วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การใช้อริยสัจ 4 สำหรับฆราวาส


 
 
 
 
การใช้อริยสัจ 4 สำหรับฆราวาส:
................................................
1.อริยสัจ 4 คือ สูตร หรือ ข้อกำหนด หรือ แนวทางซึ่งเป็นความจริงอันประเสริฐที่จะใช้จัดการกับสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายเรียกว่า "ความทุกข์" ได้แบบเบ็ดเสร็จ

2.ถ้าเป็นความทุกข์ในมิติแห่งจิตวิญญาณของพวกเธอ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการมีสังสารวัฏ หรือ การเวียนว่ายตายเกิดอันมิรู้สิ้นสุดหลุดพ้นกันได้เมื่อไหร่ ต่อกรณีนี้พระพุทธองค์ได้ทรสอนสั่งพวกเธอเอาไว้นานแล้ว

3.แต่ถ้าเป็นความทุกข์ในมิติโลกทางกายภาพ ก็คือ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นฆราวาสโดยเลือกจะมีครอบครัว หรือเลือกดำเนินชีวิตในบทบาทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง มักจะหนีไม่พ้นกับการต้องเผชิญสิ่งที่ตนเรียกว่าทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น

4.สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ก็คือ สิ่งที่เธอรู้สึกว่าทนได้ยาก ทนไม่ไหว ทนไม่ได้ จนอยากเอามันออกไปให้พ้นจากตัวเธอ หรือไม่ก็อยากจะเอาตัวเธอเองออกไปให้พ้นจากสิ่งนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่พวกเธอจะใช้คำรวมสั้นๆว่า "ปัญหา" นั่นเอง

หลักการใช้อริยสัจ 4 เพื่อจัดการกับปัญหาในชีวิต:
.......................................................................
1.เมื่อเกิดทุกข์ เธอต้องสำนึกรู้ทันทีว่า เธอได้พบเผชิญกับปัญหาเข้าให้แล้ว หน้าที่ของเธอก็คือ จักต้องเรียนรู้ด้วยการวิเคราะห์ให้ได้ ค้นให้พบว่า "ปัญหานั้น" คือ อะไรกันแน่ ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ว่า "ทุกข์" ของตนคืออะไรตามหลักแห่งอริยสัจนั่นเอง

2.เมื่อค้นพบว่าปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์ของเธอ คือ อะไรแน่แล้ว หน้าที่ของเธอก็จักต้องทำการสืบค้นต่อไปว่า ต้นตอหรือบ่อเกิดแห่งปัญหาที่แท้จริงที่เธอพบนั้นมัน คือ อะไรแน่

นี่ก็หมายถึง การเรียนรู้สาเหตุแห่งปัญหาอันนำมาซึ่งความทุกข์ที่เธอเผชิญอยู่ ที่หลักแห่งอริยสัจ หมายถึง "สมุทัย" คือ การเรียนรู้ถึงสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์นั้นนั่นเอง

3.เมื่อค้นพบว่า ตัวต้นต่อบ่อเกิดแห่งปัญหาที่นำมาซึ่งความทุกข์ทั้งหลายของเธอนั้น มันคืออะไรแน่แล้ว เธอก็ต้องเรียนรู้ต่อไปว่าจะแก้ปัญหาตรงสาเหตุแห่งปัญหานั้น ด้วยวิธีการใดได้บ้าง คิดหาวิธีให้ได้หลายๆวิธี แล้วก็ตัดสินใจเลือกเอาวิธีที่ดีที่สุดที่เธอพร้อมและสามารถจะทำได้จริงเพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหานั้นต่อไป

นี่ก็หมายถึง การเรียนรู้ที่จะค้นหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดและมั่นใจว่านำมาใช้แก้ไขปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์ของเธอได้แน่ๆ ด้วยวิธีการตัดสินใจเลือกที่ฉลาดที่สุด ซึ่งหลักแห่งอริยสัจ หมายถึง "นิโรธ" อันหมายถึง ความดับทุกข์นั้นได้สำเร็จโดยแท้

4.เมื่อเธอจัดการกับปัญหาดังกล่าวที่เผชิญอยู่เป็นผลสำเร็จ นั่นเท่ากับว่า เธอจัดการดับทุกข์ทั้งกายและใจของเธอได้แล้ว หน้าที่ของเธอยังจักต้องเรียนรู้ต่อไปให้สุดทางอีกด้วยว่า....เมื่อเธอมีประสบการณ์แห่งทุกข์นั้นแล้ว เธอจะป้องกันตนเองอย่างไรเพื่อมิให้เกิดทุกข์แบบเดียวกันนี้อีกในวันข้างหน้า....

นี่คือ ปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ใช่หรือไม่ล่ะ?

ถ้าเธอใช้ประสบการณ์นี้เป็นบทเรียน แล้วเตรียมตัวเตรียมใจป้องกันไว้มิให้มันเกิดปัญหาที่จะนำพาความทุกข์มาให้เธออีกในวันข้างหน้าได้นั้น ตามหลักแห่งอริยสัจ 4 ก็หมายถึง "มรรค" นั่นคือ การรู้วิถีทางดำเนินชีวิตที่ชาญฉลาด (Smart) โดยไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตตามแบบเดิมๆอีกตลอดไป

5.ตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา ในแต่ละวันถ้าเธอใช้หลักแห่งอริยสัจ 4 ที่เรากล่าวมาทั้งหมดพอสังเขปนี้ จัดการกับอุปสรรคปัญหาใดๆในชีวิต เธอก็จะสามารถผ่านบททดสอบและได้รับบทเรียนกันอย่างมากมายมหาศาล ขณะที่จิตปัญญาของเธอก็จะทรงพลังอำนาจเหลือคณานับ มิมีงมงาย มิใช่แก่แล้วแก่เลย ตามอายุขัยที่ผ่านมาเป็นแน่แท้....

หมายเหตุ:

สำหรับคำขยายของ "มรรค ที่มีองค์ประกอบ 8 ประการ" นั้น
เป็นคำเฉลยที่พระพุทธองค์ทรงรวบรวมเอาไว้ให้พวกเธอได้ระวังตนกันให้มากๆว่า มันล้วนเป็นที่มาแห่งการเกิดทุกข์กาย ทุกข์ใจ ในชีวิตประจำวันด้วยกันทั้งสิ้น

พระพุทธองค์ ทรงหมายความว่า
ถ้าเธอประพฤติมิชอบใน 8 กรณีนี้
เธอย่อมเกิดทุกข์แน่ๆ ทั้งกายและใจ กล่าวคือ....

1.การเข้าใจผิด
2.การคิดผิด
3.การพูดผิด
4.การทำผิด
5.การยังชีพผิด
6.การเกียจคร้าน
7.การขาดสติ
8.การขาดสมาธิ

รวมแล้วพวกเธอกล่าวขานกันว่า "มรรค 8" นั่นแหละนะ....

