วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ท่านทราบหรือยัง.. จิตหยาบ กับจิตวิญญาณต้องเป็นหนึ่งเดียว








พี่ๆน้องๆแห่งดาวโลกเสรีที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การเดินทางข้ามมิติจากนอกระบบเอกภพ
ของประดาตัวแทนแห่งจิตจักรวาลดวงเล็กทั้งหลาย
ซึ่งเป็นกล่องพลังงานที่มีรูปลักษณ์ 6 เหลี่ยมมุม
ที่เรียกขานว่า "ดวงจิตธรรมญาณ"
เพื่อเข้ามาสู่การเกิดเป็น "คนสองมิติ"
อันเป็นสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งมีสองภาคอยู่ในตนเอง
คือภาคของมิติทางกายภาพด้านของจิตหยาบ
กับภาคของมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้

โดยดวงจิตธรรมญาณตัวตนแก่นแท้ของพวกท่าน
จะต้องเข้ามาเกิดเพื่อทำหน้าที่เป็นแก่นแท้
ประจำอยู่ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เปรียบประดุจดั่งจิตวิญญาณเป็นคนขับ
ส่วนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์นั้น
เป็นเสมือนดั่งรถขุดรถตักดินนั่นเอง

ปกติแล้วรถขุดรถตักดินทุกคัน
มันจะสามารถเคลื่อนไหวทำอะไรต่อมิอะไร
โดยใช้กลไกและความสามารถของเครื่องยนต์
ไปตามที่ผู้ผลิตสร้างเขาออกแบบเอาไว้ให้แล้ว
ก็ด้วยอาศัย "ผู้บังคับขับเคลื่อน" หรือคนขับ
ผู้เชี่ยวชาญในการขับบังคับกลไกของรถคันนั้น
เป็นผู้ "บงการ" หรือ "ขับเคลื่อน" นั่นเอง

หมายความว่าถ้ารถขุดรถตักดินคันนั้น
ไม่มีผู้ใดเข้าไปติดเครื่อง
ไม่มีผู้ใดเข้าไปนั่งขับบังคับมัน
รถคันนั้นก็จะจอดนิ่งสนิททำการอะไรไม่ได้

หรือถ้าคนขับเข้าไปนั่งอยู่ภายใน
แต่สตาร์ทเครื่องไม่เป็น ขับเคลื่อนกลไกไม่ได้
รถขุดรถตักดินคันนั้นก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้

หรือถ้าคนขับเข้าไปนั่งอยู่ข้างใน
แม้จะสตาร์ทเครื่องได้แล้วแต่ขับไม่เป็น
รถคันนั้นก็จะเคลื่อนไหวไปอย่างสะเปะสะปะ
จะเคลื่อนไปไม่ตรงทิศทางจนอาจตกท่อตกเหว
ไม่ก็เฉี่ยวชนรถคันอื่นๆเรื่อยไปจนตลอดทาง

จิตวิญญาณของพวกท่านก็ไม่ต่างกัน
เมื่อเข้ามาเป็นแก่นแท้โดยเร้นตนเองอยู่
ภายในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์แล้ว
ก็จะแบ่งภาคพลังงานตนเองออกมาอีกส่วนหนึ่ง
เพื่อมอบหมายให้เป็นตัวแทนของตน
ทำการขับเคลื่อนพฤติกรรมของรูปธรรมมนุษย์
ในขณะเป็น "คนสองมิติ" อยู่ในระบบโลก

ดังนั้น...
จิตหยาบหรือตัวแทนของจิตวิญญาณ
ซึ่งได้รับมอบหมายให้
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์แทน
จึงต้องสั่นสะเทือนตนเองทั้งสองมิติ
เพื่อทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณของตนเองเท่านั้น
จะทำอะไรตามใจอยากทำอะไรตามอำเภอใจมิได้
คนขับรถซึ่งทำหน้าที่ขับแทนก็คือจิตหยาบ
มีหน้าที่ขับรถขุดรถตักดินไปตามที่
เจ้าของรถตัวจริงเขาต้องการเท่านั้น
จะทำตามใจตนเองไม่ได้

