วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

"สอน" ธรรมะ กับคำว่า "อวด" ธรรมะ




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

คำว่า "สอน" ธรรมะ 
กับคำว่า "อวด" ธรรมะ
สองคำนี้ยังมีหลายคนเข้าใจสับสน
แต่ละคนเข้าใจว่ามีความหมายเหมือนกัน
โดยเข้าใจว่า "สอนธรรมะ"
กับ "อวดธรรมะ" มีความหมายเดียวกัน
ทั้งๆที่แท้จริงแล้วมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.คำว่า "อวด" นั้น 
หมายถึง
การบอกคนอื่นให้รู้ว่า "ตนรู้อะไรบ้าง"

คำว่า "อวด" นั้น 
หมายถึง การแสดงออก
ในสิ่งที่ตนเป็นอยู่มีอยู่หรือรู้อยู่
ให้คนอื่นรู้เห็น
โดยทั่วไปก็จะมีอยู่ 2 อวด ดังนี้คือ

#จำอวด คือ จำเขามาอวดว่าตนก็มีดี
เพื่อให้ผู้อื่นเขายอมรับนับถือหรือซูฮกตน

#โอ้อวด คือ แสดงออกในสิ่งที่ตนมีอยู่
เพียงเพราะต้องการข่มผู้อื่นไว้
จะทำให้ตนเองเด่นกว่า เหนือกว่า
เพื่อให้ผู้อื่นยกย่อง และยอมรับ

นอกจากนั้น
การแสดงออกด้วยคำพูด
หรือการกระทำใดๆในสิ่งที่ตนไม่รู้จริง
ไม่มีจริง ไม่ใช่เรื่องจริง หรือเกินจริง
เพื่อให้คนอื่นเขาหลงเชื่อตามนั้น
นี่ก็เรียกว่า "อวด" เหมือนกัน
ตัวอย่างก็มีหลายอวดดังต่อไปนี้

#อวดรู้ ทั้งๆที่ไม่รู้ หรือ รู้ไม่จริง
#อวดเห็น ทั้งๆที่ไม่เห็น หรือ เห็นไม่จริง
#อวดอ้าง ทั้งๆที่กล่าวอ้างข้างๆคูๆ
#อวดรวย ทั้งๆที่รวยไม่จริงหรือยังจนอยู่
#อวดดี ทั้งๆที่ไม่มีอะไรดีที่พร้อมจะให้อวด

นี่ล้วนเป็นตระกูลอวดทั้งนั้น

ดังนั้น
ผลลัพธ์ของการ "อวด-แสดง"
จึงเป็นได้แค่เพียง "สอนให้คนอื่นรู้"
ว่าคนที่เป็นผู้อวดแสดงนั้น "รู้อะไร"
คนที่เป็นผู้อวดแสดงนั้น "มีดีอะไร"

ตัวอย่างการ "อวดแสดง" ธรรม
ลักษณะสอนให้รู้ เช่น ประโยคต่อไปนี้

"รักษาจิตให้ดี 
ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง
มีสติอย่าให้พร่อง 
ความเศร้าหมองจะหมดไป"

#จงสังเกตให้ดีนะ
คำสอนนี้ครูมิได้แนะนำไว้เลยว่า
การรักษาจิตให้ดีนั้นน่ะจิตใคร
การรักษาจิตให้ดีนั้นต้องทำอย่างไร

#จงสังเกตให้ดีนะ
คำสอนนี้ครูก็มิได้แนะนำไว้เลยว่า
การทำหน้าที่ให้ถูกต้องนั้นคือทำอย่างไร

#จงสังเกตให้ดีนะ
คำสอนนี้ครูก็มิได้แนะนำไว้เลยว่า
มีสติอย่าให้พร่องต้องปฏิบัติอย่างไร
ความเศร้าหมองจึงจะหมดสิ้นไปได้

