วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

สะพานทอดจากภูกระต่ายข้ามไปสุญตา


#สะพานทอดจากภูกระต่ายข้ามไปสุญตา

ขอนำรัก ถักสาน สะพานเมฆ
ตั้งจิตเสก โอกาส ใครยาตรผ่าน
"ภูกระต่าย" ตั้งต้น บนสะพาน
ปลายอีกด้าน ถึงสวรรค์ นิรันดร

จิตจักรวาล สถานธรรม นำสัมฤทธิ์
ยุวจิต จักรวาล ใฝ่การสอน
ไซโคโชว์ เชิญธรรม นำสัญจร
สิ้นทุกข์ร้อน เพลินใจ ใกล้นิพพาน

สะพานนี้ มีนิพพาน เป็นมั่นหมาย
รักเรียงราย ร้อยจิต ผู้คิดผ่าน
สู่ปลายทาง ชื่นชิด "จิตจักรวาล"
คืนสู่บ้าน สุญตา ในบัดดล

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-09-2017

สนทนาประสาจิตจักรวาล-ความฉลาดทางปัญญา




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

มนุษย์ส่วนใหญ่
ชอบโทษผู้อื่นที่ทำร้ายตน
แต่ไม่เคยโทษตนเอง
ที่เป็นเหตุให้เขาทำร้ายเลย

มนุษย์ส่วนใหญ่
ไม่ยอมเรียนรู้ว่าทำไมเขาจึงทำร้ายตน
ไม่ยอมเรียนรู้ว่าเขาทำร้ายตนได้อย่างไร
เพื่อจะได้รู้วิธีป้องกันตนเองไว้
มิให้ถูกทำร้ายอีกในครั้งต่อๆไป

แต่กลับเสียเวลาให้กับการก่อกรรมใหม่
ด้วยการคิดหาหนทางทำร้ายเขากลับคืน
ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ร้าย
แทนการใช้ความรักกับปัญญา
จัดการปัญหาระหว่างกันและกั
เพื่อรักษาสัมพันธ์ระหว่างกันเอาไว้

จึงทำให้ความเลวของทั้งสองฝ่าย
ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
ทั้งยังไม่ทำให้ใครฉลาดขึ้นมาได้
เพราะการเรียนรู้กันเลยสักนิดเดียว

จิตมนุษย์จึงไม่ใสใจมิอาจสวยขึ้นมาได้
เพราะต่างคนต่างฝ่ายขาดมหาสติ
จิตใจจึงถูกไฟโทสะเผาสุมรุมเร้า
จึงคิดแต่จะหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
คิดนึกอย่างอื่นไม่เป็นเห็นธรรมไม่ได้
แม้จะปฏิบัติบำเพ็ญธรรมมานา
ก็นำพาจิตวิญญาณไปถึงแดนสุญตามิได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เมื่อท่านจะออกจากบ้านไปทำธุระข้างนอก
ถ้ารู้ว่าฝนจะตกท่านยังรู้จักพกพาร่มไปด้วย
เพราะท่านไม่ต้องการเปียกฝนใช่หรือไม่
แต่ถ้าท่านไม่ต้องการเปียกฝ
ท่านก็คงจะต้องเก็บตัวอยู่กับบ้าน
ส่วนเรื่องธุระนั้นก็เก็บเอาไว้ก่อน

มันจึงไม่ต่างจากการออกไปใช้ชีวิตในสังคม
ซึ่งมีผู้คนทั้งดีและร้ายปะปนกันอยู่มากมาย
เมื่ออยู่ในสังคมย่อมพบเจอทั้งคนดีที่เราชอบ
และต้องพบเจอคนไม่ดีที่เราไม่ชอบด้วย

ดังนั้น
เมื่ออยู่ในสังคมท่านจึงต้องมีสติระวังตน
เพราะท่านรู้ดีว่าต้องพบเจอคนชั่วแน่ๆ
ไม่ต่างจากการถือร่มไว้กันฝ
เมื่อท่านต้องออกนอกบ้าน
เพราะท่านรู้ดีว่าฝนจะต้องตกแน่ๆ

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เมื่อท่านมีปัญหากับใครหรือสิ่งใดก็ตาม
มันมีสองทางเลือกให้ท่านทำ
หนึ่ง เลือกทำที่ตัวเอง
เพื่อให้ปัญหานั้นลุล่วง

