วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา



มีคำกล่าวอยู่ 3 คำที่ผู้รับเอาแนวทาง
แห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
พึงต้องสดับรับรู้เอาไว้ว่า
พระองค์ทรงหมายไว้อย่างไร.....
นั่นคือ คำว่า....
อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา

1.อนิจจัง
.............
หมายถึง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน
ในทุกสรรพสิ่งด้านมิติโลกทางกายภาพ
เพราะเป็นมายาจากการไม่เที่ยงของแก่นแท้

เช่น จิตที่เปลี่ยนแปลงทางอารมณ์รู้สึกนึกคิด
จะยังผลให้พฤติกรรมภายนอกของผู้นั้น
ผันแปรเปลี่ยนไปตามสภาวะของจิตนั้น

นี่จึงเป็นที่มาของประโยคเด็ดที่ว่า
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

2.ทุกขัง
............
หมายถึง
สิ่งที่ท่านเมื่อได้พบพานผ่านเผชิญในชีวิต
แล้วทนได้ยาก......

3.อนิจจัง ทุกขัง
.......................
หมายถึง
ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน
หรือความผันแปรเปลี่ยนไปใดๆ
ในมิติโลกทางกายภาพในชีวิตของท่าน
ล้วนเป็นเหตุให้ทุกข์ทั้งสิ้น
หากทุกข์หมายถึง "ทนได้ยาก"

เช่น การเกิด แก่ เจ็บ และตาย เป็นต้น

4.อนัตตา
..............
หมายถึง
ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน
หรือความผันแปรเปลี่ยนไปใดๆ
ในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้
อันเป็นคุณสมบัติหลักของจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้นั้น
ที่จะต้องมีการสั่นสะเทือนตลอดเวลา

เพราะจักต้องสร้างแสดง
อัตตาตัวตนและรูปลักษณ์
อันเป็นมายาแห่งตนไว้

เพื่อแสดงว่ามีตนอยู่
ตนดำรงอยู่
ตนเปลี่ยนแปลงอยู่

5.ทั้งจิตมนุษย์และจิตวิญญาณเป็นอนัตตา
...........................................................
เนื่องจากจิตหยาบ
เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
และทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณ
ต่างล้วนมีคุณสมบัติเป็น "อนัตตา"
คือ ไม่หยุดนิ่ง
โดยจะต้องสั่นสะเทือนตนเองอยู่ตลอดเวลา

ขณะที่จิตหยาบจะกำหนดการสั่นสะเทือน
ทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดได้ด้วยตนเอง
โดยจะเปลี่ยนผันแปรไปเรื่อยๆไม่หยุดนิ่ง
เปลี่ยนไปตามสิ่งเร้าผ่านอายตนะทั้งหกนั่นแหละ

ขณะที่จิตวิญญาณแก่นแท้
ก็จะสั่นสะเทือนไปตามคุณสมบัติเดิมแท้ของตน
อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเร้าผ่านกลไกอายตนะใดๆ
ตนมีคุณสมบัติอย่างไรก็จะมีหน้าที่
สั่นสะเทือนไปตามนั้น

6.จิตมนุษย์ต้องยกระดับการสั่นสะเทือนสู่แก่นแท้
......................................................................
หมายถึง
หน้าที่ของจิตหยาบนั้น
จักต้องยกระดับการสั่นสะเทือนในตนเอง
ให้สูงขึ้นจนเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณ
เพื่อรับเอาคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ
มาใช้ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมตนเอง
ในการดำเนินชีวิตประจำวันให้จงได้

การจะยกระดับการสั่นสะเทือนตนเอง
ให้สูงขึ้นทางด้านบวกของจิตหยาบนี้
คือการรักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร
เมื่อมีเงื่อนไขดีหรือร้ายที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้
เป็นบททดสอบผ่านกลไกอายตนะ
ให้ได้เผชิญกันในชีวิตประจำวันนั่นเอง

7.อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
..................................
หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงของจิตหยาบ
อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางกายภาพ
เป็นการแสดงออกและกระทำใดๆทั้งดีและร้ายนั้น
หากไม่มีมหาสติแล้วจะนำความทุกข์มาให้เสมอ

ทุกข์อันเกิดจากความไม่สงบแห่งจิตตน
ทุกข์อันเกิดจากความไม่สงบแห่งกายตน
ทุกข์อันเกิดจากความไม่สงบสุขของคนอื่น

ทุกข์อันเกิดจากความไม่สงบ
แห่งจิตวิญญาณตนเองและจิตวิญญาณของคนอื่นๆ
ที่ต้องได้รับผลจากการสั่นสะเทือน
ของจิตหยาบและการกระทำใดๆของท่านเอง เป็นต้น

ที่เรากล่าวมานี้....
คงจะพอทำความเข้าใจกันได้เป็นสังเขปนะ

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-03-2015

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

ไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์ของพญาลิไท พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์สุโขทัย



เล่าเรื่อง "โรงพยาบาลเพื่อจิตวิญญาณ"
อันเป็นภพภูมิหนึ่งที่มีอยู่จริง
จากพระคัมภีร์ : ไตรภูมิพระร่วง
พระราชนิพนธ์ของพญาลิไท
พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์สุโขทัย
....................................................
นรกชั้นที่ 1:
ชื่อ-สัญชีวนรกภูมิ
เป็นนรกชั้นบนสุด
จิตวิญญาณที่ตกไปอยู่ชั้นนี
จะมีอายุขัยนาน 500 ปี
โดย 1 วัน 1 คืน ในนรกชั้นนี้
จะนานเท่ากับ 9 ล้านปีในโลกมนุษย์

สัญชีวนรกภูมิ.....
ประกอบด้วยขุมนรกทั้งหมด 16 ขุม
ขุมที่ 2/16 คือ
"สุนัขนรก"

ดวงจิตวิญญาณของผู้ที่ต้องลงไปชำระบาป
ในนรกขุมนี้จะเป็นพวกที่
ใช้วาจากล่าวก้าวล่วงจ้วงจาบผู้อื่นอยู่เนืองๆ
เช่น นักบวช ผู้ทรงศีล ผู้สมดุลทางจิตวิญญาณ
บิดามารดา ผู้ที่อาวุโส ครูบาอาจารย์
และครูผู้บวชให้ เป็นต้น

ที่นรกขุมนี้เรียกว่า "สุนัขนรก" ก็เพราะว่า
จะมีสุนัขรูปร่างใหญ่โตเท่าช้างอยู่ 5 จำพวก
ได้แก่ สุนัขขาว สุนัขแดง สุนัขด่าง
สุนัขเหลือง และสุนัขดำ

