วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ลืมตัว ลืมตน ลืมตื่น ลืมมิติแก่นแท้ มนุษย์จึงหลุดพ้นไม่ได้




* นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.หากท่านลืมหรือจดจำไม่ได้ว่า
ตัวตนแก่นแท้ของท่านเป็นใคร

ตัวตนแก่นแท้ของท่านมาจากไหน
ใครอนุญาตให้มา

ตัวตนแก่นแท้ของท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
มีหน้าที่จะต้องทำอะไรบ้าง

นี่ย่อมแสดงว่า...
ท่านน่ะ "ลืมตัวเอง" ไปแล้ว
หรือขาดสติทางวิญญาณไปแล้วนั่นเอง

2.หากท่าน"ลืมตน"
แสดงว่าท่านเป็นคนหลงตัวเอง

คนหลงตัวเองจนลืมตน
มักเกิดจาก.....

หลงในอำนาจ หลงในยศศักดิ์
หลงในทรัพย์สมบัติความร่ำรวยแห่งตน
หลงในรูปลักษณ์มายาแห่งตน
หลงในเกียรติชื่อเสียงแห่งตน
หลงในภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิปัญญาแห่งตน
หลงในคำสรรเสริญเยินยอจากคนรอบข้าง

คนที่หลงตัวเองจนลืมตนจึงมักมีมิจฉาทิฐิ
จนมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงเกิน
จึงเลือกเชื่อเลือกฟัง
แค่คนบางคนที่ตนชอบพอ
นอกนั้นแสร้งทำเป็นว่าฟัง
แสร้งทำเป็นขอคำปรึกษาหารือ
แต่สุดท้ายก็ไม่เชื่อใคร
นอกจากเชื่อแค่คนที่ตัวชอบเท่านั้น

3.หากท่าน "ลืมตื่น"
แสดงว่าท่าน...
ยังคงหลงไหลอยู่กับความงมงาย

แสดงว่าท่าน...
ยังคงหลับไหลอยู่กับความไม่รู้

แสดงว่าท่าน...
ยังคงลื่นไหลอยู่กับโลกียะ

นักเรียนที่รักทั้งหลาย
การลืมตัว ลืมตน และลืมตื่น
ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของความหลง
ในอัตตาแห่งตนทั้งสิ้น

พอขาดสติแล้วไปหลงมันเข้า
การยึดติดมันจึงเกิดขึ้น
เมื่อจิตยึดติด
อัตตาของสิ่งนั้นมันก็เลยเกิดมีขึ้นมาด้วย

ดังนั้น...
การยึดติดในอัตตาของมนุษย์แต่ละคน
จึงมักมีที่มาเป็นแบบนี้นี่เอง

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-06-2015

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สนามแม่เหล็กโลกแปรปรวน ตาที่สามอาจชำรุด 1



สติแตกง่าย....
หมายถึง ควบคุมตนเองไม่ได้
นึกอยากจะพูดก็พูด อยากจะทำก็ทำ
จึงเป็นเงื่อนไขด้านลบของคนอื่นอยู่เนืองๆ
เพราะพูดไม่เข้าหู ทำไม่เข้าตา
ไม่รู้จักกาละเทศะ
ไม่รู้หน้าที่ของตนเอง
ชอบทำตนก้าวล่วงผู้อื่น
อวดรู้ อวดดี ยกตนข่มท่านอยู่เนืองๆ
วันๆมักจะก่อเจ้ากรรมนายเวรขึ้นมาใหม่มากมาย

น้อตหลุด....
หมายถึง เป็นคนที่อดทน อดกลั้น
กับการกระทำไม่ถูกต้องของคนอื่นไม่ได้
จะเสียสมดุลทางจิตใจอย่างรุนแรงทันที
เมื่อมีใครก้าวล่วง
เมื่อมีใครยั่วโทสะ

คนที่สติแตกง่าย
เพราะจิตใจบอบบาง
เนื่องจากขาดมหาสติ

คนที่น้อตหลุดง่าย
เพราะน้อตหลวม
หมายถึง อ่อนไหวง่ายเมื่อถูกยั่วยุ

บุคคลทั้งสองจำพวกนี้จงระวัง
ท่านจะถูกทดสอบจิตสำนึกครั้งใหญ่
ด้วยการได้เผชิญกับชะตากรรมอันหนักหนา
แล้วมารในคราบมนุษย์ก็จะฉวยโอกาส
ทำทีเข้ามาแทรกสอดเหมือนหวังดี

เพื่อช่วยปลอบใจ
โดยซับน้ำตาให้ด้วยน้ำลายบ้างล่ะ

เพื่อช่วยเป็นที่ปรึกษาให้
ด้วยธรรมะสไตล์มารบ้างล่ะ

เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตให้
ด้วยวิธีการตัดสินใจที่ผิดพลาดบ้างล่ะ

ต่อให้ท่านฉลาดล้ำลึกเพียงใด
ถ้าหากจิตมารเข้าแทรกซ้อน
ในขณะที่....
มารมนุษย์ก็จะเพียรฉุดท่านให้หลงตนเอง
แล้วมั่นใจได้หรือว่าท่านจะรอดพ้น
จากการตกเป็นเหยื่อมารไปได้ง่ายๆ
เราเตือนท่านนะ....

