชาติสมาธิแบบลืมตา ไม่หนีหน้าผู้คน บำเพ็ญจิตตนให้มันแกร่งเข้าไว้ด้วยมหาสติแล้ว เธอไม่มีวันเข้าถึงสติ สัมปชัญญะ ปัญญา และสมาธิได้แน่นอน เพราะจิตใจเธอมันจะอ่อนไหวไปตามการยั่วยุของสิ่งเร้าทั้งภายนอกภายในได้เสมอ

อย่าคิดว่าห้ามจิตตนเองมิให้สั่นไหว กำกับมันไว้ให้สงบเย็นได้ ในยามอยู่เงียบๆคนเดียวได้แล้ว คือ ความเป็นเลิศ 

แต่การที่เธอสามารถอยู่ร่วมสังคมกับคนอื่นๆที่มีนิสัยและสันดานแตกต่างกันอย่างหลากหลายได้อย่างมีความสุข นี่ต่างหากคือยอดแห่งอริยะบุคคล....

เพราะอดทนต่อการกระทำไม่ถูกต้องของคนอื่นได้
เพราะอดกลั้นต่อการกระทำไม่ถูกต้องของคนอื่นไหว
เพราะให้อภัยต่อบุคคลที่ไม่สมควรจะให้อภัยได้........

นี่คือ ผลแห่งการปฏิบัติมหาสติ ในท่ามกลางสังคมเมืองโดยไม่ต้องปลีกวิเวก....ไม่ต้องเดินถ่างขาให้น่าเกลียด ไม่ต้องหลับตา-ปิดหู และไม่ต้องปลีกตัวเองไปอยู่คนเดียว....

มนุษย์จะไปสวรรค์คนเดียวไม่ได้หรอกนักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ป.วิสุทธิปัญญา
9-05-2014

กฎแห่งสัจจะ





กฎแห่งสัจจะ:

1.พระบิดาทรงกำหนดให้คลื่นการสั่นสะเทือนใดๆก็ตามที่เกิดขึ้น จากจุดเริ่มต้น จะคลี่คลายขยายตัวออกจากจุดศูนย์กลางหรือจากผู้สร้างการสั่นสะเทือนให้เกิดคลื่นนั้นออกไปโดยรอบ

2.คลื่นการสั่นสะเทือนแต่ละระลอกจะพาเหรดตามๆกันไปเรื่อยๆ จนคลื่นระลอกแรกเมื่อเดินทางถึงสุดขอบของสนามพลังงานของจักรวาล (ขอบของเอกภพ) ก็จะสะท้อนกลับทางเดิมเพื่อเคลื่อนตัวคืนสู่จุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือน หรือสั่นสะเทือนเคลื่อนไหลกลับคืนสู่ผู้สร้างการสั่นสะเทือนให้เกิดคลื่นนั้นเสมอ คลื่นระลอกต่อๆมาก็จะเกิดปรากฏการณ์แบบเดียวกัน

3.จุดใดเป็นจุดเริ่มต้นการสั่นสะเทือนของสิ่งใด จุดนั้นก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของการสั่นสะเทือนของสิ่งนั้นๆเสมอ

4.มนุษย์คนใด สร้างแรงสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิตตนเองให้เกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม แรงสั่นสะเทือนของจิตในขณะนั้น จะก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนของสนามพลังงานที่รายรอบตัวเธออยู่ด้วยอัตราความถี่และคุณสมบัติของคลื่นชนิดเดียวกันกับที่เธอผลิตสร้างมันขึ้นมานั่นเอง

คล้ายดั่งการเกิดระลอกคลื่นของน้ำ เมื่อเธอโยนก้อนหินลงไปนั่นแหละ
ถ้าหินก้อนใหญ่ และทุ่มลงไปแรงๆ คลื่นน้ำแต่ระลอกที่กระจายตัวออกไปจากจุดที่หินกระทบน้ำก็จะเป็นคลื่นระลอกใหญ่ เคลื่อนที่ออกไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