พระศาสดาท่านทรงตรัสสอนเอาไว้ดีแล้ว
หากว่าเธอมีธรรมะดีๆแต่ไม่เข้าใจ
หรือว่าเข้าใจไปเสียผิดๆ ก็หาประโยชน์อันใดมิได้ทั้งนั้น

<3 span=""> คราวนี้หยิบฉวยเอา "อริยสัจ 4"
มาใช้ในชีวิตกันอย่างเป็นรูปธรรมได้รึยังล่ะ
ท่านนักเรียนผู้อุทิศตนเป็นฆราวาสแห่งเราทั้งหลาย.....

ป.วิสุทธิปัญญา
ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก UCSA
17-07-2014

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

กรรมใครกรรมมัน






พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านปรารถนาการหลุดพ้นแท้จริง
ก็จงอย่าเพียรพยายามแสวงหา
วิธีการพิเศษอันใด
ให้มันพิศดารไปกว่าการเป็นมนุษย์
ที่มีจิตสามนึกเป็นเครื่องมือกันต่อไปอีกเลย

เพราะเหตุว่า....

1.ท่านมี "พลังความรัก" เป็นคุณสมบัติที่ในจิต
ซึ่งพระบิดาทรงประทานไว้ให้ท่าน
ตั้งแต่มาเกิดเป็นคนบนดาวโลกเสรีนี้แล้ว
ซึ่งท่านมีหน้าที่เพียงเข้าถึงมันให้ได้เท่านั้น

2.ท่านยังมี "ดวงปัญญา"
ที่ทรงประทานให้ท่านทั้งหลายไว้
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
อย่างเท่าเทียมกันทุกคน
ตั้งแต่ภพชาติแรกที่ได้มาเกิดบนโลกเสรีแล้ว
ซึ่งท่านมีหน้าที่เพียงเข้าถึงมันให้ได้เช่นกัน

3.ท่านยังมี "ดวงธรรม"
ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ได้ทรงประทานผ่าน #บุตรเอก ทุกพระองค์
ให้เสด็จลงมากล่าวพระโอวาทแทนพระองค์

ให้ท่านได้เกิดสติทางวิญญาณตลอดมาแล้ว
ซึ่งท่านมีหน้าที่เพียงเข้าถึงมันให้ได้
ด้วยการนำมาใช้เป็นบริบท
ในการดำเนินชีวิตประจำวันเท่านั้น

4.ท่านยังมีดวงแห่งโอกาส
เพื่อให้ได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติต่อๆไป
ตราบใดที่โลกเสรียังไม่ถึงกาลสิ้นยุค
คือ 6 หมื่นปีโลกนั่นเอง

การได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่
ก็เพื่อการให้โอกาสท่าน #แก้ไขกรรมเก่า
ที่ท่านได้กระทำผิดบาปเอาไว้ในชาตินี้โดยแท้

ทั้ง 4 สิ่งนี้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอำนาจ
ในบทบาทของการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง
ที่จะสามารถ "แก้ไขกรรม" หรือ "ตัดกรรมเก่า"
ที่ท่านเคยก่อไว้ในอดีตชาติหรือชาตินี้ได้

มันเป็นหนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ
อย่าไปเชื่อว่าหรือหวังว่า
จะมีวิธีอัศจรรย์อันใดยิ่งกว่านี้อีกเลย
เสียเวลาและโอกาสแห่งการมีภพชาตินี้ไปเปล่าๆ

วิธีการตัดกรรมเก่าหรือแก้ไขกรรมเก่าที่ดีที่สุด
ที่ท่านสมควรปฏิบัติทุกลมหายใจในยามตื่น

1.ใช้มหาสติในการดำเนินชีวิต
รู้สติ มีสติ และใช้สติ

เพื่อพิจารณาทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ด้วยจิตตปัญญาเท่านั้น
มิใช่ด้วยนิสัย สันดาน และอารมณ์รู้สึก
ในลักษณะของประมาทและขาดสติ

2.ตัดสินใจให้ถูกต้องเหมาะสมและดีงาม
เพื่อที่จะกระทำตอบสนองทุกเงื่อนไข
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ไม่ว่าจากคน สัตว์ หรือ สิ่งแวดล้อม
ด้วยกาย วาจา และจิตใจ
ที่จะนำความสันติสุขมาสู่ตนเองและผู้อื่นเท่านั้น

3.เรียนรู้ที่จะรักให้ได้ ให้ให้เป็น
โดยไม่กระทำชั่วตอบสนอง
แม้ท่านจะถูกยั่วยุด้วยพลังลบที่รุนแรงก็ตาม

เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพียงเท่านี้ท่านก็จะทำให้การเกิดของท่าน
มีคุณค่ายิ่งนักแล้ว

การมีภพชาติของท่านก็จะหมดไป
แปลว่า "นิพพาน" คือ หลุดพ้นได้อย่างสิ้นเชิง
เพราะท่านไม่มีภารกิจอะไรจักต้องทำอีกนั่นเอง

การนั่งสมาธิเฉยๆแล้วฝันถึงกรรมอดีต
การพยายามจะระลึกชาติให้ได้
ว่าเคยก่อกรรมทำเข็ญกับใครไว้
แล้วเน้น "ขออโหสิกรรม"
จนกว่าเจ้ากรรมนั้นๆ
จะใจอ่อนอโหสิกรรมให้ท่านเท่านั้นแหละ

มันยาก 2 อย่าง

อย่างแรก
ท่านมีปัญญาเข้าถึงอดีตกรรม
ที่ตนเคยก่อไว้ได้จริงๆ
โดยไม่มโนหลอกตัวเองแน่แท้หรือเปล่า

อย่างที่สอง
เจ้ากรรมนายเวรเขาจะใจอ่อน
หายโกรธแค้นอาฆาตท่านง่ายๆจริงหรือเปล่า

เหมือนตีหัวเขาแตกเลือดยังไหลซิบอยู่
แล้วมากระซิบข้างหูเขาว่า "ขอโทษนะ"

ซึ่งวิธีการที่กล่าวนี้มันไม่ง่ายนักหรอก
สำหรับบทบาทของการเป็น "ฆราวาส"
ในเพียงช่วงอายุขัยไม่กี่สิบปี
ถ้าหากท่านมิได้มีพรสวรรค์จากอดีตกันมาบ้าง

เว้นแต่การจะเป็น "นักบวช" ผู้เคร่งครัดจริงจัง
เยี่ยงพระศาสดาของท่านพระองค์นั้นเท่านั้น

มรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
บนเส้นทางการหลุดพ้น
จึงน่าจะเหมาะสมกว่าวิธีพิศดาร
ที่หลายท่านยังคงหลงไหลอยู่แนนอน