นอกจากนั้นยังมีนกแร้งและอีกายักษ์
ตัวขนาดเท่าเกวียน
ซึ่งมีปากและเล็บเป็นเหล็กค
ที่ลุกแดงเป็นไฟอยู่ตลอดเวล

ฝูงสุนัข นกแร้ง และอีกายักษ์ดังว่านี้
จะพากันรุมจิกร่างกายของผู้ที่ตกสู่นรกขุมนี้
ให้ต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหั
โดยที่แม้จะเจ็บปวดอย่างไรก็จะไม่ตาย
จึงต้องทนเจ็บปวดนั้นให้เป็นที่ทุกขเวทนายิ่งนัก

หมายเหตุ:
บันทึกนรกจากไตรภูมิพระร่วงนี้
มิได้เขียนไว้ให้ใครกลัว
มิได้ปรารถนาจะให้ใครเชื่อ

แต่กล่าวความจริงไว้ให้รู้ว่า
โรงพยาบาลชำระจิตวิญญาณนั้นมีจริง

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-03-2015

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

การดับ "ความโกรธ" เส้นทางของฆราวาส



ในเรื่องของการดับ "ความโกรธ" นั้น
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านเลือกเส้นทางฆราวาส
ในบทบาทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ที่ยังมีลูกกวนตัวมีผัวหรือเมียกวนใจ
แถมมีคนอีกหลากหลาย
คอย "กวนสะทีน" อยู่ทั้งวี่ทั้งวันแล้ว
ท่านจะเลือกใช้
วิธีปลงอนิจจังสังขารไม่เที่ยงในบริบทของนักบวช
ที่เขาเลือกเดินเส้นทางนักรบแห่งแสงสว่าง
ด้วยการนั่งหลับตาพิจารณาในความวิเวกว่า
"เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" นั้นไม่ได้
เพราะนั่นเป็นวิธีการดับอารมณ์ไม่สมดุล
ที่มันเป็นสนิมอารมณ์
อันเกิดจากเนื้อในจิตตนเอง
ซึ่งเป็นเงื่อนไขภายในหรือมารภายใน
ที่ตัวท่านเองสามารถควบคุมมันได้ไม่ยากนัก
สภาวะจิตไม่สมดุลจากมารภายในนั้น
มิพักต้องมีใครมายั่วยุหยิบยื่นบททดสอบให้
ซึ่งฝ่ายนักบวชในวิเวกทั้งหลาย
มักเจอปัญหาคุมสภาวะจิตไม่อยู่
ขณะเพ่งพิจารณาจิตตนเอง
อยู่ในกรรมฐานสมาธิคนเดียว
เพราะจริตหรือสันดานของจิตเดิมแท้มันไม่นิ่ง
อันวิธีการ "ปลงอนิจจัง" แบบนี้
มันใช้ไม่ได้ผลกับ "ฆราวาส" หรอกท่าน
เพราะท่านจะรั้งจิตท่านให้มีสติไว้ได้แน่หรือ
หากผู้ยั่วยุท่าน หรือ มารภายนอก
มาร(มัน) ยั่วโมโหท่านอยู่อย่างไม่หยุดยั้งน่ะ
การดับอารมณ์ไม่สมดุลในจิตตนเอง
ซึ่งมันผุดโผล่ขึ้นมาเองที่ไม่มีใครยั่วยุนั้น
มันคือการ "คืนสติ" ให้ตนเอง
เพื่อให้พร้อมต่อการใช้ปัญญาต่อไปได้
ในปฏิบัติการ "วิปัสสนากรรมฐาน"
ยามที่ท่าน "ฝึกจิต-ฟิตปัญญา"
อยู่คนเดียวต่างหากล่ะท่านนะ
แต่วิธีการที่เราสื่อมาสอนพวกท่าน
พี่ๆน้องๆเพื่อนร่วมโลกกับชาวจิตจักรวาลนี้
เป็นวิธีของคนที่ไม่หนีสังคม ไม่ปลีกวิเวก
เป็นวิถีของ "ผู้ยังมีสังคม" ที่เรียกว่า "ฆราวาส"
ผู้กล้าหาญผจญมาร (มัน) ในชีวิตนี้ด้วย "มหาสติ"
ผู้พิชิตมารภายในจากการยั่วยุของมารภายนอก
ให้สภาวะจิตสงบระงับอย่างสิ้นเชิงได้
ด้วยกลไก "มหาสติ" อันเป็นสมาธิที่เป็นธรรมชาติ
ซึ่งถึงพร้อมต่อความฉลาดใน 3 ประการ
ดังนี้ คือ......
ฆราวาสฉลาดทางอารมณ์มากขึ้นได้
ฆราวาสฉลาดทางปัญญาเพิ่มขึ้นได้
ฆราวาสฉลาดในการดำเนินชีวิตได้
ด้วยการค่อยๆผ่าน......
บททดสอบของมาร (มัน) ซึ่งหน้าตาเหมือนคน
โดยอาศัยพลังอำนาจทางจิตจากการฝึกฝน
ให้รักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร
กับพลังอำนาจทางปัญญา
ซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างแห่งตะเกียง
ที่เราขันอาสา "นำน้ำมัน" มาเติมตะเกียงของท่าน
แถมเรายังช่วยจุดตะเกียงของท่าน
ให้มันลุกโชนสว่างเพื่อส่องทางสู่การหลุดพ้น
ในชีวิตจริงของพวกท่านให้อีกต่างหากด้วย
จงระลึกกันด้วยว่า....
วิถีแห่งจิตจักรวาลแท้จริงนั้น
มิใช่การนั่งมโนเอา...ดอกนะท่าน
เพราะการยกระดับจิตสำนึกตนเอง
เพื่อการเป็นมนุษย์ที่สมดุลนั้น
มันต้องกระทำผ่านสถานการณ์จริงทั้งหลายในชีวิต
ที่ท่านจะ "ควบคุมกำกับ" ผู้ยื่นเงื่อนไขบททดสอบ
ด้วยการใช้อำนาจเหนือนำใครไม่ได้หรอก
ดุจดั่งการที่ท่านจะห้ามคนชั่ว
มิให้ทำชั่วต่อตัวท่านกันไม่ได้นั่นแหละนะ
เชิญท่าน "ถกกับตัวท่านเอง" ให้รู้ความ
ก่อนที่ท่านจะตามมา "เถียงเรา" ในห้องเรียนนี้
เพราะขาดสติกันเถอะนะ....
มันผิดบาปข้อหา "ก้าวล่วง"
หรือ เบียดเบียนเราน่ะนะ
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-03-2015

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีดับความโกรธ ด้วย มหาสติ ในธรรมชาติสมาธิ



