วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ทรงโปรดเวไนย (ภาค 10)




พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระบิดาทรงติดตั้งจิตสามนึกของโลก
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตสามนึกมนุษย์
ตั้งแต่เมื่อแรกสร้างจักรวาล 
โลก มนุษย์ และทุกสรรพสิ่งแล้ว
คำว่า #จิตสามนึกเป็นหนึ่งเดียวกัน
ระหว่างโลกกับมวลมนุษย์นั้น
หมายถึงมนุษย์กับโลก
จะสั่นสะเทือนจิตสามนึกร่วมกันตลอด
โดยมีมนุษย์ทุกคนบนโลกเป็นผู้เริ่มต้น
ส่วนดาวโลกก็จะเป็นผู้สั่นสะเทือนตาม
ทั้งนี้ไม่ต่างจากการสั่นสะเทือนร่วมกัน
ระหว่างจิตสามนึกกับจิตใต้สำนึกนั่นล่ะ
ถ้าจิตสามนึกสั่นสะเทือนด้านบวก
จิตใต้สำนึกก็จะสั่นสะเทือนเป็นบวกตาม
ถ้าจิตสามนึกสั่นสะเทือนด้านลบ
จิตใต้สำนึกก็จะสั่นสะเทือนเป็นลบตาม
ดังนั้น ในยุคปัจจุบัน
ซึ่งเป็นปลายยุคพลังงานเก่านี้
เป็นยุคที่จิตสามนึกโดยรวมของมนุษย์
สั่นสะเทือนค่อนไปในทางต่ำมาก
ต่ำจนเข้าหาความเป็นสัตว์ประจำโลก
เข้าไปทุกทีๆแล้วนี้
จึงยังผลให้จิตสำนึกของดาวโลก
พลอยตกต่ำย่ำแย่ตามไปด้วย
เมื่อใดที่จิตสามนึกมนุษย์ค่อนไปทางต่ำ
การกระทำใดๆของมนุษย์ที่กระทำต่อกัน
มันก็จะเป็นพฤติกรรมก้าวล่วงกันทั้งสิ้น
พฤติกรรมก้าวล่วงคือเบียดเบียนทำร้าย
ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เสียประโยชน์
เสียหน้า เสียใจ หรือ เสียชีวิตนั่นเอง
ดาวโลกเสรีนี้ก็เช่นกัน
เมื่อจิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำ
จิตสำนึกของดาวโลกก็จะตกต่ำลงด้วย
ซึ่งตัวบ่งชี้ว่าขณะนี้จิตสำนึกโลกตกต่ำ
คือการเกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้นถี่ขึ้นทุกที
จนทั่วทุกภูมิภาคของแผ่นดินโลก
ดังคำกล่าวของเราที่ว่า
ถ้ายุคใดที่จิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำ
มนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยพิบัติเสมอ
ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า
ทุกวันนี้...นับวันสังคมชาวโลก
จะทำผิดคิดร้ายต่อกันมากขึ้น
จะทำทุศีลแบบไม่กลัวบาปง่ายขึ้น
ขณะที่โลกก็เกิดภัยพิบัติแบบต่างๆ
ที่รุนแรงขึ้น ถี่ขึ้น ขยายพื้นที่มากขึ้น
จนคร่าชีวิตมนุษย์ไปแล้วตั้งมากมาย
ทำลายทรัพย์สินมนุษย์แล้วนับไม่ถ้วน
มนุษย์กับโลกจึงขาดกันไม่ได้
มนุษย์พึ่งพาโลกให้เป็นที่เหยียบยืน
ถ้าไม่มีแผ่นดินโลกมนุษย์จะไร้ที่ยืน
จะไม่มีที่วางศีรษะของตนเลย
โลกก็พึ่งพามนุษย์ให้ช่วยเหวี่ยงหมุน
ถ้าโลกไม่หมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ดาวโลกดวงนี้ก็จะเสียสมดุลทันที
มนุษย์ใช้พลังความรักที่มีต่อกัน
เป็นดั่งเชื้อเพลิงในการจุดระเบิด
แกนแม่เหล็กโลกในใจกลางโลก
ที่ทำด้วยออกซิเจนเหลวบริสุทธิ์ 100%
ซึ่งเป็นก้อนกลมที่มีขนาดใหญ่มาก
มีลักษณะเหนียวหนืดคล้ายตังเม
ความรักจากจิตมนุษย์ที่มีต่อกันนั้น
จะถูกเหวี่ยงออกมาภายนอก
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ประมาณ 1 % เท่านั้นที่จะแทรกตัวลงไป
ทำปฏิกริยานิวเคลียร์ (Nuclear Fission)
กับอะตอมของธาตุออกซิเจนที่แกนโลก
ในแบบปฏิกริยาลูกโซ่ (Chain Reaction)
โดยปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่แกนโลก
เฉพาะด้านที่เป็นกลางวัน
ซึ่งเป็นยามตื่นของมนุษย์โลกเท่านั้น
จึงยังผลให้แกนโลกระเบิดด้านเดียว