สอง เลือกทำที่คนอื่นสิ่งอื่น
เพื่อให้ปัญหานั้นลุล่วง

ตรึกตรองเถิดว่า
ถ้าทุกปัญหาจะสิ้นสุดยุติได
ควรจะจัดการแก้ไขที่ใครง่ายกว่ากัน
ระหว่างตัวท่านเองกับคนอื่น

ด้วยเหตุนี้เอง
ท่านจึงเลือกจัดการที่ตนเอง
ด้วยการพกพาร่มออกจากบ้านไปด้วย
แทนที่จะไปจัดการห้ามฝนมิให้ตก
เพราะท่านรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้

มันจึงไม่ต่างอะไรกันกับการใช้ชีวิตในสังคม
ที่ท่านจักต้องจัดการแก้ไขป้องกันที่ตนเอง
โดยครองสติเอาไว้ให้มั่นคงตลอดเวลา
เมื่อได้เผชิญหน้ากันกับคนชั่ว
ก็จักไม่พลาดท่าเสียทีถูกทำร้ายง่ายนัก
ซึ่งท่านไม่เลือกใช้วิธีไปเที่ยวบังคับคนชั่ว
มิให้มายั่วยุทำร้ายท่าน
เพราะมันมิใช่เรื่องง่ายดายเลย

ดังนั้น
เมื่อใดที่ท่านตกเป็นฝ่ายถูกก้าวล่วงทำร้าย
ท่านจึงไม่ควรติโทษคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียว
เพราะตัวท่านเองซึ่งมีหน้าที่ปกป้องระวังตน
ก็บกพร่องจนเปิดช่องให้เขาทำร้ายเอาได้

หากท่านยอมรับสัจธรรมความจริงนี้ได้
จิตใจของท่านก็จักใสสวยสงบเย็นทันที
ความอาฆาตพยาบาทก็จะไม่บังเกิด
ให้ต้องเสียเวลาทำใจเพื่อให้อภัยในภายหลัง
ซึ่งแค้นฝังใจมันมิอาจถอนแค้นกันได้ง่ายนัก

มนุษย์ส่วนใหญ่พยายามแก้ไขปัญหา
ด้วยการพยายามจะจัดการที่คนอื่นตลอดมา
แต่ทั้งชีวิตก็ยังเต็มไปด้วยปัญหา
เพราะว่าไม่เคยจัดการใครได้สำเร็จเลยสักราย

มนุษย์ส่วนใหญ่เหล่านี้
จึงต้องเลือกใช้วิธีบำเพ็ญธรรม
ด้วยการนำพาตนเองขึ้นเขาเข้าป่า
เพื่อแสวงหาวิธีดับทุกข์แบบแปลกๆ

วิธีที่มักนิยมใช้เป็นเครื่องมือดับทุกข์กัน
คือการฝึกเท็คนิกสมาธิแบบ "ไม้ทับหญ้า"
ด้วยการใช้จิตข่มจิตเอาไว้มิให้พลุ่งพล่าน
เพื่อสัมผัสถึงอาการเบาสบายเมื่อจิตสงบ
ซึ่งเป็นการพบความสุขสงบแค่ชั่วคราว

เมื่อออกจากสมาธิไปใช้ชีวิตปกติในสังคม
แรงอาฆาตพยาบาทก็ยังคงอยู่
นิสัยการดำเนินชีวิตแบบเข้าข้างตัวก็ยังอยู่
เพราะมัวแต่ไปนั่งสมาธิอย่างคร่ำเคร่ง
แต่ยังมิได้จัดการแก้ไขที่จิตใจตนเองเลย
พอมีคนชั่วคนใหม่มายั่วยุยียวนกวนใจอีก
พลันก็ปรี๊ดแตก! สติแตก! อยู่ซ้ำซาก
เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ถูกจุด

เพราะหนทางดับทุกข์ใจจากไฟพยาบาทนั้น
แท้จริงแล้วต้องหยิบปัญญามาดับมัน
มิใช่เอาอะไรมากลบๆไฟนั้นไว
เพราะเชื้อไฟนั้นมันยังอยู่
มันพร้อมจะลุกพรึบขึ้นมาใหม่ได้เสมอ
หากถูกยั่วยุยียวนเหมือนถูกราดด้วยน้ำมัน

มรรควิถีจิตจักรวาล
จึงเน้นให้ท่านปฏิบัติธรรมชาติสมาธิ
ด้วยการครองมหาสติในชีวิตประจำวัน
และช่วยติดอาวุธทางปัญญาให้ท่าน
เพื่อสามารถหยิบปัญญามาดับทุกข์ได้
เพราะเรามั่นใจว่า
ความฉลาดทางปัญญาเท่านั้น
ที่จะช่วยท่านดับการเกิดดับได้อย่างสิ้นเชิง

