วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โลกถูกตัดสินแล้วว่าจะต้องถูกชำระ


ขณะนี้โลกถูกตัดสินแล้วว่าจะต้องถูกชำระ เพราะให้มนุษย์ด้วยกันค้ำจุนโลกให้สมดุลไม่ได้แล้ว มนุษย์เราเป็นตัวการ ขณะที่จิตวิญญาณเราถูกส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ค้ำจุนโลก แต่มนุษย์เองกลับทำลายความสมดุลของระบบโลกซะเอง แทนที่เราจะมาค้ำจุน นี่คือโทษหนัก คือไม่เชื่อศาสดาของตัวเอง เอาศาสดามาอ้างอย่างเดียวว่า ฉันเป็นคนมีศาสนา มีศาสดา แต่ไม่เคยเชื่อฟังและเคารพพระศาสดาอย่างแท้จริง เอามาพูดเพื่อเอาดีใส่ตัว เพื่อแอบอ้างกันเท่านั้น นั่นคือความเหลวไหลของมนุษย์ ผมถึงบอกว่าคุณนับถือศาสนาใดก็ได้ แต่อย่างมงาย เอาแก่นแท้ของธรรมะ ของศาสนานั้นมาปฏิบัติให้ได้ เพราะมันมีต้นธรรมต้นเดียวกัน แต่ละพระองค์มาเกิดกันคนละยุคคนละสมัย เราจะไปแบ่งแยกศาสดาว่าเราเอาพระพุทธเจ้า ไม่เอาคริสต์ ไม่เอาอิสลามไม่ได้ เพราะพระศาสดาล้วนเป็นผู้มีเมตตาต่อมนุษย์อย่างเรา ๆ ทั้งนั้น พระองค์อุตส่าห์จุติมาเป็นพระศาสดาเพื่อมาสอนให้พวกเรามีสติทางวิญญาณ ถ้าไม่มีพระองค์มาสอน เราก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไร มาสร้างสำนึกให้ แต่นี่ปรากฏว่าเรารักพระพุทธเจ้า แต่เราไปเกลียดศาสนาอื่น หรือเรารักพระเยซูคริสต์แต่เราไปเกลียดพระพุทธเจ้า เราทำอย่างนั้น เรางมงายและเราโง่มาก ๆ มันไม่ถูกต้อง นั่นคือหน้าที่ที่อาจารย์มาสอน สอนว่าเราจะต้องประพฤติ ปฏิบัติตนอย่างไร
อาจารย์สอนแม้กระทั่งที่ว่า เราจะต้องเตรียมตัวผจญกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลกอย่างไรบ้าง อาจารย์พูดมาเกือบ 10 ปีแล้ว และก็จะพูดต่อไปเรื่อย ?

หนังสือดี มีคุณค่าที่ยากแนะนำให้อ่าน

























สมการพลังร่วมแห่งรักจากจิตมนุษญ์



เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หนึ่งในพันธะสัญญา 6
ซึ่งดวงจิตธรรมญาณของท่านทั้งหลาย
ได้ให้สัจจะไว้ต่อองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ก็คือ........
การมาเกิดเป็นคน
เพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์
แล้วร่วมกันทำหน้าที่
เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก
นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พวกท่านล้วนเป็นสรรพสิ่งหนึ่ง
ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นมา
ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
ในมหาอาณาจักรอันไพศาลของพระองค์
เพราะพวกท่านถูกกำหนดสร้าง
ให้เป็นคนสองมิติ คือ
มีกายหยาบอันเป็นสรรพสิ่งในมิติทางกายภาพ
ที่มีโครงสร้างละเอียดอ่อนซับซ้อน
จนน่าทึ่งที่สุดในจักรวาล
โดยพระองค์ให้กำหนดสร้างขึ้นบนโลกเสรีนี้
ด้วยโลหิตในครรภ์มารดา
กับจิตวิญญาณอันเป็นอีกสรรพสิ่งในมิติทางพลังงาน
ที่น่าทึ่งและมหัศจรรย์อีกเช่นกัน
ซึ่งเป็นรูปธรรมที่เดินทางข้ามมิติมาจากแดนสุญญตา
โดยทั้งสองสรรพสิ่งนี้จักต้องทำงานร่วมกัน
ในบทบาทของมนุษย์แห่งดาวโลกเสรีนี้
ดังนั้น.....
พวกท่านจึงล้วนมี 2 ภาคในตนเองไปโดยปริยาย
กล่าวคือ....
ทุกท่านก็จะมีตัวตนภาคแรกที่สูงส่ง
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
อันมีพระนามว่า "จิตจักรวาลดวงเล็ก"
หรือกล่าวนามสั้นๆว่า "พระบุตร"
ที่ยังคงดำรงตนเองอยู่กับพระบิดาในแดนสุญญตา
ซึ่งเป็นที่ผู้แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นภาคที่สอง
เพื่อข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
โดยท่านทั้งหลายเรียกนามว่า "จิตวิญญาณ"
หรืออาจกล่าวนามสั้นๆได้ว่า "พระจิต"
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อพวกท่านได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นคนสองมิติแล้ว
จิตมนุษย์ผู้ดูแลรับผิดชอบกายหยาบ
จึงต้องมีหน้าที่ยกระดับ
การสั่นสะเทือนตนเองให้สูงขึ้น
จนสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้
คือจิตวิญญาณของตนให้สำเร็จก่อน
มิเช่นนั้นแล้วท่านก็จะทำหน้าที่
เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกตามพันธะสัญญาไม่ได้
พวกท่านเมื่อแรกเกิดมาลืมตาดูโลก
พระบิดาจึงทรงกำหนดนามเรียกขานว่า "คน"
ทั้งนี้เพื่อสร้างสติทางวิญญาณ
ให้พวกท่านได้สำนึกรู้ว่า
ตั้งแต่เด็กจนโตใหญ่ท่านจะต้องหาหนทาง
คนตนเองในสองมิติ
ระหว่างจิตหยาบและกายหยาบ
กับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของท่าน
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้สำเร็จให้จงได้เร็วที่สุด
หากท่านทำสำเร็จได้เมื่อใด
เมื่อนั้นท่านจึงจะถูกเรียกว่า "มนุษย์" ได้อย่างเต็มคำ
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านจะประสบความสำเร็จ
ในการคนตนเองให้เป็นมนุษย์ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
สิ่งที่ท่านจะต้องกระทำต่อตนเองและผู้อื่น
มีดังต่อไปนี้ คือ
1.ต้องเรียนรู้ที่จะรักตนเองและผู้อื่นให้ได้
แม้ว่าใครคนนั้นจะทำตัวไม่น่ารักต่อท่านก็ตาม
เช่น สงสาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
2.ต้องเรียนรู้ที่จะให้สิ่งดีๆมีคุณค่า
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นให้ได้
แม้ว่าบางครั้งตนเองและผู้อื่นทำตัวไม่น่าที่จะให้ก็ตาม
เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย ให้โอกาส ให้เวลา
ให้ทรัพย์สินสิ่งของ และอื่นๆ
โดยไม่มีเงื่อนไขในการให้ โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
3.ต้องเรียนรู้ที่จะคิดด้วยความฉลาดของสมองสองซีก
ซึ่งเป็นพลังอำนาจทางปัญญาในตนเอง
เพื่อการตัดสินใจแสดงออกหรือกระทำสิ่งใดๆ
ต่อตนเองและผู้อื่นให้เป็นธรรมชาติของตนให้จงได้
เช่น คิดก่อนคิด คิดก่อนพูด และคิดก่อนทำ เป็นต้น
โดยหลีกเลี่ยงละเลิกที่จะขับเคลื่อนการกระทำ
ด้วยกิเลส ตัณหา อารมณ์
นิสัยเคยชิน และสันดานเคยตัว
อันเป็นคุณสมบัติหยาบๆของจิตหยาบ
หากท่านทั้งหลาย
ปฏิบัติตามสามประการนี้ต่อตนเองได้
ท่านก็สามารถคนตนเองให้เป็นมนุษย์สำเร็จแล้ว
และถ้าหากท่านแสดงออกต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่น
ด้วยการกระทำตนทั้งสามประการนี้
แล้วเป็นเงื่อนไขด้านบวกที่จะช่วยให้ผู้อื่น
สามารถสั่นสะเทือนจิตหยาบของเขา
เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของเขาได้
เช่นเดียวกับท่านแล้วละก็
เท่ากับว่าทั้งท่านและตัวเขาคนนั้น
กำลังร่วมกัน "ปฏิบัติการรัก" จากจิตชั้นสูง
โดยมันจะก่อให้เกิดพลังร่วมแห่งรักอันศักดิ์สิทธิ์
ตามสมการพลังงานร่วมแห่งรัก
จากจิตสำนึกด้านบวกของท่านกับผู้อื่น
เราเรียกว่าสมการ "ซัมเบต้า"
ตามที่เรานำมาแสดงไว้ในสไลด์ข้างล่างนี้แล้ว
สมการดังกล่าวนี้ถอดรหัสได้ว่า....
ผลรวมทางพลังงานความรัก
ของมนุษย์จำนวนเอ็กซ์คนที่กำลังรักกัน
มีค่าเท่ากับ 3 เท่า
ของจำนวนคนที่รักกันอยู่ในขณะนั้น ยกกำลังสอง
แล้วคูณด้วยผลรวมของพลังงานความรัก
ของแต่ละคนรวมทั้งสิ้น เอ็กซ์คน
ที่สามารถผลิตสร้างมันออกมาได้ในขณะนั้น
โดยผลรวมของพลังงานร่วมที่ได้นี้
จะมีหน่วยวัดค่าเป็น "เม็กกะเฮิร์ท"
ซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กระบบหนึ่ง
ที่เป็นชนิดเดียวกันกับคลื่นสนามแม่เหล็กโลกนั่นแหละ
ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า
ภารกิจของท่านถ้ามาถึงขั้นตอนนี้ได้
แสดงว่าท่านได้คนตนเองจนเป็นมนุษย์เป็นผลสำเร็จแล้ว
ทั้งยังทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงาน
กับดาวเคราะห์โลกนี้ได้แล้วด้วย
การเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกก็คือ
พวกท่านต้องผลิตสร้างพลังงานร่วมแห่งรัก
ตามสมการพลังงานที่เราเปิดเผยไว้นี้
เพื่อมอบพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กในรูปพลังจิต
ให้โลกนำไปใช้สร้างจิตสำนึกของโลกอีกทอดหนึ่ง
พลังความรักของพวกท่านที่เป็นพลังร่วม
ในรูปของคลี่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
มันจะถูกเหนี่ยวรั้งลงไปยังแกนโลกหรือจิตของโลก
เพื่อไปก่อให้เกิดกระบวนการ Nuclear Fission
ซึ่งมันจะทำให้แกนโลกบิดตัวอย่างต่อเนื่อง
จนทำให้โลกเหวี่ยงหมุนได้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วคงที่ตลอดกาล
ตอนนี้ท่านเข้าใจหรือยังว่า
ทำไมมนุษย์กับโลกต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
ทำไมถ้าจิตสำนึกมนุษย์ตกต่ำโลกก็จะเสียสมดุล
จนเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงเมื่อนั้น
ทำไมมนุษย์จึงต้องมีศีลธรรม
ทำไมพระศาสดาทุกพระองค์จึงสอนให้มนุษย์รักกัน
ทำไมเมตตาธรรมจึงค้ำจุนโลกได้
อนิจจัง....อนิจจา.....
ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา พวกท่านส่วนใหญ่ในระบบโลก
มิได้ประพฤติดังเช่นที่เรากล่าวความจริงมาทั้งหมดนี้
ดาวเคราะห์โลกจึงเสียสมดุล
ภัยพิบัติร้ายแรงจึงเกิดขึ้นไปทั่ว
ทุกคนมีชีวิตอยู่กับการเสี่ยงตายตลอดเวลา
จนจิตวิญญาณของท่านผวาหาความสงบสุขมิได้
เราจึงต้องกลับมา...กลับมาหาพวกท่านตามสัญญา
หมายนำพาพวกท่านคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอน
ยังแดนสุญญตา....ในภพชาติสุดท้ายแห่งการปิดยุคนี้
ท่านจะมากับเรามั้ย....
ท่านจะไปกราบพระบิดากับเราหรือเปล่า
ตะเกียงของท่านเติมน้ำมันแล้วหรือยัง
เอเมน....สาธุ.....
ป.วิสุทธิปัญญา
20-12-2014