5.ถ้าเธอสั่นสะเทือนจิตใจของเธอแรงๆด้วยคลื่นความถี่ต่ำๆ อันเป็นความถี่ด้านลบจำพวกกิเลสตัณหา คลื่นการสั่นสะเทือนด้วยคุณสมบัติที่ว่านี้ มันก็จะทำให้สนามพลังงานของจักรวาลหรือของเอกภพที่ห่อหุ้มอุ้มโอบตัวเธออยู่ สั่นสะเทือนแรงเป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่ๆกระจายตัวออกไปจนสุดขอบจักรวาล โดยแต่ระลอกคลื่นนั้นมันก็จะพากันสะท้อนย้อนกลับคืนมาสู่ตัวเธอในบั้นปลาย

ถ้าระลอกคลื่นนั้นเคลื่อนขยายกระจายตัวออกไปเร็ว
ระลอกคลื่นนั้นมันก็จะพากันสะท้อนย้อนกลับมาหาเธอเร็ว ในสัดส่วนที่แปรตามกันเสมอ....

นี่แปลความหมายว่า ถ้าเธอสั่นสะเทือนจิตใจเธอจนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดเพื่อการกระทำสิ่งใด เรื่องใด ต่อใครในมิติโลกทางกายภาพหรือในมิติแห่งเนื้อหนังแล้ว แรงสั่นสะเทือนทางจิตของเธอ มันจะยังผลให้เกิดการสั่นสะเทือนของสนามพลังงานจักรวาล นำพาคุณสมบัติของคลื่นที่เธอสั่นสะเทือนมันขึ้นมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี เรื่องเลว กระจายตัวออกไปจากจิตเธอเป็นวงรอบจนสุดขอบจักรวาลเลยทีเดียว

พวกเธอจึงได้เรียนรู้ความจริง ในรูปของ "กฎแห่งกรรม" กันมาตลอดว่า
"ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว"
แล้วยังอธิบายความว่า "ปลูกสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น"

6.มีข้อพึงสังเกตอยู่ว่า....เนื่องจากสนามพลังงานแห่งเอกภพที่พวกเธอเรียกว่าสนามพลังงานแห่งจักรวาลนั้น มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก จึงยังผลให้กรรมดีกรรมชั่วที่ตัวพวกเธอก่อขึ้นในความเป็นมนุษย์ของพวกเธอนั้น เมื่อก่อมันขึ้นมาแล้ว บางกรณีมันก็จะส่งผลกลับมาช้า บางกรณีมันก็จะสะท้อนกลับมาสนองเร็ว เอาแน่นอนในการคิดแบบจิตมนุษย์ไม่ได้

บางคนกว่าคลื่นการสั่นสะเทือนของตนจะสะท้อนกลับคืนมาให้รับผิดชอบ อาจเป็นภพชาติถัดไป เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมหมดอายุขัยใช้งานเสียก่อน ขณะที่บางคนกรรมหรือการสั่นสะเทือนของตนนั้นจะสะท้อนคืนกลับมาให้รับผิดชอบเร็วกว่าที่คิด

7.ดังนั้น เธอจึงต้องจดจำไว้ว่า....
"กฎแห่งกรรม ไม่ต้องมีใครควบคุมมัน"
"กฎหมายหนีได้ แต่กฎแห่งกรรมนั้นหนีไม่พ้นแน่ๆ"
"ใครก่อกรรมทำเวรไว้ เมื่อตายแล้วยังต้องรอรับผลกรรมนั้นอยู่ ตายแล้วมิได้จบสิ้นกันง่ายๆอย่างที่คิด"

8.พระบิดาทรงแฝงสัจจธรรมเรื่องนี้ไว้กับ การปลูกถั่วเขียว ที่ลูกๆทั้งหลายมักเพาะไว้ทานกันมาตั้งแต่โบราณ เนื่องจากเป็นธัญญพืชที่มีทั้งโปรตีนชนิดที่ร่างกายต้องการ รวมทั้งวิตามินเอที่ใช้บำรุงอายตนะภายนอกทั้งห้ากับสารอาหารที่มีคุณค่าอื่นๆอีกมากมาย จนพวกเธอสามารถเพาะเอาไว้รับประทานเป็นประจำทุกมื้อทุกวันก็ได้