ลองเปลี่ยนแปลงวิธีคิด 
ลดละทิฐิของท่านลงเสียบ้าง
วิถีชีวิตของท่านทั้งหลายจะเปลี่ยนไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30-09-2017

สนทนาประสาจิตจักรวาล บทบาทนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง





#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การเป็นฆราวาสผู้ครองเรือน
ในบทบาทนักสู้เพื่อการรู้แจ้งนั้น
หน้าที่หลักๆที่ต้องทำในชีวิตประจำวัน
#เพื่อการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม
ให้เกิดความก้าวหน้าจนกว่าจะหลุดพ้นได้
มีคำแนะนำให้ท่านดังต่อไปนี

1.ท่านต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับใครก็ได้
ไม่ว่าใครคนนั้นจะมีนิสัยใจคออย่างไร
ท่านจะชอบหรือไม่ชอบนิสัยของเขา
ท่านก็ต้องรักษาสัมพันธ์อันดีนั้นไว้เท่าชีวิต

จงอย่าตัดสัมพันธ์กันกับใครง่ายๆ
จงอย่าทำลายความสัมพันธ์อันดีกับใคร

หมายความว่า
ในการเป็นมนุษย์ของพวกท่านนั้น
ความสัมพันธ์อันดีต่อกันนั้นเป็นเรื่องใหญ่

จงอย่ายอมให้อารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการ
รวมทั้งอุปนิสัยใจคอที่ต่างกันของพวกท่าน
สบั้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน

หากท่านทำสำเร็จ
ท่านจักได้ชื่อว่าเป็นผู้บรรลุธรรมข้อหนึ่ง
เพราะท่าน #หมุนธรรมจักร ได้แล้ว

2.ท่านต้องเลิกละการแสวงหาความสุข
อีกทั้งละเลิกการหนีทุกข์ทั้งปวงให้สิ้น

เพราะการมุ่งแสวงสุขและการหนีทุกข์นั้น
ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรท่านจะมิอาจพบ
นอกจากอยู่อย่างสงบโดยไม่หนีไม่หา
เพราะเหตุว่าทุกข์กับสุขมันอยู่ที่ใจท่าน
มันมิได้อยู่ที่คนอื่น สิ่งอื่น ที่อื่นไงล่ะ

#ท่านจะไม่สามารถบรรลุธรรมสูงสุดได้หรอก
#ถ้าท่านไม่เปล่งแสงธรรมออกมาจากข้างใน

พินิจดูดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์สิ
ความร้อน ความเย็น แสงสว่าง กับรังสี
ที่โดดเด่นเห็นสง่าก็เปล่งมาจากข้างใน

ดอกไม้น้อยใหญ่ซึ่งมีสีสันสดใสสวยงาม
ล้วนต้องบานเบ่งเปล่งสีออกมาจากข้างใน

แล้วใยความสุขที่ในจิตใจท่า
ยังต้องการ "นำเข้า" เอามาจากข้างนอก
ยังต้องให้สิ่งนอกคนนอกหยิบยื่นมาให้

รู้มั้ยว่า....มันอันตรายต่อจิตใจท่านมาก
เพราะสิ่งที่รับเข้าสู่ใจโดยมิได้คัดกรอง
ใช่ว่าจะถูกต้องตรงใจท่านไปเสียทั้งหมด

เขายื่นดีมาให้พอรับไว้ก็สุขใจโดยพลัน
เขายื่นร้ายมาให้พอรับไว้ก็ทุกข์ใจทันที
มันเหมือนตัวท่านไม่มีอำนาจในตนเองเลย

แล้วท่านจะเป็น #สรรพสิ่งหนึ่ง ในจักรวาล
ที่ต้องมีพลังอำนาจในตนเองได้อย่างไร
อีกทั้งท่านยังประพฤติผิดธรรมชาติอีกด้วย

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เพียงแค่ท่านอยากจะมีความสุขก็ทุกข์แล้ว
เพียงแค่ท่านอยากจะหนีทุกข์ก็สิ้นสุขแล้ว

ทางเลือกของท่านมีทางเดียวเท่านั้น
คือต้องอยู่กับทุกข์และสุขนั้นให้ได้
โดยต้องไม่เกลียดกลัวความทุกข์
ไม่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับความทุกข์
ไม่ละโมบมักมากในความสุข
ไม่ยินดียินร้ายในสุขและทุกข์