นี่เป็นตัวอย่างการ "อวดแสดง" ธรรม
ลักษณะสอนให้รู้อีกประโยคหนึ่งคือ

"มีกู ก็มีกรรม
ไม่มีกู ก็ไม่มีกรรม"

#จงสังเกตให้ดีนะ
คำสอนนี้ครูมิได้แนะนำไว้เลยว่า
มีกูกับไม่มีกูต้องทำอย่างไ
ปล่อยให้ผู้ฟังผู้เรียนไปคิดต่อกันเอาเอง

#จงสังเกตให้ดีนะ
คำสอนนี้ครูมิได้แนะนำไว้เลยว่า
ความหมายของคำว่า "กรรม" คืออะไร
ถ้ามีกูแล้ว กรรมมันเกิดขึ้นได้ยังไง
ถ้าไม่มีกูแล้ว กรรมมันไม่เกิดเพราะอะไร

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

คำสอนประเภทนี้เย้ายวนใจ
ชวนให้ซาบซึ้งในอรรถรสแห่งถ้อยธรรม
มากกว่าการชี้แนวทางปฏิบัติธรรมว่า
ถ้าจะเข้าถึงคำกล่าวที่หรูหรานั้นได้
จักต้องกระทำอย่างไรบ้าง

คนส่วนใหญ่จึงมัก "จำธรรม" ไว้ที่สมอง
มากกว่า "ทำธรรม" ในชีวิตจริง

2.ส่วนคำว่า "สอน" นั้น หมายถึง
การช่วยให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่ตนรู้
จนเขาสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์
ในชีวิตจริงของเขาได้

คำสอนที่ดี
จึงต้องมีแนวทางที่จะกระทำให้ด้วย
เพื่อช่วยให้คนอื่นๆง่ายขึ้
เพื่อช่วยให้คนอื่นๆสามารถเข้าถึง
ข้อธรรมะที่ครูนำมาแสดงไว้นั้นได้จริงๆ

ตัวอย่างคำสอนที่ดี เช่น....

"ก่อนที่จะพูดอะไร 
ให้ถามใจตนเองเสียก่อนว่า
สิ่งที่ตนกำลังจะพูดนั้น
มันจำเป็นจะต้องพูดออกไปหรือเปล่า
ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูด"

นี่เป็นลักษณะคำสอนที่แท้จริง
เพราะชี้ชัดในความรู้ ความจริง
และมีสิ่งที่เป็นสาระสำคัญคือวิธีปฏิบัติ
ที่ชัดเจน แจ่มแจ๋ว เป็นรูปธรรม
โดยมิต้องเล่นคำทำสำนวน

ตัวอย่างคำสอนที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่ง 
เช่น....

"หมาเห่า อย่าเห่าตอบ
เพราะมันจะมีหมาเพิ่มมาอีกตัว"
(Cr: ท่านพุทธาส)

นี่ก็เป็นลักษณะคำสอนที่แท้จริงเช่นกัน
เพราะให้ความรู้ความเข้าใจ
รวมทั้งให้วิธีปฏิบัติที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายผู้ใฝ่ธรรม
จึงต้องฉลาดเรียนรู้
ด้วยการเลือกครู #ผู้สอนธรรม

จงอย่าหลงเลือกครู 
ที่ได้แต่จำธรรมมาอวด (แสดง) ธรรม
ซึ่งมีอยู่ 5 อวดด้วยกันตามข้อ 1 ที่ว่าไว้
โดยท่านจะพบเห็นกันอยู่มากมาย
ตามสไลด์อวดธรรมที่แชร์กันว่อน
โดยสอนอะไรอย่างไรก็ไม่รู้
แต่ถ้อยธรรมอ่านดูแล้ว
หวือหวาน่าแชร์ต่อเสียจริงๆ

เพื่อท่านจะได้นำเอาองค์ความรู้จากครูแท้
มาสู่การเป็นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมได้จริงๆ
แทนการดื่มด่ำแต่อรรถรสจากถ้อยคำ
ในข้อธรรมที่เขาอวดสำแดงกันอีกต่อไป