โดยพวกเธอจะสังเกตได้ว่า ถั่วเขียวจะต้องแตกโตเป็นถั่วงอกก่อนกว่ามันจะเติบโตเป็นต้นถั่วเขียวเสมอ นั่นคือ เมื่อเธอก่อกรรมใดไว้ กว่ากรรมนั้นจะสนองเธอก็ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งนั่นเอง

ก่อนที่เมล็ดถั่วจะเติบโตเป็นต้นถั่วเขียวนั้น พระองค์ทรงกำหนดให้มันต้องแตกโตเป็นถั่วงอกก่อนและพร้อมให้เธอรับประทานมันได้ด้วย เพื่อให้เธอระลึกได้ว่า...

แม้เธอจะปลูกถั่วเขียว แต่เธอกลับได้ถั่วงอกก่อน แปลว่าผลกรรมในมิติแห่งจิตวิญญาณนั้นมันจะส่งผลต่อมนุษย์เช่นเธอช้า เนื่องจากต้องใช้เวลาดังอธิบายไว้ข้างต้นนั้นแล้ว

กับการที่เธอสามารถทานถั่วงอกนั้นได้ ก็เพื่อทรงสั่งสอนเธอว่า ถั่วงอกนั้นมันก็เป็นผลกรรมจากการเพาะปลูกของเธอนั่นแหละ ซึ่งเธอเป็นเจ้าของมัน เธอสามารถเก็บเกี่ยวมันมารับประทานได้หากต้องการ หากปล่อยให้มันเติบโต ยังไงๆมันก็จะเป็นต้นถั่วเขียวที่จะให้ผลเป็นเมล็ดถั่วเขียวในวันหน้าแน่นอน มันจะไม่กลายพันธุ์ไปเป็นต้นอื่นเด็ดขาด

พี่ๆน้องๆแห่งเราทั้งหลาย....
จงใส่ใจในอารมณ์รู้สึกนึกคิดของตน ทุกขณะในยามตื่นเถิด
หากพวกเธอปรารถนาจะกลับบ้าน นอกระบบเอกภพ โดยมิพักต้องย้อนคืนสู่การมีภพชาติใหม่อีก ไม่ต้องเป็นเทพ เป็นเทวดา หรือว่ามาเกิดเป็นมนุษย์
พวกเธอจงละเลิกความเชื่อที่ว่า.....

1).ทำบุญเบื้องล่าง เอาไปสร้างเบื้องบน ทำบุญหลายหน ได้กุศลหลายครั้งเสียเถิด
2).การได้เกิดเป็นเทพ พรหม หรือมนุษย์ ในภพชาติต่อไป ถือเป็นที่สุดของเธอแล้ว จึงฝันอยากไปสวรรค์และกลัวการตกนรกขึ้นสมอง
3).กฎแห่งกรรมไม่มีจริง ตายแล้วก็จบ และไม่เชื่อเรื่องนิพพานเพื่อกลับคืนสู่สวรรค์นิรันดรของจิตวิญญาณแก่นแท้ในตนเอง

สาธุ....เอเมน....

ด้วยรักและห่วงใย
ป.วิสุทธิปัญญา
10-05-2014

ทำดีที่จิตสำนึก





จงก้าวตามเรามาอย่าช้าชัก
สิ่งของหนักผลักทิ้งอย่านิ่งเฉย
ทั้งบุญทานลาภผลอย่าสนเลย
จงคุ้นเคยทำดีเพราะดีจริง

การทำดีได้ดีนั้นดีแน่
อย่าเล็งแลแต่ผลดีที่ทุกสิ่
การทำดีได้ดีนั้นดีจริง
ไม่ต้องอิงผลดีสิควรทำ

ป.วิสุทธิปัญญา
11-05-2014

ทำไมมนุษย์ทุกคนต้องตาย?