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา
ที่ทรงเมตตาประทานพระโอวาท

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-11-2016

พระองค์ผู้ทรงใช้เรามา


วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การก้าวล่วง





ท่านทั้งหลายรู้จักคำว่า "ก้าวล่วง" มั้ย
การก้าวล่วง
หมายถึง การก้าวก่าย-ล่วงเกินผู้อื่น
จนยังผลให้ผู้อื่นเสียสมดุล
ทั้งทางจิตใจ ร่างกาย และทางสังคม
*การก้าวก่าย
หมายถึง การเป็นเหตุให้ผู้อื่น
เสียสมดุลหรือเกิดความเสียหาย
ทั้งต่อร่างกายและทางสังคม
เช่น การทำตนเป็นอุปสรรคต่อผู้อื่น
ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เสียเวลา เสียประโยชน์
เสียโอกาส เสียชื่อเสียง
เสียทรัพย์ เป็นต้น
*การล่วงเกิน
หมายถึง การเป็นเหตุให้ผู้อื่น
เสียสมดุลทางจิตใจ
หรือเป็นเหตุให้ผู้อื่น #จิตตก
เช่น เสียความรู้สึก
และอารมณ์เสีย เป็นต้น
ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำก้าวก่ายทางโลก
หรือการกระทำล่วงเกินทางจิตใจ
มันล้วนนำไปสู่การทำลายความสมดุล
ในสองมิติของบุคคลอื่นทั้งสิ้น
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
โทษบาปของการก้าวล่วงต่อผู้อื่นนั้น
มันอยู่ตรงที่การเป็นเหตุให้ผู้อื่น
สูญเสียความสมดุลไปจากปกตินั่นเอง
จิตใจที่สมดุล คือ สภาวะจิตที่สงบสุข
ชีวิตที่สมดุล คือ สภาวะทางสังคมที่ใครคนนั้น
สามารถดำรงอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นอย่างมีสันติสุข
ตามกฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน
ของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลนี้
ดังนั้น
ถ้าท่านเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียสมดุลทางจิตใจ
และหรือเป็นเหตุให้ผู้อื่นเกิดการเสียสมดุลในชีวิต
ท่านก็ต้องรับเอาความผิดบาปนั้นไว้เสมอ
เราจึงขอเตือนคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น
เพราะใจดี ใจพระ ให้ระวังความผิดบาป
จากการไปก้าวก่ายล่วงเกินคนอื่นเขา
จนทำให้เขาเสียสมดุลดังว่านี้
เพราะการขาดมหาสติอย่างแรงเอาไว้ด้วย
เข้าทำนองว่า....คิดจะทำคุณงามความดี
แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นโทษไปเสียนี่
เช่น เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ
ด้วยเหตุผลส่วนตัวของเขาบางอย่าง
แต่ท่านกลับยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
โดยที่เขาไม่ได้ร้องขอ
โดยท่านไม่ได้ถามเขาก่อนว่าต้องการให้ช่วยมั้ย
หรือไม่ได้ถามเขาก่อนว่า
ท่านจะให้ความช่วยเหลือเอามั้ย เป็นต้น
การช่วยเหลือโดยพละการของท่าน
กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาบางอย่างให้เขาแทน
หวังจะสร้างบุญแต่กลายเป็นสร้างบาปแทน
เพราะไร้สติขาดปัญญานั่นเอง
การดำเนินชีวิตร่วมกันกับคนอื่น
ด้วยความมีน้ำจิตน้ำใจเอื้อเฟื้อกันนั้น
เป็นสิ่งดีงามควรกระทำอย่างยิ่ง
แต่ท่านต้องใช้สติปัญญากำกับด้วย
โดยยึดหลัก "ปริญญาโมเดล"
ว่าด้วยกฎเกณฑ์แห่ง 6 ถูกเอาไว้เสมอ
การคิดช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อสร้างบุญกุศลนั้น
อย่าให้มันกลายเป็น "ผิดบาป"
ด้วยข้อหาว่า "เจือก" เพียงเพราะท่านประมาท
หรือขาดสติเพราะไม่ใช้ปัญญาอีกเลย
นี่แหละ.....
การก้าวล่วงผู้อื่นเป็นความผิดบาปอย่างยิ่ง
กราบพระบาทพระบิดา
ที่เมตตาประทานพระโอวาท
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-11-2016

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สุข หรือทุกข์อยู่ที่ใจใช่ใครอื่น





พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ทุกข์หรือสุขมันเกิดที่จิตใจซึ่งอยู่ข้างใน
ทุกข์สุขของใครก็อยู่ที่ในจิตใจของใครคนนั้น
เหตุและผลแห่งทุกข์กับสุข
จึงเป็นเรื่องเฉพาะตนคนอื่นไม่เกี่ยว

ความทุกข์ทั้งปวงล้วนเกิดจาก
จิตใจท่านบังเกิดความไม่พึงพอใจขึ้น
เมื่อเกิดความไม่พึงพอใจจนได้ที่แล้ว
จิตก็จะแปลเป็นความอยากไม่อยาก

เจ้าตัว "อยาก-ไม่อยาก" นี่แหละ
ตัวก่อทุกข์ล่ะนะ

*เมื่อได้ฟังเขาก่นด่าท่านมาแล้ว
ท่านจะเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจไม่พอใจทันที

ไม่พอใจเพราะท่าน "ไม่อยาก" ให้เขาด่า
ไม่พอใจเพราะท่าน "อยากให้" เขาหยุดด่า

แต่ปรากฏว่าเขากลับด่าท่านไม่ยอมหยุด
ท่านจึงเสียสมดุลทางอารมณ์มาก
หรืออารมณ์เสียมากก็เลยโกรธจัด
เมื่อท่านโกรธจัดจิตก็ไม่สงบแล้ว

จิตไม่สงบก็คือ "จิตทุกข์" หรือ "จิตป่วย"
ถ้าท่านมีนิสัยใจคอแบบนี้
คือ จิตติดทุกข์อยู่เป็นประจำ
แสดงว่าจิตท่านนั้นมันเกิดอาการ "ป่วย" แล้ว

*นอกจากนั้น
ถ้าท่านกำลังพึงพอใจทุกสิ่งในชีวิต
ท่านก็ "อยาก" ให้มันเป็นเช่นนั้นตลอดไป
ท่านย่อม "ไม่อยาก" ให้ชีวิต
มันผันแปรเปลี่ยนไปจากที่มันเป็นอยู่