การชอบทำอะไรไปตามอารมณ์
การชอบทำอะไรไปตามความรู้สึก
การชอบทำอะไรไปตามเงื่อนไขจูงใจ
การชอบทำอะไรไปตามอารมณ์เมื่อถูกเย้ายวนยั่วยุ
การชอบทำอะไรไปตามความเคยชินเคยตัว

การขับเคลื่อนพฤติกรรมลักษณะดังว่านี้
ล้วนเป็นอาการสั่นสะเทือนของจิตหยาบเองทั้งสิ้น
มิใช่การสั่นสะเทือนตามความต้องการของจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านแต่อย่างใดเลย

ถ้าจิตหยาบของท่าน
ยังเข้าถึงการสั่นสะเทือนทางจิตวิญญาณตนเองไม่ได้
นั่นเท่ากับว่าท่านก็ยังนึกคิดด้วยจิตหยาบอยู่
ท่านก็ยังพูดยังทำอะไรๆด้วยจิตหยาบอยู่
ท่านจึงยังเป็นได้แค่ "คน" ที่ยังคนไม่แล้วเสร็จ
เมื่อท่านยังคนตนเองไม่แล้วเสร็จ
ก็จัดว่าท่านยังเป็น "มนุษย์" ตามภารกิจหลักไม่ได้
เมื่อเป็นมนุษย์ยังไม่ได้
ท่านก็จะไม่อาจทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
ที่จิตวิญญาณของท่านขันอาสามาได้เลย

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านไม่เร่งหาทางทำทุกสิ่งในชาตินี้ด้วยจิตวิญญาณ
แทนการทำอะไรๆด้วยจิตหยาบให้จงได้แล้ว
ก็นับว่าน่าเสียดายโอกาสในการเกิดเป็นที่ยิ่ง

ปัญหาของพวกท่านในขณะนี้ก็คือ
ท่านจะคนตนเองในสองมิติ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร?

วิธีการคนสองมิติให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว
ระหว่างกายหยาบและจิตหยาบกับจิตวิญญาณ
โดยให้สั่นสะเทือนร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวนั้น
ท่านจะเข้าถึงมันได้อย่างไร
ท่านจะเรียนรู้ได้จากแหล่งไหน
ใครคือครูผู้รู้ความจริงข้อนี้
พอที่จะถ่ายทอดให้ท่านได้บ้าง

การก้มหน้าก้มตาประพฤติธรรมก่อกรรมดีอยู่วันๆ
มันช่วยทำให้แก่นแท้ของท่าน
แค่หลุดลอยไปสู่แดนสวรรค์มายาเท่านั้น
ท่านจะนำพาแก่นแท้ของท่าน
ย้อนคืนสู่สวรรค์นิรันดรที่ท่านจากมาไม่ได้หรอก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-05-2016

ท่านทราบหรือยังว่า ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเป็นมายา











ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ตัวตนแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง
ซึ่งองค์จิตจักรวาลทรงกำหนดสร้างขึ้นนั้น
จะเป็นรูปธรรมทางพลังงานทั้งสิ้น

ดังนั้น
ที่เราเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ก้อนหินก้อนหนึ่งที่ท่านเห็น
จึงมิใช่เป็นตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด
ตัวตนที่แท้จริงของหินก้อนนั้น
เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างในต่างหาก

แต่เนื่องจากแก่นแท้นั้นซ่อนเร้นอยู่ข้างใน
ท่านจึงมิอาจสัมผัสรู้ดูเห็นตัวตนที่แท้จริงนั้นได้
ถ้าจะดูกันให้เห็นก็ต้องเจาะหรือผ่าเข้าไปข้างใน
จึงจะสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้