:




 ทำไมมนุษย์ทุกคนต้องตาย?
..............................................
1.เพราะรับประทานสิ่งบริโภคที่ไม่ถูกต้องเข้าไปในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์น่ะสิ

2.เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ หรือกายสังขารนั้น เปรียบเสมือนรถยนต์นั่นแหละ ถ้าผู้ผลิตกำหนดให้เติมเชื้อเพลิงหรืออาหารประเภทใด เจ้าของรถยนต์คันนั้นก็ต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทนั้น จะดันทุรังไปเติมน้ำมันชนิดอื่นไม่ได้ เดี๋ยวเครื่องยนต์จะพังเสียหายหมดเลย

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ ถูกกำหนดสร้างโดยองค์จิตจักรวาล และผู้ลงมือสร้างตามพระบัญชาก็คือ พี่พลียะเดี้ยนส์รับผิดชอบการผลิตสร้างในมิติทางกายภาพจากกลุ่มดาวลูกไก่ และพี่อาร์คทอเรี่ยนรับผิดชอบการผลิตสร้างในมิติทางจิตวิญญาณจากกลุ่มดาววัว ซึ่งพี่ๆเขากำหนดให้เติมเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบเข้าไปทางปากด้วยการกินและดื่ม อาหารจำพวกพืช ผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืช และน้ำบริสุทธิ์เท่านั้น

3.แต่ในความเป็นจริงปรากฏว่า พวกเธอเปลี่ยนไปกินอาหารจำพวกเลือดเนื้อของสัตว์เข้า โดยกินมากกว่าพืชผักผลไม้และธัญพืชเสียอีกด้วย จึงเท่ากับว่าเติมเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบไม่ตรงกับที่ผู้ผลิตเครื่องยนต์แห่งกรรมกำหนดไว้นั่นเอง

รถยนต์ที่เติมเชื้อเพลิงผิดประเภท จะวิ่งไม่เรียบ เครื่องยนต์จะเดินสะดุดหรือกระตุก วิ่งไปส่งเสียงระเบิดทางท่อไอเสียไป แถมยังมีกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก ทั้งยังไม่มีเรี่ยวแรงจะวิ่งเร็วๆอีกด้วยสิ....เธอว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกนี้ เขามีอาการแบบนี้ไหมกล่าวคือ หลังอาหารจะท้องอืด อาหารไม่ย่อย ผายลมมีกลิ่นเหม็น เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย เป็นต้น

4.พอทำร้ายตนเองด้วยการทานอาหารผิดๆเช่นว่านี้ติดต่อกันนานหลายปีเข้า รหัสพันธุกรรมกับโครงสร้างทางชีวภาพจึงถูกเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม โครงสร้างทางชีววิทยารูปธรรมมนุษย์จึงเริ่มมีอายุขัยใช้งานสั้นลงเรื่อยๆ จนยุคนี้เกิดมาได้ไม่กี่ปีก็พากันตายไปหนึ่งภพชาติเสียแล้ว

5.ร่างกายมนุษย์ทุกคนนั้น แท้แล้วผู้สร้างมิได้มีข้อกำหนดใดๆเลยว่า ต้องตาย ต้องจบสิ้นอายุขัยกัน เพราะพวกพี่ๆเขาได้กำหนดคุณสมบัติของเซลอวัยวะร่างกายให้มันไม่มีวันตายหรือเสื่อมลง กล่าวคือ กำหนดให้เจริญเติบโตได้ ดำรงอยู่ได้ และสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของตนเองก็ได้ ซึ่งนักเรียนจะเห็นได้ว่าทุกสิ่งที่กำหนดเป็นคุณสมบัติขึ้นไว้นี้ เกื้อกูลต่อการไม่มีวันตายอย่างสิ้นเชิง

6.ถ้าอยากมีอายุขัยยืนยาว ก็จงรับประทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วน งดกินเนื้อสัตว์เด็ดขาด การทานเนื้อสัตว์นั้น นอกจากจะเป็นการฆ่าพี่ๆน้องของเธอเองอย่างโหดร้ายแล้ว มันยังป็นการทำร้ายตนเองให้อายุสั้นลงอีกด้วย

ดังนั้น คำตอบที่ถามว่า ทำไมมนุษย์ทุกคนต้องตาย ก็เพราะกายสังขารเสื่อมสมรรถภาพ ด้วยสาเหตุแห่งการกินที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวนี้สาเหตุหนึ่งล่ะนะ

จงมาร่วมกันฟื้นฟูเครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกเธอ 
ให้แข็งแรง และมีอายุขัยยืนยาวกันดีกว่านะ....