ท่านที่รู้ตัวว่า
ยังพึ่งพลังอำนาจทางปัญญาของตนไม่ได้
ยังจะต้องอาศัย "ครู" เป็นผู้ช่วยเหลืออยู่
บทเรียนนี้คงพอช่วยเหลือท่านทั้งหลาย
ค้นหาครูผู้สอนธรรมกันได้ง่ายขึ้นบ้างล่ะนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28-09-2017

ข่าวสารจาก #พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ตลอดระยะเวลากว่าหกหมื่นปีโลกที่ผ่านมา
จนถึงปัจจุบันนี้นั้น

#ดวงจิตธรรมญาณของทุกท่าน
ได้ขันอาสาพระผู้ให้กำเนิดท่านทั้งหลาย
เดินทางข้ามมิติมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้
คนละมากมายหลายภพชาติกันแล้

มันเนิ่นนานพอที่จะเรียนรู้โลก
เรียนรู้ตนเองและผู้อื่นได้อย่างจบแจ้ง
เนิ่นนานพอที่จะมีสำนึกถึงหน้าที่ใน #พันธะสัญญา6
ซึ่งแก่นแท้ของท่านได้ให้ไว้ต่อพระบิดา
ตั้งแต่มาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติแรกแล้ว

#บัดนี้โลกถึงกาลสิ้นยุคหกหมื่นปีที่ทรงกำหนดไว้แล้ว

จึงหมดเวลาที่ดวงจิตธรรมญาณของพวกท่าน
จะทำหน้าที่ผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวก
จากอำนาจแห่งรักให้แก่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้แล้ว
แม้ว่าตั้งแต่ภพชาติแรกจนถึงปัจจุบัน
พวกท่านบางคนยังไม่อาจสามารถเข้าถึง
ภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ว่านี้ได้เลยก็ตาม

แต่เมื่อท่านหมดเวลาปฏิบัติภารกิจ
พ้นไปจากหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบกันแล้ว
จึงมีเพียงสิ่งเดียวที่ท่านทั้งหลายจักต้องกระทำ
นั่นคือ #การแสวงหาหนทางกลับออกไปจากระบบโลก
พ้นไปจากการมีจิตวิญญาณอยู่ในกาแล็กซี่นี้
และหลุดพ้นออกไปจากเอกภพตลอดกาลนิรันดร์
โดยจะไม่มีการย้อนคืนกลับสู่การเกิดใหม่อีก

ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้จิตวิญญาณผู้ขันอาสา
จากแดนสุญตานอกระบบเอกภพ
อันเป็นดินแดนที่ท่านเองจากมาและต้องกลับไป
ให้พวกเขาได้รับโอกาสข้ามมิติเข้ามา
เพื่อทำหน้าที่แทนพวกท่าน
ในยุคพลังงานใหม่ต่อไปได้

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
หากพวกท่านไม่ยอม "#นิพพาน" คือกลับบ้านไม่ได้
หรือไม่คิดที่จะนำพาแก่นแท้ตนเองกลับบ้าน
พวกท่านยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ต่อไป
ทั้งๆที่โลกถึงกาลสิ้นยุคแล้วเช่นนี้
มันจะสร้างความเสียหายต่อระบบโลกและเอกภพ
ซึ่งเป็นระบบใหญ่อย่างมากมา

อย่างแรกคือ #ดาวเคราะห์โลก
#จะสูญเสียสมดุลครั้งใหญ่ในอีกไม่ช้านานข้างหน้า

ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มส่อเค้าลางแห่งการเสียสมดุลบ้างแล้ว
จากสถิติทุกด้านในกรณี #มหันตภัยพิบัติโลก ที่เกิดขึ้น
เพราะจิตสำนึกโดยรวมของโลกตกต่ำสุดๆ
ชนิดที่ไม่มียุคใดจะตกต่ำมากมายจนขนาดนี้มาก่อน
ซึ่งมันจะสอดคล้องกับที่เราเคยกล่าวต่อพวกท่านว่า

#หากยุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์และโลกตกต่ำ
#ยุคนั้นมนุษย์จักต้องทำสงครามกับมหันตภัยพิบัติเสมอ

หมายความว่าถ้ามนุษย์โลก
ยังไม่เร่งนำพาจิตวิญญาณของตนกลับบ้าน
ตามมรรควิถีแห่งจิตจักรวาลสำหรับท่านที่เป็นฆราวาส
หรือตามมรรควิถีแห่งพระพุทธองค์สำหรับนักบวช
มนุษย์จะเสื่อมแล้วโลกก็จักเสื่อมตาม
#ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นไปทั่วโลก

นอกจากนั้นปฏิบัติการชำระโลกโดยช่างเท็คนิก
ซึ่งรอรั้งที่จะลงมือปฏิบัติการขั้นต่อไป
เพื่อสร้างสมดุลโลกในระดับที่สูงกว่ายุคพลังงานเก่า
พวกเขาก็พร้อมที่จะดำเนินการอยู่

นั่นหมายความว่า "#มหันตภัยพิบัติ"
ที่มิใช่ "#ภัยธรรมชาติ" มันจะปรากฏเกิดขึ้นต่อโลก
ที่หนักหนารุนแรงเร่งเร้าจนเหนือความคาดหมาย
ซึ่งท่านเองและใครๆก็จะมิอาจพลิกตำรา
เพื่อค้นหาประวัติศาสตร์มาอ้างอิงได้เลยเพราะไม่เคยมี
อีกทั้งจะหาตำราวิทยาศาสตร์เล่มใดๆ
มาอธิบายปรากฏการณ์แปลกๆที่จะเกิดขึ้นก็ไม่พบ
เพราะมันล้วนเป็น "#ความรู้ใหม่" 
#ที่อยู่นอกเหนือการคิดได้ด้วยจิตมนุษย์

เพราะมันจะเป็นภัยพิบัติจากปฏิบัติการของช่างเท็คนิก
มิใช่ภัยธรรมชาติแต่อย่างใดทั้งสิ้น
โดยมีเป้าหมายหลักคือ #กำจัดขยะทั้งหมด
#ออกไปเสียจากระบบโลก

ขยะทั้งหลายจะประกอบด้วย
เกาะแก่งน้อยใหญ่ในทะเลและมหาสมุทร

วัตถุเท็คโนโลยีขยะที่มนุษย์สร้างขึ้นไว้
เพื่อทำลายล้างกัน ทำลายระบบนิเวศน์ และโลก

รวมทั้งขยะมนุษย์ที่ทำตัวรกโลกรกแผ่นดิน
เพราะรักไม่ได้ ให้ไม่เป็น เห็นแก่ตัว
เป็นคนที่ไร้ประโยชน์ต่อสังคมและโลก
เป็นผู้ทำตนเป็นอุปสรรคบนเส้นทางหลุดพ้นของผู้อื่น
เพื่อลดน้ำหนักมวลบนพื้นผิวโลก
และแก้ปัญหาการแกว่งส่ายขณะโลกเหวี่ยงหมุน

นอกจากนั้นปฏิบัติการชำระโลกยังจะต้อง
ปรับแนวเอียงของแกนหมุนรอบตัวเองของโลก
ให้เบี่ยงเบนไปจากแนวเดิมอีก 8.5 องศา
เพื่อคืนความอุดมให้แก่ทะเลทราย
เพื่อชำระแผ่นดินส่วนเกินออกไปจากแผนที่โลก

ทั้งยังจะต้องปรับแนวเข็มทิศแม่เหล็กโลกเหนือใต้
ให้เบี่ยงเบนมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
อีก 3 องศาจากแนวเดิมในปัจจุบัน
เพื่อให้พาดผ่านแผ่นดินแห่งพระศาสดาพระองค์ใหม่
ที่จะทรงสามารถติดต่อกับจักรวาลได้ดียิ่ง