แต่ยิ่ง "ไม่อยาก" ให้มันเปลี่ยนมากเท่าไหร่
จิตใจก็จะยิ่ง "ปริวิตก" มากเท่านั้น

ถ้าจิตใจยิ่ง "ปริวิตก" มากเท่าไหร่
จิตใจก็จะยิ่งไม่สงบจนเกิด"ทุกข์"มากเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.ความรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจ หรือพอใจไม่พอใจ
เป็นต้นสายของเหตุแห่งความทุกข์ในชีวิต
ความรู้สึกทั้งสองด้านจึงเป็น "กิเลส"
ซึ่งท่านไม่ควรปล่อยให้จิตติดอาการเด็ดขาด

2.เพราะถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว
จิตของท่านมันจะปรุงแต่งเป็น
อาการ "อยาก-ไม่อยาก" ต่อไปทันที
ท่านจะไม่มีทางระงับยับยั้งมันได้เลย

เจ้าตัวอยากไม่อยากนี่แหละ คือ "ตัณหา"

3.ตัณหา จึงมาจากกิเลส
ถ้าดับกิเลสหรือความรู้สึกตัวนี้ได้
ตัณหาคืออยากไม่อยากย่อมดับตามไปด้วย

ถ้าท่านดับตัณหาได้
ตัวอุปาทานคือการหลงผิดก็จะไม่เกิด

อุปาทานก็คือการลุ่มหลงในเงามายาของสรรพสิ่ง
เพราะคิดว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นตัวตนแก่นแท้
ทั้งรูป รส กลิ่น เสียงจึงหลงยึดติดพวกมันเข้า
การหลงยึดติดในสิ่งเหล่านี้นี่เอง
จักเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งปวง

4.ถ้าท่านดับตัณหาไม่ได้
ตัวอุปาทานก็จะสร้างปัญหาทางจิตแก่ท่านต่อไป
นั่นคือ มันจะทำให้จิตของท่านไม่ว่าง
ที่ไม่ว่างเพราะมัวแต่หลงยึดติดอัตตาของสรรพสิ่ง

การยึดติดมากจนยากจะปล่อยวาง
ยังจะทำให้จิตท่านเสียสมดุลไปจากความว่าง
ห่างไกลจากความสุขสงบ
เพราะมันจะเกิดโทสะ โลภะ โมหะ
มาพอกพูนจิตใจคล้ายดั่งสนิมจนหนาขึ้นเรื่อยๆ
ในบั้นปลายจิตใจท่านก็จะเกิดการ "ตายด้าน"

5.อาการ "ตายด้าน" ก็คือ
รักไม่ได้ ให้ไม่เป็น เห็นแก่ตัว

ดังนั้น
ถ้าหากท่านทั้งหลาย
ยังใช้ชีวิตด้วยจิตที่ติดทุกข์กันอยู่เยี่ยงนี้
โดยไม่ยอมเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเลย
ท่านก็จักเป็นปลาที่ถูกคัดทิ้งแน่นอน

กราบพระบาทพระบิดา
ที่ทรงเมตตาประทานพระโอวาท

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-11-2016

จัดว่าเป็นความดีงามของท่านได้หรือ






เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จะจัดว่าเป็นความดีงามของท่านได้หรือ
ถ้าท่านเลือกรักแต่เฉพาะคนที่รักท่าน
ถ้าท่านเลือกรักแต่เฉพาะคนที่ทำดีกับท่าน
เพราะคนที่ไม่ดีหรือคนบาปทั้งหลายนั้น
ใครๆเขาก็รักคนที่รักเขา
ใครๆก็รักคนที่ทำดีกับเขาด้วยเหมือนกัน
จะจัดว่าเป็นความดีงามของท่านได้หรือ
ถ้าท่านยังเลือกให้ยืมเงิน
เฉพาะคนที่ท่านมั่นใจว่าจะได้คืน
เพราะคนบาปทั่วไปเขาก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน
จะจัดว่าเป็นความดีงามของท่านได้หรือ
ถ้าท่านรักลูกหลานของคนข้างบ้าน
น้อยกว่ารักลูกหลานของตัวท่านเอง
เพราะคนทั่วไปเขาก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน
ดังนั้น
ท่านจงรักคนทุกคนให้เท่าเทียมกัน
จงรักทุกคนให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
จงให้ทุกคนในสิ่งที่ท่านให้ได้
โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเถิด
เพราะพระบิดา
จะทรงประทานบำเหน็จให้แก่ท่าน
อย่างเหมาะสมบริบูรณ์
ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
โดยที่ท่านมิพักต้องร้องขอเลย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-11-2016

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เราเป็นผู้ประกาศข่าวสารการเปลี่ยนยุค







เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เราเป็นผู้ประกาศข่าวสารการเปลี่ยนยุค
จากยุคพลังงานเก่าสู่โลกยุคพลังงานใหม่
เราเป็นผู้เปิดเผยความลับของสวรรค์ว่า
พระบิดาจะทรงพิพากษาโลก
ด้วยปฏิบัติการชำระโลก ครั้งที่ 4
ที่ชาวโลกเสรีจักต้องเผชิญกับภัยพิบัติ
ที่รุนแรงและหนักหนาที่สุด
ยิ่งกว่าการชำระทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา
ตั้งแต่ 30 ปีเศษที่ผ่านมาแล้ว
เราขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
ที่เราเปิดเผยมาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความจริง
ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถจะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้
คำว่า #ชำระโลก หมายถึง
การปรับสมดุลใหม่ให้กับดาวเคราะห์โลก
ทั้งทางกายภาพและพลังงานที่เสียสมดุลอยู่
แล้วก็จะทำการยกระดับพลังอำนาจของโลก
ให้สูงขึ้นจากเดิมอีก 2 เท่า
พร้อมกับการย้ายพิกัดใหม่
ของดาวโลกเสรีในระบบสุริยะนี้
ซึ่งโลกจะมีฟ้าใหม่ในยุคพลังงานใหม่อีกด้วย
นอกจากนั้นปฏิบัติการชำระโลก
ยังหมายถึงการ #ชำระจิตสามนึก
ของมวลมนุษย์ทุกคนบนโลกเสรีนี้ด้วย
เพื่อให้มีจิตใสใจสวยรวยความรัก
สมศักดิ์ศรีแห่งการเป็นมนุษย์
ผู้มีจิตตปัญญาสูงส่งแท้จริง
จะได้ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
ในยุคพลังงานใหม่ได้อย่างสมบูรณ์
ชาวโลกเสรีทุกคน
จะต้องผ่านบททดสอบจิตสามนึกด้านบวก
เพื่อแทรกแซงกระบวนการของขันธ์ 5
ซึ่งสั่นสะเทือนอยู่ภายในจิตใจของตน
เพื่อหมุนธรรมจักร แทนกรรมจักรให้ได้โดยเร็ว
ชาวโลกเสรีทุกคน
จักต้องสอบผ่านบททดสอบ "ความกลัวตาย"
ด้วยการสั่นสะเทือนข้างในจิตใจ
น้อมนำเอาความรักเพื่อให้ออกมาให้ได้
ก่อนที่โลกจะมืด 56 วัน 8 ราตรี
ซึ่งเป็นคาบเวลาแห่งการเปลี่ยนยุค
เพื่อท่านจักได้เป็นปลาที่ถูกคัดไว้
กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17-11-2016