ป.วิสุทธิปัญญา
15-05-2014

กลไกกำหนดวันตายของมนุษย์





นี่คือกลไกกำหนดวันตายของมนุษย์:
เฉลยคำตอบว่าทำไมทุกคนจึงหนีความตายไม่พ้น!
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้"
เพราะทุกคนต้องตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นคำกล่าวที่ดูเหมือนว่าน่าจะถูกต้อง
ทั้งๆที่ความจริงที่เหนือจริงก็คือ.......
"มนุษย์ทุกคนไม่จำเป็นต้องตายเลย"
ถ้าหากรับประทานอาหารถูกต้อง ครบสูตร ครบหมู่

นั่นคือ......
การทานเลือดเนื้อของสัตว์เข้าไปในร่างกาย จนทำให้โรงงานผลิตสร้างโปรตีน(ดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอต่างๆ) ในร่างกายของตนเองพากันตกงาน ไม่มีงานทำกันมาช้านาน กายสังขารก็เลยเสื่อมสมรรถภาพไปตามกาล

นอกจากนั้น....
มนุษย์ทุกคนยังจะไม่ต้องตายให้เกิดมีภพชาติใหม่ๆเลยก็ได้
ถ้าแต่ละคนสามารถปฏิบัติตนให้เป็นคน "เหนือกรรม" ได้อย่างสิ้นเชิง
นั่นคือ....
รักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร ใช้จิตสำนึกดำเนินชีวิต!!!

แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์บนโลกเสรีนี้นั้น
แต่ละคนก็ยังคงกระทำผิดบาปต่อตนเอง ต่อผู้อื่น
ต่อพระบิดาผู้ทรงเป็นเอกองค์จิตจักรวาล
และกระทำผิดต่อดาวเคราะห์โลกของตนที่ได้อาศัยหยัดยืนอีกด้วย
เพราะขาดมหาสติ และขาดปณิธานแห่งนิพพานนั่นเอง

เมื่อมีการกระทำผิดบาปต่อกัน ผลกรรมที่เกิดขึ้นในมิติแห่งแก่นแท้ก็คือ รูปธรรมทางพลังงานที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าซึ่งเป็นได้ทั้งบวก คือ ผลกรรมดี และที่มีคุณสมบัติเป็นลบ คือ ผลกรรมที่ไม่ดี

ผลกรรมทั้งสองชนิดนี้นั้น มันคือ "ขยะพลังงาน" รายวัน ที่พวกเธอแต่ละคนขยันสร้างมันขึ้นไว้ในระบบโลกอย่างขาดสติและไร้จิตสำนึก ซึ่งพวกเธอจักต้องรู้ว่า ใครเป็นผู้สร้างขยะขึ้นมาให้รกโลก ใครคนนั้นก็จักต้องรับผิดชอบในการเก็บกวาดขยะของตนให้ออกไปจากระบบให้หมดสิ้น ขยะพลังงานที่ว่านี้ก็คือ อิเล็คตรอนอิสระกับโปรตอนอิสระในชั้นบรรยากาศโลกนั่นเอง

วิธีการกำจัดขยะพลังงานอันเกิดแต่กรรมของพวกเธอนั้น พระบิดาจะทรงอนุญาตให้แก่นแท้ของเธอทิ้งกายสังขารที่เป็นมิติแห่งเนื้อหนังเมื่อเสื่อมโทรมจนใช้การไม่ได้ สู่การเกิดมีภพชาติใหม่ต่อไปได้เรื่อยๆ ภายในหกหมื่นปีที่กำหนดให้เป็นยุคพลังงานเก่าเอาไว้แล้วนั้น ใครจะเวียนตายเวียนเกิดกันสักกี่ภพชาติก็ได้ ก็ให้มันเป็นไปตามอำนาจแห่งกรรมที่ตนกระทำ