ท่านรู้หรือไม่ว่า.....
ถ้าคนใกล้ชิดตัวท่านกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
ปกติแล้วท่านมักจะเสียสมดุลไปในทาง
หงุดหงิด ขึ้ง เคียด เกลียด โกรธ นั่นล่ะ
ทำอย่างไรท่านจึงจะไม่โกรธ
ทำอย่างไรท่านจึงจะดับโกรธที่เกิดขึ้นนั้นได้
ทำอย่างไรท่านจึงจะคืนความสมดุล
ทางจิตใจให้ตนเองได้ภายในสามนาที
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำตอบแรกก็คือ....
มหาสติไงล่ะ
ท่านฝึกฝนตนเองจนสามารถครองมหาสติได้รึยัง
ถ้าท่านยังครองมหาสติไม่ได้
สามคำถามที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
ท่านจะมิอาจเข้าถึงคำตอบที่ต้องการได้หรอก
แต่ถ้าท่านสามารถเข้าถึงการครองมหาสติ
อันเป็นธรรมชาติสมาธิในชีวิตประจำวันได้แล้ว
กล่าวคือ รู้สติ มีสติ และใช้สติตลอดทั้งวันเวลา
คำตอบที่สองถัดมา คือ
การหยิบปัญญามานิพพานอารมณ์โกรธนั้นให้สิ้น
จึงจะเป็นจริงได้
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ขณะมีมหาสติอยู่นั้น.....
ขอให้ท่านจงระลึกถึงความจริงในธรรมชาติดูว่า
1.เวลากลางวันขณะแดดร้อนเปรี้ยงๆอยู่
หากท่านกำลังออกจากบ้านเดินทางไปทำธุระ
ในท่ามกลางเปลวแดดแผดจ้าอยู่นั้น
ท่านเคยจัดการอย่างไรในสถานการณ์เช่นว่านี้บ้าง
คำตอบคือ....
1.1 อดทนต่อความร้อนของเปลวแดดนั้น ใช่มั้ย?
1.2 หาร่มมากางบังแดดให้ตนเอง ใช่มั้ย?
1.3 เดินเลี่ยงหลบเข้ากำบังเงาในร่มเงา ร่มไม้ ชายคา
ที่มีอยู่ตามทางเดินนั้น ใช่มั้ย?
2.ให้ท่านถามตนเองต่อไปด้วยว่า...
ทำไมท่านจึงไม่สั่งให้ดวงอาทิตย์หยุดแผ่ความร้อน
ทำไมท่านจึงไม่คิดจะแช่งด่าดวงอาทิตย์
ทำไมท่านจึงไม่หาเรื่องชวนทะเลาะกับดวงอาทิตย์
ทำไมท่านจึงไม่กล่าวร้ายให้โทษดวงอาทิตย์
คำตอบก็คือ....
ท่านไม่สั่งดวงอาทิตย์ให้หยุดแผ่รังสีความร้อน
เพราะรู้ดีว่าตัวท่านเองไม่มีอำนาจมากพอ
เพราะท่านรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้
ท่านไม่คิดจะแช่งด่าดวงอาทิตย์
เพราะรู้ดีว่ามันเป็นคุณสมบัติของดวงอาทิตย์
ที่ต้องร้อนแรงอย่างนั้นเอง...
เพราะท่านรู้ดีว่าไม่มีใครห้ามดวงอาทิตย์
มิให้เปล่งความร้อนแรงได้
มันต้องเป็นของมันเช่นนั้นเอง
ท่านไม่ชวนทะเลาะกับดวงอาทิตย์
เพราะท่านรู้ดีว่าแช่งด่าว่าไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ดวงอาทิตย์ก็จะเงียบแล้วแผ่ความร้อนออกมาดังเดิม
เพราะเป็นคุณสมบัติของดวงอาทิตย์ดังกล่าวแล้ว
ท่านไม่กล่าวร้ายให้โทษดวงอาทิตย์
เพราะท่านรู้ดีว่าดวงอาทิตย์มีประโยชน์ต่อทุกชีวิต
ทั้งความร้อนแรงก็มีประโยชน์
ทั้งแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็มีประโยชน์
ด้านที่เป็นประโยชน์มีมากกว่าด้านที่เป็นโทษ
ด้านที่ท่านชอบมีมากกว่าด้านที่ท่านไม่ชอบ
3.ดังนั้น....
จากแนวคิดทั้งหมดทั้งสามข้อที่กล่าวมา
มันคงจะทำให้ได้เกิดดวงตาเห็นธรรมว่า
คนที่เขาทำไม่ดีต่อท่าน
คนที่ท่านไม่พอใจ
คนที่ท่านเห็นว่าไม่น่ารักนั้น
พวกเขาก็มิต่างกันกับ
ความร้อนแรงของแสงแดดเลย
คนที่เขาไม่ดี
เขาจะแสดงพฤติกรรมดีๆกับท่าน
ในกรณีนั้นๆได้อย่างไร
เพราะมันเป็นคุณสมบัติของเขา
ถ้าท่านยอมรับความไม่ดีของเขาเสียได้
การชวนคนไม่ดีนั้นทะเลาะมันก็จะไม่เกิดขึ้น
เพราะถึงทะเลาะกันด่าว่ากันสาปแช่งกัน
ท่านก็ไม่มีวันเปลี่ยนนิสัยแก้ไขสันดานไม่ดี
ของคนชั่วคนนั้นได้...ใช่หรือไม่ล่ะ?
ความชั่วของคนๆนั้น
มันยังมีประโยชน์ต่อท่านอีกด้วยนะ
เพราะทำให้ท่านได้เรียนรู้ว่า
ความชั่วในแนวๆนั้นมันเป็นอย่างไร
มิหนำซ้ำท่านยังตรวจสอบตัวเองได้ด้วยว่า
ท่านชั่วเหมือนคนๆนั้นด้วยมั้ย?
ท่านมีนิสัยสันดานเหมือนเขาคนนั้นบ้างหรือเปล่า
นี่แสดงว่า...ความชั่วของเขา
มันช่วยให้ท่านสามารถประเมินตนเองได้
ถ้าพบว่าตัวเองชั่วแบบเขา
ท่านก็จะได้แก้ไขตนเองเสียทันที
จะได้เป็นคนที่ดีกว่า...ตามต้องการ
แสดงว่าความชั่วของเขาก็มีประโยชน์ต่อท่าน
มากกว่าจะมีโทษ
เช่นเดียวกับความร้อนของแดด
มีคุณมากกว่าโทษนั่นล่ะนะ
ใช่หรือไม่ล่ะท่านทั้งหลาย...
วิธีดับโกรธ...ลดอารมณ์ขยะ
สร้างสภาวะจิตให้สมดุลภายในสามนาที
มันต้องมีมหาสตินำหน้า
แล้วใช้ปัญญาตามหลัง
ทำบ่อยๆนานวันเข้า.....
จิตฝ่ายต่ำมันจะสลายตัวหายไปเอง
นิพพานโกรธได้ล่ะท่าน...
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-03-2015

เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล

1.เสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน


















วิถีจิตจักรวาล สื่อสอนเรื่องอะไร




พี่ๆน้องๆแห่งโลกเสรีทั้งหลาย
ท่านรู้หรือไม่ว่า
วิถีจิตจักรวาลนี้สื่อสอนเรื่องอะไร

เรื่องหลักๆที่สำคัญมี 6 ประการ คือ

1.ให้เราแนะนำท่านทั้งหลาย
เร่งทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
มิเช่นนั้นแก่นแท้ของท่าน
จะควานหาเส้นทางสู่การหลุดพ้น
ผ่านทางประตูมิติ คือ "ด่านนภาลัย"
ออกไปนอกระบบเอกภพ
เพื่อกราบพระบาทพระบิดามิได้

แม้ท่านจะสั่งสมคุณสมบัติแห่งนิพพาน
ในด้านอื่นๆจนครบถ้วนได้แล้วก็ตาม

2.ให้เราเปิดเผยพันธะสัญญา 6
ที่พวกท่านทั้งหลายได้เคยให้สัจจะ
เป็นพันธะสัญญาไว้กับองค์จิตจักรวาล
ตั้งแต่ก่อนข้ามมิติเข้ามา
สู่การเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรี
ในภพชาติแรกซึ่งท่านทั้งหลาย
ได้ลืมมันไปจนหมดสิ้นแล้ว
ให้เราทวงคืนความทรงจำของพวกท่าน
แล้วให้ท่านใช้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนปิดยุค
เร่งปฏิบัติตามพันธะสัญญานั้น
เพื่อเป็นการไถ่บาปที่ละเลยเหลวไหล
จนจดจำสัจจะที่ให้ไว้ต่อพระองค์ไม่ได้เสียทันที
จะได้ไม่เสียทีที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

3.ให้เราเน้นย้ำท่านให้รู้จักการพึ่งพาตนเอง
เพราะท่านทั้งหลายล้วนมีพลังอำนาจอยู่ข้างใน
ท่านจึงต้องค้นคว้าควานหามันให้พบ
แล้วจงนำมันออกมาใช้ให้เป็น

พลังอำนาจที่ท่านจะต้องพึ่งพาตนเองให้จงได้
ประกอบด้วยพลังใน 3 ด้าน คือ

1.พลังอำนาจทางจิต คือ ความรัก
2.พลังอำนาจทางสมอง คือ ปัญญา
3.พลังอำนาจทางกายภาพ คือ แรงกาย

4.ให้เตือนท่านว่า "อย่าเดินถ่างขา"
โดยอย่าไปจำเอาวิธีการของนักบวช
มาปฏิบัติในบทบาทของฆราวาส
จนสร้างความสับสนให้ตนเองกันมายาวนาน
ถึงขั้นเกิดมานานก็ยังมีอาจหลุดพ้นออกไปได้

เนื่องจากนักบวชปลีกวิเวก
จึงถนัดเข้าถึงแสงสว่างทางปัญญา
ด้วยการฝึกฝนตนเองให้อยู่ในกรรมฐาน
เราจึงเรียกขานพวกเขาว่า
"นักรบแห่งแสงสว่าง"

ขณะที่พวกท่านเลือกเส้นทางฆราวาส
คือ "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง"

จึงถนัดที่จะเข้าถึงแสงสว่างทางปัญญา
ด้วยการเผชิญหน้ากับเงื่อนไขบวกลบทั้งหลาย
ซึ่งผู้อื่นรอบๆตัวท่านพากันหยิบยื่นมาให้

เพื่อให้ท่านได้ลับคมปัญญาจากปัญหาชีวิตนั่น
ด้วยการกระทำผ่านธรรมชาติสมาธิหรือมหาสติ
กับปณิธานแห่งนิพพานในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง
ซึ่งทั้งเรียบง่าย...สบายๆ....ไม่ฝืนธรรมชาติอีกด้วย

5.ให้รู้วิธีนำพาแก่นแท้ของท่านเองกลับบ้าน
บนเส้นทางสายวิมุตตินี่แหละ
ซึ่งในที่นี้ได้แนะนำท่านทั้งหลายให้เรียนรู้
เคล็ดลับพิเศษที่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้

นั่นคือ.......
ต้องทำสามเหลี่ยมกับองค์จิตจักรวาลไว้เท่านั้น
ท่านจึงจะนิพพานกับเขาได้

6.ให้แจ้งข่าวสารการชำระโลก
อันเป็นปฏิบัติการของประดาช่างเท็คนิกจากนอกระบบ
ที่เข้ามาโลดแล่นอยู่ในระบบโลก
เพื่อปรับสมดุลและเพิ่มพลังอำนาจให้ระบบโลก
แบบเฉียบพลัน....
ในยามที่โลกกำลังป่วยหนัก
เพราะเสียสมดุลทั้งด้านกายภาพและพลังงาน
รุนแรงขึ้นทุกวันๆ

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
19-03-2015

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทุกศาสนาล้วนเป็นสากล




พี่ๆน้องๆแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระพุทธองค์
มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้นำทางจิตวิญญาณ
ของชาวพุทธเท่านั้น
องค์เยซูคริสต์เจ้า
ก็มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้กล่าวพระโอวาท
ในพระนามแห่งพระบิดาต่อชาวคริสต์เท่านั้น
องค์นบีมูฮัมหมัดเจ้า
ก็มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้กล่าวพระโอวาท
ในพระนามแห่งพระบิดาต่อชาวมุสลิมเท่านั้น
แท้จริงแล้ว
พระศาสดาทุกๆพระองค์ทรงเป็นพระศาสดาแห่งโลก
พระศาสดาทุกๆพระองค์จึงทรงเป็น
เอกองค์มหาคุรุในต่างยุคสมัยกัน
โดยเป็นผู้ทรงมีพระปรีชาญาณพิเศษ
และพระปรีชาชาญพิเศษ
ในบทบาทของครูผู้ทรงรอบรู้ในเรื่องของความรัก
สำหรับชาวโลกต่างหาก
มิได้จำกัดว่าทรงเป็นผู้นำของใคร
หรือของพวกใดพวกหนึ่งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง....
เราจึงกล่าวเสมอว่า
ทุกศาสนาล้วนเป็นสากล
พระศาสดาทุกๆพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน
สัจธรรมที่ทุกพระองค์ทรงสื่อหรือสั่งสอนมนุษย์
ล้วนมาจากต้นธารเดียวกันทั้งสิ้น
จงอย่านำศาสนามาสร้างเป็นลัทธิ
และจงอย่าลบหลู่พระศาสดา
ด้วยการดึงพระองค์ลงมาเสมอเพียงเป็นเจ้าลัทธิ
ป.วิสุทธิปัญญา
16-03-2015

