วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

"จิตเป็นอุเบกขา" ก็ด้วยอำนาจแห่งมหาสติ




เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สาเหตุสำคัญที่คนส่วนมาก
มักจะสอบตกในบททดสอบจิตสำนึก
ที่คนรอบข้างหยิบยื่นมาให้ก็คือ
1.ไม่รู้ตัว:
ที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับบททดสอบ
ก็เพราะขาดการใส่ใจ
โดยวันๆปล่อยให้ชีวิตของตน
ลื่นไหลของมันไปเรื่อยๆอยู่อย่างนั้น
เหมือนคนที่ดุ่มเดินไปข้างหน้า
เตะนั่นสะดุดนี่
ชนนั่นเฉี่ยวนี่ไปตลอดทาง
เพราะไม่ระมัดระวังขณะย่างเดิน
วันๆจึงกระทบกระทั่งกับคนนั้นทีคนนี้ที
ปะทะกับคนนั้นคนนี้
ให้เกิดการเสียหาย เสียใจ
เสียเวลา เสียอารมณ์อยู่มิเว้นวาย
เราจึงเตือนท่านทั้งหลาย
เน้นการฝึกครองมหาสติตลอดวันให้มั่นคงไว้
จะได้ตื่นรู้อยู่ตลอดเวลานั่นล่ะ
2.ไม่รัก:
บททดสอบจิตสำนึกข้อหลักของท่าน
คือ ท่านจะรักคนที่เขาทำตัวไม่น่ารักต่อท่านได้มั้ย
โดยพวกเขาทั้งคนคุ้นเคยและแปลกหน้า
จะจู่โจมเข้ามาในชีวิตท่าน
พร้อมเงื่อนไขบททดสอบอันแยบยลเสมอ
แน่นอนว่ามันมักจะเป็นบทร้ายๆ แสบๆ
ล้วนไม่เป็นที่พึงประสงค์สำหรับท่านทั้งสิ้น
การสอบผ่านบททดสอบเหล่านี้มีทางเดียว
คือ "รักๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" เท่านั้น
จงท่องมันเอาไว้ให้ขึ้นใจ
อย่าไปตกหลุมพรางบททดสอบเหล่านี้
ด้วยการถามหาว่า
"ใครถูกใครผิด"
"ใครดีใครชั่ว"
ถ้าท่านปล่อยตนเองให้ลื่นไหลไปตามยถากรรม
ท่านก็จะเกิดอารมณ์ขยะขึ้นมาทันที
เมื่อพบว่าท่านถูกแต่เขาผิด
เมื่อพบว่าท่านดีแต่เขาชั่ว
แล้วท่านก็จะใช้อารมณ์ขยะที่เกิดขึ้น
กระทำผิดบาปตอบสนองเขากลับไป
ในแบบที่เขาชั่วแล้วตัวท่านก็เลยชั่วตามเขาไปด้วยกัน
3.ไม่คิด:
เมื่อท่านต้องเผชิญกับบททดสอบแย่ๆ
จากคนรอบข้างที่ทำตัวไม่น่ารักแล้ว
สิ่งอันควรจะถามตัวท่านเองไว้เสมอก็คือ
ท่านจะรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักต่อท่านได้อย่างไร?
จงใช้ความฉลาดทางปัญญาหาเหตุผลเอา
จงอย่าใช้อารมณ์ขยะตอบโต้พวกเขาโดยเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้เอง.....
โดยพระบัญชาแห่งองค์จิตจักรวาล
เราจึงเน้นการสอนให้ท่านรู้คิดด้วยปัญญาในตนเอง
แทนการสอนให้ท่านเชื่อตามเรา
เราจึงสอนให้ท่าน "คิดตามเรา" เสมอมา
เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้ท่านไงล่ะ
ดังนั้น...
การบ้านข้อใหญ่ๆสำหรับพวกท่านทุกคน 2 ข้อก็คือ
1.ฝึกการรักษาจิตไม่ให้เสียสมดุล
กรณีที่มีใครมาทำตัวไม่น่ารักต่อท่านให้จงได้
นั่นคือ เข้าถึงคำว่า "จิตเป็นอุเบกขา" เสียให้ได้
2.ฝึกที่จะคิดรู้ด้วยปัญญา
เพื่อหาเหตุผลเอาไว้ล่วงหน้าว่า
ท่านจะรักคนไม่น่ารักได้ด้วยเหตุผลใดบ้าง
จะได้หยิบเอามาใช้ได้ทันท่วงทีที่มีมารผจญ
นั่นคือ เลิกใช้จิตไร้สำนึกที่ท่านเคยชินอยู่
แล้วหันมาใช้จิตสำนึกแทนเสียให้ได้
หากท่านไม่เตรียมความพร้อมให้ตนเอง
ด้วยการทำการบ้านสองข้อนี้แล้ว
ก็ป่วยการที่แม้ใกล้ชิดเป็นศิษย์เรา
แม้จะเฝ้าฟังพระโอวาทจากพระบิดาตลอดมา
ท่านก็จะยังไม่สามารถเปิดประตูนิพพาน
ผ่านออกไปในสภาวะหลุดพ้นได้ดังใจหรอกนะ
เพราะท่านสอบไม่ผ่านบทเรียนโลก
จากการสอบตกบททดสอบนั่นแหละ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-06-2015