เนื่องจากว่ากลไกประสาทสัมผัสของท่าน
โดยเฉพาะ "ตา" นั้นจะถูกปกปิดมิติไว้
มิให้แลเห็นคลื่นพลังงานใดๆได้
แม้ว่าท่านจะสามารถผ่าก้อนหินเข้าไปดูข้างในได้
แต่ท่านก็จะไม่สามารถมองเห็นพลังงานได้

นอกจากนั้นพลังงานผู้เป็นแก่นแท้อยู่ในก้อนหิน
เมื่อถูกท่านเจาะผ่าเข้าไปข้างใน
เขาก็จะดำรงตนเองอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
เพราะเหตุผลว่าพลังงานไม่มีเปลือกนอกให้ยึดเกาะ
ทันทีที่เปลือกนอกถูกทุบจนแตกสลาย
พลังงานที่เคยเป็นแก่นแท้ในก้อนหินนั้น
ก็จะทำการสลายตัวไปทันที

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านต้องการสัมผัสรู้ดูเห็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งใดๆ
ท่านอย่าหมายใจว่าจะมองเห็นหรือสัมผัสด้วยอายตนะได้
ท่านจักต้องใช้ตาที่สามหรือดวงตาแห่งปัญญาเท่านั้น
โดยท่านต้องไปใส่ใจให้ความสำคัญตรงที่
"คุณสมบัติ" ของสรรพสิ่งนั้นๆนั่นเอง

เพราะคุณสมบัติแท้จริงของสรรพสิ่งนั้น
คือ ตัวตนแท้จริงของแก่นแท้หรือสัจธรรม
ส่วนเปลือกนอกที่แลเห็นได้ก็เป็นแค่เพียง
"มายา" ซึ่งเป็นตัวแทนของแก่นแท้ไงล่ะ

หากท่านปรารถนาที่จะมองหา
คุณสมบัติแท้จริงของสรรพสิ่งนั้น
ก็ให้มองที่มายาหรือเปลือกนอกของสรรพสิ่งนั้นได้
เพราะมายาเปลือกนอกของแก่นแท้นั้น
เป็นผลลัพธ์จากการสั่นสะเทือนทางพลังงาน
ของตัวตนแท้จริงที่เร้นอยู่ข้างในนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น
หากตัวท่านใช้จิตซึ่งเป็นแก่นแท้สั่นสะเทือน
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดอย่างไร
ท่านก็จะแสดงอาการหรือพฤติกรรมออกมาอย่างนั้น
คิดอย่างไรก็พูดออกไปหรือกระทำไปตามนั้น
รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกหรือกระทำไปตามนั้น
มีอารมณ์อย่างไรก็จะพูดหรือกระทำไปตามอารมณ์นั้น
ดังคำกล่าวนมนานมาแล้วซึ่งเป็นอมตะที่ว่า
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" นั่นแหละนะ

นี่แสดงว่าถ้าแก่นแท้ คือ จิตของท่าน
มันมีคุณสมบัติอย่างไรในขณะนั้น
มันก็จะแสดงคุณสมบัตินั้นออกมาภายนอก
ผ่านเปลือกนอกที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมเสมอ

พวกท่านจึงมักจะรู้กันว่าใครเป็นคนอย่างไร
ก็จากการสังเกตพฤติกรรมภายนอก
ที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมนั่นล่ะ
ยกเว้นพวกเสแสร้งเก่งก็อาจจะสังเกตยากอยู่สักหน่อย

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงบอกกล่าวต่อพวกท่านเสมอว่า
ถ้าจะเข้าถึงจิตวิญญาณของตนเองให้ได้
ก็ให้จิตหยาบคือตัวท่านนี่แหละ
สั่นสะเทือนทางจิตด้วยคุณสมบัติของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของตัวท่านให้จงได้
นั่นคือ ต้องรักให้ได้ ต้องให้ให้เป็น

*รักให้ได้หมายถึง
การมีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา
การมีความอดทน อดกลั้น และให้อภัย

