วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

จงดูแลลิ้น ให้สะอาด




พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
วาจาของท่านจะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร
องค์จิตจักรวาลมิทรงใยดีหรอ

ถ้าลิ้นที่ท่านใช้กล่าว "สรรเสริญ" พระบิดา
กับลิ้นที่ใช้ "แช่งด่า กล่าวคำหยาบคาย
กล่าวร้ายและกล่าวเท็จ" ต่อเพื่อนมนุษย์
ซึ่งล้วนเป็นบุตรแห่งพระองค
มันมาจากลิ้นเดียวกัน

ดังนั้น
ถ้าหากท่านต้องการมีปากหอม
และมีร่างกายที่ไร้มลทิน
ก็จงดูแลลิ้นให้สะอาดไว้
อย่าให้มันแปดเปื้อนสิ่งชั่วร้าย
อย่าให้มันอยู่ไม่สุขโดยเที่ยวระรานผู้อื่น
เพราะมันจะนำความพินาศมาสู่ตนเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-4-2017

มหาสติ บทบาทนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง





พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
กิเลส ตัณหา และราคะจริต เป็นจิตฝ่ายต่ำ
ที่ทุกท่านจักต้องผ่านมันไปให้ได้
ถ้าผ่านมันไปไม่ได้สภาวะจิตของท่านก็จะไม่ก้าวหน้า
ที่ไม่ก้าวหน้าก็เพราะว่าจิตของท่าน
จะสั่นสะเทือนอยู่แต่ความถี่ในย่านนี้เท่านั้น
คือ โลภะ โทสะ โมหะ
วันๆเหมือนท่านเดินขึ้นเดินลงบันไดอยู่แค่ 3 ขั้น
ทั้งๆที่ยังมีบันไดเหลืออยู่อีกตั้งหลายขั้น
กว่าท่านจะพาตนเองขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุดได้
บันไดขั้นที่สูงกว่าสามขั้นนี้หมายถึง
แรงสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวก
ที่จิตยังยกระดับการสั่นสะเทือนต่อไปได้อีก
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ในย่านของ "ความรัก" ล้วนๆ
คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ท่านจะไม่สามารถยกระดับสภาวะจิต
ให้สูงขึ้นไปทางด้านบวกในย่านความรักนี้ได้เลย
ถ้าท่านยังมัวขึ้นๆลงๆบันไดแค่สามขั้น
เป็น โลภ โกรธ หลง-งมงาย อยู่แถวๆนี้
ถ้าท่านจะผ่านมันไปได้
ก็ต้องใช้มหาสติควบคุมจิตตนเองไว้
แล้วสั่นสะเทือนเป็น "รักเพื่อให้" แทน
ในทุกๆคนทุกๆกรณีที่ท่านต้องตอบสนอง
ที่ท่านต้องมีสัมพันธ์ด้วย
ถ้าจะรักเพื่อให้ใครๆก็ได้แม้เขาไม่น่ารัก
ท่านก็จักต้องมองเห็นคุณค่าของคนผู้นั้นก่อน
ซึ่งท่านจะมองเห็นคุณค่าของคนอื่นได้
มิใช่เพียงแค่ใช้สองตาเนื้อจ้องมองเท่านั้น
แต่ท่านต้องมองเห็นคุณค่าด้วยปัญญาต่างหาก
ท่านจงอย่าปล่อยให้จิตใจมันเป็นอิสระ
เพราะมันจะสั่นสะเทือนไปตามเงื่อนไขปลุกเร้าเสมอ
ถ้าชอบจิตก็จะสั่นตอบสนองเป็นบวก
ถ้าไม่ชอบจิตก็จะสั่นตอบสนองเป็นลบ
ท่านจึงปล่อยให้จิตใจของท่านอิสระไม่ได้
ท่านจักต้องคุมจิตตนเองเอาไว้เสมอ