โอม.....มหาสติ...มหาสติ...มหาสติ



โอม....มหาสติ...มหาสติ...มหาสติ

ป.วิสุทธิปัญญา
16-06-2015

กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้




นักเรียนที่รักและ....
ท่านผู้ใฝ่การหลุดพ้นทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ประตูมิติแห่งการหลุดพ้น
ที่ท่านเรียกว่า "นิพพาน" นั้น
มันมิอาจเปิดออกได้เพียงแค่ท่านทั้งหลาย
เดินสายแสวงสร้างบุญกุศล
ตามโอกาสอันสมควร
ดั่งที่ท่านเพียรกระทำกันอยู่อย่างเดียวดอกนะ

แม้การบำเพ็ญทานและบุญนั้น
หากทำด้วยจิตปัญญาหรือจิตสำนึกที่แท้จริง
มิใช่ทำตามวัฒนธรรมประเพณีแล้ว
บุญกุศลก็จะบังเกิดขึ้น
ในสภาวะจิตของท่านได้
ในรูปของความมีปีติก็ตาม

แต่มันก็เป็นเพียง....
อุบายหนึ่งในการ "ยกระดับ" สภาวะจิตของท่าน
ให้เกิดการสั่นสะเทือนด้านบวก
ในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆจนกว่าจะสูงสุด
ในระดับเดียวกันกับแรงสั่นสะเทือนด้านบวก
ของจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านได้เท่านั้น

นักเรียนจักต้องรู้ว่า
พลังอำนาจสูงสุดทางจิตวิญญาณของท่านนั้น
จิตหยาบหรือจิตปัจจุบันของท่าน
จะไม่มีทางยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ขึ้นไปทัดเทียมเทียบเท่าได้หรอกนะ
ต่อให้ขยันสร้างบุญสุนทานกันก็ตาม

ถ้าในชีวิตประจำวันนั้น
ท่านทั้งหลายไม่ใฝ่เรียนรู้ที่จะชำระจิตให้ใส
ไม่ล้างใจให้สวยควบคู่กันไปด้วย
เพราะเหตุว่า....
พลังอำนาจของจิตท่านมันจะถูกหน่วงรั้งเอาไว้
ด้วยคลื่นการสั่นสะเทือนด้านลบ
จำพวกโทสะ โลภะ โมหะ
กับอารมณ์หยาบๆรายวันที่ท่านเคยตัวกันอยู่

นอกจากนั้น...
อารมณ์ขยะรายวันยังผลิตสร้างแต่ผลกรรมด้านลบ
ในรูปของบุรพกรรมแม่เหล็ก
ขนาด 1 มวลต่อหนึ่งบุรพกรรม
คิดเป็นน้ำหนักเท่ากับ 0.5 มิลลิกรัม
ที่จะเป็นน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณของท่าน
ในส่วนที่จะหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย

ดังนั้น...
เมื่อสร้างบุญกุศลมากเท่าใดก็ตาม
แต่พลังอำนาจทางจิตวิญญาณไม่อาจเพิ่มขึ้นได้
ทั้งน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณยังมากขึ้นด้วย
จึงยังผลให้การดีดตนเอง
เพื่อหนีแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของโลกและเอกภพ
ให้หลุดพ้นออกไปจากระบบจึงเป็นไปไม่ได้
เพราะไม่มีพลังอำนาจมากพอ

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
บุญกุศลที่ท่านทำกับบาปกรรมที่ท่านก่อนั้น
มันเป็นคนละเรื่องกัน

ใครจะทำกรรมดีเพื่อลบล้างกรรมชั่ว
ที่ตัวทำไว้ในอดีตนั้น...ไม่ได้

กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

เรามีคำแนะนำต่อท่านทั้งหลาย
ได้เพียงเท่านี้จริงๆ....
มิใช่เป็นการ "ขัดบุญ" พวกท่านแต่ประการใด
ทำบุญสุนทานน่ะดีอยู่แล้ว....