*ให้ให้เป็นหมายถึง
การเป็นผู้มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
การแลกเปลี่ยน การแบ่งปัน และการเสียสละ เป็นต้น

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นบันใดขั้นต้นสำหรับคนประพฤติธรรมแท้จริง
ที่จะยกระดับการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้คือจิตวิญญาณ
ของท่านทั้งหลายได้โดยแท้

นี่เป็นคำตอบที่เราเฉลยต่อท่านทั้งหลายแล้ว
ไม่ต้องแสวงหาที่ใดให้เสียเวลาอีกแล้วล่ะนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-05-2016

ทางช้างเผือก (ธารสายน้ำนม)









เราเคยกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายไว้แล้วว่า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านในทุกวันนี้
มีความประสงค์สูงสุดที่จิตหยาบของท่านต้องรู้
นั่นคือปรารถนาจะ "กลับบ้าน" ที่ตนจากมา
ซึ่งแก่นแท้ของท่านจะกลับบ้านได้ไม่ได้
ก็ขึ้นกับจิตหยาบของท่านเท่านั้น

โดยที่จิตวิญญาณของท่านจะกลับบ้านได้
ก็ต้องมีคุณสมบัติเป็นสุญตา
คือว่างไปจากผลกรรมทั้งปวง
ไม่มีภาระหน้าที่ใดๆที่จะต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่อีก

องค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ได้ทรงสร้างประตูมิติสำหรับจิตวิญญาณของมนุษย์
ใช้เดินทางผ่านเข้ามาสู่การเกิดในระบบโลก
และใช้เป็นเส้นทางกลับบ้านแดนสุญตาไว้
ตรงปลายปีกทั้งสองข้างของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก
ซึ่งประตูมิตินี้จะเชื่อมต่อกันระหว่าง
สนามพลังงานของเอกภพกับสนามพลังงานสากล
ที่เรียกว่าแดนสุญตาซึ่งจิตวิญญาณท่านจากมานั่นเอง

"ทางช้างเผือก" เป็นเสมือนหนึ่ง
เส้นผ่านศูนย์กลางของเอกภพ
ที่มีขนาดใหญ่สุดในประดา 12,500 ล้านกาแล็กซี่

โดยทรงกำหนดให้มีขนาดความยาว
เท่ากับ 9,999 ยกกำลังสองช่องถ่าง
ระยะห่างแต่ละช่องถ่างมีระยะทางเท่าๆกัน
คือ แปดล้านหนึ่งหมื่นล้านไมล์

ทั้งทรงกำหนดสร้างดาราประดับฟ้า
ที่เป็นดาวมวลแข็งเอาไว้ในช่องถ่างหนึ่ง
แล้วคั่นไว้ด้วยดวงอาทิตย์ที่เล็กกว่า
ดวงอาทิตย์ของโลก 12 เท่า จำนวน 40 ดวง
จัดวางไว้แบบสลับฟันปลาในช่องถ่างถัดไป
โดยทรงกำหนดสร้างไว้แบบช่องเว้นช่อง

นอกจากนั้นตรงช่องที่ 99
นับจากปลายด้านหนึ่งของทางช้างเผือก
พระบิดาทรงกำหนดสร้างระบบสุริยะขึ้นไว้ระบบหนึ่ง
ซึ่งดาวโลกเสรีนี้เป็น 1 ใน 9 ดวงของระบบ

ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งของทางช้างเผือก
ตรงช่องถ่างที่ 696 ทรงสร้างระบบสุริยะไว้อีกระบบหนึ่ง
โดยมีดาวบริวารทั้งหมด 5 ดวง
และดวงอาทิตย์ของระบบนี้ใหญ่กว่าของโลก 20 เท่า
ทั้งสองระบบสุริยะบนกาแล็กซี่เดียวกันนี้
ดาวเคราะห์บางดวงต่างก็มี
สิ่งมีชีวิตลักษณะมนุษย์ดำรงอยู่เช่นเดียวกัน