หากท่านทำสำเร็จ
ด้วยการไม่ติดสุขไม่ติดทุกข
ไม่จำต้องดิ้นรนที่จะหาหนทางพ้นทุกข์
ท่านจักได้ชื่อว่าเป็นผู้บรรลุธรรมอีกข้อหนึ่ง
เพราะท่านเข้าถึง #การดับทุกข์ ได้แล้ว

3.ไม่ว่าชีวิตประจำวันของท่าน
เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งใดเรื่องใดก็ตาม
จงทำตนกลมกลืนไปกับมันให้ได
โดยไม่ขัดข้อง ไม่ขัดขืน ไม่ขัดขวาง
โดยไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อต้าน

จงฉลาดใช้ปัญญาหาทางออกจากปัญหา
อย่างแยบยลและสง่างามเถิด

จงฉลาดใช้ความรักแทนการใช้อารมณ์ขยะ
เข้าจัดการกับคนที่ทำตนไม่น่ารักต่อท่าน
โดยไม่มีการยกเว้นแม้เพียงหนึ่งคน
โดยไม่ต้องสนใจในรายละเอียดว่าใครถูกผิด

เพราะเรื่องผิดถูกนั้นมันเป็นแค่สิ่งสมมติ
แต่เรื่องความสัมพันธ์ต่อกันนั้นเป็นเรื่องจริง
เพราะเหตุว่าทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
ต่างล้วนรัดรึงดึงดูดซึ่งกันและกันไว้
จึงอยู่ร่วมกันเป็นระบบเดียวกันได้
ที่ท่านทั้งหลายเรียกว่า #เอกภพ นั่นแหละ

ถ้าท่านทำสำเร็จ
ท่านจักได้ชื่อว่าบรรลุธรรมอีกข้อหนึ่ง
เพราะท่านเข้าถึง #อำนาจในตนเอง ได้แล้ว
นั่นคือ "ความรัก" กับ "ความเฉลียวฉลาด"
เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าท่านเป็นมนุษย์

4.ท่านจะต้องไม่ก้าวก่าย "หน้าที่" ของผู้อื่น
ท่านต้องไม่หยิบยื่นเงื่อนไขร้ายๆให้ใคร
ทั้งคำพูดจาและการแสดงออกทั้งหลาย
จักต้องสงบ สำรวม และมีมหาสติไว้ตลอด

จะได้ไม่ทำตนเป็นเงื่อนไขร้ายๆให้ใคร
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
ท่านจะได้ไม่ชักชวนใครให้ไปนรก
เพราะต้องอกตรมขมขื่นจากท่านเป็นเหตุ

ถ้าท่านทำสำเร็จ
ท่านจักได้ชื่อว่าบรรลุธรรมอีกข้อหนึ่ง
เพราะท่านเข้าถึง #สันติสุข ได้แล้ว

5.ท่านจักต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
จะหยิบปัญญามานิพพานบางสิ่ง
ที่เกิดขึ้นอยู่ภายในจิตใจท่านได้อย่างไร
เป็นต้นว่า

1) ดับการเกิดดับของกิเลสตัณหา
2) ดับการเกิดดับของราคะจริต
3) ดับการเกิดดับของอารมณ์ขยะ
4) ดับการเกิดดับของทุกข์และสุ
5) ดับการเกิดดับของนิวรณ์

ท่านมีแนวคิดแนวทางดับอาการทั้ง 5 นี้
ที่มันคอยจะผุดโผล่ขึ้นมาในจิตใจท่าน
ในช่วงเวลาระหว่างวันได้อย่างไร
ที่มันจะค่อยๆเลือนลับดับหา
โดยมันทั้งห้าไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลยชั่วชีวิต

ถ้าท่านทำสำเร็จ
ท่านจักได้ชื่อว่าบรรลุธรรมอีกข้อหนึ่ง
เมื่อท่านเข้าถึงซึ่ง #การพ้นทุกข์ ได้แล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพียงท่านปฏิบัติบำเพ็ญทั้ง 5 ข้อใหญ่
ที่เราสาธยายไว้ตั้งแต่ต้นนี้
ให้เรียบร้อยสมบูรณ์พูนผลในระหว่างวัน