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
20-06-2015

สนามแม่เหล็กโลกแปรปรวน ตาที่สามอาจชำรุด 2




นี่แน่ะ...ท่านทั้งหลาย
ต่อนี้ไปสนามแม่เหล็กโลก
จะแปรปรวนมากยิ่งขึ้น
ตาที่สามบางคนอาจชำรุด

*นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
หมู่มาร คือ มนุษย์ก็ได้
จิตวิญญาณแห่งภูติก็ได้
ล้วนเป็นผู้ที่จะทำตนให้เป็นอุปสรรค
ต่อการหลุดพ้นของท่านได้ในทุกๆวิถีทาง
วิธีการของมารที่มักจะใช้กระทำ
ต่อพวกท่านวิธีแรกก็คือ...

*ลวงให้ท่านหลงตัวเองว่าเป็นคนเก่ง
หรือหลอกให้ท่านหลงผิดคิดว่าตนเป็นผู้วิเศษ
ด้วยการเข้าแทรกแซงตรงตาที่สามทันที
ในจังหวะที่ท่านขาดสติ (ไม่ใช่ขาดมหาสติ)
ในช่วงที่สนามแม่เหล็กโลกวิปริตแปรปรวน

โดยหลอกว่าท่านน่ะ "มีตัวรู้" มีญาณทิพย์
ทั้งๆที่ท่านเองไม่ได้ฝักใฝ่ฝึกฝนอะไรมาเลย
จู่ๆมันก็เกิดขึ้นมาเองอย่างเป็นที่อัศจรรย์
โดยมิพักต้องนึกต้องคิดสักนิดเดียว

เจ้ากรรมนายเวรจำพวกนี้
จะเป็นพวกที่ไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรม
จึงทำร้ายท่านด้วยตนเองทางกายภาพไม่ได้
พวกเขาจึงต้องใช้วิธีแบบนี้ คือ

หลอกให้ท่านหลงตัวเองว่า
มีฤทธิ์หรือมีอิทธิปัญญา
ด้วยการใส่ตัวรู้มาให้
ในขณะท่านกำลังเผลอๆเหม่อๆเบลอๆ
ประหนึ่งว่ามันผุดโผล่ขึ้นมาเองนั่นล่ะนะ

นักเรียนลองถามตนเองดูบ้างสิว่า
มีด้วยหรือที่นาของท่านจะได้ข้าว
ถ้าไม่ปลูกข้าว

มีด้วยหรือที่ท่านจะรู้อะไรโดยไม่ต้องเรียนรู้
มีด้วยหรือที่ท่านจะเชี่ยวชาญได้โดยไม่ต้องฝึกฝน
เพราะแม้แต่พรสวรรค์ที่ท่านชำนาญอยู่
ก็ได้จากการฝึกฝนกันมาในภพขาติอดีตกันทั้งนั้น

ดังนั้น...
การที่จู่ๆตัวรู้มันเกิดขึ้นมาเอง
ในยามที่ตาที่สามของมนุษย์เริ่มชำรุดกัน
เพราะสนามแม่เหล็กโลกเกิดอาการวิกฤต
อันมีเหตุจากพายุแม่เหล็ก
ที่ถูกส่งเข้ามาในระบบอย่างเข้มข้นมากนั้น

ต่อนี้ไปนักเรียนจึงต้องไม่เผลอสติ
จนเกิดอาการ "หลงตัวเอง" ขึ้นมาเด็ดขาด
เพราะท่านจะตกเป็นทาสมารไปทันที
โดยมารจะเข้าแทรกแซงตาที่สามของท่าน
แล้วจูงให้ท่านแสดงบทบาทพฤติกรรม
ไปตามบงการของจิตมาร

เป็นต้นว่า....
หลอกให้ท่านกล่าวธรรมะ
แต่เป็นธรรมะแปลกๆ ด้วยคำพูดที่แปลกๆ
เมื่อกล่าวออกมาแล้วคนทั่วไปมักฟังกันไม่รู้เรื่อง
ใครได้ฟังแล้วก็จะรู้สึกว่ายากเกินกว่าจะเข้าใจ
จึงมักจะมีผู้กล่าวตรงกันว่า...
"มันพูด มันเขียนอะไรของมันก็ไม่รู้"