ดังนั้น
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ดวงจิตวิญญาณของท่านที่ต้องการหลุดพ้นนั้น
ล้วนจะต้องเดินทางไปตามธารสีน้ำนม
หรือที่เรียกว่าทางช้างเผือกนี่แหละ
เพราะการเดินทางไปยังต้นธารแห่งน้ำนมนั้น
มันคือการเดินทางไปหาผู้ให้กำเนิดตนเองโดยแท้

แต่ท่านจะนำพาจิตวิญญาณของท่านกลับบ้านได้
ก็ต่อเมื่อได้ชำระผลกรรมจนหมดสิ้นแล้วเท่านั้น
โดยที่ดวงจิตวิญญาณของท่าน
ต้องสามารถดีดตนเองหนีแรงดึงดูดของโลก
กาแล็กซี่ทางช้างเผือกและเอกภพออกไปให้ได้
ด้วยพลังอำนาจทางจิตวิญญาณที่ท่านสั่งสมไว้
ในทุกภพชาติที่ได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์

ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อจิตวิญญาณของท่านสามารถนิพพานได้
จึงหมายถึงการสูญหายไปจากระบบเอกภพ
ซึ่งจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเคยดำรงอยู่
เพราะสามารถดีดตนเองออกไปภายนอกเอกภพได้

สนามพลังงานภายนอกระบบเอกภพนี่แหละ
คือบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณของท่าน
ซึ่งตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของท่าน
ที่เป็นจิตจักรวาลดวงเล็ก
กับองค์จิตจักรวาลผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ซึ่งทรงรอคอยการคืนกลับบ้านของพวกท่าน
ตามพันธะสัญญาเดิมมาตั้งนานแล้วล่ะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-05-2016

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ปฎิบัติธรรมมานาน แล้วใยจึงหลุดพ้นไม่ได้










เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การที่หลายท่านคิดเข้าใจว่า
การหมั่นทำบุญสุนทานมากๆเป็นการสั่งสมบุญบารมี
ในอันที่จะช่วยตนเองให้พ้นทุกข์ได้
ซึ่งหมายถึงหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏ
คือการเวียนว่ายตายแล้วไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่อีกนั้น
เป็นความเชื่อในความรู้ที่ไม่ถูกต้อง

เพราะบุญบารมีที่สร้างสมไว้ไม่ว่าจะมากสักปานใด
ก็มิอาจฉุดช่วยนำพาดวงจิตธรรมญาณของท่าน
ให้ "หลุดพ้น" ออกไปจากระบบเอกภพนี้ได้

ถ้าหากผลกรรมทั้งปวง
อันเกิดจากการกระทำของท่าน
ทั้งจากอดีตชาติและที่ก่อไว้ในภพชาติปัจจุบันนี้
จิตวิญญาณของท่านยังคงมีภาระต้องแบกมันอยู่

หรือว่าในชาตินี้
ขณะที่ตัวท่านถือศีลกินเจกันอยู่
หมั่นสร้างบุญกุศลกันอยู่
แต่ท่านยังมิได้ใส่ใจในการปรับปรุงแก้ไขจิตหยาบ
ซึ่งยังสั่งสมคุณสมบัติที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมไว้
เช่น ขี้โมโห ขี้อิจฉา ขี้งก ขี้โม้ ขี้เท็จ ขี้อาฆาต ฯลฯ
หรือสิ่งที่เป็นกิเลส ตัณหา ทั้งหมดทั้งสิ้น
จนยังผลให้จิตไม่ใส ใจไม่สวย
เพราะแทรกแซงกระบวนการของขันธ์ 5 ยังไม่ได้

ความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตร่วมกันกับคนอื่นๆ
จนทำให้สอบตกแทบจะทุกบททดสอบในชีวิตประจำวัน
ก็จะยังคงเป็นเงื่อนไขฉุดรั้ง
ดวงจิตธรรมญาณของท่านไว้ในระบบโลกเสรีนี้ต่อไป

การศึกษาธรรมะแบบเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
การนำธรรมะที่รู้อยู่มากมายมาปฏิบัติจริงไม่ได้
การรู้ธรรมะมากมายแต่มีไว้เพียงเพื่อพูดให้คนอื่นฟัง
การยอมรับศาสนาแต่ทว่างมงายอยู่กับคัมภีร์และพิธีกรรม
โดยไม่เคยถามตนเองบ้างเลยว่า

ถือศีลปฏิบัติธรรมครบทุกข้อนั้นดี แต่ว่าดีอย่างไร
กราบพระนั้นดี แต่ว่าดีอย่างไร
สวดมนต์นั้นดี แต่ว่าดีอย่างไร
ปฏิบัติเท็คนิกสมาธินั้นดี แต่ว่าดีอย่างไร
ทำบุญทำทานเยอะๆนั้นดี แต่ว่าดีอย่างไร
ปฏิบัติดีทั้งหมดที่กล่าวมานี้มานาน
แล้วใยตนเองยังดับขันธ์ 5 เพื่อนิพพานไม่ได้

หากรู้คิดตั้งคำถามที่เหมาะสมต่อตนเองได้เมื่อใด
การแสวงหาคำตอบที่เหมาะสมจึงจะเกิดขึ้นได้เมื่อนั้น
เมื่อได้คำตอบที่เหมาะสมแล้วนั่นล่ะ
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่าน
มันจึงจะบังเกิดผลขึ้นมาได้จริงๆ

เราจึงขอบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ขณะนี้จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านนั้น
กำลังรอการเปลี่ยนแปลงด้านจิตตปัญญาของท่านอยู่
ภายในก่อนกาลสิ้นยุคพลังงานเก่านี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-05-2016

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จงอย่าท้อแท้ใจในการกระทำความดีงาม








ท่านทั้งหลาย...
จงอย่าท้อแท้ใจในการกระทำความดีงามเลย
เพราะการทำความดีงามด้วยจิตสำนึกบริสุทธิ์นั้น
จักบังเกิดผลด้านบวกต่อจิตวิญญาณของท่านเสมอ

เพราะพลังอำนาจทางฝ่ายจิตวิญญาณของท่าน
จะสามารถเติมเพิ่มได้ในชีวิตจริงของทุกๆวัน
เพียงแต่ท่านสั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
ให้เกิดเป็นความรักเพื่อการให้
ในทุกเงื่อนไขสถานการณ์
ที่คนรอบข้างกระทำต่อท่าน
ไม่ว่าเงื่อนไขนั้นท่านจะพอใจหรือไม่ก็ตาม

การสั่งสมความดีงามเยี่ยงนี
มันคือการสั่งสมพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
ที่พร้อมจะตอบสนองท่านเมื่อกายสังขารต้องการ
ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกพลังอำนาจนี้ว่า "บารมี"

ดังนั้น
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จงอย่าท้อแท้ต่อการเป็นผู้มีจิตสำนึกที่ดี
เพื่อการนึกดี คิดดี พูดดี และทำดีต่อใครๆ
จากจิตใจที่ใสบริสุทธิ์ซึ่งเป็นจิตแห่งจักรวาลเลย
เพราะผลกรรมด้านบวกที่เกิดขึ้นทั้งหมด
จะมีแต่สั่งสมและสืบสาน

ซึ่งมันจะต่างกันกับการมุ่งทำความดี
เพื่อประโยชน์สุขของฝ่ายเครื่องยนต์แห่งกรรม
เพราะประโยชน์ใดที่เกิดขึ้นในทางโลก
แล้วท่านพยายามที่จะเก็บรักษากันไว้นั้น
มันมีแต่จะเน่าสลายไปตามคืนวันที่ผ่านไป