โดยไม่ต้องหนีทุกข์ไปเข้าป่
โดยไม่ต้องหนีปัญหาไปเข้าดงพงไพร
โดยมิต้องนั่งหลับตาภาวนาใด
คงใช้ชีวิตไปตามปกติอยู่กับคนรอบข้าง
แสงสว่างก็จะบังเกิดขึ้นในจิตตปัญญา
ท่านก็สะกดคำว่า #นิพพาน เป็นแล้วล่ะ

     
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-09-2017

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

"สอน" ธรรมะ กับคำว่า "อวด" ธรรมะ




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

คำว่า "สอน" ธรรมะ 
กับคำว่า "อวด" ธรรมะ
สองคำนี้ยังมีหลายคนเข้าใจสับสน
แต่ละคนเข้าใจว่ามีความหมายเหมือนกัน
โดยเข้าใจว่า "สอนธรรมะ"
กับ "อวดธรรมะ" มีความหมายเดียวกัน
ทั้งๆที่แท้จริงแล้วมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.คำว่า "อวด" นั้น 
หมายถึง
การบอกคนอื่นให้รู้ว่า "ตนรู้อะไรบ้าง"

คำว่า "อวด" นั้น 
หมายถึง การแสดงออก
ในสิ่งที่ตนเป็นอยู่มีอยู่หรือรู้อยู่
ให้คนอื่นรู้เห็น
โดยทั่วไปก็จะมีอยู่ 2 อวด ดังนี้คือ

#จำอวด คือ จำเขามาอวดว่าตนก็มีดี
เพื่อให้ผู้อื่นเขายอมรับนับถือหรือซูฮกตน

#โอ้อวด คือ แสดงออกในสิ่งที่ตนมีอยู่
เพียงเพราะต้องการข่มผู้อื่นไว้
จะทำให้ตนเองเด่นกว่า เหนือกว่า
เพื่อให้ผู้อื่นยกย่อง และยอมรับ

นอกจากนั้น
การแสดงออกด้วยคำพูด
หรือการกระทำใดๆในสิ่งที่ตนไม่รู้จริง
ไม่มีจริง ไม่ใช่เรื่องจริง หรือเกินจริง
เพื่อให้คนอื่นเขาหลงเชื่อตามนั้น
นี่ก็เรียกว่า "อวด" เหมือนกัน
ตัวอย่างก็มีหลายอวดดังต่อไปนี้

#อวดรู้ ทั้งๆที่ไม่รู้ หรือ รู้ไม่จริง
#อวดเห็น ทั้งๆที่ไม่เห็น หรือ เห็นไม่จริง
#อวดอ้าง ทั้งๆที่กล่าวอ้างข้างๆคูๆ
#อวดรวย ทั้งๆที่รวยไม่จริงหรือยังจนอยู่
#อวดดี ทั้งๆที่ไม่มีอะไรดีที่พร้อมจะให้อวด

นี่ล้วนเป็นตระกูลอวดทั้งนั้น

ดังนั้น
ผลลัพธ์ของการ "อวด-แสดง"
จึงเป็นได้แค่เพียง "สอนให้คนอื่นรู้"
ว่าคนที่เป็นผู้อวดแสดงนั้น "รู้อะไร"
คนที่เป็นผู้อวดแสดงนั้น "มีดีอะไร"

ตัวอย่างการ "อวดแสดง" ธรรม
ลักษณะสอนให้รู้ เช่น ประโยคต่อไปนี้

"รักษาจิตให้ดี 
ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง
มีสติอย่าให้พร่อง 
ความเศร้าหมองจะหมดไป"

#จงสังเกตให้ดีนะ
คำสอนนี้ครูมิได้แนะนำไว้เลยว่า
การรักษาจิตให้ดีนั้นน่ะจิตใคร
การรักษาจิตให้ดีนั้นต้องทำอย่างไร

#จงสังเกตให้ดีนะ
คำสอนนี้ครูก็มิได้แนะนำไว้เลยว่า
การทำหน้าที่ให้ถูกต้องนั้นคือทำอย่างไร

#จงสังเกตให้ดีนะ
คำสอนนี้ครูก็มิได้แนะนำไว้เลยว่า
มีสติอย่าให้พร่องต้องปฏิบัติอย่างไร
ความเศร้าหมองจึงจะหมดสิ้นไปได้

นี่เป็นตัวอย่างการ "อวดแสดง" ธรรม
ลักษณะสอนให้รู้อีกประโยคหนึ่งคือ

"มีกู ก็มีกรรม
ไม่มีกู ก็ไม่มีกรรม"