เอเมน สาธุ

กราบพระบาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-06-2558

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

"จิตเป็นอุเบกขา" ก็ด้วยอำนาจแห่งมหาสติ




เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สาเหตุสำคัญที่คนส่วนมาก
มักจะสอบตกในบททดสอบจิตสำนึก
ที่คนรอบข้างหยิบยื่นมาให้ก็คือ
1.ไม่รู้ตัว:
ที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับบททดสอบ
ก็เพราะขาดการใส่ใจ
โดยวันๆปล่อยให้ชีวิตของตน
ลื่นไหลของมันไปเรื่อยๆอยู่อย่างนั้น
เหมือนคนที่ดุ่มเดินไปข้างหน้า
เตะนั่นสะดุดนี่
ชนนั่นเฉี่ยวนี่ไปตลอดทาง
เพราะไม่ระมัดระวังขณะย่างเดิน
วันๆจึงกระทบกระทั่งกับคนนั้นทีคนนี้ที
ปะทะกับคนนั้นคนนี้
ให้เกิดการเสียหาย เสียใจ
เสียเวลา เสียอารมณ์อยู่มิเว้นวาย
เราจึงเตือนท่านทั้งหลาย
เน้นการฝึกครองมหาสติตลอดวันให้มั่นคงไว้
จะได้ตื่นรู้อยู่ตลอดเวลานั่นล่ะ
2.ไม่รัก:
บททดสอบจิตสำนึกข้อหลักของท่าน
คือ ท่านจะรักคนที่เขาทำตัวไม่น่ารักต่อท่านได้มั้ย
โดยพวกเขาทั้งคนคุ้นเคยและแปลกหน้า
จะจู่โจมเข้ามาในชีวิตท่าน
พร้อมเงื่อนไขบททดสอบอันแยบยลเสมอ
แน่นอนว่ามันมักจะเป็นบทร้ายๆ แสบๆ
ล้วนไม่เป็นที่พึงประสงค์สำหรับท่านทั้งสิ้น
การสอบผ่านบททดสอบเหล่านี้มีทางเดียว
คือ "รักๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" เท่านั้น
จงท่องมันเอาไว้ให้ขึ้นใจ
อย่าไปตกหลุมพรางบททดสอบเหล่านี้
ด้วยการถามหาว่า
"ใครถูกใครผิด"
"ใครดีใครชั่ว"
ถ้าท่านปล่อยตนเองให้ลื่นไหลไปตามยถากรรม
ท่านก็จะเกิดอารมณ์ขยะขึ้นมาทันที
เมื่อพบว่าท่านถูกแต่เขาผิด
เมื่อพบว่าท่านดีแต่เขาชั่ว
แล้วท่านก็จะใช้อารมณ์ขยะที่เกิดขึ้น
กระทำผิดบาปตอบสนองเขากลับไป
ในแบบที่เขาชั่วแล้วตัวท่านก็เลยชั่วตามเขาไปด้วยกัน
3.ไม่คิด:
เมื่อท่านต้องเผชิญกับบททดสอบแย่ๆ
จากคนรอบข้างที่ทำตัวไม่น่ารักแล้ว
สิ่งอันควรจะถามตัวท่านเองไว้เสมอก็คือ
ท่านจะรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักต่อท่านได้อย่างไร?
จงใช้ความฉลาดทางปัญญาหาเหตุผลเอา
จงอย่าใช้อารมณ์ขยะตอบโต้พวกเขาโดยเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้เอง.....
โดยพระบัญชาแห่งองค์จิตจักรวาล
เราจึงเน้นการสอนให้ท่านรู้คิดด้วยปัญญาในตนเอง
แทนการสอนให้ท่านเชื่อตามเรา
เราจึงสอนให้ท่าน "คิดตามเรา" เสมอมา
เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้ท่านไงล่ะ
ดังนั้น...
การบ้านข้อใหญ่ๆสำหรับพวกท่านทุกคน 2 ข้อก็คือ
1.ฝึกการรักษาจิตไม่ให้เสียสมดุล
กรณีที่มีใครมาทำตัวไม่น่ารักต่อท่านให้จงได้
นั่นคือ เข้าถึงคำว่า "จิตเป็นอุเบกขา" เสียให้ได้
2.ฝึกที่จะคิดรู้ด้วยปัญญา
เพื่อหาเหตุผลเอาไว้ล่วงหน้าว่า
ท่านจะรักคนไม่น่ารักได้ด้วยเหตุผลใดบ้าง
จะได้หยิบเอามาใช้ได้ทันท่วงทีที่มีมารผจญ
นั่นคือ เลิกใช้จิตไร้สำนึกที่ท่านเคยชินอยู่
แล้วหันมาใช้จิตสำนึกแทนเสียให้ได้
หากท่านไม่เตรียมความพร้อมให้ตนเอง
ด้วยการทำการบ้านสองข้อนี้แล้ว
ก็ป่วยการที่แม้ใกล้ชิดเป็นศิษย์เรา
แม้จะเฝ้าฟังพระโอวาทจากพระบิดาตลอดมา
ท่านก็จะยังไม่สามารถเปิดประตูนิพพาน
ผ่านออกไปในสภาวะหลุดพ้นได้ดังใจหรอกนะ
เพราะท่านสอบไม่ผ่านบทเรียนโลก
จากการสอบตกบททดสอบนั่นแหละ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-06-2015

โอม.....มหาสติ...มหาสติ...มหาสติ



โอม....มหาสติ...มหาสติ...มหาสติ

ป.วิสุทธิปัญญา
16-06-2015

กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้




นักเรียนที่รักและ....
ท่านผู้ใฝ่การหลุดพ้นทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ประตูมิติแห่งการหลุดพ้น
ที่ท่านเรียกว่า "นิพพาน" นั้น
มันมิอาจเปิดออกได้เพียงแค่ท่านทั้งหลาย
เดินสายแสวงสร้างบุญกุศล
ตามโอกาสอันสมควร
ดั่งที่ท่านเพียรกระทำกันอยู่อย่างเดียวดอกนะ

แม้การบำเพ็ญทานและบุญนั้น
หากทำด้วยจิตปัญญาหรือจิตสำนึกที่แท้จริง
มิใช่ทำตามวัฒนธรรมประเพณีแล้ว
บุญกุศลก็จะบังเกิดขึ้น
ในสภาวะจิตของท่านได้
ในรูปของความมีปีติก็ตาม

แต่มันก็เป็นเพียง....
อุบายหนึ่งในการ "ยกระดับ" สภาวะจิตของท่าน
ให้เกิดการสั่นสะเทือนด้านบวก
ในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆจนกว่าจะสูงสุด
ในระดับเดียวกันกับแรงสั่นสะเทือนด้านบวก
ของจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านได้เท่านั้น