ท่านไม่เห็นหรือ
ขณะที่กายสังขารซึ่งเป็นเครื่องยนต์แห่งกรรม
นับวันนับคืนนับเดือนนับปีมีแต่จำเริญเติบตาย
แต่ทางจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ในตัวท่าน
กลับดำรงอยู่ได้อย่างนิรันดร์
โดยไม่อ้วนขึ้น ไม่ผอมลง ไม่มีอายุขัย

วันใดที่เครื่องยนต์แห่งกรรมหมดวาระใช้งาน
จิตวิญญาณของท่านก็จะละออกจากร่าง
แก่นแท้ของท่านก็ยังคงผงาดอยู่ในจักรวาลนี้ได้
โดยไม่มีการตายทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นเลย

ตัวตนแก่นแท้ของท่านจักมีแค่เพียง
ความเสื่อมด้านพลังบารมี
จนมิมีพลังมากพอที่จะนำพาตนเองหลุดพ้นได้
กับการเป็นจิตวิญญาณที่หลงมิติ
เพราะจิตมนุษย์หรือจิตหยาบของท่าน
ถ่ายทอดมรดกกรรมด้านลบเอาไว้ให้นั่นแหละ

เราจึงขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
จงหมั่นทำความดีงามด้วยความรักเพื่อให้
จงทำความดีให้ได้ด้วยจิตสำนึกของท่านเองเถิด
ท่านไม่ต้องรอให้ใครเขาทำดีต่อท่านก่อนหรอก
เพียงแค่ท่านเป็นฝ่ายเริ่มทำดีต่อเขาเสียเอง
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณก็จะทรงประทานรางวัล
เพื่อการเพิ่มพูนพลังแห่งจิตสุญตาแก่ท่าน
ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองแล้ว 

จงทำดีกับทุกๆคน 
อย่าเลือกคนที่จะทำดีด้วย

การทำความดีที่แท้จริงก็คือ
การทำดีโดยไม่หวังผลอะไร
ทำดีต่อเขาได้แม้ว่าเขาจะเคยทำไม่ดีต่อท่าน
ทำดีต่อเขาได้แม้เขาจะเพิกเฉยต่อการทำดีต่อท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-5-2016

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

มนุษย์ คือ คนสองมิติ







(1): มนุษย์ คือ คนสองมิติ
**************************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
มนุษย์โลกเสรีทุกคนล้วนเป็น "คนสองมิติ"

"คนสองมิติ" หมายถึง 
ผู้ที่สามารถแสดงออกหรือกระทำ
ให้เกิดผลลัพธ์ของการกระทำของตนขึ้น
ทั้งในมิติแห่งตัวตนในทางกายภาพ
ที่ใครๆสามารถสัมผัสรู้ดูเห็น
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าได้

กับผลลัพธ์ของการกระทำที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน
ในมิติแห่งจิตใจในทางพลังงา
ซึ่งอายตนะภายนอกทั้งห้าของท่าน
มิอาจสัมผัสรู้ดูเห็นได้
เพราะพวกท่านถูกปิดมิติไว้

นี่จึงหมายความว่า
ขณะที่ท่านกำลังแสดงออกหรือกระทำ
พฤติกรรมใดๆกับใครคนใดคนหนึ่งอยู่

นั่นเท่ากับว่าในขณะนั้น
ท่านก็กำลังแสดงพฤติกรรมทางจิต
กับคนผู้นั้นควบคู่กันไปด้ว
แม้ว่าสองตาเปล่าของท่าน
จะมองไม่เห็นพฤติกรรมทางจิต
ที่ท่านกระทำต่อเขาคนนั้นอยู่ก็ตาม

เพราะมนุษย์ถือคติสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
สิบตาเห็นไม่เท่าเอามือคลำด

เพราะมนุษย์ไม่รู้ไม่เห็นพฤติกรรมทางจิต
มนุษย์ส่วนใหญ่จึงประมาทและละเลยที่จะใส่ใจ
ในพฤติกรรมทางจิตของตนเองที่มีต่อผู้อื่น