#จงสังเกตให้ดีนะ
คำสอนนี้ครูมิได้แนะนำไว้เลยว่า
มีกูกับไม่มีกูต้องทำอย่างไ
ปล่อยให้ผู้ฟังผู้เรียนไปคิดต่อกันเอาเอง

#จงสังเกตให้ดีนะ
คำสอนนี้ครูมิได้แนะนำไว้เลยว่า
ความหมายของคำว่า "กรรม" คืออะไร
ถ้ามีกูแล้ว กรรมมันเกิดขึ้นได้ยังไง
ถ้าไม่มีกูแล้ว กรรมมันไม่เกิดเพราะอะไร

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

คำสอนประเภทนี้เย้ายวนใจ
ชวนให้ซาบซึ้งในอรรถรสแห่งถ้อยธรรม
มากกว่าการชี้แนวทางปฏิบัติธรรมว่า
ถ้าจะเข้าถึงคำกล่าวที่หรูหรานั้นได้
จักต้องกระทำอย่างไรบ้าง

คนส่วนใหญ่จึงมัก "จำธรรม" ไว้ที่สมอง
มากกว่า "ทำธรรม" ในชีวิตจริง

2.ส่วนคำว่า "สอน" นั้น หมายถึง
การช่วยให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่ตนรู้
จนเขาสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์
ในชีวิตจริงของเขาได้

คำสอนที่ดี
จึงต้องมีแนวทางที่จะกระทำให้ด้วย
เพื่อช่วยให้คนอื่นๆง่ายขึ้
เพื่อช่วยให้คนอื่นๆสามารถเข้าถึง
ข้อธรรมะที่ครูนำมาแสดงไว้นั้นได้จริงๆ

ตัวอย่างคำสอนที่ดี เช่น....

"ก่อนที่จะพูดอะไร 
ให้ถามใจตนเองเสียก่อนว่า
สิ่งที่ตนกำลังจะพูดนั้น
มันจำเป็นจะต้องพูดออกไปหรือเปล่า
ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูด"

นี่เป็นลักษณะคำสอนที่แท้จริง
เพราะชี้ชัดในความรู้ ความจริง
และมีสิ่งที่เป็นสาระสำคัญคือวิธีปฏิบัติ
ที่ชัดเจน แจ่มแจ๋ว เป็นรูปธรรม
โดยมิต้องเล่นคำทำสำนวน

ตัวอย่างคำสอนที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่ง 
เช่น....

"หมาเห่า อย่าเห่าตอบ
เพราะมันจะมีหมาเพิ่มมาอีกตัว"
(Cr: ท่านพุทธาส)

นี่ก็เป็นลักษณะคำสอนที่แท้จริงเช่นกัน
เพราะให้ความรู้ความเข้าใจ
รวมทั้งให้วิธีปฏิบัติที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายผู้ใฝ่ธรรม
จึงต้องฉลาดเรียนรู้
ด้วยการเลือกครู #ผู้สอนธรรม

จงอย่าหลงเลือกครู 
ที่ได้แต่จำธรรมมาอวด (แสดง) ธรรม
ซึ่งมีอยู่ 5 อวดด้วยกันตามข้อ 1 ที่ว่าไว้
โดยท่านจะพบเห็นกันอยู่มากมาย
ตามสไลด์อวดธรรมที่แชร์กันว่อน
โดยสอนอะไรอย่างไรก็ไม่รู้
แต่ถ้อยธรรมอ่านดูแล้ว
หวือหวาน่าแชร์ต่อเสียจริงๆ

เพื่อท่านจะได้นำเอาองค์ความรู้จากครูแท้
มาสู่การเป็นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมได้จริงๆ
แทนการดื่มด่ำแต่อรรถรสจากถ้อยคำ
ในข้อธรรมที่เขาอวดสำแดงกันอีกต่อไป

ท่านที่รู้ตัวว่า
ยังพึ่งพลังอำนาจทางปัญญาของตนไม่ได้
ยังจะต้องอาศัย "ครู" เป็นผู้ช่วยเหลืออยู่
บทเรียนนี้คงพอช่วยเหลือท่านทั้งหลาย
ค้นหาครูผู้สอนธรรมกันได้ง่ายขึ้นบ้างล่ะนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28-09-2017

ข่าวสารจาก #พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ตลอดระยะเวลากว่าหกหมื่นปีโลกที่ผ่านมา
จนถึงปัจจุบันนี้นั้น

#ดวงจิตธรรมญาณของทุกท่าน
ได้ขันอาสาพระผู้ให้กำเนิดท่านทั้งหลาย
เดินทางข้ามมิติมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้
คนละมากมายหลายภพชาติกันแล้