เพราะความเหนียวหนืดของแกนโลก
จึงทำให้แกนแม่เหล็กโลกบิดตัวได้
เมื่อด้านที่เคยมืดเปลี่ยนเป็นกลางวัน
ด้านที่เป็นกลางวันจะเปลี่ยนเป็นกลางคืน
ทุกชีวิตจะพากันหลับไหลนิ่งสงบ
ส่วนมนุษย์อีกซีกหนึ่งของโลกก็จะตื่น
เพื่อทำหน้าที่ให้ความรักของตนต่อกัน
แล้วแบ่งปัน 1% ให้แกนโลกแทน
แกนโลกอีกด้านหนึ่งก็จะระเบิดแทน
การบิดตัวของแกนโลกด้านนี้
จะสอดรับกับการบิดตัวของอีกด้านหนึ่ง
โดยเป็นเช่นนี้เรื่อยไปไม่รู้สิ้นสุด
โลกจึงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้จนบัดนี้
มนุษย์ทุกวันนี้
รักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น
ไม่รู้จักว่าความรักบริสุทธิ์นั้นคือการให้
โดยไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน
ไม่รู้จักว่าความรัก
คือการอดทน อดกลั้น ให้อภัย
คือความมีจิตใจเมตตากรุณาต่อผู้อื่น
มนุษย์จึงผลิตพลังงานให้โลกไม่ได้
ทำให้ดาวโลกเกิดการเสียสมดุลขึ้น
เพราะแกนโลกมีการระเบิดน้อย
แรงสั่นสะเทือนด้านบวกจึงมีน้อย
หมายถึงจิตสำนึกโลกตกต่ำนั่นเอง
ภัยพิบัติจึงเกิดขึ้นมากมายดังที่เป็นอยู่
ขณะที่โลกถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่า
ได้เวลาที่จิตวิญญาณพวกท่าน
อาสาเข้ามาทำหน้าที่ผลิตรักให้โลก
ครบ 60,000 ปีโลกแล้วด้วย
จึงเป็นคาบเวลาสุดท้ายที่จะเปลี่ยนยุค
ซึ่งพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
จักต้องจัดระบบองค์กรโลกนี้ใหม่
สร้างสมดุลใหม่ในสองมิติ
เพื่อยกระดับปรับสมดุลโลกให้สูงขึ้น
ให้เหมาะที่จะเป็นโลกยุคพลังงานใหม่
ที่จะมีพลังอำนาจมากกว่าเดิม 2 เท่า
ดังนั้น
ภัยพิบัติอันเกิดจากมนุษย์โลกทำเอง
กับภัยพิบัติอันเกิดจากการชำระโลก
เพื่อยกระดับปรับสมดุลดังกล่าวนี้
มันจึงมาสอดคล้องต้องกันพอดี
เราจึงเตือนท่านทั้งหลายมาตลอดว่า
ความรักแท้ของพวกท่านเท่านั้น
ที่จะช่วยให้ภัยพิบัติลดทอนลงได้
ทั้งความรุนแรงและความถี่ของการเกิด
ขณะเดียวกันเรายังเตือนท่านด้วยว่า
ขยะพลังงานจิตที่เป็นกิเลสตัณหา
เช่น ความโกรธ ความโลภ ความงมงาย
ซึ่งเป็นอารมณ์ขยะรายวันทั้งหลาย
มันจะเป็นตัวเร่งให้เกิดภัยพิบัติแรงขึ้น
เราจึงเตือนท่านทั้งหลายด้วยว่า
ถ้าท่านทั้งหลายยังจำผู้ที่เคยกล่าวไว้ว่า
เมื่อพระบิดาพิพากษาโลกจะกลับมา
จะมาพาเจ้าสาวที่ถือตะเกียงรอ
เข้าสู่ประตูเรือนหอ คือ ด่านนภาลัย
ก็จงรับรู้ด้วยว่าเรามาแล้ว
เราเคยกล่าวว่า
เราจะกลับมาตะโกนร้องเรียกหา
ประดาแกะของเราที่เราเคยดูแล
ซึ่งขณะนี้กำลังหลงทางอยู่
ถ้าตัวไหนจำเสียงเจ้าของแกะได้
ก็ให้รีบกลับมาเข้าคอกเสียโดยไว
จงรับรู้ไว้เถิดว่า
นี่เป็นเสียงเพรียกจากเราเองใช่ใครอื่น
เรายังเคยกล่าวว่าเราจะกลับมา
ในวันที่พระบิดาทรงพิพากษาโลก
พร้อมทีมเท็คนิกจากพระบิดา
เพื่อมาช่วยกัน "คัดปลา" ขึ้นจากน้ำ
คัดปลาตัวที่ไม่เคยเป็นแกะของเรา
แต่เป็นปลาที่จะถูกคัดไว้ในความรอด
คัดนำขึ้นเรือเพื่อให้ชีวิตใหม่ต่อไป
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาเป็นความจริง
ทุกสิ่งที่กล่าวไว้ในอดีตล้วนเป็นสัจจะ
เราจึงกลับมาทำหน้าที่ตามสัจจะที่ให้ไว้
ถ้าท่านทั้งหลายพร้อมรักษาสัจจะ
ก็จงหันหน้าเข้ามาหาเรา
แต่มิใช่หันมาเพื่อประโยชน์แห่งเรา
จงหันมาเพื่อเอาประโยชน์จากเราเถิด
ก่อนประตูแห่งโอกาสบานนี้จะถูกปิด
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-07-2017