และยังจะต้องยกระดับความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ให้สูงขึ้นจาก 14 เกาส์ในปัจจุบันเป็นไม่เกิน 22 เกาส์
พร้อมกับการยกระดับโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
ให้สูงขึ้นเหนือพื้นโลกในระดับสมดุลและคุ้มภัยได้ดี
นั่นคือ อยู่ที่ระดับ 6 หมื่นกิโลเมตร

ทั้งหมดทั้งมวลจะกระทำผ่านมหันตภัยพิบัติ
ที่มิอาจหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้
เพราะเกิดจากโลกเสียสมดุลเองหนึ่ง
กับจากแผนปฏิบัติการชำระโลกโดยช่างเท็คนิกอีกหนึ่ง

มันคือการชำระสรรพสิ่งที่เป็นขยะและไม่เหมาะสม
ให้ออกไปจากระบบโลกและคืนสมดุลระดับใหม่
เพื่อทำให้โลกยุคพลังงานใหม่น่าอยู่
อันเป็นการชำระทั้งมิติทางกายภาพและพลังงาน

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
ล้วนเป็นข่าวสารจาก #พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้ทรงยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล
อันไพศาลของพระองค์

ล้วนเป็นความจริงที่ท่านทั้งหลายต้องรู้
แม้บางท่านอาจไม่รู้ว่าทำไมท่านจะต้องรู้
แม้บางท่านพอได้รู้แล้วปฏิเสธข่าวสารนี้ทันทีก็ตาม

เรากล่าว #ข่าวสาร ความจริงนี้ ต่อท่านทั้งหลาย
ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อพวกท่าน

เรากล่าวไปตามหน้าที่ทางจิตวิญญาณของเรา
เรากล่าวไปตามที่พระองค์ทรงใช้ให้เรามากล่าว
เรามิได้กล่าวเพื่อความสะใจ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-09-2017

สนทนาประสาจิตจักรวาล DHAMMA REPEAT




#สนทนาประสาจิตจักรวาล
DHAMMA REPEAT

พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ความหมายของคำว่า #สุญญตา
ตามมรรควิถีแห่งจิตจักรวาลก็คือ

1.คำว่า "สุญญตา"
มาจากคำว่า "สุญญ" ประสมกับคำว่า "ตา"

2.คำว่า "สุญญ" หรือ ศูนย์
หมายถึง ความไม่มีอยู่ หรือ ความว่าง

3.คำว่า "ตา" หมายถึง
กลไกอวัยวะเพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่ง
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
อันประกอบด้วย

ตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิต
ที่เรียกว่า "อายตนะทั้ง 6" นั่นเอง

4.ดังนั้น
คำว่า #สุญญตา โดยรวมแล้ว
จึงหมายถึง การว่างไปจากอายตนะทั้งหก

6.การว่างไปจากอายตนะทั้งหก
หมายถึง มี "ตา" แต่เหมือนไม่มี

นั่นคือ 
มีตาที่สามารถรับรู้ดูเห็นได้เป็นปกติ
มิได้เป็นผู้มีดวงตาพิการแต่อย่างใด

มีตาไว้เห็นเพื่อเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โดยที่จิตใจมิได้สั่นไหวเสียสมดุลไป
จนเกิดกิเลส ตัณหา ราคะทั้งหลายขึ้นมา
เพราะไม่หยิบเอาสิ่งที่เห็นนั้น
มาเป็นเงื่อนไข

การที่ "ตา" มองเห็นสิ่งใด
แล้วรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยจิตสงบได้
คือความหมายของคำว่า #สุญญตา

7.การว่างไปจากอายตนะทั้งหก
หมายถึง มี "หู" แต่เหมือนไม่มี

นั่นคือ 
มีหูที่สามารถรับรู้รับฟังได้เป็นปกติดีอยู่
มิได้เป็นผู้มีหูพิการแต่อย่างใด