มันเนิ่นนานพอที่จะเรียนรู้โลก
เรียนรู้ตนเองและผู้อื่นได้อย่างจบแจ้ง
เนิ่นนานพอที่จะมีสำนึกถึงหน้าที่ใน #พันธะสัญญา6
ซึ่งแก่นแท้ของท่านได้ให้ไว้ต่อพระบิดา
ตั้งแต่มาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติแรกแล้ว

#บัดนี้โลกถึงกาลสิ้นยุคหกหมื่นปีที่ทรงกำหนดไว้แล้ว

จึงหมดเวลาที่ดวงจิตธรรมญาณของพวกท่าน
จะทำหน้าที่ผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวก
จากอำนาจแห่งรักให้แก่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้แล้ว
แม้ว่าตั้งแต่ภพชาติแรกจนถึงปัจจุบัน
พวกท่านบางคนยังไม่อาจสามารถเข้าถึง
ภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ว่านี้ได้เลยก็ตาม

แต่เมื่อท่านหมดเวลาปฏิบัติภารกิจ
พ้นไปจากหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบกันแล้ว
จึงมีเพียงสิ่งเดียวที่ท่านทั้งหลายจักต้องกระทำ
นั่นคือ #การแสวงหาหนทางกลับออกไปจากระบบโลก
พ้นไปจากการมีจิตวิญญาณอยู่ในกาแล็กซี่นี้
และหลุดพ้นออกไปจากเอกภพตลอดกาลนิรันดร์
โดยจะไม่มีการย้อนคืนกลับสู่การเกิดใหม่อีก

ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้จิตวิญญาณผู้ขันอาสา
จากแดนสุญตานอกระบบเอกภพ
อันเป็นดินแดนที่ท่านเองจากมาและต้องกลับไป
ให้พวกเขาได้รับโอกาสข้ามมิติเข้ามา
เพื่อทำหน้าที่แทนพวกท่าน
ในยุคพลังงานใหม่ต่อไปได้

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
หากพวกท่านไม่ยอม "#นิพพาน" คือกลับบ้านไม่ได้
หรือไม่คิดที่จะนำพาแก่นแท้ตนเองกลับบ้าน
พวกท่านยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ต่อไป
ทั้งๆที่โลกถึงกาลสิ้นยุคแล้วเช่นนี้
มันจะสร้างความเสียหายต่อระบบโลกและเอกภพ
ซึ่งเป็นระบบใหญ่อย่างมากมา

อย่างแรกคือ #ดาวเคราะห์โลก
#จะสูญเสียสมดุลครั้งใหญ่ในอีกไม่ช้านานข้างหน้า

ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มส่อเค้าลางแห่งการเสียสมดุลบ้างแล้ว
จากสถิติทุกด้านในกรณี #มหันตภัยพิบัติโลก ที่เกิดขึ้น
เพราะจิตสำนึกโดยรวมของโลกตกต่ำสุดๆ
ชนิดที่ไม่มียุคใดจะตกต่ำมากมายจนขนาดนี้มาก่อน
ซึ่งมันจะสอดคล้องกับที่เราเคยกล่าวต่อพวกท่านว่า

#หากยุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์และโลกตกต่ำ
#ยุคนั้นมนุษย์จักต้องทำสงครามกับมหันตภัยพิบัติเสมอ

หมายความว่าถ้ามนุษย์โลก
ยังไม่เร่งนำพาจิตวิญญาณของตนกลับบ้าน
ตามมรรควิถีแห่งจิตจักรวาลสำหรับท่านที่เป็นฆราวาส
หรือตามมรรควิถีแห่งพระพุทธองค์สำหรับนักบวช
มนุษย์จะเสื่อมแล้วโลกก็จักเสื่อมตาม
#ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นไปทั่วโลก

นอกจากนั้นปฏิบัติการชำระโลกโดยช่างเท็คนิก
ซึ่งรอรั้งที่จะลงมือปฏิบัติการขั้นต่อไป
เพื่อสร้างสมดุลโลกในระดับที่สูงกว่ายุคพลังงานเก่า
พวกเขาก็พร้อมที่จะดำเนินการอยู่