เพราะหลงมิติมายา จึงหลุดพ้นไม่ได้



เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายอีกว่า
เมื่อแก่นแท้ของท่าน
ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีแล้ว
นานวันเข้าจิตหยาบหรือจิตปัจจุบันของท่าน
ก็ไม่สามารถนำพาแก่นแท้ของตนเอง
หลุดพ้นออกไปจากระบบเอกภพ
หรือสนามพลังงานจักรวาลอันไพศาลนี้ได้
สาเหตุที่หลุดพ้นออกไปไม่ได้
มีด้วยกัน 3 ประการ คือ
1.น้ำหนักมวลของจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้
เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่เข้ามาในภพชาติแรก
ซึ่งเดิมมีน้ำหนักมวลเพียง 30 มิลลิกรัมเท่านั้น
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
เกิดจากอนุภาคประจุไฟฟ้าบวกลบ
ที่เป็นมวลของพลังงานกรรมที่ท่านสร้างมันขึ้นมา
ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาในชีวิตประจำวันนั่นเอง
เมื่อน้ำหนักมวลมากกว่า 30 มิลลิกรัม
จิตวิญญาณของท่านก็จะถูกโลก
ดึงดูดเหนี่ยวรั้งเอาไว้
จนไม่สามารถดีดตัวออกไปจากระบบโลกได้
การย้อนกลับสู่การเกิดใหม่
เพื่อทำการลดน้ำหนักมวลของแก่นแท้จึงต้องเกิดขึ้น
2.มีพลังดีดตัวเองหนีแรงดึงดูดของโลกไม่มากพอ
เพราะไม่สามารถสั่นสะเทือนจิตสำนึกตนเอง
ให้สูงสุดทางด้านบวกในขณะมีชีวิตอยู่ได้
ที่สั่นสะเทือนจนสูงสุดไม่ได้
เพราะจิตหยาบถูกครอบงำไว้ด้วยกิเลสตัณหา
จิตหยาบตกเป็นทาสของอารมณ์หยาบๆรายวัน
จิตหยาบนั้นขาดการพัฒนา
จนไม่อาจเข้าถึงซึ่งความรักได้
สำคัญคือจิตหยาบ "หลงมิติ"
นี่จึงเป็นความเหลวไหลของมนุษย์ส่วนใหญ่
จนยังผลให้จิตวิญญาณตนเองเดือดร้อน
เพราะเมื่อตายแล้วจิตวิญญาณของตนต้องไร้อิสรภาพ
จะเคลื่อนที่เดินทางไปไหนๆอย่างเสรีไม่ได้
3.มิได้ทำสามเหลี่ยมกับองค์จิตจักรวาล
ที่ทรงเป็นพระบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตนเอง
ด้วยการลืมพระองค์ไปจาก
ความทรงจำของจิตวิญญาณ
เพียงแค่จดจำได้ว่าท่านเป็นใคร
ใครอนุญาตให้ท่านมาเกิดเป็นมนุษย์
มาเกิดแล้วท่านต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง
เมื่อทำสำเร็จแล้วท่านต้องกลับบ้านทางไหน
กลับบ้านทำไม...ใครรอท่านอยู่
เพียงแค่สำนึกดีๆง่ายๆแบบนี้แหละ
เท่ากับว่าท่านกำลังทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาแล้ว
จิตวิญญาณของท่าน
ต้องการสำนึกชอบอันเกิดจากการทำสามเหลี่ยมนี้
เพื่อกำหนดหมายปลายทางที่จะดีดตนเองออกไป
ให้ถึงยอดสามเหลี่ยม คือ พระบิดา นั่นเอง
ไม่ว่าตรงยอดสามเหลี่ยมสมมติ
ที่พระบิดาทรงประทับอยู่นั้นจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน
ไม่ว่าพระองค์จะทรงประทับอยู่ ณ แห่งใด
จิตวิญญาณของท่านที่มีน้ำหนักมวลไม่เกินพิกัด
และมีพลังอำนาจในการเหวี่ยงตนเอง
สูงพอที่จะหนีแรงดึงดูดของเอกภพออกไปได้
ก็จักเคลื่อนที่เดินทางไปถึงพระองค์
เพื่อกราบพระบาทพระองค์ที่ทรงรอคอยอยู่ได้ทันที
ภายในชั่วพริบตาเดียว...
มันเป็นการกำหนดเป้าหมายของจิตหยาบ
เพื่อช่วยดีดหรือเหวี่ยงให้จิตวิญญาณของตน
ข้ามมิติออกไปจากระบบเอกภพ
เพื่อคืนสู่เหย้า...ของจิตวิญญาณโดยแท้
ดังนั้น...
ถ้าท่านยังหลงมิติมายา คือ
หลงทุกข์...
ด้วยการหนีทุกข์แสวงสุขอยู่อย่างนั้น
หลงทาง...
ด้วยการเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใสใจสวยไม่เป็น
ด้วยการหลงผิดคิดว่าสวรรค์มายาชั้นเทพเทวดา
เป็นดินแดนของผู้หลุดพ้น
หลงทอง...
ด้วยการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา
เพื่อให้ได้มาซึ่งการสั่งสมทรัพย์สิน ลาภ ยศ สรรเสริญ
เราขอบอกตามตรงว่า
ตอนจบในภพชาตินั้นๆ คือ
ท่านจะหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ
หรือนิพพานไม่ได้แน่นอน!!!
เอเมน....
ป.วิสุทธิปัญญา
16-03-2015

เพราะลืมมิติแก่นแท้ จึงหลุดพ้นไม่ได้

เรายังมีความจริง...
ที่จำต้องกล่าวต่อท่านทั้งหลายถึงสาเหตุที่
ท่านกลับบ้านหรือนิพพานไม่ได้อยู่อีกว่า
เป็นเพราะท่านน่ะลืมมิติของแก่นแท้นั่นเอง

หากท่านลืมใน 3 ลืม ต่อไปนี้แล้ว
นั่นเท่ากับว่าท่านได้สร้างปัญหาหรืออุปสรรค
ให้แก่จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านเองแล้ว

1.ลืมตัว:
หมายถึง การเป็นผู้ขาดสติสัมปชัญญะ
ในการดำเนินชีวิต...
จนไม่อาจเข้าถึงการใช้สติปัญญาและปัญญาญาณได้
เพราะถูกกิเลสตัณหาครอบงำ

นานปีเข้า
หลายภพชาติเข้า
ท่านก็จะเป็นคนหนึ่งที่ประมาทและขาดสติ
จนก่อกรรมทำชั่วได้โดยง่ายดาย