จงให้อภัย ในความผิดบาปของคนอื่น







พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระองค์ทรงใช้เรามาให้ทำหน้าที่อะไร
เราก็ทำหน้าที่ของเราไปตามนั้น

ถ้าท่านยอมรับในพระบิดา
ก็จงศรัทธาเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของเรา
เพราะเราเป็นผู้ทำตามพระบัญชา

ดังเช่นพระองค์
ให้เรามากล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า

จงให้อภัยในความผิดบาปของผู้อื่นเสีย
เพราะถ้าท่านไม่ให้อภัยแก่เขา
ความผิดบาปของเขาก็จะไม่ได้รับการให้อภัย

จิตวิญญาณของท่านกับเขา
ก็จะผูกสัมพันธ์กันไว้ด้วยสายใยแห่งกรรม
จนมิอาจเป็นอิสระจากกันและกันได้
ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อันใดเลย

นอกจากเมื่อตายแล้ว
พวกท่านก็จะต้องย้อนกลับมาสู่การเกิดใหม่
เพื่อเรียนรู้ที่จะให้อภัยในความผิดบาปนั้น
และเรียนรู้ที่จะไม่กระทำผิดบาปเช่นนั้น
กับผู้อื่นผู้ใดอีกตลอดไปนั่นแหละ

กราบพระบาทองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17-11-2016

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

กฎแห่งกรรม กฎหลักของจักรวาล (2)


 
 
 
 
 
 
พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ใครที่ไม่เชื่อเรื่องของกฎแห่งกรรม
ก็จงอ่านผ่านข้อความเหล่านี้ไปเสีย
เพราะข้อความทั้งหมดต่อไปนี
มีไว้สำหรับคนที่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเท่านั้น

1.พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงกำหนดให้ท่านทุกคนเป็นสัตว์สังคม
เพื่อทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวโลก
เนื่องจากภารกิจ "เพื่อนร่วมงาน" ของโลก
ทำคนเดียวให้สำเร็จไม่ได้
ทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน

2.ภารกิจหลักที่ว่านั้น คือ ช่วยให้โลกหมุน
ด้วยการผลิตสร้างพลังงานความรัก
ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ชนิดเดียวกันกับคลื่นสนามแม่เหล็กโลก
โดยผลิตจากจิตมนุษย์ของแต่ละคน
แล้วมอบให้แก่กันและกันในชีวิตประจำวัน

คลื่นพลังงานจิตด้านบวกหรือพลังงานความรัก
พวกท่านทุกคนสามารถสั่นสะเทือนต่อกัน
ผ่านความอดทน อดกลั้น และให้อภัย
ต่อการกระทำไม่ถูกต้องของคนอื่นๆ

หรือสามารถสั่นสะเทือนต่อกั
ในรูปของเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ต่อการกระทำด้านบวกของผู้อื่น
หรือต่อความต่ำต้อยอนาถาของผู้อื่น

3.ถ้าคนทุกคนบนโลกนี้
ต่างแบ่งหน้าที่กันทำงานเพื่อดาวโลก
แม้จะดำรงชีวิตอยู่กันคนละซีกโลก
แต่สามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันได้
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้
ก็จะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้ต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วคงที่ตามที่พระบิดากำหนดไว้
ความสมดุลของระบบโลกจึงจะเกิดขึ้น
และสามารถดำรงความสมดุลได้ตลอดไป

4.ดังนั้น
ความสำเร็จของมวลมนุษย์แห่งโลกเสรี
ต่อหน้าที่ทางจิตวิญญาณที่อาสามาเกิดนี้
จึงขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวเท่านั้นแต่สำคัญยิ่ง

นั่นคือ พวกท่านทุกคน
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
เข้าถึง #ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ได้แค่ไหน

พวกท่านใส่ใจที่จะรักกัน
และรักโลกบ้างมั้ย

พวกท่านรักลูกหลานคนข้างบ้า
เท่ากับที่ท่านรักลูกหลานของตนเองได้มั้ย

พวกท่านให้อภัยแก่บุคคลที่ท่านเห็นว่า
ไม่สมควรให้อภัยกันได้มั้ย

พวกท่านสามารถช่วยเหลือคนยากจน
ที่ท่านรู้เห็นมาตั้งแต่แรกแล้วว่า
พวกเขาไม่สามารถที่จะ
ตอบแทนบุญคุณท่านได้หรือไม่

5.พวกท่านจะไม่ใช้พละกำลังหรืออำนาจ
ที่ตนมีมากกว่าหรือเหนือกว่าชาติอื่น
ทำการย่ำยีกดขี่ข่มเหงเอาเปรียบชาติอื่นมั้ย

พวกท่านจะไม่ใช้วิชามาร
เข้าไปแอบแฝงยุแยงให้พวกเขาทะเลาะกันเอง
ทำสงครามเอาชีวิตคนภายในชาติเดียวกันเอง
เพื่อประโยชน์ส่วนตนที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง
จนนำความแตกแยกร้าวฉานสู่แผ่นดินนั้นมั้ย

พวกท่านสาบานได้มั้ยว่า
สงครามทุกพิกัดบนโลกนี้
ตนมิได้มีส่วนเอี่ยวเกี่ยวข้องด้วยมาก่อน
ตนมิเคยคาดหวังในผลประโยชน์อันใดมาก่อน
พวกท่านอยากเห็นโลกนี้มีสันติสุขแท้จริง

6.พฤติกรรมขยะแบบต่างๆ
ที่ผู้มีอำนาจเหนือนำผู้อื่นได้ใช้กระทำต่อผู้อื่น
อย่างไร้สติทางวิญญาณ
อย่างขาดจิตสำนึกแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน
ด้วยการคิดที่จะมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
ในบทบาทของจ้าวโลก
ซึ่งนำโลกไปสู่การแตกแยกมาตลอดนั้น
เป็นพฤติกรรมที่ผิดบาปมหันต

ที่สุดแล้วแม้ท่านจะยิ่งใหญ่ในทางโลก
แต่ท่านจักต้องวิปโยคทางจิตวิญญาณ
เพราะกฎแห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่ง
มันเป็นกฏที่แท้จริงของสากลจักรวาล

ผู้มุ่งทำร้ายจักต้องถูกทำร้ายตอบ
เคยทำอะไรกับใครอื่นไว้อย่างไร
ตนก็จักต้องได้รับผลกรรมนั้นตอบสนองเสมอ