วัตถุประสงค์ ของชมรมจิตจักรวาล







1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

จิตสงบ คือ อย่างไร





เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ในสภาวะจิตปกติของท่านที่เรียกว่า #จิตสงบ นั้น
จะมีคุณสมบัติสำคัญดังนี้ คือ

1.จิตจะมีอาการนิ่งเฉย
จะไม่มีการสั่นสะเทือนจนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกใดๆ

2.จิตจะมีอาการนิ่งเฉย
จะไม่มีการสั่นสะเทือนจนเกิดเป็นความอยาก-ไม่อยาก
แต่อย่างใด

3.จิตจะมีอาการนิ่งเฉย
จะไม่มีการสั่นสะเทือนจนเกิดเป็นการนึกโน่นนั่นนี่
แต่อย่างใด

4.อาการนิ่งเฉยของจิตทั้งสามประการนี้
ต้องเกิดจากการ #วางเฉย ต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้า
มิใช่เกิดจากการ #เก็บกดอดกลั้น มันไว้

5.อาการนิ่งเฉยต่อสิ่งเร้าเช่นว่านี้
ต้องเกิดจากการมี #มหาสติ อยู่ทุกขณะจิตเท่านั้น
ซึ่งการมีมหาสติก็คือ #การควบคุมจิตให้อยู่กับตนเอง

เหมือนดั่ง...
การเก็บมือไว้กับตนเอง

เหมือนดั่ง...
การเก็บตาหูจมูกและปากไว้กับตนเอง

หากท่านรู้จักเก็บมันไว้ดีๆให้อยู่กับตัวท่าน
กลไกทั้งหลายเหล่านี้ก็จะหมดโอกาส
ที่จะไปก้าวก่ายล่วงเกินใครอื่นให้ผิดบาป

นอกจากนั้นท่านยังจะสามารถใช้มัน
เพื่อ #เรียนรู้ ในสิ่งต่างๆและเรื่องราวทั้งหลาย
ที่ท่านได้สัมผัสรู้ดูเห็นมันในระหว่างวัน
ซึ่งท่านพิจารณาแล้วว่ามันสมควรต้องเรียนรู้
โดยให้เหตุผลกับตนเองได้ว่า
สิ่งนั้นเรื่องนั้น #สมควรเรียนรู้และใส่ใจ กันหรือเปล่า

อย่างเช่นคลิปสรรพสิ่งรูปลักษณ์ประหลาดนี้
ถ้าท่านมีสภาวะจิต #ไม่สงบ หรือ จิตไม่ว่าง
ท่านยังบกพร่องในคุณสมบัติทั้ง 5 ข้ออยู่
ท่านก็จะกลายเป็นคน #ไม่เลือกเรียนรู้

พอเห็นเรานำเสนอสิ่งใดเรื่องใด
เพียงแค่แปลกตาน่าสนใจ
ก็พยายามที่จะใส่ใจใฝ่จะรู้
โดยเฝ้ารอให้ครูเฉลยทุกทีไปว่ามันคืออะไร?

นักเรียนที่รัก....
บางทีเราไม่มีคำตอบให้หรอกนะว่ามันเป็นตัวอะไร
เพราะสิ่งที่เรานำมาแบ่งปันให้นักเรียนนั้น
คือ #ตัวสติปัญญา มันสูงค่ามากกว่า
จะให้เราเฉลยว่า #ตัวประหลาด เนี่ยคือตัวอะไร

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จงครองมหาสติเอาไว้เสมอ
แล้วท่านทั้งหลายจะ #ไม่จิตตก
อีกทั้งยังจะสามารถ #ฉลาดที่จะเลือกเรียนรู้
ในสิ่งที่ท่านปรารถนาจะเรียนรู้และควรเรียนรู้
อย่างมีเหตุผลว่าอะไรควรเรียนรู้อะไรไม่ควร

#การเรียนรู้สิ่งที่มาเร้าให้อยากรู้
#กับการอยากรู้เพราะตกเป็นทาสของสิ่งเร้านั้น
#มันเหมือนกันเสียที่ไหนล่ะท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-08-2016

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คาถาตัดกรรม (ปริญญาโมเดล)




เราจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ในชีวิตประจำวันของท่าน
จะมีสถานการณ์อยู่ 2 สถานการณ์ คือ
1.จะมีผู้สร้างเงื่อนไขให้ท่าน
เพื่อที่จะทดสอบ ‪#‎จิตสามนึก‬ ของท่าน
ตามกระบวนการของกฎแห่งกรรม
อันสืบเนื่องมาจากในภพชาติอดีตนั้น
ภายใต้เงื่อนไขเดิมๆเหมือนในชาตินี้
ท่านได้เคยทำผิดบาปต่อเขาคนนั้นมาแล้ว
มาชาตินี้ท่านจึงต้องเผชิญกับเงื่อนไขเดิม
พร้อมสถานการณ์แบบเดิมๆอีกครั้ง
2.จะมีผู้สร้างเงื่อนไขให้ท่าน
ด้วยอุปนิสัยหรือสันดานของเขาเหล่านั้น
โดยมิได้ข้องเกี่ยวกับกระบวนการ
ของกฎแห่งกรรมข้ามภพชาติแต่อย่างใด
ซึ่งเมื่อท่านเผชิญกับเงื่อนไขนั้นๆแล้ว
ท่านก็จะต้องสอบผ่านบททดสอบนั้นเช่นกัน
ดังนั้น
เราจึงจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อใดก็ตามที่ท่านเผชิญกับเงื่อนไขด้านลบ
ที่คนแวดล้อมตัวท่านเป็นผู้หยิบโยนมาให้นั้น
ปัญหาแรกที่จะเกิดขึ้นกับท่านทันที
คือ ‪#‎ปัญหาทางจิตใจ‬ ที่เกี่ยวกับอารมณ์รู้สึก
ซึ่งเราเคยแนะให้ท่าน ‪#‎ครองมหาสติ‬ ไว้ให้มั่น
เพื่อช่วยควบคุมความสมดุลในจิตใจไว้
เมื่อควบคุมจิตใจให้สงบสมดุลได้แล้ว
ก็ให้ท่าน "ใช้ปัญญา" ที่ถูกเปิดกว้างออก
ด้วยพลังอำนาจแห่ง "มหาสติ" ‪#‎ในวิถีจิดจักรวาล‬
สั่นสะเทือนจิตสามนึกทางด้านบวกคอยค้ำจุนจิตไว้
แล้วใช้ "คาถาตัดกรรม" อันล้ำลึกในสไลด์นี้
จัดการตนเองให้สงบสำรวมโดยไม่ตอบโต้ใดๆ
เพื่อการ "ยุติกรรม" นั้นโดยไม่ต่อความในทันที
คาถาตัดกรรม เป็น ‪#‎ปริญญาโมเดล‬
ซึ่งทุกคนใช้ได้และได้ผลอย่างแน่นอน
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-08-2016