ที่จะหนักหนามากไปกว่านั้นก็คือ
ท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ก่อกรรมทำชั่วได้
โดยไม่รู้ตัวว่าชั่วเลยสักนิดเดียว

2.ลืมตน:
หมายถึง ท่านลืมไปว่าตนเองหรือจิตหยาบนั้น
ยังมีจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
แฝงเร้นอยู่ข้างใน
ซึ่งแฝงอยู่ตรงพิกัดที่เราเคยเปิดเผยให้แล้วนั่นแหละ



การลืมแก่นแท้ตนเองของท่านนั้น
จะอยู่ในลักษณะของการแสดงออก
หรือการกระทำใดๆในชีวิตประจำวัน
โดยขาดการยั้งคิด หรือ
โดยการกระทำตามอำเภอใจ เป็นต้น

3.ลืมตื่น:
หมายถึง การที่ท่านบางคนไม่ยอมหันหน้า
เพื่อพาหูทั้งสองข้างมารับฟังเรา
ที่กำลังกล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งพระบิดา
ต่อท่านทั้งหลายในปลายยุคพลังงานเก่านี้
เสมือนคนนอนหลับมิยอมตื่น
แม้จะมีสำเนียงร้องปลุกให้ลุกตื่น

หรือการรับฟังแล้วปฏิเสธทันทีที่ได้ฟัง
หรือเมื่อมีการรับรู้แล้วต่อต้าน
โดยไม่ยอมสั่นสะเทือนจิตตปัญญาเพื่อการเรียนรู้ใดๆ

การลืมในสามประการที่กล่าวนี้
เป็นการลืมที่มีผลต่อแก่นแท้ในทางเสื่อมทั้งสิ้น
เมื่อแก่นแท้เสื่อมพลังอำนาจลง
การหลุดพ้นจึงเป็นจริงไม่ได้ในภพชาตินั้นๆ

เอเมน.....
ป.วิสุทธิปัญญา
16-03-2015

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

จิตใสใจสวย ด้วยปฏิบัติการ "ไซโคโชว์"



การบรรลุธรรมนั้น
มิได้หมายถึง
การรู้ในข้อธรรมะใดๆได้แตกฉานสถานเดียว

แต่มันหมายถึง
การที่ท่านทั้งหลาย
เมื่อได้รู้สัจธรรมแห่งองค์จิตจักรวาลแล้ว
ท่านต้องสามารถสร้างสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์
เพื่อการชำระจิตให้ใส
สร้างใจให้สวย
ตามนัยแห่งสัจธรรมนั้นๆ
ได้อย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย

เนื่องจากท่านทั้งหลาย
ผ่านการมีภพชาติมาแล้วมากมาย
จิตสำนึกหรือจิตปัญญาของท่าน
ย่อมผ่านการสั่นคลอนไปในทางเสื่อมเสียเป็นส่วนใหญ่
หากท่านปรารถนาจะนำพาแก่นแท้สู่การหลุดพ้น
ท่านจักต้องใส่ใจที่จะยกระดับจิตตปัญญาแห่งตน
อันเป็นเครื่องมือสองชิ้นสำคัญสุดๆ
ที่จะนำพาจิตวิญญาณของท่าน
เร่งรุดกลับบ้านสู่การหลุดพ้นได้อย่างองอาจ

กระบวนการ "ไซโคโชว์" ของปริญญา
เป็นปฏิบัติการทางจิตวิญญาณ
ในรูปแบบของการฝึกอบรมแนวใหม่
ที่สามารถจะชำระจิตให้ใส สร้างใจให้สวย
ให้แก่ผู้เข้ารับการอบรมได้ทุกเพศ ทุกวัย
ทุกวุฒิการศึกษา และทุกศาสนา
ตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ได้อย่างแยบยล
และเป็นธรรมชาติที่สุดที่ทั้งสนุก ทั้งฮาแต่มีสาระ

ผู้ไม่ประสงค์จะเดินถ่างขา
โดยเลือกลีลาของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ที่มุ่งใช้จิตตปัญญาในตน
เป็นแสงธรรมส่องทางเพื่อให้แสงสว่างแก่ชีวิต
ยิ่งควรหาโอกาสเข้าร่วมโปรแกรมล้ำค่านี้ให้ได้
แม้แค่เพียงสักครั้งหนึ่งในชีวิต

สามารถจัดดำเนินการได้เป็นหมู่คณะทั้งองค์กร
ให้สอดแทรกโครงการไว้
ในแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
โดยมุ่งเน้นด้านคุณธรรมจริยธรรมและทักษะชีวิต
เพียบพร้อมด้วยการสร้าง IQ, EQ และ SQ
สู่ความเป็นเลิศทางปัญญา อารมณ์ และสังคม
ที่สามารถประเมินผลได้ทันที

ปฏิบัติการ "ไซโคโชว์" ของ PARINYA
ช่วยสร้างเงื่อนไขบททดสอบจิตสำนึกที่สำคัญๆ
เพื่อการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณของท่านได้....

ทั้งยังจะช่วยย่นระยะเวลาแห่งการมีภพชาติ
ด้วยการชำระจิตท่านให้ใส ล้างใจให้สวย
ช่วยให้ท่านไม่ก่อกรรมใหม่
และแก้ไขกรรมเก่าที่ค้างคาได้อย่างไร้ร่องรอย

หากสนใจจะสร้างบารมี ร่วมแบ่งปันบุญกุศล
ทุกๆคนจงช่วยกันแชร์ต่อๆไปด้วยนะ...
เวลาแห่งการปิดยุคเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
13-03-2015