7.ชาติมหาอำนาจ
จะเกิดสงครามกลางเมืองเสียเอง
จากการต่อสู้แตกแยกในพวกเดียวกันเอง
จนบ้านเมืองหาความสันติสุขไม่ได้
ด้วยสาเหตุทางการเมือง
เศรษฐกิจและการทหาร

ผู้คนจะไม่เคารพกฎหมาย
โดยอาศัยลัทธิเอาอย่าง
จึงกระทำตนฝ่าฝืนกฎหมายอยู่เนืองๆ

บ้านเมืองตนเองคงต้องวุ่นวายหนัก
จนไม่มีเวลาว่างจะไปแทรกแซงใครอื่น
จนไม่มีเวลาว่างจะไปก้าวล่วงใครอีก
เพราะต้องยุ่งกับการกวาดบ้านตนเอง
เพราะต้องยุ่งกับการทำสงครามภายในกันเอง
เพราะต้องยุ่งกับการทำสงครามกับภัยพิบัติ
ที่ช่างเท็คนิกของฟ้าจะจัดสรรมาให้

ประชาชนจะไม่รักชาติ
นักการเมืองจะขาดศีลธรรมจริยธรรม
ผู้คนจะมีความเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น
ข้าวจะยากหมากจะแพง
แต่อาวุธสงครามร้ายแรงจะราคาถูกลง

8.ชะตากรรมตัวอย่างในข้อ 7.
เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม
ซึ่งเป็นกฏเล็กในกฎหลักของจักรวาล
คือกฎแห่งการสมดุลกันของสรรพสิ่งโดยแท้

ผลกรรมมันกำลังจะทะยอยเกิดขึ้น
ให้ได้เรียนรู้กันอยู่แล้ว
โปรดติดตามชมกันเองเถิดท่านทั้งหลาย

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงพระเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-11-2016

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปลา 6 ชนิด ที่จะต้องถูกคัดทิ้ง


 
 
 
 
 
 
 
นี่เป็นปลา 6 ชนิด ที่จะต้องถูกคัดทิ้ง
ในปฏิบัติการชำระโลกเพื่อการเปลี่ยนยุค
ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี

*1.ปลาตัวที่ป่วยทางจิตวิญญาณ

หมายถึง ปลาจำพวกที่
เคยก่อกรรมทำผิดบาปเอาไว้มา
เคยก่อกรรมทำผิดบาปอยู่ซ้ำๆ
ในทุกภพชาติ
ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

บ้างก็เคยผ่านการบำบัดเยียวยา
เพื่อรักษาสมดุลทางจิตวิญญา
ในภพภูมินรกกันมาแล้วตั้งหลายครั้ง
แต่ก็ไม่มีวี่แววแนวโน้มว่าจะดีขึ้น
จนคืนสมดุลทางจิตวิญญาณ
ให้แก่ตนเองไม่ได้

ปลาเหล่านี้จะต้องถูกคัดทิ้
เพราะเป็นปลาจำพวกไม่มีอนาค
จะปล่อยให้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไม่ได้

*2.ปลาตัวที่พิการทางปัญญา

หมายถึง ปลาตัวที่มักง่าย
ถนัดแต่ใช้อารมณ์นำปัญญา

ปลาตัวที่ไร้สติ
จนตกเป็นทาสทางอารมณ์รู้สึกของตนเอง
โดยมักชอบทำอะไรเอาแต่ใจตัว
จึงเข้ากับใครอื่นไม่ค่อยจะได้

เป็นปลาที่คิดไม่เป็น
เข้าถึงอำนาจทางปัญญาของสมองไม่ได้
เพราะไม่เคยใส่ใจที่จะฝึกคิ
จึงไม่เชี่ยวชาญในการใช้ความคิด
จึงเป็นปลาตัวที่ไม่มีเหตุผ
เป็นปลาที่ใช้เหตุผลไม่เป็น

ปลาบางตัวในกลุ่มนี้
จึงมีอาการค่อนข้างจะงมงาย
สอดแทรกอยู่ด้วย

*3.ปลาตัวที่จำพระบิดาไม่ได

หมายถึง ปลาพวกที่ปฏิเสธพระบิดา
ทั้งๆที่พระบิดาเป็น
ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตนแท้ๆ

ถ้าเขาปฏิเสธการมีอยู่จริงของพระบิดา
นั่นเท่ากับว่าเขาก็ได้ตัดญาติ
ขาดสัมพันธ์กับพระบิดาแล้ว
การทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาไว้
ก็เป็นอันขาดการติดต่อสื่อสารไปทันที

ปลาพวกนี้มักจะต่อต้าน
การกลับมาตามพันธะสัญญาเดิมของเรา
ต่อต้านการสื่อพระโอวาทของเรา
และปฏิเสธพระโอวาทพระบิดา

*4.ปลาตัวที่ไม่มีปณิธานแห่งนิพพาน

หมายถึง ปลาตัวที่ไม่รู้จักรักผู้อื่น
ขณะที่ตนต้องการให้ผู้อื่นรัก

เป็นปลาตัวที่ไม่รู้จักการให้ผู้อื่น
ขณะที่ตนต้องการแต่จะได้รับจากผู้อื่น

เป็นปลาตัวที่ไม่แคร์การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น
จึงไม่ใส่ใจเรียนรู้ที่จะตอบสนอง
ความต้องการของผู้อื่นบ้าง
จึงมักทำตนเป็นอุปสรรคของผู้อื่นอยู่เนืองๆ

พฤตินิสัยเหล่านี้นี่เองที่ยังผลให้ปลาพวกนี้
มีแต่ก่อเวรเกี่ยวกรรมกับผู้อื่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนหมดโอกาสที่จะกลับบ้าน

*5.ปลาตัวที่พวกมารเรียกพี่

หมายถึง
ปลาตัวที่ฝักใฝ่แต่ในด้านชั่ว
จึงเชี่ยวชาญในการก่อกรรมทำเข็ญต่อผู้อื่น
มองหาความดีงามไม่เจอ

ปลาพวกนี้จะเป็นปลาตัวที่มักทำตนเป็นอุปสรรค
ในการยังประโยชน์สุขของปลาตัวอื่นๆ
จึงเป็นปลาที่คัดเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์
คัดทิ้งไปจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่า

*6.ปลาตัวที่ดีแต่พูด

หมายถึง
เป็นผู้สามารถกล่าวธรรมะ
ได้อย่างแคล่วคล่อง
ท่องธรรมะได้อย่างปราดเปรีย
เที่ยวสอนปลาตัวอื่นๆไปทั่ว

แต่ตัวเองกลับรู้ธรรมแต่ไม่รู้ทำ
จึงไม่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้อื่นได้