จิตตปัญญา


 
 
 
 
 
มีบางคนที่รักและปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์
พอได้รับรู้ข่าวสารว่าช่างเท็คนิก
ได้เริ่มปฏิบัติการ "#เขย่าขวัญ" เพื่อนร่วมโลก
บนพื้นที่สีแดงตาม #แผนที่จิตจักรวาล
สำหรับโลกยุคพลังงานใหม่เมื่อใด

ท่านผู้สงสารนั้นก็พยายามจะช่วย #ร้องขอ
โดยขอพระบิดาให้ทรงโปรดเมตตาช่วยให้
พี่ๆน้องๆบนเกาะนั้นพิกัดนั้น #ฉุกคิด กันให้ได้ว่า
มหันตภัยพิบัติกำลังคืบคลานเข้ามาหา
จนใกล้จะถึงตัวเต็มทีแล้ว

เราจึงจะขอกล่าวต่อท่านหรือใครที่คิดเช่นนี้ว่า
#การฉุกคิด น่ะมิใช่เรื่องของ #พระเจ้า หรอก
#ความฉลาดไม่ฉลาดเป็นเรื่องส่วนบุคคล
พระบิดาทรงประทานก้อนสมองให้แก่ทุกท่าน
เอาไว้ใช้กันอย่างเท่าเทียมมาตั้งแต่แรกแล้ว

นอกจากนั้น
พระบิดายังทรงสร้างบทเรียนเอาไว้ให้
ท่านทั้งหลายได้ใช้กระตุกต่อมคิด
ด้วยรหัสมายาที่ทรงแฝงไว้ในทุกสรรพสิ่ง
ซึ่งอยู่แวดล้อมตัวท่านในทุกหนทุกแห่ง
โดยที่ท่านทั้งหลายก็ได้พบเห็นกันมา
ตั้งแต่เริ่มจะรู้เดียงสากันแล้วล่ะนะ
จึงเป็นที่มาของคำว่า #ธรรมะคือธรรมชาติ นั่นล่ะ

ในระยะที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้
ประดาช่างเท็คนิกต่างก็ได้พยายามสร้างเงื่อนไข
ในรูปของมายาบ้างสถานการณ์ภัยพิบัติบ้าง
เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านทั้งหลายได้ฉุกคิดกัน
เพื่อช่วยกระตุ้น #จิตสามนึก ให้อีกแรงหนึ่งแล้ว

ดังนั้น
ลูกๆต้องช่างสังเกตและต้องใช้สมอง
โดยต้องฉลาดที่จะเรียนรู้กันได้เอง
ในการพิพากษาโลก (ลูก) ครั้งที่สี่นี้

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ผู้ใดที่ต่อต้านหรือทำวางเฉ
โดยไม่ยอมพัฒนาจิตตปัญญาของตน
เอาแต่ทำตัวไร้สาระ(ทำหล่อ ทำสวย ทำรวย)ไปวันๆ
คนพวกนี้ คือ พวกลูกแกะที่ไม่เอาไหน
คนวกนี้ คือ ฝูงปลาที่จะถูกคัดทิ้งแน่นอ
ถ้าหากยังมิยอม #รู้ตื่น กันอยู่อีก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-08-2016

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม






เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าพบลูกหลาน ลูกน้อง หรือลูกศิษย์ของท่าน
มีพฤติกรรมบางสิ่งบกพร่องให้ได้รู้เห็นแล้ว
หากท่านต้องการจะแก้ไขพฤติกรรมนั้นๆของเขา
ก็จงอย่าคิดที่จะ "เกา" ลงตรงพฤติกรรมนั้นเลย
เพราะราจะบอกต่อท่านว่ามันไม่ได้ผลหรอก
ตัวอย่างเช่น
พฤติกรรมการเห็นแก่ตัวของใครบางคน
จักเป็นพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น
ตั้งข้อรังเกียจรังงอนไม่อยากคบหาเสมอ
ถ้าคนที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวนั้น
เป็นลูกน้องคนหนึ่งในทีมของท่านแล้ว
ท่านก็มักจะมองว่า "การเห็นแก่ตัว" ของคนๆนั้น
เป็น "ตัวปัญหา" อันน่ารังเกียจอย่างยิ่ง
ซึ่งท่านคิดว่าจะต้องจัดการมันให้ได้
เพราะมันทำให้ทีม ‪#‎ขาดเอกภาพ‬ นั่นแหละ
แต่เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
แท้จริงแล้ว"ตัวปัญหา" ที่ต้องแก้ไขนั้น
มันมิใช่ ‪#‎พฤติกรรมการเห็นแก่ตัว‬ หรอก
ท่านจะมองปัญหานี้ด้วยสมองซีกซ้าย
คือมองแบบสมการเส้นตรงไม่ได้
พฤติกรรมการเห็นแก่ตัวที่ท่านเพ่งเล็งอยู่
มันเป็นเพียงภาพมายาที่ปรากฏให้เห็น
อันเกิดจากสาเหตุบางประการที่ซ่อนเร้นอยู่
ไม่ต่างจากการที่ท่าน "ท้องเสีย"
ท่านจะสรุปเอาง่ายๆว่า
อาการท้องเสียคือ "ตัวปัญหา" ที่ต้องแก้
ท่านจึงไปหายา "บังคับให้หยุดถ่ายท้อง" มากิน
ทั้งๆที่ตัวปัญหาที่แท้จริงก็คือ "เชื้อโรค"
ที่ท่านทานเข้าไปพร้อมอาหารต่างหาก
เมื่อท่านแก้ปัญหาผิดจุด คือ "เกาไม่ถูกที่คัน"
นั่นเท่ากับว่าท่านกินยาผิดชนิดแค่ให้หยุดถ่าย
แล้วกลายเป็นสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาแทน
นั่นคือการกักขังเชื้อโรคท้องร่วงเอาไว้
ให้มันแพร่กระจายอยู่ในกระเพาะและลำไส้มากขึ้น
ในด้านพฤตินิสัยของมนุษย์ก็เช่นกัน
เช่นกรณี "การเห็นแก่ตัว" นั้นก็ไม่แตกต่างจาก
กรณีที่ท่านกำลังเกิดอาการท้องเสียอยู่นั่นแหละ
ถ้าปัญหาท้องเสีย
มาจากมีเชื่้อโรคในกระเพาะ
ปัญหาการเห็นแก่ตัว
ก็มาจาก "จิตสามนึก" บกพร่องนั่นเอง
ถ้าท่านยังพยายาม ‪#‎บังคับหรือจูงใจคน‬
ให้เลิกมีพฤติกรรมการเห็นแก่ตัวโดยทันทีกันอยู่
มันก็ไม่ต่างจากการที่ตัวท่านน่ะ
พยายามที่จะกินยา
บังคับระบบขับถ่ายให้หยุดถ่าย
ขณะที่ตัวปัญหาแท้จริงก็คือ
ตัวเชื้อโรคในกระเพาะ
กลับยังมิได้รับการใส่ใจ
ที่จะจัดการมันอยู่ดังเดิม
หมายถึง ‪#‎ข้อบกพร่อง‬ ของ "จิตสามนึก"
ยังถูกละเลยหรือมองข้ามมันไปโดยแท้
ดังนั้น
การจะแก้ไขพฤตินิสัย"เห็นแก่ตัว"ของคน
ชนิดที่เรียกว่า "เกาให้ถูกที่คัน" นั้น
ท่านจักต้องไปกระทำที่ ‪#‎จิตสามนึก‬" เท่านั้น
โดยที่ตัวท่านเองจักต้องรู้ว่า
จิตตัวใดเป็นเหตุให้
เกิดพฤตินิสัยเห็นแก่ตัวกันแน่
แล้วก็แก้ไขมันที่ตรงนั้น
เราจะขอยกตัวอย่างกรณีเห็นแก่ตัวนี้ว่า
ความบกพร่องด้านจิตสามนึกนั้น
น่าจะมาจากสาเหตุดังนี้
1.เพราะบกพร่องด้าน "นึกออก" เช่น
‪#‎ยังจำได้ว่าเคยถูกเอาเปรียบมาก่อน‬
‪#‎เคยช่วยเหลือแบ่งปันคนอื่นแต่ถูกอกตัญญู‬
‪#‎เคยเดือดร้อนแต่ไม่มีใครยอมช่วยเหลือ‬
2.เพราะบกพร่องด้าน "นึกเอา" เช่น
‪#‎ด้านได้อายอด‬
‪#‎มือใครยาวสาวได้สาวเอา‬
‪#‎กลัวว่าจะจนกว่าคนอื่น‬
‪#‎อยากรวยเป็นเศรษฐีเร็วๆ‬
3.เพราะบกพร่องด้าน "นึกเอง"
เช่น ชอบคิดแทนคนอื่นที่เป็นด้านลบ
ประเภทมองโลกในแง่ร้ายเสมอ
‪#‎คนอื่นก็ต้องเห็นแก่ตัวกับฉันเหมือนกัน‬
‪#‎ยุคนี้ใครๆก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น‬
‪#‎กลัวคนอื่นจะหาว่าฉันโง่น่ะสิ‬
ที่เรายกตัวอย่างมานั้น
เป็นความบกพร่องของ #จิตสามนึก ทั้งสิ้น
โดยท่านจะเห็นได้ว่า
แค่เพียงการเห็นแก่ตัวของคนเท่านั้น
มันยังมีสาเหตุจากจิตสำ(สาม)นึกบกพร่อง
ตามที่เรายกมาอ้างอิงไว้ตั้งหลายอย่าง
เมื่อท่านพบว่า
สาเหตุแท้จริงของการเห็นแก่ตัวคืออะไรแล้ว
ท่านก็จะ ‪#‎สร้างสามนึกใหม่‬ ที่ถูกต้องกว่า
ซึ่งเราเรียกรวมๆว่า "ปรับเปลี่ยนวิธีคิด"
ให้แก่บุคคลที่ต้องได้รับการแก้ไขนั้นได้
การเกาอย่างตรงที่คันมันจะต้องเป็นแบบนี้
โดย ‪#‎ชาวยุวจิตจักรวาล‬ ล้วนทราบดีว่า
การฝึกอบรมเพื่อยกระดับจิตปัญญา
และพัฒนาจิตสามนึก
ด้วยกระบวนการ ‪#‎ไซโคโชว์‬ ของปริญญานั้น
ที่เปลี่ยนพฤติกรรมพวกเขาได้
โดยไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องจูงใจ
แต่ใช้หลักการแก้ไขตามที่เรากล่าวมาทั้งสิ้น
ใครที่เชื่อว่าพฤติกรรมขยะของมนุษย์แก้ไม่ได้
ก็โปรดอ่านทบทวนความรู้ใหม่ในบทนี้
สักหลายๆเที่ยวหน่อยนะ
ท่านลองตรึกตรองดูหน่อยก็ได้ว่า
ที่มันแก้ไม่ได้ในอดีตที่ผ่านมานั้นเนื่องจากว่า
1.ใช้วิธีการแก้ไขไม่ถูกต้องหรือเปล่า
2.เกาไม่ถูกที่คันหรือเปล่า
3.ตั้งสมมติฐานผิดหรือเปล่า
ขออวยพรให้ท่านพบคำตอบไวๆนะ
เพราะในบทต่อไปนั้น
เราจะหันมากล่าวถึงเรื่องของ "จิตใต้สำนึก"
ที่เป็นความรู้ใหม่ซึ่งท่านไม่รู้ว่าไม่รู้กันต่อไป
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-08-2016