นักเรียนจักต้องรู้ว่า
พลังอำนาจสูงสุดทางจิตวิญญาณของท่านนั้น
จิตหยาบหรือจิตปัจจุบันของท่าน
จะไม่มีทางยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ขึ้นไปทัดเทียมเทียบเท่าได้หรอกนะ
ต่อให้ขยันสร้างบุญสุนทานกันก็ตาม

ถ้าในชีวิตประจำวันนั้น
ท่านทั้งหลายไม่ใฝ่เรียนรู้ที่จะชำระจิตให้ใส
ไม่ล้างใจให้สวยควบคู่กันไปด้วย
เพราะเหตุว่า....
พลังอำนาจของจิตท่านมันจะถูกหน่วงรั้งเอาไว้
ด้วยคลื่นการสั่นสะเทือนด้านลบ
จำพวกโทสะ โลภะ โมหะ
กับอารมณ์หยาบๆรายวันที่ท่านเคยตัวกันอยู่

นอกจากนั้น...
อารมณ์ขยะรายวันยังผลิตสร้างแต่ผลกรรมด้านลบ
ในรูปของบุรพกรรมแม่เหล็ก
ขนาด 1 มวลต่อหนึ่งบุรพกรรม
คิดเป็นน้ำหนักเท่ากับ 0.5 มิลลิกรัม
ที่จะเป็นน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณของท่าน
ในส่วนที่จะหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย

ดังนั้น...
เมื่อสร้างบุญกุศลมากเท่าใดก็ตาม
แต่พลังอำนาจทางจิตวิญญาณไม่อาจเพิ่มขึ้นได้
ทั้งน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณยังมากขึ้นด้วย
จึงยังผลให้การดีดตนเอง
เพื่อหนีแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของโลกและเอกภพ
ให้หลุดพ้นออกไปจากระบบจึงเป็นไปไม่ได้
เพราะไม่มีพลังอำนาจมากพอ

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
บุญกุศลที่ท่านทำกับบาปกรรมที่ท่านก่อนั้น
มันเป็นคนละเรื่องกัน

ใครจะทำกรรมดีเพื่อลบล้างกรรมชั่ว
ที่ตัวทำไว้ในอดีตนั้น...ไม่ได้

กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

เรามีคำแนะนำต่อท่านทั้งหลาย
ได้เพียงเท่านี้จริงๆ....
มิใช่เป็นการ "ขัดบุญ" พวกท่านแต่ประการใด
ทำบุญสุนทานน่ะดีอยู่แล้ว....

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
15-06-2015

เพราะเหตุใด มนุษย์แห่งโลกเสรีส่วนใหญ่ จึงไม่สามารถข้ามผ่านการมีกิเลสตัณหาไปได้




นักเรียนที่รักทั้งหลาย
ท่านทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด
มนุษย์แห่งโลกเสรีส่วนใหญ่
จึงไม่สามารถข้ามผ่านการมีกิเลสตัณหาไปได้
อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะระงับยับยั้ง
มิให้มันก่อกำเนิดขึ้นมาในสภาวะจิตได้อีกด้วย
แม้จะฝึกครองสติกันอย่างหนักมาแล้วก็ตาม

สองคำตอบ....สั้นๆง่ายๆก็คือ
เป็นเพราะพวกท่านไปหลงเงามายาของสรรพสิ่ง
กับการหลงยึดติด "อัตตา" ตัวตนของสรรพสิ่งเข้าให้

เมื่อท่านหลงในเงามายาของสรรพสิ่งใด
ก็จะก่อให้เกิดกิเลสตัณหาขึ้นมาในสภาวะจิตทันที
เมื่อท่านไปยึดติดอัตตาตัวตนรูปลักษณ์ใดเข้า
ตัวกิเลสตัณหาก็จะเกิดขึ้นมาในสภาวะจิตได้เช่นกัน

การหลงเงามายาของสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น
มักเกิดจากการที่ท่านเข้าใจผิดคิดว่า
อัตตาตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่ง
ที่ท่านสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้
ด้วยกลไกอายตนะทั้งหก
ในมิติโลกทางกายภาพอยู่นั้น
ล้วนเป็นตัวตนรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันนั่นเอง

ทั้งๆที่แท้แล้วสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น
มันเป็นแค่เพียงเปลือกนอกของตัวตนที่แท้จริง
ซึ่งเป็นแก่นแท้ที่เร้นตนเองอยู่ข้างในต่างหาก
ตัวตนที่สัมผัสรู้ดูเห็นกันอยู่นั้นน่ะ
มันคือ "ตัวปลอม" มิใช่ตัวตนที่แท้จริงใดๆ

ตัวอย่างเช่น....
เมื่อท่านพบเห็นเพื่อนมนุษย์รูปสวยรูปหล่อ
ท่านก็มักจะไปหลงใหลในรูปลักษณ์นั้น
จนเกิดความชอบไม่ชอบเข้าให้
จนเกิดความอยากได้ใคร่มี
หรือเกิดความรู้สึกว่าตนไม่อยากคบหาขึ้นมา เป็นต้น

ทั้งๆที่ความสวยหรือหล่อ
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์นั้นๆ
เป็นแค่เพียงมายาซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของแก่นแท้
ที่ถูกถ่ายทอดออกมาโดยจิตวิญญาณ
ของคนๆนั้นเป็นสำคัญ