สาเหตุที่ต้องยอมให้มีการตายแล้วเกิดใหม่นั้น นอกจากกายสังขารหรือเนื้อหนังมันเสื่อมคือ ชราภาพ จนใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อีกแล้ว ยังจะเป็นการย้อนกลับมาเกิดใหม่ให้ทันกับบททดสอบจิตสำนึกที่มันจะย้อนกลับมาสู่ตน ที่เรียกว่า "กรรมสนอง" เพื่อการแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง เพื่อการชดใช้ และเพื่อการเรียนรู้ในจังหวะที่เหมาะสม โดยในห้วงเวลาของการเปลี่ยนภพชาติใหม่นั้น แต่ละคนจะสามารถเปิดโอกาสให้คนอื่นๆที่เขายังมีภาระกิจแห่งกรรมที่ต้องรับผิดชอบอยู่เป็นจำนวนมาก ได้รับโอกาสให้สลับสับเปลี่ยนกันมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรี เพื่อทำหน้าที่ของแต่ละคนกันได้บ้างนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง การแบ่งปันโอกาส อันหมายถึงการมีภพชาติใหม่ในหมู่มวลมนุษย์จึงต้องบังเกิดขึ้น....

นักเรียนคงพอสรุปได้ว่า สาเหตุแห่งการมีภพชาติใหม่ ด้วยการตายของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ทุกๆคนนั้น มีเพียง 2 กอ.เท่านั้นเอง คือ

1).กินผิด
2).ก่อกรรมผิด

เมื่อจิตวิญญาณแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคน ต้องแบ่งปันโอกาสแห่งการเกิดใหม่ให้แก่กันและกัน โดยผู้ที่มีภารกิจแห่งกรรมหนักหนากว่าจะเป็นผู้ได้รับโอกาสให้มาเกิดก่อน...และให้มีอายุขัยที่ยาวนานกว่า

ส่วนผู้ใดที่มีภารกิจแห่งกรรมน้อยกว่า ก็จะต้องเป็นผู้ที่ต้องเสียสละหรือแบ่งปันโอกาสแห่งการเกิดใหม่ให้แก่ผู้ที่มีภารกิจน้อยกว่าตนเสมอ แถมยังต้องตัดทอนอายุขัยของตนให้น้อยลง เพื่อแสดงบทบาทแห่งการเป็นผู้ให้ ซึ่งนักเรียนจักต้องรู้ว่าพวกเธอแต่ละคน จึงต่างต้องถูกกำหนดให้มีวันเกิดและวันตายเอาไว้ล่วงหน้ากันแล้วทั้งสิ้น...มันเป็นเรื่องปิดลับมานาน แต่วันนี้เราจะเฉลยให้พวกเธอได้รู้ความ

(ดูภาพสไลด์ประกอบ)

กลไกที่พระผู้สร้างทรงกำหนดติดตั้งไว้ ภายในเครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกเธอทุกคน เพื่อกำหนดวันตายเอาไว้ให้ตั้งแต่แรกเกิดนี้
พระบิดาทรงเรียกว่า "ดิจิตัลลิส"

กลไก ดิจิตัลลิส ที่ว่านี้จะมีลักษณะเป็นรูปตัวยู หรือเกือกม้า
ทำด้วยโปรตีนชนิด DNA จำนวน 3 แท่งประกอบเข้าด้วยกันดังภาพ
ตรงบริเวณท้องตัวยู จะมีกลไกลักษณะคล้ายตลับยาหม่อง ยึดติดอยู่ ซึ่งกลไกชิ้นนี้จะทำหน้าที่เป็นสมองกลในการแปลรหัสสัญญาณไฟฟ้าของดิจิตัลลิสนั่นเอง
พระบิดาทรงเรียกว่า Lang Year