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559

‎จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกนั้นไม่เหมือนกัน‬



  
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ในปัจจุบันนี้ยังมีผู้คนอยู่จำนวนมาก
ที่ยังไม่เข้าใจความจริงของตนเองว่า
‪#‎จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกนั้นไม่เหมือนกัน‬
เราจึงจะขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
‪#‎จิตสำนึก‬ เป็นเรื่องของ ‪#‎จิตหยาบ‬
ซึ่งมีหน้าที่สั่นสะเทือนตนเองให้เกิดพลังอำนาจ
แล้วใช้พลังอำนาจนั้นขับเคลื่อนพฤติกรรม
ในการดำเนินชีวิตทั้งในมิติโลก
และในมิติของจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้
จิตสำ(สาม)นึก
ประกอบด้วยจิตซึ่งมีด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ
1.‪#‎นึกออก‬ หรือนึกได้
หมายถึง การจำได้ว่า หรือ ระลึกได้ว่า
ส่วนใหญ่จะเป็นการจำเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตได้
หรือระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วได้
2.‪#‎นึกเอา‬
หมายถึง การนึกถึงสิ่งใหม่ๆ เรื่องราวใหม่ๆ
ที่ตนไม่เคยมีประสบการณ์นั้นๆมาก่อน
ไม่เคยมีองค์ความรู้นั้นๆมาก่อนเลย
3.‪#‎นึกเอง‬
หมายถึง การนึกคิดแทนผู้อื่น
โดยที่ท่านยังไม่รู้ความจริงเลยว่า
ที่ตนนึกคิดเอาเองอยู่นั้นมันถูกต้องตรงใจ
คนที่ท่านกำลังก้าวล่วงอยู่จริงหรือเปล่า
*‪#‎เจ้าจิตทั้งสามนึก‬...กลุ่มนี้แหละ
มันจะเป็นตัวการในการขับเคลื่อนพฤติกรรม
ทั้งภายนอกและภายในของท่านทั้งหลาย
ทั้งดีและร้ายอยู่ตลอดทุกวันเวลาในยามตื่น
ถ้าท่านมีจิตทั้งสามนึกนี้เป็นด้านบวกคือ "ดี"
การแสดงออกหรือกระทำใดๆของท่านก็จะดี
แต่ถ้าท่านมีจิตสามนึกนี้เป็นด้านลบ คือ ไม่ดี
การแสดงออกหรือกระทำของท่านก็จะไม่ดี
ตัวอย่างเช่น
1.เมื่อใดก็ตามที่ท่าน "นึกดี" คือ ‪#‎นึกบวก‬
ท่านก็จะสั่นสะเทือนทางจิตภายในตัวท่าน
เกิดเป็น ‪#‎อารมณ์‬ ‪#‎ความรู้สึก‬ และ ‪#‎ความคิด‬
ทางด้านบวกหรือด้านดีตามการนึกบวกนั้นเสมอ
2.เมื่อใดก็ตามที่ท่าน "นึกชั่ว" คือ ‪#‎นึกลบ‬
ท่านก็จะสั่นสะเทือนทางจิตภายในตัวท่าน
เกิดเป็นอารมณ์ ความรู้สึก และความคิด
ทางด้านลบหรือด้านชั่วตามการนึกลบนั้นเสมอ
เพราะเหตุนี้เอง
เราจึงกล่าวต่อท่านทั้งหลายตลอดมาว่า
‪#‎จิตสำนึกของท่าน‬ นี่แหละ
ที่เป็นผู้ขับเคลื่อน ‪#‎พฤติกรรม‬ ทั้งหมด
ไม่ว่าจะดีหรือเลวในชีวิตประจำวันของท่าน
ดังนั้น....
ถ้าจะแก้ไข ‪#‎พฤติกรรมขยะ‬ ของมนุษย์
มันจึงต้องปรับแก้กันที่ ‪#‎จิตสามนึก‬ นี่แหละท่าน
โดยการจะแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรมขยะนั้นๆได้
ท่านก็จักต้องรู้ว่าจิตสามนึกกลุ่มใดหนอที่บกพร่อง
ก็ให้แก้ไขด้วยการ ‪#‎สร้างสำนึกใหม่ที่ถูกต้อง‬ แทน
ท่านจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัย
และทำการแก้ไขสันดานที่บกพร่องนั้นๆได้
ซึ่งการแก้ไขพฤติกรรมมนุษย์
ด้วยกระบวนการ ‪#‎ไซโคโชว์‬ ‪#‎PsychoShow‬)
เราก็อาศัยกลยุทธอันแยบยลนี้นั่นเอง
‪#‎การดุด่าว่ากล่าว‬
‪#‎การบ่นจนปากเปียกปากแฉะ‬
‪#‎การอบรมพร่ำสอนให้รู้ดีรู้ชั่ว‬
เพื่อการปรับแก้ไขนิสัยไม่ดีของคน
มันจึงไม่เคยได้ผล
เพราะ ‪#‎เกาไม่ถูกที่คัน‬ ไงล่ะท่าน
เพราะเรารู้ดีว่า
พฤติกรรมขยะของมนุษย์จะแก้ไขที่ตัวพฤติกรรม
โดยวิธี ‪#‎บังคับข่มขู่ขืนใจ‬ ให้เขาเปลี่ยนก็ไม่ได้
จะใช้วิธี ‪#‎ให้รางวัลจูงใจ‬ ให้เขาเปลี่ยนก็ไม่ได้
เพราะถ้าเปลี่ยนแปลงเขาได้ก็แค่ชั่วคราว
ตราบเท่าที่พลังของการบังคับหรือพลังจูงใจ
มันยังได้ผลอยู่เท่านั้นเอง
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เชื่อมั่นว่าท่านทั้งหลายคงจะได้รู้จัก
‪#‎จิตสำนึกหรือจิตสามนึก‬ ของตนเองดีขึ้นล่ะนะ
จะได้ไม่ใช้สับสนปนเปกับเรื่อง ‪#‎จิตใต้สำนึก‬ อีก
‪#‎บทเรียนตอนต่อไป‬
เราจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
จิตสามนึกกับจิตใต้สำนึกให้ท่านเรียนรู้กันต่อ
เพราะหากท่านยังไม่รู้ไม่เข้าใจไม่เข้าถึง
ในกระบวนการของสองจิตที่กล่าวนี้
ต่อให้ท่องธรรมะได้มากมาย
ต่อให้ทำบุญสุนทานสั่งสมกันมามากแค่ไหน
ชาตินี้ก็ยังมิอาจกลับบ้านหรือนิพพานได้หรอก
เพราะท่านจะไม่อาจ "คนตนเอง" ในสองมิติ
ให้เป็นมนุษย์ที่สมดุลได้นั่นเอง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-08-2016