โดยจิตวิญญาณที่เป็นตัวตนแก่นแท้ในแต่ละคน
จะเป็นรูปธรรมในมิติทางพลังงาน
ที่ต้องอาศัยเปลือกนอกซึ่งเป็นมายาทางกายภาพ
ทำการห่อหุ้มตนเองไว้
ในขณะดำรงความเป็นสรรพสิ่งหนึ่งอยู่นั่นเอง

สรรพสิ่งอื่นๆในระบบโลกก็ล้วนมีเปลือกนอก
ที่มีแก่นแท้เป็นพลังงานด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ว่าพวกท่านจะจัดให้สรรพสิ่งนั้น
มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม

ในเมื่อตัวตนรูปลักษณ์ภายนอก
เป็นแค่เพียงเปลือกนอก
หรือเป็น "เงา" ของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างในแล้ว
สรรพสิ่งต่างๆที่ท่านสัมผัสรู้ดูเห็นมัน
จึงเป็นได้แค่เพียง "มายา" เท่านั้นเอง

ไม่ต่างจากคำว่า "จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว"
ซึ่งหมายถึงจิตจะเป็นผู้สั่งการให้
อวัยวะร่างกายภายนอก
สั่นสะเทือนไปตามความต้องการของจิต
พฤติกรรมหรืออาการใดๆที่เกิดขึ้น
มันจึงเป็นเงาของจิตหรือแก่นแท้นั่นแหละ

หากท่านได้รู้ดั่งนี้แล้วว่า
อะไรๆที่ท่านสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้
ในมิติโลกทางกายภาพ
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้ากับจิตอีกหนึ่งนั้น
มันล้วนเป็นเงามายาของแก่นแท้
มิใช่ตัวตนที่แท้จริงที่ท่านจะไปยึดติดอะไรได้

ได้เห็นสักแต่ว่าเห็น
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน
ได้ลิ้มรสสักแต่ว่ารู้รส
ได้กลิ่นสักแต่ว่ารู้กลิ่น

ได้จับสัมผัสก็สักแต่ว่า
รู้ร้อนรู้หนาว รู้นิ่มรู้แข็ง

แม้จะเข้าถึงได้เพียงเท่านี้
ท่านก็จะไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ขยะรายวัน
เพราะไปหลงยึดติดอัตตาตัวตนรูปลักษณ์
ที่เป็นมายาของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเข้าให้

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
16-06-2015

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อย่าปล่อยให้ "จิตของท่านลอยนวล"



เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สิ่งอันควรระวังให้มากที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือ
ให้ระวัง...จิตของตนเอง

เพราะจิตไวจึงทำให้ปากไว
พูดอะไรออกไปอย่างไม่ยั้งคิด

เพราะจิตไวจึงทำให้มือไว
เลยกระทำสิ่งใดๆลงไปอย่างไม่ยั้งคิด

เพราะจิตไวจึงทำให้สรุปไว
ด้วยการพิพากษาคน พิพากษาความกันง่ายๆ
โดยมิทันได้ตรึกตรองให้ถ่องแท้แน่ชัดก่อน

แม้ท่านเชื่อในคำกล่าวที่ว่า...
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

แต่ถ้าท่านยังคงปล่อยให้
"จิตของท่านลอยนวล"
อยู่อย่างนี้เรื่อยไปแล้วละก็
ท่านก็จักมิอาจนำพาจิตวิญญาณของท่าน
ผ่านไปสู่ประตูนิพพาน
ตรงด่านนภาลัยกันได้หรอกนะ