นั่นหมายความว่า "#มหันตภัยพิบัติ"
ที่มิใช่ "#ภัยธรรมชาติ" มันจะปรากฏเกิดขึ้นต่อโลก
ที่หนักหนารุนแรงเร่งเร้าจนเหนือความคาดหมาย
ซึ่งท่านเองและใครๆก็จะมิอาจพลิกตำรา
เพื่อค้นหาประวัติศาสตร์มาอ้างอิงได้เลยเพราะไม่เคยมี
อีกทั้งจะหาตำราวิทยาศาสตร์เล่มใดๆ
มาอธิบายปรากฏการณ์แปลกๆที่จะเกิดขึ้นก็ไม่พบ
เพราะมันล้วนเป็น "#ความรู้ใหม่" 
#ที่อยู่นอกเหนือการคิดได้ด้วยจิตมนุษย์

เพราะมันจะเป็นภัยพิบัติจากปฏิบัติการของช่างเท็คนิก
มิใช่ภัยธรรมชาติแต่อย่างใดทั้งสิ้น
โดยมีเป้าหมายหลักคือ #กำจัดขยะทั้งหมด
#ออกไปเสียจากระบบโลก

ขยะทั้งหลายจะประกอบด้วย
เกาะแก่งน้อยใหญ่ในทะเลและมหาสมุทร

วัตถุเท็คโนโลยีขยะที่มนุษย์สร้างขึ้นไว้
เพื่อทำลายล้างกัน ทำลายระบบนิเวศน์ และโลก

รวมทั้งขยะมนุษย์ที่ทำตัวรกโลกรกแผ่นดิน
เพราะรักไม่ได้ ให้ไม่เป็น เห็นแก่ตัว
เป็นคนที่ไร้ประโยชน์ต่อสังคมและโลก
เป็นผู้ทำตนเป็นอุปสรรคบนเส้นทางหลุดพ้นของผู้อื่น
เพื่อลดน้ำหนักมวลบนพื้นผิวโลก
และแก้ปัญหาการแกว่งส่ายขณะโลกเหวี่ยงหมุน

นอกจากนั้นปฏิบัติการชำระโลกยังจะต้อง
ปรับแนวเอียงของแกนหมุนรอบตัวเองของโลก
ให้เบี่ยงเบนไปจากแนวเดิมอีก 8.5 องศา
เพื่อคืนความอุดมให้แก่ทะเลทราย
เพื่อชำระแผ่นดินส่วนเกินออกไปจากแผนที่โลก

ทั้งยังจะต้องปรับแนวเข็มทิศแม่เหล็กโลกเหนือใต้
ให้เบี่ยงเบนมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
อีก 3 องศาจากแนวเดิมในปัจจุบัน
เพื่อให้พาดผ่านแผ่นดินแห่งพระศาสดาพระองค์ใหม่
ที่จะทรงสามารถติดต่อกับจักรวาลได้ดียิ่ง

และยังจะต้องยกระดับความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ให้สูงขึ้นจาก 14 เกาส์ในปัจจุบันเป็นไม่เกิน 22 เกาส์
พร้อมกับการยกระดับโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
ให้สูงขึ้นเหนือพื้นโลกในระดับสมดุลและคุ้มภัยได้ดี
นั่นคือ อยู่ที่ระดับ 6 หมื่นกิโลเมตร

ทั้งหมดทั้งมวลจะกระทำผ่านมหันตภัยพิบัติ
ที่มิอาจหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้
เพราะเกิดจากโลกเสียสมดุลเองหนึ่ง
กับจากแผนปฏิบัติการชำระโลกโดยช่างเท็คนิกอีกหนึ่ง

มันคือการชำระสรรพสิ่งที่เป็นขยะและไม่เหมาะสม
ให้ออกไปจากระบบโลกและคืนสมดุลระดับใหม่
เพื่อทำให้โลกยุคพลังงานใหม่น่าอยู่
อันเป็นการชำระทั้งมิติทางกายภาพและพลังงาน

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
ล้วนเป็นข่าวสารจาก #พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้ทรงยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล
อันไพศาลของพระองค์

ล้วนเป็นความจริงที่ท่านทั้งหลายต้องรู้
แม้บางท่านอาจไม่รู้ว่าทำไมท่านจะต้องรู้
แม้บางท่านพอได้รู้แล้วปฏิเสธข่าวสารนี้ทันทีก็ตาม

เรากล่าว #ข่าวสาร ความจริงนี้ ต่อท่านทั้งหลาย
ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อพวกท่าน

เรากล่าวไปตามหน้าที่ทางจิตวิญญาณของเรา
เรากล่าวไปตามที่พระองค์ทรงใช้ให้เรามากล่าว
เรามิได้กล่าวเพื่อความสะใจ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-09-2017