ถ้าท่านปรารถนา การหลุดพ้นแท้จริง


 
 
 
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การระวังตนเองมิให้ #ก้าวล่วงผู้อื่น มิใช่เรื่องง่าย
แต่เพราะมันเป็นกฎเกณฑ์ที่ผู้ปรารถนาการหลุดพ้น
จักต้องสอบผ่านมันไปให้ได้
ท่านจึงต้องใส่ใจในเรื่องนี้กันไว้ให้มาก

ถ้าท่านยังประพฤติก้าวล่วงผู้อื่นอยู่
การก่อเวรเกี่ยวกรรมทำผิดบาปก็จะยังคงมีอยู่
จิตวิญญาณของท่านก็จักต้องเรียนรู้อยู่ต่อไป
เพราะ "สอบผ่าน" บททดสอบจิตสำนึก
เพื่อผ่านสู่ประตูแห่งการหลุดพ้นไม่ได้

การก้าวล่วงผู้อื่น
ที่เกิดได้ง่าย เกิดได้บ่อย และเกิดมากที่สุด
คือ #การล่วงเกินด้วยจิตใจ
รองลงมาก็คือ #การก้าวก่ายด้วยกายและวาจา
เพราะการกระทำทางกายกับวาจา
ล้วนมีสาเหตุมาจาก "จิตใจ" เป็นผู้ริเริ่มทั้งสิ้น

ดังนั้น
ถ้าท่านปรารถนาการหลุดพ้นแท้จริง
ในกรณีที่จะละเว้นการไม่ก้าวล่วงผู้อื่นนั้น
ท่านจักต้องระวังที่จิตของท่านให้มากที่สุด

จงอย่าปล่อยให้จิตมันสั่นสะเทือนอย่างอิสระ
แต่ท่านจงเป็นผู้ควบคุมจิตด้วยการกำหนดจิต
ให้มันสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิด
ในแบบที่ท่านเองต้องการเท่านั้น
จงเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ #กำหนดจิต
จงอย่ายอมให้จิตเป็นผู้ #บงการท่าน

จงอย่าปล่อยให้จิตสั่นสะเทือนเอง
โดยท่านต้องยอมทำตามความต้องการของจิตอีกเลย
โอกาสที่ท่านจะผิดบาปกับการก้าวล่วงผู้อื่นนั้น
มันจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายยิ่ง

เรื่องความผิดบาปด้วยการก่อกรรมด้านลบทางจิตนั้น
แม้คนที่ท่านล่วงเกินหรือคนอื่นๆเขาจะไม่ล่วงรู้
แต่จิตวิญญาณของท่านเองและองค์จิตจักรวาล
ต่างก็รับรู้ความผิดบาปนั้นอย่างชัดเจนอยู่
จิตวิญญาณของท่านจึงต้องรับผิดชอบมัน
โดยมิอาจปิดบัง อำพราง หรือหลีกเลี่ยงได้

ยิ่งถ้าท่านคิดลบแล้วกระทำลบต่อผู้อื่น
ซึ่งเขาคนนั้นสามารถสัมผัสรู้ดูเห็น
การกระทำที่ไม่ดีงามของท่านได้อย่างชัดเจนแล้ว
#การเกี่ยวกรรมกันกับผู้อื่ ก็ยิ่งเกิดขึ้นได้ง่ายมาก

เพราะการฝากรอยแค้นให้ผู้อื่นเคียดแค้นท่าน
การฝากความโกรธเคืองให้ผู้อื่นเขาชิงชังท่าน
มันคือ #การเกี่ยวกรรมสัมพันธ์ ที่ต้องมีการแก้ไข
โดยอาจต้องใช้เวลาเป็น 1 ภพชาติหรือมากกว่า
ซึ่งท่านผู้ปรารถนาการหลุดพ้นจักต้องระวังไว้

จงอย่าเป็นคนทำอะไรมักง่าย
จงอย่าเป็นคนปากพล่อย พูดโพล่ง หรือปากโป้ง
จงอย่าเป็นคนหูเบา หูหาเรื่อง
จงอย่าเป็นคนใจเบา เช่น ขี้ระแวง ขี้หวง ขี้หึง
จงอย่าเป็นคนแส่ สอด เสือก เรื่องของคนอื่น

ซึ่งท่านจะรักษาคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ได้
จักต้องใช้ #มหาสติ ตามมรรควิถีจิตจักรวาลเท่านั้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-08-2016

หมายเหตุ:

ถ้าท่านอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แล้ว
หากท่านเกิดอคติบางประการต่อเรา
นี่ก็เท่ากับว่าท่านได้ล่วงเกินเราแล้วเหมือนกัน

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สายใยรัก "พลังจิตใต้สำนึก"





พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ไม่ว่าท่านจะยังจดจำพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ที่เราถวายพระนามว่า "องค์จิตจักรวาล" ไม่ได้
ทั้งๆที่พระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านเองก็ตาม

ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ปฏิเสธการดำรงอยู่จริง
ของพระผู้ทรงเป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
ของทุกถ้วนสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลนี้

ทั้งๆที่พระองค์ทรงเป็นดั่งแกนกลางของจักรวาล
ซึ่งยึดโยงประดาทุกสรรพสิ่ง
ที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ทั้งหมด
จนเป็นที่มาของการที่ตัวเรา
ได้ถวายพระนามต่อพระองค์ว่า "จิตจักรวาล" ก็ตาม

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ตัวท่านเองโดยแก่นแท้คือจิตวิญญาณนั้น
จะยังคงมีสายสัมพันธ์แห่งรัก
ในรูปของคลื่นความถี่ทางพลังงาน
ยึดโยงกับองค์จิตจักรวาลอยู่ตลอดเวลา

เนื่องจากตัวท่านนี้ถือกำเนิดจากพระองค์
จึงไม่ต่างจากทารกน้อยทุกคน
ที่ถือกำเนิดมาจากแม่ของตนนั่นแหละนะ
โดยเมื่อแรกเกิดก็จักต้องมี
"สายรก" แสดงความผูกพันไว้กับแม่เสมอ
ต่อเมื่อถัดจากนั้นแม้สายรกจะถูกตัดออกจากกาย
แต่สายใยแห่งจิตใจที่เราเรียกว่า "สายรัก"
ระหว่างลูกกับแม่ก็ยังผูกพันมั่นคงเสมอ

ด้วยเหตุนี้เอง
ทุกลมหายใจเข้าออกของท่าน
จนแม้ทุกการสั่นสะเทือนทางจิตสาม (สำ) นึก
พระบิดาก็จะทรงรับรู้แรงสั่นสะเทือนนั้นๆ
ด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณหรือ #พลังจิตใต้สำนึก
ที่พวกท่านเหวี่ยงกันออกมานี่เอง

เมื่อคลื่นพลังจิตของท่าน
ซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่เป็นคลื่นความถี่ด้านบวก
อันเกิดจากการที่ท่านสามารถ "รักได้ ให้เป็น" นั้น
เคลื่อนที่เดินทางไปจนถึงพระองค์เมื่อไหร่
คลื่นพลังจิตใต้สำนึกด้านบวกดังกล่าว
ก็จะวกกลับย้อนคืนมาสู่เจ้าของมันคือตัวท่าน
โดยที่พระบิดาจะทรงประทาน #บำเหน็จ
ซึ่งเป็นรางวัลแห่งความดีงามของท่านมาให้ด้วย

ในทางกลับกันถ้าคลื่นพลังจิตใต้สำนึกของท่าน
ที่สั่นสะเทือนไปถึงพระองค์นั้นมีคุณสมบัติเป็นลบ
คลื่นพลังจิตใต้สำนึกด้านลบดังกล่าว
ก็จะวกกลับย้อนคืนมาสู่เจ้าของมันคือตัวท่าน
ซึ่งแน่นอนว่า #บำเหน็จ ที่จะทรงประทานมาให้
มันย่อมเป็นรางวัลแห่งความไม่ดีงาม
เป็นรางวัลที่ท่านเองก็ไม่พึงประสงค์มันหรอก