เพราะจิตของท่านมันยังหมุน "กรรมจักร"
แทนที่จะหมุน "ธรรมจักร" ไงล่ะ

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
13-06-2015

ความล้มเหลวในการคนตนเองให้เป็นมนุษย์




นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงอีกสิ่งหนึ่ง
เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้เอาไว้ว่า
ความล้มเหลวในการคนตนเองให้เป็นมนุษย์
หรืออาจเรียกว่า "หมุนธรรมจักรในตนเอง" ไม่สำเร็จ
ของคนส่วนใหญ่บนโลกเสรีนี้นั้น
มักมีสาเหตุจากความเคยตัวหรือนิสัยไม่ดี
รวม 3 ประการด้วยกัน ดังนี้คือ
1.นิสัยการมองโลก
...........................
นิสัยการมองโลก หมายถึง
ทัศนคติส่วนตัวที่ท่านมีต่อผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
อันหมายรวมถึงความรู้สึกกับการนึกคิด
ที่มักจะเป็นลบต่อผู้นั้นสิ่งนั้นเสมอ
ตัวอย่างนิสัยด้านลบหรือนิสัยไม่ดี
ในการมองโลกของพวกท่านนั้น
มีมากมายหลายแบบ เช่น
*ขี้ระแวง ไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ
*คิดว่าเขาคงเชื่อถือไม่ได้
*คิดว่าตนจะถูกเอาเปรียบ หรือถูกคดโกง เป็นต้น
ถ้าท่านคบใครแล้วมีนิสัยเยี่ยงนี้
ทั้งๆที่เขามิได้มีนิสัยอย่างที่ท่านทึกทักเลยสักนิด
ท่านก็จักสั่นสะเทือนจิตไร้สำนึก
แสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม
ต่อผู้อื่นไปได้โดยง่ายดายเสมอ
ดังนั้น...
นอกจากท่านจะล้มเหลวต่อการเป็นมนุษย์แล้ว
มันยังจะเป็นการหมุน "กรรมจักร"
ที่จะเป็นเหตุให้ผู้อื่นเขา
ทำการต่อสู้ ตอบโต้
หรือต่อต้านท่านกลับคืนอีกด้วย
การก่อเวรเกี่ยวกรรมกันระหว่างท่านกับผู้อื่น
มันจึงเกิดขึ้นอย่างง่ายดายและฟุ่มเฟือยยิ่ง
2.นิสัยการดำเนินชีวิต
...............................
นิสัยการดำเนินชีวิต หมายถึง
พฤติกรรมที่ท่านแสดงออกหรือกระทำ
ในการดำเนินชีวิตร่วมกันกับผู้อื่น
ไม่ว่าจะเป็นภายในทีมงาน
ภายในครอบครัว
ภายในสังคม
ภายในประเทศชาติ หรือบนโลกนี้
โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นนิสัยด้านลบ
ที่ไม่พึงประสงค์ของคนอื่นๆนั่นแหละ
ตัวอย่างนิสัยการดำเนินชีวิตที่ไม่ดี
ที่จัดเป็นพฤติกรรมขยะของผู้อื่น เช่น
*การเป็นคนเห็นแก่ตัว
*การเป็นคนไม่ยอมเสียเปรียบ
แต่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น
*การเป็นผู้ถือผลประโยชน์ส่วนตนต้องมาก่อน
*การเป็นคนไม่รู้จักกาลเทศะ
*การเป็นคนรักผู้อื่นไม่เป็น
*การเป็นคนหลงตัวเอง
*การเป็นคนชอบหมื่นหยามผู้อื่น
ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น
*การเป็นคนปากไว ใจร้อน วู่วาม
*การเป็นคนไม่เกรงใจใคร
*การเป็นคนไม่ยอมใคร ต้องการเอาชนะ
ถ้าท่านใช้ชีวิตกับใครๆในสังคม
ด้วยนิสัยด้านลบเหล่านี้
ความไม่น่ารักของท่านก็จะปรากฏต่อผู้อื่นอยู่เนืองๆ
วันๆท่านจะเพาะแต่ศัตรูเพิ่มขึ้น
มากกว่าการสร้างมหามิตร
คนรอบข้างตัวท่านนี่แหละ
จะเปลี่ยนบทบาท
ไปเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านแทน
3.นิสัยการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
...........................................
*การรู้เห็นอะไรแล้วเกิดความโลภ
*การถูกยั่วยุแล้วไม่พอใจก็เกิดโทสะ
*การถูกยั่วเย้าแล้วเกิดโมหะหรือลุ่มหลงงมงาย
*การผิดหวังไม่สมหวังก็เสียดาย
*การพลัดพรากจากสิ่งรักของรักก็เสียใจ
*การพบเจอใครทำไม่ถูกใจก็เสียความรู้สึก
นิสัยทางจิตที่เป็นด้านลบเหล่านี้
มันจะนำไปสู่การแสดงออกหรือกระทำ
พฤติกรรมขยะที่ไม่พึงประสงค์ของคนอื่นๆเช่นกัน
นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
การที่พวกท่านรักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น
ไม่ใช้จิตสำนึกหรือจิตปัญญาในการดำเนินชีวิต
ก็เพราะนิสัยไม่ดี 3 ประการที่ว่านี้
ยังมิได้รับการขัดเกลาให้จิตใสใจสวยเลย
ท่านจะต้องรู้ว่า...
การนั่งหลับตาทำจิตให้สงบสำรวมอยู่คนเดียว
ต่อให้ใช้เวลานั่งนานๆ ปฏิบัติติดต่อกันนับปี
มันก็ไม่สามารถที่จะขัดเกลานิสัยไม่ดี
ให้ออกไปจากจิตของท่านได้
ครั้นจะใช้วิธีสอนให้รู้อย่างที่เรากล่าวมานี้
ก็เชื่อว่าท่านทั้งหลาย
ยังยากที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัย
ยังยากที่จะแก้ไขความเคยตัว
ตามที่เรากล่าวมาทั้งหมดนั้นได้
เพราะมันกลายเป็นความเคยตัวของท่านไปแล้ว
เราจึงสอนให้ท่านฝึก "ครองมหาสติ" ให้ได้
แล้วหันมาใส่ใจที่จะเปลี่ยนนิสัยไม่ดีเหล่านี้
ด้วยการกระทำที่จิตสำนึกเท่านั้น (ไม่ใช่จิตใต้สำนึก)
ซึ่งกระบวนการ Psycho Show ของ Parinya
ก็สามารถช่วยเปลี่ยนพฤตินิสัยคนในแบบหมู่คณะได้
ด้วยหลักการอันแยบยล
ที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้นนั่นแหละนะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-06-2015

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เชิญสมัครเข้าร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษนี้ได้ฟรี



เจ้าของธุรกิจ SME และองค์กรใหญ่
ผู้รับผิดชอบงานด้านพัฒนาคุณภาพบุคลากร
ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ราชการ และธุรกิจเอกชน
ที่ยอมรับความจริงแล้วว่า

งานแก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัยของมนุษย์
จะใช้วิธีสอนให้รู้ ขู่ให้ทำ นำรางวัลมาล่อใจ
หรือทุ่มฝึกอบรมโดยใช้งบประมาณไปมากมาย
ล้วนได้ผลไม่คุ้มค่า
แก้ปัญหาได้ไม่ยั่งยืน
หากท่านยังไม่ท้อแท้ใจ