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
15-06-2015

เพราะเหตุใด มนุษย์แห่งโลกเสรีส่วนใหญ่ จึงไม่สามารถข้ามผ่านการมีกิเลสตัณหาไปได้




นักเรียนที่รักทั้งหลาย
ท่านทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด
มนุษย์แห่งโลกเสรีส่วนใหญ่
จึงไม่สามารถข้ามผ่านการมีกิเลสตัณหาไปได้
อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะระงับยับยั้ง
มิให้มันก่อกำเนิดขึ้นมาในสภาวะจิตได้อีกด้วย
แม้จะฝึกครองสติกันอย่างหนักมาแล้วก็ตาม

สองคำตอบ....สั้นๆง่ายๆก็คือ
เป็นเพราะพวกท่านไปหลงเงามายาของสรรพสิ่ง
กับการหลงยึดติด "อัตตา" ตัวตนของสรรพสิ่งเข้าให้

เมื่อท่านหลงในเงามายาของสรรพสิ่งใด
ก็จะก่อให้เกิดกิเลสตัณหาขึ้นมาในสภาวะจิตทันที
เมื่อท่านไปยึดติดอัตตาตัวตนรูปลักษณ์ใดเข้า
ตัวกิเลสตัณหาก็จะเกิดขึ้นมาในสภาวะจิตได้เช่นกัน

การหลงเงามายาของสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น
มักเกิดจากการที่ท่านเข้าใจผิดคิดว่า
อัตตาตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่ง
ที่ท่านสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้
ด้วยกลไกอายตนะทั้งหก
ในมิติโลกทางกายภาพอยู่นั้น
ล้วนเป็นตัวตนรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันนั่นเอง

ทั้งๆที่แท้แล้วสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น
มันเป็นแค่เพียงเปลือกนอกของตัวตนที่แท้จริง
ซึ่งเป็นแก่นแท้ที่เร้นตนเองอยู่ข้างในต่างหาก
ตัวตนที่สัมผัสรู้ดูเห็นกันอยู่นั้นน่ะ
มันคือ "ตัวปลอม" มิใช่ตัวตนที่แท้จริงใดๆ

ตัวอย่างเช่น....
เมื่อท่านพบเห็นเพื่อนมนุษย์รูปสวยรูปหล่อ
ท่านก็มักจะไปหลงใหลในรูปลักษณ์นั้น
จนเกิดความชอบไม่ชอบเข้าให้
จนเกิดความอยากได้ใคร่มี
หรือเกิดความรู้สึกว่าตนไม่อยากคบหาขึ้นมา เป็นต้น

ทั้งๆที่ความสวยหรือหล่อ
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์นั้นๆ
เป็นแค่เพียงมายาซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของแก่นแท้
ที่ถูกถ่ายทอดออกมาโดยจิตวิญญาณ
ของคนๆนั้นเป็นสำคัญ

โดยจิตวิญญาณที่เป็นตัวตนแก่นแท้ในแต่ละคน
จะเป็นรูปธรรมในมิติทางพลังงาน
ที่ต้องอาศัยเปลือกนอกซึ่งเป็นมายาทางกายภาพ
ทำการห่อหุ้มตนเองไว้
ในขณะดำรงความเป็นสรรพสิ่งหนึ่งอยู่นั่นเอง

สรรพสิ่งอื่นๆในระบบโลกก็ล้วนมีเปลือกนอก
ที่มีแก่นแท้เป็นพลังงานด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ว่าพวกท่านจะจัดให้สรรพสิ่งนั้น
มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม

ในเมื่อตัวตนรูปลักษณ์ภายนอก
เป็นแค่เพียงเปลือกนอก
หรือเป็น "เงา" ของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างในแล้ว
สรรพสิ่งต่างๆที่ท่านสัมผัสรู้ดูเห็นมัน
จึงเป็นได้แค่เพียง "มายา" เท่านั้นเอง

ไม่ต่างจากคำว่า "จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว"
ซึ่งหมายถึงจิตจะเป็นผู้สั่งการให้
อวัยวะร่างกายภายนอก
สั่นสะเทือนไปตามความต้องการของจิต
พฤติกรรมหรืออาการใดๆที่เกิดขึ้น
มันจึงเป็นเงาของจิตหรือแก่นแท้นั่นแหละ

หากท่านได้รู้ดั่งนี้แล้วว่า
อะไรๆที่ท่านสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้
ในมิติโลกทางกายภาพ
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้ากับจิตอีกหนึ่งนั้น
มันล้วนเป็นเงามายาของแก่นแท้
มิใช่ตัวตนที่แท้จริงที่ท่านจะไปยึดติดอะไรได้

ได้เห็นสักแต่ว่าเห็น
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน
ได้ลิ้มรสสักแต่ว่ารู้รส
ได้กลิ่นสักแต่ว่ารู้กลิ่น

ได้จับสัมผัสก็สักแต่ว่า
รู้ร้อนรู้หนาว รู้นิ่มรู้แข็ง

แม้จะเข้าถึงได้เพียงเท่านี้
ท่านก็จะไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ขยะรายวัน
เพราะไปหลงยึดติดอัตตาตัวตนรูปลักษณ์
ที่เป็นมายาของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเข้าให้

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
16-06-2015