การกระทำผิดบาปจากการก้าวล่วงทางจิต
ในมิติของแก่นแท้ต่อกันและกัน
จึงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในยามตื่น
ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

พฤติกรรมทางจิตที่มนุษย์กระทำต่อกันนั้น
พระศาสดาทรงเรียกว่า "มโนกรรม"
แต่องค์จิตจักรวาลทรงใช้คำเต็มว่า
"การสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก"

โดย "จิต 3 นึก" หมายถึง
การสั่นสะเทือนของจิต 3 ประการ คือ
การนึกได้ว่า การนึกเอาว่า และการนึกเองว่า
ซึ่งการนึกทั้งสามรูปแบบที่ว่านี้
มันจะสั่นสะเทือนไปตามอารมณ์รู้สึกในขณะนั้นๆ

ถ้ากำลังรู้สึกทางด้านบวกต่อใครหรือสิ่งใด
จิตสามนึกก็จะสั่นสะเทือนไปทางด้านบวก
ต่อคนนั้นสิ่งนั้นเสมอ

ถ้ากำลังรู้สึกทางด้านลบต่อใครหรือสิ่งใด
จิตสามนึกก็จะสั่นสะเทือนไปทางด้านลบ
ต่อคนนั้นสิ่งนั้นเสมอเช่นกัน

เมื่อมนุษย์สั่นสะเทือนเป็นการนึก
ทั้งบวกหรือลบต่อผู้หนึ่งผู้ใดก็ตาม
การก่อกรรมให้เกิด "ผลกรรม" ในกรณีนั้นๆ
มันก็ได้บังเกิดขึ้นมาแล้วในมิติแห่งจิต
ก่อนที่มันจะนำไปสู่การคิดบวกคิดลบด้วยสมอง
แล้วแสดงออกมาเป็นกายกรรมหรือวจีกรรมต่อไป

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เวรกรรมทั้งหลายนั้นล้วนเกิดที่ "จิต"
ซึ่งสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
ที่มีต่อผู้อื่นที่เกิดขึ้นในยามตื่นของท่าน

ดังนั้น
ไม่ว่าท่านจะแสดงมันออกมาทางคำพูดหรือไม่
หรือจะแสดงออกมาทางการกระทำหรือไม่ก็ตาม
กรรมที่ท่านกระทำด้วยจิตนั้
จะถือว่าได้กระทำ "สำเร็จ" ไปแล้ว
ซึ่งมันเป็นการก่อกรรมให้เกิดผลกรรมขึ้นแล้ว
ท่านจะต้องรับผิดชอบมันสถานเดียว

แต่ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตใจ
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิด
ไม่ว่าด้านลบหรือด้านบวกก็ตาม
แล้วท่านขับเคลื่อนมันออกมา
เป็นท่าทางหรือคำพูดที่ไม่เหมาะสมต่อผู้อื่น
จนผู้อื่นหยิบนำไปใช้เป็นเงื่อนไข
สั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
เพื่อตอบโต้ ต่อต้านกลับมาบ้าง
มันก็จะยังผลให้ท่านกับผู้อื่นนั้น
มีการ "เกี่ยวกรรมกัน" เกิดขึ้นทันที

วันๆหนึ่งหากท่านเผลอสติหรือประมาท
การก่อกรรมกับการเกี่ยวกรรมของท่าน
มันก็จะเกิดขึ้นใหม่อย่างมากมาย
จนบั้นปลายชีวิตท่านก็จะยังมิอาจหลุดพ้น
ออกไปจากเอกภพหรือ "จักรวาลสากล" นี้ได้
เนื่องจากยังมีการเอี่ยวเกี่ยวกรรมกัน
ในอันที่จะต้องเร่งแก้ไขร่วมกันอยู่
การมีสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิด
ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-05-2016