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

ความจริง ของปรากฏการณ์ อุกกาบาตตก




เราจะกล่าวความจริงต่อนักเรียนทั้งหลายว่า
ในระยะเวลาต่อไปข้างหน้ามิช้านาน
โลกเสรีนี้จะมีปรากฏการณ์ของอุกกาบาต
พุ่งผ่านเข้ามายังระบบโลก
ทั้งขนาดย่อมและขนาดใหญ่
เป็นจำนวนครั้งถี่ขึ้นเรื่อยๆ
โดยอุกกาบาตที่ว่านี้
เป็นพวกสะเก็ดดาวที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิด
บนดาวบางดวงในจักรวาลที่ห่างไกลก็มี
เป็นขยะอวกาศที่ล่องลอยอยู่นานนมมาแล้วก็มี
เมื่อโลกโคจรฝ่าเข้าไปในกลุ่มขยะอวกาศ
แรงดึงดูดของโลกก็จะเหนี่ยวรั้งให้
เศษสิ่งไม่พึงประสงค์เหล่านี้
พุ่งผ่านบรรยากาศโลกลงมาอย่างรวดเร็ว
แต่เนื่องจากจากระยะต่อไปนี้
รั้วของโลกจะไม่แข็งแรงเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
รั้วของโลกหมายถึง
ระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง
สาเหตุที่รั้วของโลกไม่แข็งแรง
เป็นเพราะว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มีจิตสำนึกตกต่ำ
จนไม่สามารถแบ่งปันพลังงานความรักให้โลกนี้ได้
เมื่อแบ่งปันความรักให้โลกไม่ได้
อำนาจแม่เหล็กโลกกับระบบโครงข่าย
จึงมีพลังอำนาจตกต่ำลงจนเสียสมดุลไป
เมื่อเศษวัสดุอุกกาบาตจากอวกาศพุ่งผ่านเข้ามา
จึงยังผลให้สนามแม่เหล็กโลกที่อ่อนแอและตกต่ำ
ไม่สามารถที่จะสร้างแรงเสียดทานก้อนอุกกาบาต
ให้เกิดความร้อนจัดจนระเบิดแตกสลายไป
หรือทำให้มันลุกเป็นไฟมอดไหม้หมดไปก่อนพุ่งชนโลกได้
ท่านทั้งหลายจึงจะได้เห็น
ปรากฏการณ์อุกกาบาตตกแทบจะทั่วโลก
ซึ่งแรกๆก็จะแลเห็นเพียงแสงไฟ
แต่พอนานวันผ่านไป
ชิ้นที่สามารถตกกระแทกพื้นโลกได้ก็จะพบว่ามีมากขึ้น
อีกทั้งนับวันมันจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆอีกด้วยสิ
สำหรับอุกกาบาตก้อนใหญ่ๆนั้น
หากมันตกกระแทกเข้ากับพื้นโลกอย่างจังเข้า
ก็สามารถก่อให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงได้ด้วย
อีกทั้งยังก่อให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่ได้เช่นกัน
ถ้าพวกมันก้อนใหญ่ๆเกิดตกลงไปในทะเลเข้าให้
ดังนั้น...
ถ้ามนุษย์โลกไม่รักกัน
แล้วหันมาต่อสู้ทำศึกสงครามกันมากขึ้น
หรือเบียดเบียนทำร้ายกันเอง
เมื่อนั้น...มนุษย์จะต้องเตรียมตัวผจญภัย
กับแขกที่มิได้เชื้อเชิญจำพวกอุกกาบาตเอาไว้ด้วย
เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-03-2015

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

ธรรมะ จากธรรมชาติ
































เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายมาแล้วว่า
องค์จิตจักรวาลผู้ทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งนั้น
ได้ทรงบันทึกรหัสสัจธรรม
ไว้สร้างสติทางวิญญาณให้แก่บุตรมนุษย์
ที่เข้ามาปฏิบัติภารกิจยังโลกเสรีนี้ไว้ในทุกสรรพสิ่ง
ทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติทั้งหลายนั้น

ผู้ที่จะเข้าถึงสัจธรรมในธรรมชาติได้
จักต้องอาศัยเครื่องมือชิ้นสำคัญ
นั่นคือ "จิตกับสมอง"
ซึ่งพระองค์ได้ทรงประทานเอาไว้ให้แก่ทุกท่านแล้ว

ถ้าตั้งแต่วัยเด็กพ่อแม่เหลวไหล
ไม่เคยสอนลูกของตนให้ฉลาดทางจิต
ไม่เคยสอนลูกให้คิดรู้ด้วยปัญญา

ได้แต่สอนให้บ้าที่จะเป็นคนเก่ง
ด้วยการเป็นผู้รอบรู้เพราะจำเก่ง-เรียนเยอะ

ปล่อยให้ลูกของตนหมกมุ่นอยู่กับกิเลสตัณหา
ปล่อยให้ใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือของอารมณ์

จะเรียนรู้สิ่งใด จะเข้าใจสิ่งใด
จึงไม่สามารถใช้ปัญญาของตนเองได้
ต้องพึ่งพาผู้อื่นให้เป็นครูอยู่ร่ำไป
ยังผลให้จิตสำนึกต่ำลงๆในทุกภพชาติ
ด้วยรหัสลบอันเกิดแต่กิเลสตัณหาล้วนๆ

อย่างกรณี "ธรรมะจากธรรมชาติ"
บทนี้ บทที่ว่าด้วย.....
"สายน้ำจะไหล จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ"
พระบิดาทรงแฝงข้อสัจธรรมคำสอนบุตรมนุษย์เอาไว้
ให้ใช้สติปัญญาและปัญญาญาณ
อันเป็นพลังอำนาจจากสมองสองซีกของทุกท่าน
เพื่อการเรียนรู้ให้ได้ว่า....

"ผู้ที่มีมากกว่า
จักต้องเมตตาต่อผู้ที่มีน้อยกว่าเสมอ"
ตัวอย่างเช่น.....

ผู้ใหญ่ต้องมีเมตตาต่อเด็ก
มิใช่เอาเปรียบเด็กเพราะเห็นว่าอ่อนแอกว่า

คนรวยต้องช่วยเหลือคนจน
มิใช่เห็นแก่ตัว งก ตระหนี่ ขี้เหนียว

จิตวิญญาณผู้มีบุญบารมีมากกว่า
จักต้องให้โอกาสผู้มีบุญบารมีน้อยกว่ามาเกิดก่อน

สัจธรรมพื้นๆเหล่านี้
เป็นธรรมะในหมวด "โลกิยธรรม"
ที่ท่านทั้งหลายสามารถ
สังเคราะห์จากธรรมชาติกันได้เอง
ด้วยความฉลาดทางปัญญาในตนเอง
แล้วนำมาใช้ปฏิบัติ
ในชีวิตประจำวันได้เสมอ
โดยมิพักต้องเสี่ยงกับเจ้าลัทธิคนไหนๆอีก

เพราะคนส่วนใหญ่
ยังพึ่งปัญญาตนเองไม่ได้นี่แหละ
ลัทธิต่างๆจึงถูกสร้างขึ้นมา
โดยเจ้าลัทธิที่มากมีด้วยกิเลสมาร
พระศาสนาที่แท้จริงจึงเสื่อม
พระธรรมที่แท้จริงจึงถูกบิดเบือน
เราจึงกลับมาพร้อมคำพิพากษาของพระองค์
ตามสัจจะที่ให้ไว้....