นี่ไงล่ะ...
จึงเป็นที่มาของประโยคทองของเราที่ว่า
"กรรมดีกรรมชั่ว เป็นของตัวเอง
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้" นั่นล่ะนะ

ที่เราต้องนำเอาความจริงเรื่องนี้มากล่าวเผย
เพราะเรารู้ดีว่ามันเป็นองค์ความรู้อีกสิ่งหนึ่ง
ซึ่งมนุษย์โลกส่วนใหญ่ "ไม่รู้ว่าตนไม่รู้"

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
กระบวนการแห่งรักที่ถักทอสายใย
ระหว่างท่านทั้งหลายแต่ละคนไว้กับพระบิดาเช่นนี้
มันถูกกำหนดไว้ให้เป็นไปตั้งแต่เมื่อแรกสร้างแล้วล่ะ

เพราะนอกจากกระบวนการที่ว่านี้
จะช่วยให้บุตรมนุษย์ทุกรูปธรรม
สามารถยึดโยงอยู่กับพระบิดา
ผู้ให้กำเนิดอย่างใกล้ชิดได้ตลอดเวลาแล้ว
พระองค์ก็จักเติมเต็มพลังทางจิตวิญญาณแก่ท่าน
ในทุกครั้งทุกคลื่นพลังจิตใต้สำนึกที่ดีๆ
จากการที่ท่านได้กระทำสิ่งดีๆนั้นผ่านจิตสำนึกเสมอ
เสมือนดั่งการชาร์จแบ็ตเตอรี่เพื่อเติมเต็ม
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณของท่านโดยแท้

แต่น่าเสียดายนัก
ที่พฤติกรรมหลักๆในการดำเนินชีวิตประจำวันนั้น
พวกท่านได้แทรกแซงกระบวนการของ #พระเจ้า
เพราะตกเป็นทาสกิเลสตัณหาโดยไม่รู้ตัว
ท่านจึงติดต่อกับพระบิดาหรือพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้
ท่านจึงมีพลังงานทางวิญญาณที่อ่อนแอลงทุกที
ท่านจึงลืมพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านเอง

ความผิดบาปของท่านมี 2 ข้อ คือ

1.ถ้าท่านทำสิ่งใดแล้วหวังผลตอบแทน
หมายถึงทำสิ่งใดก็ตั้งเป้าหมายให้รางวัลตัวเองเสมอ
มันจึงยังผลให้พลังจิตใต้สำนึกไม่มุ่งตรงไปหาพระเจ้า
แต่มันจะมุ่งไปเที่ยวหาสิ่งที่ท่านต้องการนั้นแทน
พลังทางวิญญาณจะถูกใช้เปลืองไปแล้วไม่ได้คืน

2.ถ้าท่านใช้วิธี #สั่งจิตใต้สำนึก ให้เขาน้อมนำเอา
สิ่งดีใดๆในชีวิตที่ท่านต้องการมาให้
โดยมิได้สั่นสะเทือน #จิตสำนึก ของท่านเลย
ท่านจะสูญเสียพลังทางจิตวิญญาณมากกว่า
ความผิดบาปในข้อ 1

เพราะพระบิดาจะทรงเก็บพลังงาน
ส่วนที่ท่านเหวี่ยงมันออกมากลับคืนไปทั้งหมด
ยิ่งท่านใช้มันออกมามากเท่าใด
มันก็จะถูกเก็บคืนไปมากมายเท่านั้นแหละนะ

ที่เรากล่าวมาทั้งหมด
ล้วนเป็นความจริงที่จริงแท้

จะติดตามความรู้เรื่อง "พลังจิตใต้สำนึก"
บทเรียนต่อเนื่องกันอีกละก็
ยกมือขึ้นสูงๆอีกครั้งนะ...Hands Up!

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-08-2016

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

พลังอำนาจในตนเอง





พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พลังอำนาจภายในของท่าน
ที่ใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
ซึ่งท่านสามารถบงการมันได้นั้น
มีอยู่ 3 พลังด้วยกัน คือ
1.พลังแห่งกายสังขาร
2.พลังแห่งสมอง
3.พลังแห่งจิตใจ
*พลังแรก...
เป็นพลังแห่งกายสังขาร
เป็นพลังที่ตัวท่าน
จะต้องสั่นสะเทือนมันออกมาจากข้างใน
โดยที่เวลาจะยกสิ่งของ
ท่านก็จะต้อง "ออกแรงยก"
หมายถึงต้องเอาพลังจากข้างในออกมา
เพื่อใช้ในการ "ยก" ของสิ่งนั้น
ถ้าพลังหรือแรงที่ส่งออกมาจากข้างใน
มีน้อยกว่าน้ำหนักของสิ่งที่จะยก
ท่านก็จะ "ยกไม่ขึ้น" เพราะพลังไม่พอจะยก
ดังนั้น
แสดงว่าพลังกาย
ต้องขับออกมาจากข้างใน
*พลังที่สอง...
เป็นพลังแห่งสมอง
เป็นพลังที่ท่านจักต้องสั่นสะเทือนมันด้วยการ "คิด"
แต่สมองจะคิดเองไม่ได้
ต้องให้จิตของท่านเป็นผู้ออกคำสั่ง
การออกคำสั่งของ "จิต" ให้สมอง "คิด"
ก็คือ การสั่นสะเทือนจิตเป็น "การนึก"
เพราะการนึกเป็นการโปรแกรมคำสั่งให้สมองคิด
เนื่องจาก "จิต" เป็นนาย
กายก็คือ "สมอง" นี่แหละบ่าวหรือผู้รับใช้
ด้วยเหตุนี้เอง
พลังแห่งสมองจึงต้องสั่นสะเทือนออกมาจากข้างใน
โดยสั่นสะเทือนผ่านกระบวนการนึกแล้วนำมาคิดต่อ
เมื่อคิดต่อแล้วจึงค่อยถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด
หรือคิดต่อแล้วก็ถ่ายทอดออกมาเป็นการกระทำ
ดังนั้น
แสดงว่าพลังแห่งสมองหรือความฉลาดทางปัญญา
จะต้องขับออกมาจากข้างใน
ในลักษณะของการฉลาดคิด ฉลาดพูด ฉลาดทำ
*พลังที่สาม...
เป็นพลังแห่งจิตใจ
เป็นพลังที่ท่านจักต้องสั่นสะเทือนที่จิตเองโดยตรง
เพื่อนำไปใช้ในการสั่นสะเทือน
ให้เกิดเป็นพลังที่ 1 และ 2 ที่กล่าวมา
นั่นคือ
พลังกายจะเกิดขึ้นแล้วขับเคลื่อนออกมาไม่ได้
ถ้าไม่ใช้พลังแห่งจิตใจของท่าน
เป็นผู้เริ่มต้นและเป็นผู้สิ้นสุดการสั่นสะเทือนนั้น
พลังสมองของท่านก็เช่นกัน
มันจะเกิดเป็นความฉลาดทางปัญญาไม่ได้หรอก
ถ้าจิตของท่านไม่สั่นสะเทือนเพื่อการใช้มัน
ด้วยเหตุทั้งหมดนี้เอง
เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของท่าน
มันล้วนมีอยู่ในตัวท่านเองกันอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าท่านรู้หรือเปล่าว่าท่านน่ะมีอยู่
ถ้ารู้ว่ามีอยู่แล้วท่านสามารถเข้าถึงมันได้หรือเปล่า
ถ้าเข้าถึงมันได้แล้วท่านน่ะใช้ประโยชน์มันได้หรือยัง
ซึ่งคำตอบที่ถูกต้องจากคำถามเหล่านี้ก็คือ
ท่านต้องเรียนรู้และฝึกฝนให้เข้าถึง
พลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ในตนเองทั้งสามนี้ให้ได้
ท่านจงอย่าแสวงหาวิธีฉ้อฉล
ด้วยการหลอกลวงจิตวิญญาณของท่านเอง
ให้เข้าช่วยสร้างความสำเร็จใดๆในชีวิต
โดยไม่ใช้พลังกาย พลังสมอง และพลังจิต
ที่ตนเองล้วนมีอยู่ให้เกิดผลประโยชน์เลย
เพราะนอกจากจะทำให้พลังทางวิญญาณ
เกิดการเสื่อมถอยด้อยลงโดยใช่เหตุแล้ว
เมื่อท่านจบสิ้นอายุขัย
คงเหลือแต่ภาคส่วนที่เป็นจิตวิญญาณนั้น
พลังอำนาจทางวิญญาณของท่าน
อาจเทียบเท่าแค่มดแมลงตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
ตัวอย่างวิธีการฉ้อฉลอาจเป็นดั่งนี้
1.การสั่งจิตตนเองว่า "ฉันจะรวย ฉันต้องรวย"
ด้วยการนึกฝันเอาแล้วเฝ้ารอคอยวันที่จะรวย
ด้วยหวังว่า "จิตใต้สำนึก" จะไปหาความรวยมาให้
2.การสั่งจิตตนเองว่า "ฉันจะสำเร็จ ฉันต้องทำสำเร็จ"
ด้วยการนึกฝันเอาแล้วเฝ้ารอคอยวันที่จะสำเร็จ
ด้วยหวังว่า "จิตใต้สำนึก" จะไปหาความสำเร็จมาให้
3.การสั่งจิตตนเองว่า "ฉันจะสอบได้ ฉันต้องสอบผ่าน"
ด้วยการนึกฝันเอาแล้วเฝ้ารอคอยการสอบผ่านนั้น
ด้วยหวังว่า "จิตใต้สำนึก" จะไปหาการสอบผ่านมาให้
ท่านจักต้องรู้ว่า
จิตใต้สำนึกเขาทำตามความต้องการของจิตสำนึก
ถ้าท่านสั่นสะเทือนตนเองตรงไปยังจิตใต้สำนึกเลย
โดยไม่สนใจที่จะสั่นสะเทือนทางจิตสำนึก
ตามกระบวนการทางธรรมชาติแล้ว
จิตใต้สำนึกซึ่งเป็นพลังทางจิตวิญญาณ
ก็จะสั่นสะเทือนตนเองไปแสวงหาสิ่งที่ท่าน "สั่ง" นั้น
เพื่อจะเหนี่ยวรั้งนำพามาให้ท่านให้จงได้
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า.....
จิตใต้สำนึกของท่านจะรู้จักมั้ยว่า?
ไอ้ตัว "รวย" น่ะมันอยู่ไหนในจักรวาลนี้
ไอ้ตัว "รวย" น่ะรูปลักษณ์หน้าตามันเป็นไง
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า.....
จิตใต้สำนึกของท่านจะรู้จักมั้ยว่า?
ไอ้ตัวที่เรียกว่า "สำเร็จ" น่ะ
มันอยู่ตรงไหนในจักรวาลนี้
ไอ้ตัวที่เรียกว่า "สำเร็จ" น่ะ
รูปลักษณ์หน้าตาของเจ้าตัวนี้มันเป็นไง
จนแม้กระทั่งรหัสของท่านที่สั่งว่า "จะสอบได้"
จิตใต้สำนึกเองก็ไม่รู้หรอกว่า
เจ้าตัว "สอบได้" หน้าตามันเป็นยังไงเช่นกัน
การสั่งจิตใต้สำนึกอยู่เช่นนี้
นอกจากจะสิ้นเปลืองพลังแล้ว
ยังยากที่จะได้ผลสำเร็จแท้จริงอีกด้วย
เพราะการได้แต่ตั้งความหวังแล้วนั่งรอผลสำเร็จ
โดยไม่ลงมือคิดหาวิธีการเหมาะๆ
โดยไม่ลงมือทำตามที่คิดได้คิดไว้นั่น
ท่านก็จะมิอาจประสบความสำเร็จ
บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้แต่ต้นได้เลย
แต่ว่า...
ท่านก็สามารถกระตุ้นจิตใต้สำนึก
ให้ทำหน้าที่ใดๆไปตามที่จิตสำนึกต้องการก็ได้
เพียงแต่ว่าท่านจักต้องเรียนรู้วิธีนั่นเอง
หากท่านต้องการรู้วิธีสั่งจิตใต้สำนึก
ที่ไม่ผิดบาปด้วยและยังได้ผลเป็นเลิศอีกด้วย
ก็ช่วยกัน "ยกมือ" อีกทีก็แล้วกันนะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-08-2016