หากท่านยังปรารถนาจะช่วยเหลือพวกเขาอยู่
เราจะบอกท่านว่า

"คนคุณภาพ" นั้น ท่านสร้างได้ไม่ยาก
เพียงแต่ท่านผู้รับผิดชอบจักต้องพิถีถิถัน ดังนี้

1.เลือกกลยุทธ์ที่ใช้ให้ถูกต้อง
2.เลือกครูผู้ช่วยเหลือองค์กรท่านให้ถูกต้อง
3.เลือกประเด็นของ Training Needs ให้ถูกต้อง

หากท่านสนใจในความรู้ใหม่นี้
เชิญสมัครเข้าร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษนี้ได้ฟรี
ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในสไลด์นี้แล้ว

เราหวังว่าท่านคงไม่พลาดโอกาสดีนี้กันนะคะ

ฝ่าย ปชส.

สถาบันสร้างเสริมจิตปัญญาเพื่อพัฒนาพฤติกรรมศาสตร์ HMDC
Tel.081-668-1478 หรือ Tel.081-9349789

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทุกข์สุขอยู่ที่ใจ



ทุกข์สุขอยู่ที่ใจท่าน
ท่านเป็นผู้กำหนดมันขึ้นมาเองใช่ใครอื่น

พอใจก็กำหนดเองว่าสุข
ไม่พอใจก็กำหนดเองว่าทุกข์
เมื่อว่างจากความพอใจและไม่พอใจแล้ว
ท่านก็กำหนดเองว่าจิตใจท่านไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
นั่นคือ เฉยๆ ว่างๆ นิ่งๆ
นี่คือสภาวะจิตสงบแท้....

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
10-06-2015

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

นิยามแห่งการมีชีวิตที่ดี




เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าท่านมีชีวิตที่ดีอยู่บนโลกนี้
ดาวโลกดวงนี้ก็จักเป็นดั่งสวรรค์สำหรับท่าน

ถ้าท่านมีชีวิตที่ดีอยู่ในประเทศนี้
ประเทศนี้ก็จักเป็นดั่งสวรรค์สำหรับท่าน

ถ้าท่านมีชีวิตที่ดีอยู่ในสังคมนี้
สังคมนี้ก็จักเป็นดั่งสวรรค์สำหรับท่าน

ถ้าท่านมีชีวิตที่ดีอยู่ในครอบครัวนี้
ครอบครัวนี้ก็จักเป็นดั่งสวรรค์สำหรับท่าน

ท่านจะเห็นได้ว่า
ชีวิตที่ดีๆจากโลกส่วนตัวของท่าน
จนขยับขยายไปสู่ชีวิตที่ดีบนโลกที่ใหญ่กว่านั้น
เป็นท่านนั่นเองจักต้องสร้างมันขึ้นมา
ด้วยจิตตปัญญาแห่งรักและการให้

โดยนิยามแห่งการมีชีวิตที่ดีก็คือ

1.การไม่มีศัตรู ที่จะคอยทำตนเป็นอุปสรรค
ในการดำเนินชีวิตของท่าน

2.การไม่เปลี่ยนมิตรไปเป็นศัตรู
เพราะการมักง่าย ไร้มหาสติ ของตัวเอง

คนที่เปลี่ยนมิตรไปเป็นศัตรู
คือบุคคลที่มีพฤตินิสัยด้านลบดังนี้...

กระทำการก้าวล่วงผู้อื่นด้วยวาจาอยู่เป็นนิจ
เช่น ปากเปราะเราะราน เสือก แส่ นินทา ว่าร้าย

จึงยังผลให้เป็นคนปากเสีย....
คือ ปากพิการ!

กระทำการก้าวล่วงผู้อื่นด้วยจิตใจอยู่เป็นนิจ
เช่น หมั่นไส้ นึกลบ

จึงยังผลให้เป็นคนจิตเสีย....
คือ จิตพิการ!

กระทำการก้าวล่วงผู้อื่นด้วยสายตาอยู่เป็นนิจ
เช่น อิจฉา ริษยา ตาร้อน ดูหมิ่นดูแคลน

จึงยังผลให้เป็นคนตาเสีย....
คือ ตาพิการ!

กระทำการก้าวล่วงผู้อื่นด้วยกายอยู่เป็นนิจ
เช่น การลักโขมย การฉ้อฉล การแก่งแย่ง
การจี้ปล้น การทำร้ายร่างกาย
การเอาเปรียบ การเบียดเบียน
หรือการกระทำทางกายใดๆ
อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ของคนอื่นๆ เป็นต้น

จึงยังผลให้เป็นคนที่อวัยวะของสังขารนั้นเสีย....
คือ อวัยวะร่างกายนั้นๆพิการ!