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
1-03-2015

"เมืองสวรรค์มายา"
































ลัทธิเร่ขายบุญนั้นมักจะนำสวรรค์มายา
มาเป็นเครื่องจูงใจสาวก

โดยจะหลอกลวงให้เชื่อว่า
เงินตราสามารถซื้อบุญตุนสวรรค์ได้
ทำยังกับว่าบุญกับสวรรค์นั้นเป็น "วัตถุ" ชนิดหนึ่ง
จึงเที่ยวเร่ขายบุญตุนสวรรค์กันยกใหญ่

ทั้งยังลวงหลอกให้เชื่ออีกด้วยว่า
ภพภูมิสวรรค์มายาน่ะเหนือกว่าภพภูมิมนุษย์โลก

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
แรกเริ่มเดิมมา "เมืองสวรรค์มายา" นั้นไม่เคยมีหรอก
เพราะองค์จิตจักรวาลมิได้ทรงกำหนดสร้างไว้เลย
มีเพียงมนุษย์อุตริในยุคโบราณเท่านั้น
เป็นผู้กำหนดสร้างรูปบูชาสมมติเทพขึ้นมา
พร้อมปรุงแต่งเรื่องเล่าแนวพิสดารอภินิหาร
เพื่อสร้างสรรค์ศรัทธาในหมู่ชนประกอบด้วย

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ด้วยว่า
พลังจิตของมนุษย์อย่างพวกท่านนั้น
มันสามารถสร้างมายาขึ้นมาได้
แค่เพียงอาศัยความเชื่อความศรัทธา
อย่างแรงกล้าเท่านั้น

ดังนั้น....
เรื่องแต่งเรื่องเล่าของภพภูมิสวรรค์
พร้อมตำนานแห่งเทพสมมติอันพิสดารพันลึก
จึงถูกความเชื่อจากพลังจิตของผองชนยุคนั้น
ปรุงแต่งจินตนาการขึ้นมาเป็นสวรรค์มายาทันที

ไม่ต่างจากคนที่ตายแล้ว
จิตวิญญาณที่ออกจากร่างมนุษย์นั้น
แท้จริงเป็นแค่เพียงกล่องพลังงานเท่านั้น
แต่เพราะเชื่อว่าตนมีรูปลักษณ์และมีอาภรณ์
ในแบบที่ตนคุ้นเคย
จิตวิญญาณนั้นจึงปรุงแต่งมายาแห่งตนขึ้นมา
เป็นรูปลักษณ์และอาภรณ์ในแบบนั้นทันที

ก่อนตายจำได้ว่าตนเป็นคนแก่
ก่อนตายจำได้ว่าตนสวมชุดคนไข้ในโรงพยาบาล
ก่อนตายจำได้ว่านอนป่วยที่โรงพยาบาล

เมื่อตายแล้วจึงสำแดงตนเป็นคนแก่

เมื่อตายแล้วจึงกำหนดมายาให้ตน
เป็นคนแก่ที่สวมชุดคนไข้นั้น

เมื่อตายแล้วจึงเป็นคนแก่ที่สวมชุดคนไข้
และวนเวียนอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น
ไม่ไปไหน....เพราะจำได้แค่นั้น

ภาพภพภูมิสวรรค์มายาในชั้นต่างๆก็เช่นกัน
แรกเริ่มนั้นมันเกิดจากความเชื่อที่ถูกชักจูงว่า
พระพรหม คือ พระผู้สร้าง
สวรรค์ชั้นพรหมเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด
ที่มนุษย์เหล่านั้นปรารถนาจะไปเมื่อตายแล้ว

แต่เนื่องจากบุญทำกรรมแต่งในแต่ละคนไม่เท่ากัน
การสร้างกุศลกรรมทำความดีงามไม่เท่ากัน
จิตวิญญาณแต่ละคนที่เชื่อเรื่องสวรรค์มายา
จึงสามารถ "หลุดลอย" ขึ้นไปหาเป้าหมาย
อันเป็นมายาที่เกิดจากความเชื่อของตน
ได้สูงไกลไม่เท่ากัน

นี่จึงเป็นที่มาของสวรรค์มายาซึ่งมีหลายชั้น
ตราบกระทั่งปัจจุบันหลายท่านก็ยังเชื่อกันอยู่
ดังภาพสไลด์ที่เรานำมาแสดงไว้ในที่นี้นี่แหละ

ถ้าท่านทั้งหลายเข้าใจความจริงและเชื่อที่เรากล่าว
โดยเชื่อให้ได้ว่าสวรรค์มายาที่ว่านี้
มันเป็นแค่สิ่งสมมติ มันมิใช่ภพภูมิที่แท้จริง
เพราะมิใช่หนึ่งในสิ่งที่พระผู้สร้าง
ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
ในจักรวาลของพระองค์แต่อย่างใด

ภพภูมินรกต่างหากคือดินแดนที่มีอยู่จริง
เพราะพระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้นั่นเอง

เมื่อท่านเลิกเชื่อเลิกงมงายได้แน่แล้ว
ท่านจงใส่รหัสที่ในจิตของท่านเสียใหม่
โดยจงบอกกับตนเองว่า

แก่นแท้ของท่านมาจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
บ้านเกิดของแก่นแท้ท่านที่อยู่นอกระบบเอกภพ
เราสมมติเรียกว่า "แดนสุญญตา"

ท่านเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทำหน้าที่ค้ำจุนโลก
ด้วยพลังความรักจากจิตสำนึกด้านบวก

เมื่อทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณสำเร็จเสร็จแล้ว
ท่านมีหน้าที่จะต้องนำพาแก่นแท้ของท่านกลับบ้าน
บ้านที่แก่นแท้ของท่านจากมาแสนนานนั่นไง
มิใช่แดนสรวงแดนสวรรค์มายานั้นแต่อย่างใด

จงใช้ปัญญาของท่านไตร่ตรอง
เรามาตามพวกท่านกลับบ้าน
ด้วยการช่วยสร้างสำนึกทางวิญญาณ
ให้พวกท่านได้ข้ามผ่านความงมงายนับพันปี
เพื่อการหลุดพ้นได้จริงในภพชาติเดียว
โดยมิพักต้องหลุดลอย
แล้วค่อยๆยกระดับสู่การหลุดพ้น
โดยต้องใช้เวลาโลกกันอีกยาวนานเท่าใดก็ไม่รู้

กลับไปกราบพระบาทองค์จิตจักรวาลกัน
ไม่ต้องเดินทางผ่านสวรรค์มายาก็ได้
ตายแล้ว "หลุดพ้น" น่าสนกว่า "หลุดลอย" มั้ย?

นี่เรากล่าวให้พวกท่านคิดตามนะ
มิได้สอนให้ใครเชื่อหรือปฏิเสธโดยมิใช้ปัญญา
เพราะเรา คือ ครู และที่นี่เป็นห้องเรียนของเรา
เรากล่าวตามพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เรากล่าวต่อท่านทั้งหลายในพระนามแห่งพระองค์

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
3-03-2015