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เรากล่าวเพื่อเตือนพวกท่าน ด้วยความรักและปรารถนาดีอย่างสุดซึ้ง






เรามีความจริงที่จะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า

นับตั้งแต่องค์จิตจักรวาลทรงกำหนดให้โลกเสรีนี้
มีจิตวิญญาณผู้ขันอาสาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อใช้จิตกับเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ซึ่งเป็นโครงสร้างทางชีววิทยาที่ซับซ้อนแยบยล
ให้เข้ามาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
ในบทบาทของ "คนสองมิติ" เป็นต้นมา

ซึ่งมนุษย์เพศชายยุคนั้นมีนามเรียกขานว่า "อาดัม"
ส่วนคำว่าเพศหญิงนั้นจะมีนามเรียกกันว่า "อีวา"
หรือกล่าวรวบรัดเป็นสำเนียงสั้นๆว่า "อีฟ"
อันเป็นกลุ่มต้นพันธุ์ของมนุษย์โลกเสรีนี้
ที่สืบสานเชื้อสายมาจากกลุ่มดาวพลียะดิส
โดยมีนามเรียกขานในจักรวาลว่าพลียะเดี้ยนส์นั้น

เมื่อได้รับโอกาสให้เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
ปรากฏว่าพวกเขาใช้เวลากัน 700 ปี ถึงสองหมื่นปี
พวกเขาก็สามารถบรรลุในพันธะสัญญา 6
ที่ได้ให้ไว้ต่อองค์จิตจักรวาลได้
ทั้งยังสามารถนำพาดวงจิตวิญญาณของพวกเขา
หลุดพ้นออกไปจากระบบโลก
เพื่อกลับคืนสู่กลุ่มดาวพลียะดิส
ที่พวกตนจากมาได้กันอย่างครบถ้วน

ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติน่าจะรับรู้ไว้ว่า
รูปธรรมชั้นสูงจากกลุ่มดาวพลียะดิส
บนกาแล็กซี่ทางช้างเผือกเหล่านี้
คือต้นพันธุ์ของมนุษย์โลกเสรีที่แท้จริง

เพราะพวกเขาเหล่านี้
คือผู้ที่ขันอาสาพระบิดานำพาแก่นแท้ของตน
เข้ามาสู่การเกิดเป็นคนสองมิติในรูปธรรมมนุษย์
โดยมีช่างเท็คนิกจากกลุ่มดาวอาร์กทอรัส
ผู้เชี่ยวชาญการติดตั้งด้านกลไกทางไฟฟ้า
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์เป็นผู้ช่วยเหลือ

รูปธรรมมนุษย์ยุคแรกบนโลกเสรีนี้
จึงเป็นผู้ที่มาจากกลุ่มดาวพลียะดิส
เพื่อเข้ามาทดลองดำเนินชีวิตด้วยจิตปัญญา
ในบทบาทคนสองมิติบนดาวโลกเสรีดวงนี้
ตามพระบัญชาแห่งองค์จิตจักรวาล
ในอันที่จะสร้างเสริมเติมเต็มสิ่งเหมาะสม
ให้แก่กายหยาบ จิตหยาบ จิตวิญญาณ
ที่สอดคล้องกันกับระบบนิเวศน์ในทุกมิติในระบบโลก

จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ
ในแผนงานการสร้างโลกเสรีที่สวยงามน่าอยู่
สร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ชายหญิง
ที่สวยงามและแยบยลจนกลายเป็นสรรพสิ่งหนึ่ง
ซึ่งยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลอันไพศาลนี้

การที่พวกท่านทั้งหลายมีวัฒนธรรมการดำเนินชีวิต
ที่สอดคล้องกันกับทุกสิ่งอย่างในระบบโลก
ทำเครื่องปั้นดินเผาเป็น
ปลูกข้าวกิน หุงข้าวเป็น
ทอผ้าทำเป็นเครื่องนุ่งห่มได้
ใช้สติปัญญาในตนเองเป็น
ใช้อวัยวะร่างกายของตนเป็น และอื่นๆ
ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการชี้แนวทาง สร้างแนวคิด
กระตุ้นจิตสำนึก แล้วฝึกให้ลงมือทำเอง
ก็ด้วยความเมตตาจากพี่ๆกลุ่มพลียะเดี้ยนส์ทั้งสิ้น

พี่ๆเหล่านี้แม้จะเดินทางกลับกลุ่มดาวพลียะดิสแล้ว
ก็ยังเดินทางเข้าออกมิติโลกอยู่เสมอมานับหมื่นๆปี
เพื่อคอยค้ำจุน ช่วยเหลือ ดูแล
มนุษย์อย่างพวกท่านซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ของพวกเขา
ด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง

พวกเขาสามารถย้ายมิติไปสู่มิติที่สูงกว่า
ขณะดำรงอยู่ในสนามแม่เหล็กโลก
แม้ในขณะยืนอยู่เคียงข้างตัวท่านก็ได้
หรือจะแสดงตนเป็นมายาทางกายภาพให้ท่านเห็น
พวกท่านก็จะไม่มีทางแยกออกได้หรอกว่า
พวกเขาคือผู้มีพระคุณผู้คอยช่วยเหลือพวกท่าน
ซึ่งเดินทางไกลมาจากนอกระบบโลก

ถึงแม้ว่าหลายต่อหลายคนจนบัดนี้
จะไม่รู้จักพวกเขา จะจำเขาไม่ได้
จะไม่เชื่อความจริงในสิ่งที่เรากล่าว
หรือจะไปเข้าใจว่า
"บรรพบุรุษของตน" เป็นลิง!!! กันอยู่ก็ตาม