การเป็นผู้สอนธรรมะโดยมีดีอยู่ที่ปาก
จึงยากแก่การเป็นครูที่แท้จริงได้
เพราะการเป็นครูคือผู้ทำตนเป็นแบบอย่าง
มิใช่เพียงแค่แอบอ้างด้วย "คำพูด" เท่านั้น

ดังนั้น
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ปลา 6 ชนิดนี้ไงล่ะที่ฟ้าไม่โปรด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-11-2016

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ถ้าท่านครอง มหาสติ





พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ในมรรควิถีจิตจักรวาล
อันเป็นเส้นทางแห่งการหลุดพ้น
สำหรับฆราวาส
ผู้เลือกครองตนเป็น #นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง นี้
หากเอ่ยคำว่า #มหาสติ แล้ว
ย่อมหมายถึงการครอง "สติ" รวม 3 ประการ
คือ รู้สติ มีสติ และใช้สติ

เพราะฆราวาสต้องอยู่ในสังคม
ต้องปฏิบัติธรรมร่วมกันกับผู้อื่นตลอดวันเวลา
จะนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมคนเดียว
หรือจะปลีกวิเวกอยู่คนเดียวไม่ได้
ฆราวาสจึงมีบริบทในการดำเนินชีวิต
กับบริบทในการทำงาน
ล้วนเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น
จะไปแอบนั่งหลับตาปลีกวิเวก
เพื่อทำกายกับจิตให้สงบ
ในลักษณะจะไปสวรรค์คนเดียวน่ะไม่ได้
หากจะไปสวรรค์ก็ต้องชักพาผู้อื่นไปด้วย
มีสุขก็ต้องแบ่งปันความสุข
มีความสำเร็จก็ต้องแบ่งปันความสำเร็จ
มีทุกข์ก็จะต้องร่วมต้านทุกข์นั้น
หรือขจัดทุกข์นั้นด้วยกัน
เพราะในความจริงเบื้องหลังมิติโลกนั้น
มนุษย์ทุกคนจักต้องร่วมสร้างสมการซัมเบต้า
ด้วยการสั่นสะเทือนจิตตปัญญาด้านบวก
โดยมีความรักแบบต่างๆเป็นแกนกลาง
ใครจะสั่นสะเทือนคนเดียวไม่ได้
เพราะสมการพลังงานด้านบวกนี้
จะเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยจิตใครเพียงลำพัง
แต่เนื่องจากมนุษย์ทุกคน
มีนิสัยและสันดานแตกต่างกัน
การจะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ด้วยการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างลงตัว
ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว
มันเป็นสิ่งที่ยากมากในทางปฏิบัติ
พระบิดาจึงทรงมีเมตตาสื่อสอนไว้ว่า
ให้ท่านทั้งหลายใช้ #มหาสติ เป็นเครื่องมือ
เพื่อจัดการลักษณะนิสัยสันดานที่แตกต่าง
ของพวกท่านทั้งหลายมิให้เป็นเงื่อนไข
จนนำไปสู่ความแตกแยก
แต่ให้สามารถนำความแตกต่าง
มาสร้างสิ่งใหม่
ที่ยิ่งใหญ่และมีประโยชน์มากกว่าแทนเสีย
โดยมหาสตินี่แหละจะช่วยให้ท่านรู้ว่า
เอาสีแดงมาร่วมหรือรวมกับสีขาวแล้ว
มันจะได้สีใหม่เป็นสีชมพูสวยหวานเลยเชียว
ดีกว่าคิดจะเล่นพวกโดยเอาแต่แดงรวมแดง
แล้วเขวี้ยงขาวทิ้งไปเพราะเห็นว่าสีมันต่าง
ชาตินี้ชีวิตพวกท่านจึงไม่มีอะไรใหม่
พวกท่านบนโลกนี้แม้มีจำนวนมากมาย
แต่ก็ทำประโยชน์อะไรให้กับโลกไม่ได้
สร้างประโยชน์ให้กับสังคมก็ไม่ได้
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
นัยความหมายของ #มหาสติ ก็คือ
1.#มีสติ
หมายถึง มีความสามารถที่จะควบคุมอารมณ์
และพฤติกรรมขยะ (Un-acceptable Behavior)
ของตนได้ ไม่น้อตหลุด ไม่สติแตก
2.#รู้สติ
หมายถึง รู้เท่าทันอารมณ์รู้สึก
และการนึกคิดของตนเองได้
3.#ใช้สติ
หมายถึง มีความสามารถในการแสดงออก
ทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวก
และแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผู้อื่นได้
โดยใช้ความฉลาดทางสมอง 3 ระดับ
ขับเคลื่อนเพื่อการดำเนินชีวิตหรือทำงาน
ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้ดี
ดังนั้น
ถ้าท่านสามารถครองมหาสตินี้ได้
ท่านก็จะไม่สร้างทุกข์ให้ตนเองและใครเลย
ท่านก็จะเป็นคนพ้นกรรม เป็นผู้อยู่เหนือกรรม
ท่านก็จะเป็นมนุษย์ที่สมดุลได้ในชาตินี้
ประตูด่านนภาลัยก็จะเปิดแง้มออก
ในเวลาเดียวกันกับตาที่สามของท่านเปิด
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-11-2016

ท่านทราบรึไม่ว่า





เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.เมื่อ #จิตวิญญาณ ผู้เป็นแก่นแท้ของท่าน
เดินทางข้ามมิติมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
ด้วยการเข้าปฏิสนธิทางวิญญา
กับเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ถูกสร้างขึ้น
ภายในครรภ์ของมารดาแล้วนั้น

จิตวิญญาณของท่าน
จะแบ่งภาคทางพลังงานออกมาส่วนหนึ่ง
เพื่อให้ทำหน้าที่แทนตนเอง
ในการควบคุมดูแลและสั่งการ
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
กระทั่งคลอดออกมาตราบจนเติบใหญ่
ไปจนถึงวันจบสิ้นอายุขัย

2.ตัวแทนของแก่นแท้ผู้ได้รับมอบอำนาจนี้
พวกท่านทั้งหลายเรียกว่า #จิตหยาบ
ส่วนจิตวิญญาณเองนั้น
จะลดบทบาทตัวเองลงเหลือแค่เพียง
ทำหน้าที่เป็นเสมือน "แบตเตอรี่"
ที่จะคอยให้พลังงานไฟฟ้า
หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์แห่งกรรม
หรือกายหยาบเท่านั้น

ซึ่งหน้าที่ของจิตวิญญาณในส่วนนี้
ไม่ต่างจากแบตเตอรี่รถยนต์
ถ้ารถยนต์ไม่มีแบตเตอรี่ก็จะติดเครื่องไม่ได้
เมื่อติดเครื่องไม่ได้รถยนต์คันนั้น
ก็จะใช้งานไม่ได้ที่เรียกว่า "รถตาย"