นอกจากนั้น บริเวณขาตัวยูทั้งสองข้าง ทั้งซ้ายขวา
จะถูกพันเอาไว้เป็นขดเกลียวอย่างเป็นระเบียบ ด้วยเส้นใยโปรตีนชนิด RNA โดยจำนวนขดเกลียวที่พันรอบๆแท่งดีเอ็นเอทั้งซ้ายและขวานั้น จะมีจำนวนขดเกลียวหรือจำนวนรอบที่พันไว้เท่ากัน หรือมีจำนวนเกลียวสมดุลกันเสมอ และเส้นใยสองเส้นที่ว่านี้ ปลายข้างหนึ่งก็จะยึดติดอยู่กับ สมองกล ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งก็จะไปยึดโยงเอาไว้กับเส้นใย อาร์เอ็นเอ ของชุดดิจิตัลลิสอื่นๆที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งปลายข้างหนึ่งจะเป็นขั้วลบ อีกข้างหนึ่งจะเป็นขั้วบวก

ยังมีกลไกสำคัญอีกชิ้นหนึ่งก็คือ ส่วนที่ทำหน้าที่เป็น "ขั้วต่างทางไฟฟ้า"
มีลักษณะคล้ายหนวดแมลงสาปสองเส้น ยึดโยงไว้กับกล่องสมองกลอีกด้วย

กลไกดิจิตัลลิสดังกล่าวนี้
จะถูกติดตั้งอยู่ในเซลอวัยวะร่างกายของมนุษย์ทุกคนทุกเซล และมีขนาดเล็กมากเล็กเสียจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไม่ว่าเธอจะใช้แว่นขยายที่ดีที่สุด มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ผลิตได้อยู่ในขณะนี้ก็มองไม่เห็น เพราะพระบิดาทรงรู้ดีว่า ถ้ามนุษย์รู้เห็นมันได้ง่ายๆ มนุษย์จะสร้างปัญหาใหญ่ให้แก่จักรวาลทันที

ตำแหน่งที่ทรงติดตั้งดิจิตัลลิสเอาไว้ก็คือ ซ่อนเร้นอยู่ในนิวคลิโอไทด์คู่ซ้ายของเซล ทั้งหมดทั่วร่างกาย ซึ่งนิวคลิโอไทด์คู่ซ้ายนี้พระองค์ทรงเรียกว่า "ดิจิตัล (Digital)" ขณะที่นิวคลิโอไทด์คู่ขวาของเซล พระองค์ทรงเรียกว่า "อะคอลเลี่ยนส์"

ชุดดิจิตัลลิสที่ว่านี้ ในมนุษย์แต่ละคน จะมีจำนวนขดเกลียวที่พันอยู่รอบๆขาตัวยูทั้งสองข้างไม่เท่ากัน คนที่มีอายุยืนยาวก็จะมีจำนวนขดเกลียวของเส้นใยอาร์เอ็นเอ ตรงขาตัวยูทั้งสองข้าง มากกว่าคนที่มีอายุขัยสั้นกว่าเสมอ โดยหนึ่งขดเกลียวหรือหนึ่งรอบที่พันอยู่จะคิดเป็นอายุขัยของคนๆนั้นเท่ากับ 6 ปี เช่น ถ้าขาตัวยูถูกพันเอาไว้ข้างละ 6 เกลียว สองข้างก็รวมกันเป็น 12 เกลียว เธอจะสามารถบอกได้เลยว่าอายุขัยของคนๆนี้ต้องเท่ากับ 12 x 6 = 72 ปีไม่มีผิดพลาดแน่นอน ที่พิเศษไปกว่านี้ก็คือ ขดเกลียวบนสุดทางส่วนปลายจะสามารถ แบ่งสัดส่วนความยาวต่อรอบออกเป็นจำนวนเดือนและจำนวนวันได้อีกต่างหากด้วย

หลักการทำงานของชุดดิจิตัลลิส ที่ต่อโยงกันอย่างเป็นระบบทั่วทั้งโครงสร้างทางชีววิทยา แบบอนุกรมนี้ ก็คือ