ปรากฏว่าเมื่อครบ 3 หมื่นปีผ่านไป
จิตมนุษย์ทั้งหลายที่เดิมเป็นสุญตาก็เริ่มเสื่อม

เพราะมนุษย์เริ่มหลงมัวเมาในอัตตารูปลักษณ์มายา
ทั้งที่พระบิดาทรงกำหนดให้สร้างขึ้นไว้
รวมทั้งที่พวกตนคิดสร้างกันขึ้นมาเอง
จนต่างคนต่างลืมหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6 ของตนไป
เพราะมัวแต่จะตอบสนองความต้องการ
ของจิตหยาบกับกายสังขารของตนเสียจนเพลิน
จนไม่รู้จักกับคำว่า "พอเพียง"
จนเลอะลืมไปเสียหมดสิ้นด้วยว่า
ตนเองเป็นใคร มาจากไหน มาเป็นมนุษย์ทำไม
มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องใช้ความฉลาด
ทำหน้าที่อะไรบ้าง ไม่สมควรทำสิ่งใดบ้าง

โลกยุคปัจจุบันนี้จึงไม่ต่างจากยุคที่พระบิดา
ต้องทรงให้มีการชำระโลกเป็นครั้งที่ 2 นี้เท่าใดนัก

ในยุคนั้นแผ่นดินโลกก็แบ่งออกเป็นสองซีกเช่นกัน
คือ ซีกโลกด้านตะวันออกกับซีกตะวันตก
ด้านตะวันออกจะเป็นทวีปเลมูเรีย
เป็นแหล่งดำรงอยู่ของผู้เจริญทางจิตวิญญาณ
เป็นผู้ชำนาญการใช้สมองซีกขวา
จึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางจิต
ที่เรียกว่า "อภิปรัชญา-เมต้าฟิสิกส์"

ส่วนซีกโลกตะวันตกนั้นจะเป็นทวีปแอตแลนติส
เป็นแหล่งดำรงอยู่ของผู้เจริญทางจิตปัญญา
เพราะเป็นผู้ชำนาญการใช้สมองซีกซ้าย
ซึ่งถนัดมากในการมองโลกทางด้านกายภาพ
จึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ

ก่อนวันกวาดล้างและชำระโลกในยุคนี้
มนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนมีสภาวะจิตสำนึกตกต่ำมาก
เพราะคลั่งในวัตถุเท็คโนโลยีที่พวกตนสร้างขึ้น
พวกที่ต้องทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณในอีกซีกหนึ่ง
ก็กลับเหลวใหลตกเป็นทาสวัตถุตามคนส่วนใหญ่
ในลักษณะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟในใจตน
ผู้คนหันมาฆ่ากันเองเพราะบ้าอำนาจเพราะโลภ
ฆ่ากันเองเพราะขาดสติและไร้จริยะธรรม
เริ่มหันมากินเลือดเนื้อของสัตว์เป็นอาหาร
เพราะจิตวิปริตอุตริใจบาป

ยังผลให้ดาวเคราะห์โลกเสียสมดุลไปมากมาย
ภัยพิบัติเลวร้ายจึงเกิดขึ้นไปทั่วโลกและมหาสมุทร
ภูมิอากาศบนฟากฟ้าวิปริตแปรปรวนจนแลดูน่ากลัว
พื้นพสุธาสั่นสะเทือนเพราะแบกรับขยะไม่ไหว
มีผู้คนล้มตายไปกับการต่อสู้ทำสงครามกันเอง
ด้วยอาวุธร้ายแรงต่างๆนานา
รวมทั้งที่ตายไปกับภัยพิบัติต่างๆเป็นรายวัน

พระบิดาจึงต้องทรงให้มีการชำระโลกเป็นครั้งที่สอง
โดยใช้เวลาปฏิบัติการนาน 3 ปี 6 เดือนโลก

พระองค์ทรงชำระด้วยภัยพิบัติที่รุนแรงผิดธรรมชาติ
ชำระด้วยการทำให้แกนหมุนรอบตัวเองของโลก
ซึ่งทำมุมกับแนวดิ่งเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน

โดยใช้กรรมวิธีกระตุกหรือกระชากด้วยเท็คนิกพิเศษ
โดยช่างเท็คนิกจากนอกระบบโลกและจักรวาล
จนยังผลให้ชาวโลกจบชีวิตลงในครั้งนั้นมหาศาล
จนยังผลให้ทวีปแอตแลนติสพลิกคว่ำจมหายไป
เกิดเป็นแผ่นดินโลกที่ถูกแบ่งสัดส่วนขึ้นมาใหม่
ดังที่ท่านทั้งหลายรู้เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

ดังนั้น
เราจึงกล่าวต่อท่านทั้งหลายเสมอมาว่า
เมื่อใดที่จิตสำนึกมนุษย์โลกตกต่ำ
เมื่อนั้นมนุษย์จักต้องทำสงครามกับภัยพิบัติเสมอ

ท่านรู้มั้ยว่า....
ประวัติศาสตร์โลกกำลังจะซ้ำรอยเดิมแล้ว

หมายเหตุ:
ที่เรากล่าวมา เรากล่าวเพื่อเตือนพวกท่าน
ด้วยความรักและปรารถนาดีอย่างสุดซึ้ง
เรากล่าวตามหน้าที่ของเราที่พระบิดาทรงบัญชามา
เรามิได้กล่าวเพราะเป็นพวกใครหรือทำร้ายใคร
เรามิได้กล่าวไปตามความสะใจของเรา

เรามิได้กล่าวเพื่อชวนให้ท่านเชื่อแต่แค่ให้รับรู้ไว้
แล้วจงรอพิจาณาพิสูจน์ความจริงตามที่เรากล่าว
ชีวิตของท่านควรต้องดำเนินต่อไปไว้
เพื่อค้นพบความจริงตามที่เรากล่าวให้ได้

จงอย่าชิงก้าวล่วงเรากับพระบิดาแห่งเราเสียก่อน
โดยไม่ให้โอกาสตัวท่านเองพิสูจน์ความจริง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-5-2016

หลักการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล





พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

พระโอวาททุกตอนที่เราสื่อมา
พระคัมภีร์ทุกเล่มที่เราบันทึกไว้
พระวจนะทุกประโยคที่เรากล่าวออกไป

ถ้าท่านเป็นผู้ค้นหาหนทางอยู่รอดปลอดภัย
ถ้าท่านเป็นผู้มาดหมายการหลุดพ้น
ถ้าท่านเป็นคนฝักใฝ่ในธรรมก่อกรรมดี

พระโอวาท พระคัมภีร์ และพระวจนะ
จากองค์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้ทรงเป็นพระจิตแห่งมหาจักรวาลอันไพศาลนี้
มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่ท่านทั้งหลาย
จักต้องบริหารจัดการตนเองให้เป็น
เพื่อ "การเรียนรู้" ให้ได้
เพื่อการเรียนรู้ให้เป็น และ การเรียนรู้ที่ถูกต้อง

หลักการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล
มีกระบวนการดังต่อไปนี้ คือ

1.เรียนรู้ เพื่อ ให้ได้ "องค์ความรู้"
2.ได้องค์ความรู้ เพื่อ นำมา "คิดรู้"
3.คิดรู้ เพื่อ ทำให้ตนเอง "เข้าใจ"
4.เข้าใจ เพื่อ ทำให้ตนเอง "เข้าถึง"
5.เข้าถึง เพื่อ สิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้
ในองค์ความรู้นั้น
6.สิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้นั้น
เพื่อยังประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของตน
ร่วมกันกับผู้อื่นอย่างสันติสุขได้

นี่จึงเป็นการเรียนรู้ที่ถูกต้องถ่องแท้
ตามมรรควิถีแห่งจิตจักรวาลเพื่อการหลุดพ้น

นี่จึงเป็นวิถีแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง
นี่จึงเป็นวิถีแห่งการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง
นี่จึงเป็นวิถีแห่งการอยู่เหนือกฎแห่งกรรมที่แท้จริง

การท่องธรรมะอยู่ทั้งวันแต่ไม่ทำ
การรู้ธรรมะจนขึ้นใจแต่สติแตกเสมอเมื่อถูกยั่วยุ
การกอดพระคัมภีร์แต่อ้างไม่มีเวลาจะอ่าน
การหมั่นรับฟังบันทึกสื่อพระโอวาท
แต่ยังขาดการใส่ใจ
ที่จะดัดจริตนิสัยตนเองให้ได้ตามที่เราสื่อมา

มันล้วนทำให้ท่านทั้งหลาย
ยกระดับจิตตปัญญาไม่ได้หรอก

ไม่ต่างจากท่านอยู่ในพงหญ้าที่รกทึบ
แล้วได้กลิ่นดอกบัวสวรรค์อันหอมเย็น
โดยเฝ้าแต่ดมกลิ่นแต่ไม่เคยแลเห็นเลยว่า
บัวสวรรค์มีดอก มีผล มีต้นเป็นแบบไหน
ต้นดอกบัวสวรรค์มันขึ้นอยู่ตรงพิกัดใด

ขออยู่ใกล้เพียงแค่ภูมิใจที่ได้ดมกลิ่น
ดอกบัวสวรรค์...เท่านั้นเองหริอ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-08-2016