ดังนั้น...
ใครที่ติดนิสัยด้านลบเหล่านี้เป็นอาจิณ
อย่างน้อยในหนึ่งภพชาติข้างหน้า
อายตนะและอวัยวะที่พิการนั้น
มันจะกลายเป็น "ผลลัพธ์" หรือ "ผลกรรม"
อันเกิดจากการกระทำผิดบาปของตน
เอาไว้ในภพชาตินี้แทบทั้งสิ้น

การมีชีวิตที่ดี...จึงมีตัวชี้วัดอยู่ที่
ความสุข ความสงบ
กับความสว่างใสที่ในจิตตปัญญาของท่าน
ซึ่งไม่มีวันเสื่อมคลาย

การมีชีวิตที่ดี...มิได้มีตัวชี้วัดอยู่ที่
ความร่ำรวยสินทรัพย์ อำนาจ และวาสนา
ซึ่งสิ่งนอกกายเหล่านี้เป็นมายา
ที่สังคมมนุษย์สมมติขึ้น
ซึ่งมีแต่ความเสื่อมในบั้นปลายไม่จีรังแต่อย่างใด

ท่านหนักเหนื่อย...
อยู่กับการแสวงหาชีวิตที่ดีๆรายรอบตัวมานานแล้ว
หากก้มลงมามองมาพิจารณาที่ในใจของท่านกันเสียบ้าง
ท่านจะแปลกใจว่า...แท้จริงแล้วสิ่งที่ท่านค้นหานั้น
มันอยู่ในจิตตปัญญาของท่านมาตั้งนานแล้ว...

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
5-06-2015

นิยามของคนดี



นิยามของคนดี:
.....................
1.จะนึกดี คิดดี พูดดี ทำดี และ มีอารมณ์ดีเสมอ

2.จะคิดก่อนพูด คิดก่อนทำ
ตามปริญญาโมเดล ว่าด้วย "6 ถูก" เสมอ

3.จะไม่ก้าวล่วงใครทั้งกาย วาจา และจิตใจ
ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม

4.จะไม่ทำชั่ว แม้ว่าตนจะมีโอกาสให้กระทำชั่ว

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
5-06-2015

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คนที่หลงลืม



คนที่หลงลืมกำพืดทางจิตวิญญาณของตัวเอง...
มักจะอกตัญญูต่อพระผู้ให้กำเนิดเสมอ
ไม่ต่างจากคนที่ไม่รู้จักพ่อแม่ตนเอง

ลืมบุญคุณพ่อแม่ตนเอง
มันก็จะเนรคุณต่อผู้ให้กำเนิดได้
ทุกรูปแบบแหละนักเรียนทั้งหลาย

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
1 มิ.ย.2558

คนประพฤติชั่วก็กลัวแสงสว่าง . . .



ทุกวันนี้....คนที่ตัดสินใจเลือกร่วมทางไปกับเรา
นับว่าเหลือน้อยลงไปทุกวัน...ทุกวัน

หลายคน....
ยังตื่นตาตื่นใจอยู่กับอะไรๆตรงข้างทาง
จึงก้าวช้า...ล้าหลัง

หลายคน....
แม้มุ่งที่จะเยื้องย่างไปข้างหน้า
แต่ก็กลับนำพาตนเองเหมือนเดินถอยหลังอยู่

หลายคน...
แม้ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมทาง
แต่ก็ยังคงหันรีหันขวาง
ทำท่าทางลังเลเก้ๆกังๆ

หลายคน...
เดินร่วมทางมาได้ไม่เท่าไหร่
ก็แวะออกไปเสียนอกทาง
เพราะมีบางอย่างเร้าใจให้แวะลอง

นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
นอกจากเวลากับวารีไม่มีคอยใครแล้ว
อันตัวเรานี้ก็ใช่ว่าจะรั้งรอง้อคอยผู้ใดได้
หากท่านไม่ก้าวตามเรามา
สู่มรรคาวิถีแห่งจิตจักรวาลนี้ให้เทียบทันแล้ว

เส้นทางนี้จะไม่มีร่องรอยใดไว้ให้ใครสะกดตาม
พวกท่านที่ก้าวช้า ล้าหลัง หรือออกนอกลู่
ก็จักไร้ผู้นำทางและจักไร้แม้ตะเกียงที่ส่องสว่าง
เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
2-06-2015

ถ้าพวกท่านรักเฉพาะคนที่รักท่าน ควรนับว่าเป็นคุณความดีของท่านด้วยหรือ? เพราะแม้แต่พวกคนบาปก็ยังรักเฉพาะคนที่รักเขาเหมือนกัน



ถ้าท่านสามารถที่จะรัก
คนภายในครอบครัวของท่านได้

ถ้าท่านสามารถที่จะรัก
คนที่เขาทำดีกับท่านได้

ถ้าท่านสามารถที่จะรัก
ใครไม่รู้ที่ท่านเพิ่งรู้จักที่เขาน่ารักได้

นี่ย่อมแสดงว่า....หัวใจของท่าน
สามารถสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านได้แล้ว

ในขณะเดียวกันนั้นเอง
ท่านก็สามารถเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจักรวาลอันไพศาลนี้ได้แล้วเช่นกัน

ดังนั้น....
การที่ท่านสามารถรักคนในครอบครัวได้
รักคนที่เขาทำดีกับท่านได้
รักคนแปลกหน้าที่น่ารักได้
ก็ด้วยจิตใจแท้จริงของท่านนั่นเอง

เมื่อท่านมีสภาวะจิตใจแท้จริง
ที่สามารถเข้าถึงความรักอันพิสุทธิ์ได้เช่นนี้แล้ว
ใยท่านจึงเข้าถึง........

การรักคนอื่นๆอย่างไม่มีเงื่อนไขกันไม่ได้
การรักใครๆที่ท่านเห็นว่าไม่น่ารักไม่ได้
การให้อภัยแก่คนที่ไม่น่าให้อภัยไม่ได้
ทั้งๆที่เป็นจิตใจดวงเดียวกันของท่านเอง

ตอบเราหน่อยได้มั้ย....
นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ใย...สอบตกบททดสอบรายวันกันง่ายจัง!

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
2-06-2015