มีหูไว้ฟังเพื่อเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โดยที่จิตใจมิได้สั่นไหวเสียสมดุลไป
จนเกิดกิเลส ตัณหา ราคะทั้งหลายขึ้นมา
เพราะไม่หยิบเอาสิ่งที่รับฟังนั้น
มาเป็นเงื่อนไข

การที่ "หู" ได้ยินได้ฟังสิ่งใด
แล้วรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยจิตที่สงบได้
คือความหมายของคำว่า #สุญญตา

8.การว่างไปจากอายตนะทั้งหก
หมายถึง มี "ลิ้น" แต่เหมือนไม่มี

นั่นคือ 
มีลิ้นที่สามารถรับรู้รับรสได้เป็นปกติดีอยู่
มิได้เป็นผู้มีลิ้นพิการแต่อย่างใด

มีลิ้นไว้ลิ้มรสเพื่อเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โดยที่จิตใจมิได้สั่นไหวเสียสมดุลไป
จนเกิดกิเลส ตัณหา ราคะทั้งหลายขึ้นมา
เพราะไม่หยิบเอารสชาติที่รับรู้นั้น
มาเป็นเงื่อนไข

การที่ "ลิ้น" รับรู้รสชาติ
แล้วรู้ว่าเป็นรสชาติอะไรด้วยจิตสงบได้
คือความหมายของคำว่า #สุญญตา

9.การว่างไปจากอายตนะทั้งหก
หมายถึง มี "จมูก" แต่เหมือนไม่มี

นั่นคือ 
มีจมูกที่สามารถรับรู้กลิ่นได้เป็นปกติดีอยู่
มิได้เป็นผู้มีจมูกพิการแต่อย่างใด

มีจมูกไว้ดมเพื่อเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โดยที่จิตใจมิได้สั่นไหวเสียสมดุลไป
จนเกิดกิเลส ตัณหา ราคะทั้งหลายขึ้นมา
เพราะไม่หยิบเอากลิ่นที่รับรู้นั้น
มาเป็นเงื่อนไข

การที่ "จมูก" ได้รับสัมผัสรู้กลิ่นใด
แล้วรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยจิตสงบได้
คือความหมายของคำว่า #สุญญตา

10.การว่างไปจากอายตนะทั้งห
หมายถึง มี "ผิวกาย" แต่เหมือนไม่มี

นั่นคือ 
มีผิวกายที่สามารถรับรู้ได้เป็นปกติดีอยู่
มิได้เป็นผู้มีผิวกายพิการแต่อย่างใด

มีผิวกายอยู่เพื่อเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โดยที่จิตใจมิได้สั่นไหวเสียสมดุลไป
จนเกิดกิเลส ตัณหา ราคะทั้งหลายขึ้นมา
เพราะไม่หยิบเอาสิ่งที่ผิวกายรับรู้นั้น
มาเป็นเงื่อนไข

การที่ "ผิวกาย" ได้สัมผัสกับสิ่งใด
แล้วรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยจิตสงบได้
คือความหมายของคำว่า #สุญญตา

11.การว่างไปจากอายตนะทั้งห
หมายถึง มี "จิต" แต่เหมือนไม่มี

นั่นคือ 
มีจิตที่สามารถนึกคิดได้เป็นปกติดีอยู่
มิได้เป็นผู้มีจิตพิการแต่อย่างใด

มีจิตไว้นึกคิดเพื่อเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โดยที่จิตเองมิได้สั่นไหวเสียสมดุลไป
จนเกิดกิเลส ตัณหา ราคะทั้งหลายขึ้นมา
เพราะไม่หยิบเอาสิ่งที่จิตนึกคิดได้นั้น
มาเป็นเงื่อนไข

การที่ "จิต" นึกคิดสิ่งใดขึ้นมาได้
แล้วเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยจิตสงบได้
คือความหมายของคำว่า #สุญญตา