ขั้วต่างทางไฟฟ้าที่มีลักษณะคล้ายหนวดแมลงสาปในทุกเซลร่างกายและอวัยวะ จะถูกทำให้เคลื่อนที่ตัดผ่านโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก ที่ห่อหุ้มอุ้มชูพวกเธอและทุกสรรพสิ่งไว้ ด้วยการเหวี่ยงหมุนของดาวเคราะห์โลกในอัตราเร็วคงที่ คือ 24 ชั่วโมงต่อรอบ เมื่อขั้วต่างทางไฟฟ้าของชุดดิจิตัลลิสในระบบเซลเคลื่อนที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ คือ สนามแม่เหล็กโลกอย่างต่อเนื่องแล้ว มันก็จะก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในระบบเซลนั้นๆทันที โดยภายในเส้นใย RNA ที่ต่ออนุกรมกันไว้กับดิจิตัลลิสข้างเคียง จะเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าขึ้นมาได้ กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำนี้จะมีพลังสูงต่ำมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนขดเกลียวของเส้นใย RNA ที่เธอถูกกำหนดให้มาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว

วิธีกำหนดให้การตายของแต่ละคนเป็นไปตามกำหนด ไม่มีผิดพลาดก็คือ การวางแผนให้เซลอวัยวะร่างกายของเธอแต่ละคน ได้รับพลังงานจากการเหนี่ยวนำ
จากชุดดิจิตัลลิสซึ่งติดตั้งอยู่ทุกเซลทั่วร่างกายที่ว่านี้ ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คือ ให้ขาดแคลนเข้าไว้ในปริมาณที่กำหนดให้นั่นแหละ ความเสื่อมของสังขารของพวกเธอที่มีผลต่อวันตายจะเป็นสัดส่วนแปรตามพลังงานที่ได้รับเสมอ

การส่งสัญญาณกระตุ้น DNA จากนอกระบบโลก โดยช่างเท็คนิกที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ก็ส่งเส้นแสงซึ่งแปลงเป็นพลังงานความรักที่เข้มข้นเข้ามากระตุ้นขั้วต่างทางไฟฟ้าของชุดดิจิตัลลิสของพวกเธอที่ว่านี้โดยตรงเลย ใครมีพลังลบมากก็จะสับสนเสียสมดุลทางสภาวะจิต เช่น ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย โมโหร้าย สมองทึบ ประสาทเครียด ทั้งยังจะเกี่ยวเนื่องไปยังอาการเสียสมดุลทางกายอีกด้วย เช่น ท้องเสียไม่ทราบเหตุ อ่อนเพลียไม่มีแรง ขี้ลืมผิดปกติ เป็นต้น

ดังนั้นนักเรียนจะเห็นได้ว่า....มีสิ่งน่าคิดก็คือ

ถ้าโลกหมุนช้าลงหรือว่าเร็วขึ้น มันจะมีผลต่อการมีอายุขัยของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ คือ อายุสั้นลง อายุขัยตรงตามที่กำหนดให้ หรืออายุยืนกว่าทีกำหนดมา หรือเปล่า?

ถ้าความเข้มสนามแม่เหล็กโลกไม่คงที่ คือ 14 เก๊าส์ มันจะมีผลต่อกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่เกิดขึ้นในระบบเซลโดยชุดดิจิตัลลิสนั้นๆหรือไม่?

มันจะมีผลต่อสมรรถภาพการทำงานของอวัยวะจำพวกตับ ไต ไส้ พุง ปอด ตับ หัวใจ ม้าม และต่อมไร้ท่อต่างๆที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนไปในทางต่ำบ้างหรือเปล่า?

โลกทุกวันนี้ ทุกกรณีที่เราหยิบมาตั้งคำถามชวนพวกเธอคิดกันนั้นมันเป็นไปในทางเสื่อมคือต่ำลงทัั้งสิ้น มันไม่เป็นผลดีต่อกายสังขารและจิตวิญญาณของพวกเธอเลยใช่มั้ย?

ที่ผ่านมานั้น มนุษย์โลกทั้งหลาย
ต่างทำร้ายตัวเองอย่างเสรีด้วยกันทั้งสิ้น! ว่ามั้ย?

ด้วยรักและห่วงใย
ป.วิสุทธิปัญญา
16 พฤษภาคม 2557