พวกท่านก็เช่นกัน
ถ้าไม่มีจิตวิญญาณมาปฏิสนธิ
เครื่องยนต์แห่งกรรมก็มีชีวิตไม่ได้

ถ้ามีชีวิตอยู่ดีๆแล้วจิตวิญญาณดับ
คือละออกจากกายหยาบกระทันหั
เครื่องยนต์แห่งกรรมของท่านผู้นั้นก็ "ตาย"
มันไม่ต่างกันหรอก

3.ดังนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จึงทำหน้าที่เปรียบเสมือนเจ้าของรถยนต์
ที่มักจะนั่งเบาะหลังเสมอ
ส่วน "จิตหยาบ" จึงเสมือนเป็นคนขับรถ
ที่จะต้องดูแลเครื่องยนต์แห่งกรรม
หรือกายหยาบรูปธรรมมนุษย์อย่างดีที่สุด

อีกทั้งต้องขับรถคันนี้ไปไหนๆ
ตามที่เจ้าของรถหรือเจ้านายต้องการเท่านั้น
จะขับรถไปเฉี่ยวชนใคร
จะขับไปตกหลุมตกท่อเพราะประมาท
จะขับปรู๊ดปร๊าดทำหวาดเสียวไม่ได้ทั้งสิ้น

จิตหยาบจะต้องรู้ว่า
จิตวิญญาณของตนต้องการให้ทำอะไรบ้าง
ไม่ต้องการให้ทำสิ่งใดบ้างในชีวิตประจำวัน
ไม่ใช่ทำตัวลอยไปลอยมา
ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจตนเอง

มิหนำซ้ำยังปฏิเสธ
การมีจิตวิญญาณของตนอีกต่างหากด้วย

4.ด้วยเหตุนี้เอง
จิตหยาบจึงต้องรู้ว่าจิตวิญญาณมาเกิด
เพื่อมอบความรักหรือพลังงานด้านบวกให้โลก
จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหาไม่ได้
เพราะมันจะผลิตพลังลบออกมา
จนทำให้เมฆฟ้าสกปรกด้วยประจุลบ
ซึ่งเป็นพลังงานที่โลกไม่ต้องการ

แน่นอนว่าจิตหยาบนั้น
จะต้อง #หมุนธรรมจักร ในตนเองให้สำเร็จให้ได้
การมาเกิดของจิตวิญญาณของพวกท่านทุกคน
จึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ทางจิตวิญญาณ

เอเมน สาธุ
กราบพระบาทพระบิดา

ป.วิสุทธิปัญญา
29-10-2016

ท่านทราบหรือไม่ว่า


 
 
 
 
 
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
#สาเหตุแห่งทุกข์
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตท่านนั้น
ส่วนใหญ่แล้วเกิดจาก "ความเห็นแก่ตัว" ทั้งสิ้น

ไม่เป็นเพราะใครคนนั้นมีความเห็นแก่ตัว
ก็ตัวท่านเองด้วยนั่นแหละที่เห็นแก่ตัว
ซึ่งพฤติกรรมการเห็นแก่ตัวนี้ส่วนใหญ่แล้ว
มักจะแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะความเคยตัว

#ตัวอย่างการเห็นแก่ตัว
แล้วทำให้เกิดทุกข์...มีพอสังเขปดังนี้

1.มักคิดแต่จะ "หาประโยชน์" จากคนอื่น
แต่ไม่เคยคิดที่จะ "ให้ประโยชน์" แก่คนอื่น

2.มักคิดแต่จะให้คนอื่นทำดีกับตนเองก่อน
แต่ไม่เคยคิดที่จะทำดีกับคนอื่นก่อน

3.ต้องการให้คนอื่นไม่ถือโทษโกรธแค้น
ในความผิดบาปที่ตนเองกระทำ
แต่กลับไม่ยินยอมที่จะให้อภัยผู้อื่น
ที่กระทำผิดบาปต่อตนเอง

4.มักจดจำความผิดพลาด
หรือผิดบาปของคนอื่นไว้
ตราบนานแสนนาน

แต่ตนเองนั้นมักจะจดจำ
ความดีงามของคนอื่นไม่ได้

5.มักชอบมองคนอื่นในแง่ลบ
แต่กลับไม่ชอบให้ใครคิดลบต่อตนเอง

6.คนอื่นพูดผิดหูก็โกรธเพราะหาว่าล่วงเกิน
แต่ทีตนเองพูดล่วงเกินคนอื่นเขา
ก็กลับบอกว่า "มิได้ตั้งใจ"

เรายืนยันต่อท่านทั้งหลายว่
พฤติกรรมเหล่านี้
เป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งสิ้น
หากท่านปรารถนาความสงบสุข
ก็จงละเลิกพฤติกรรมเหล่านี้เสีย

ถ้าท่านเอาแต่แสวงหาประโยชน์จากคนอื่น
โอกาสที่ท่านจะเบียดเบียนผู้อื่นให้เกิดทุกข์
ก็จะมีสูงยิ่ง...สูงยิ่ง.....
โอกาสที่ท่านจะไม่สมหวังเพราะถูกปฏิเสธ
ทำให้ท่านเกิดทุกข์จะมีสูงยิ่ง...สูงยิ่ง

ถ้าท่านรอให้คนอื่นทำดีกับท่านก่อน
โอกาสที่ท่านจะผิดหวังจนเกิดทุกข์ก็มีสูงยิ่ง
เพราะพวกเขาก็รอให้ท่านทำดีกับเขาก่อนเช่นกัน

ถ้าท่านไม่ยอมให้อภัยคนอื่นท่านก็จะทุกข์
ถ้าท่านต้องการให้คนอื่นให้อภัยท่านบ้าง
ท่านก็จะมีโอกาสทุกข์สูงยิ่งเพราะไม่สมหวัง

ถ้าท่านเอาแต่จำความไม่ดีงามของคนอื่นไว้
ตัวท่านก็มีโอกาสทุกข์ สูงยิ่ง...สูงยิ่ง....
จึงไม่รู้ว่าจะไปจดจำมันทำไ

ถ้าท่านอยากให้คนอื่น
จำความดีงามของท่านไว้
แล้วลืมความไม่ดีของท่านไปให้หมด
โอกาสที่ท่านจะผิดหวังจนเกิดทุกข์ก็มีสูงยิ่ง
เพราะพวกเขาส่วนใหญ่
ใครๆก็มีนิสัยเคยตัวแบบเดียวกับท่านไงล่ะ

ดังนั้น
มิใช่แค่เพียงละวางความทุกข์ไม่ได้
ถ้าหากท่านยังละเลิกความเห็นแก่ตัว
ในลักษณะดังกล่าวเหล่านี้ไม่ได้
ท่านทั้งหลายก็จะยัง "นิพพานดิบ" ไม่ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-11-2016