12.พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
การมีกลไกอายตนะทั้ง 6 เป็นสุญญตา
จึงหมายถึง

การมีและใช้อายตนะของท่าน
ในการสัมผัสรับรู้ทุกสรรพสิ่งเพื่อเรียนรู้
โดยเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น
อย่าให้มีการ #รับรู้แล้วรับเอา เด็ดขาด

หากมีการรับเอาของจิตเกิดขึ้นเมื่อใด
สภาวะจิตเดิมแท้ที่สงบสมดุลอยู่
ก็จะเกิดอาการเสียสมดุลไปทันที
จิตของท่านจะทำการหมุน "กรรมจักร"
แทน "ธรรมจักร" ไปในบัดดล

การรับรู้แล้วรับเอาในที่นี
เราหมายถึงจิตรับรู้แล้วเกิดการปรุงแต่ง
เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการต่างๆนานา
ทำให้สภาวะจิตตกต่ำหม่นมัว
จนไม่อาจเข้าถึงพลังแห่งรักบริสุทธิ์ได้
จนไม่อาจเข้าถึงพลังอำนาจแห่งปัญญาได้

13.ถ้าท่านไม่สามารถเข้าถึง
พลังอำนาจแห่งรักบริสุทธิ์
กับพลังอำนาจสูงสุดแห่งปัญญาได้
ท่านก็มิอาจสอบผ่านบททดสอบจิตสำนึก
ทั้งยากและง่ายในชีวิตประจำวันได้
ท่านก็จะเป็นคนพ้นกรรมไม่ได

#การเป็นคนพ้นกรรม หมายถึง
ก่อกรรมใดๆแล้วไม่เกิดผลกรรมขึ้นใหม่
เช่น ทำความดีแล้วไม่หวังสิ่งตอบแทน
และไม่กระทำการก้าวล่วงผู้อื่น เป็นต้น

14.ท่านทุกคนสามารถปฏิบัติบำเพ็ญ
จนเข้าถึงสภาวะสุญญตาได้อย่างสิ้นเชิง
ตามวิถีแห่งจิตจักรวาลในชีวิตประจำวัน
อันเป็นการปฏิบัติตนไปตามธรรมชาติ
โดยไม่ต้องข่มจิต ข่มใจ
โดยไม่ต้องทรมานเครื่องยนต์แห่งกรรม
ซึ่งสามารถสำเร็จผลได้ในชาตินี้

แต่ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ถ้าท่านเป็นฆราวาสประพฤติธรรม
สภาวะสุญญตาจะสำเร็จผลมิได้
ถ้าท่านยังใช้วิธี #ลี้เข้าป่า #ปลีกวิเวก

หลบไปหามุมสงบอยู่คนเดียว
โดยทอดทิ้งสังคมไป
เพราะเข้าใจว่า "สุญญตา" หมายถึง

การนั่งหลับตาอยู่คนเดียวไม่เห็นอะไร
จะได้ไม่มีอะไรให้ปรุงแต่ง

การนั่งปิดหูเพราะอยู่คนเดียวไม่มีเสียงใคร
จะได้ไม่มีอะไรให้ปรุงแต่ง

การนั่งปิดปากเพราะอยู่คนเดียว
จะได้ไม่พูดกับใครให้มีอะไรต้องปรุงแต่ง

การจำกัดเก็บกดรสอาหารบนปลายลิ้น
เพื่อสร้างความคุ้นชินชาเฉย
มิให้เกิดการปรุงแต่ง

การกินอยู่หลับนอนคนเดียว
จะได้ไม่ต้องสัมผัสกลิ่นและกาย
ให้มีอะไรต้องปรุงแต่ง

จงปฏิบัติบำเพ็ญท่ามกลางฝูงชน
จงปฏิบัติตนไปตามธรรมชาติ
จงฉลาดดำเนินชีวิต
จงเข้าถึงพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งจิตและปัญญา
จงอย่าหนีเข้าป่าหมายไปสวรรค์คนเดียว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-09-2017