เพราะจิตมันเหมือนลิงที่มีนิสัยซุกซนอยู่ไม่สุข
ท่านจึงต้องหยิบ "#มหาสติ" ขึ้นมาถือครองไว้
โดยสติแรกที่ต้องนำมาใช้ปกครองจิต
เพื่อให้รู้เท่าทันอาการของจิตก็คือ #การรู้สติ
ซึ่งหมายถึงการรู้เท่าทันว่าในขณะนั้น
จิตสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดแบบใดอยู่
รู้เท่าทันว่าเพราะเมื่อครู่นี้ท่านเผชิญกับสิ่งใดมา
ทั้งท่านยังจะต้องรู้ว่าต่อไปข้างหน้ามันจะเป็นยังไง
ถ้าท่านจะสั่นสะเทือนทางจิตใจตอบสนอง
ในแบบที่ท่านกำลังจะกระทำนั้น
เมื่อท่านรู้เท่าทันจิตตนเองแล้ว
ท่านยังต้องหยิบสติที่สองขึ้นมาใช้ต่อไปอีก
สติที่สองที่ว่านี้ก็คือ #มีสติ"
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการ "รับรู้" อย่างฉลาด
หมายความว่า "รับรู้เพื่อเรียนรู้" ว่าอะไรเป็นอะไร
เป็นการรับรู้แล้วต้องนำมาขบคิดพิจารณา
มิใช่รับรู้แล้วรับเอามาเป็นเงื่อนไขทางจิต
การรับรู้เพื่อเรียนรู้มี 3 ลักษณะ คือ
1.#รับรู้แล้วรับเอา เพราะเห็นว่ามีสาระประโยชน์
2.#รับรู้แล้วไม่รับเอา เพราะเห็นว่าไร้สาระ
3.#ไม่รับรู้ไม่รับเอา เพราะมันเป็นสิ่งที่รู้ๆกันอยู่แล้ว
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ถ้าท่านสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดแล้ว
ไม่นึก ไม่คิด ไม่เรียนรู้ให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
กิเลสตัณหาและราคะจริตอย่างใดอย่างหนึ่ง
มันก็จะเบียดแทรกเข้ามาทันที
สิ่งใดรู้แล้วเช่นเพื่อนคนนี้สันดานขี้ขโมย
เมื่อเจอพฤติกรรมลักขโมยของเขาเข้า
ก็ให้ท่านจงวางเฉยเสีย
อย่าตกอกตกใจหวั่นไหวเสียความรู้สึก
เพราะท่านรู้มาก่อนแล้วว่าเขาเป็นคนแบบนั้น
เมื่อท่านรู้มาก่อนแล้วหรือ "รู้ๆอยู่แล้ว"
จิตจึงต้องไม่ตกตาม
มันคือการรับรู้แล้วไม่รับเอานั่นเอง
ถ้าหากทุกๆวันท่านทำอย่างนี้ได้ทุกครั้ง
จิตของท่านก็จะเกิดการคุ้นชิน
จนกลายเป็น "วางเฉย" ได้เลยแม้ถูกยั่วยุ
ซึ่งอาการวางเฉยของจิตนี่แหละ
เรียกว่า #จิตเป็นอุเบกขา เพราะไม่รับรู้ไม่รับเอา
นี่จึงเป็นกระบวนการเอาชนะกิเลส
ซึ่งเป็นจิตฝ่ายต่ำหรือจิตหยาบด้วย #มหาสติ
ตามมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
ในบทบาทนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เพื่อการพัฒนาจิตตปัญญาสู่ด้านบวกสูงสุด
จนบรรลุมรรคผลสูงสุดทางจิตวิญญาณ
คือการหลุดพ้นหรือนิพพานนั่นเอง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-4-2017

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2560

ธาตุทั้งห้ากับทิศทั้งห้า




ตอบคำถาม: Cjw Surin
Question:
ขอท่านอาจารย์ได้เมตตา
เปิดเผยเพื่อเป็นความรู้แก่ชาวโลก
เกี่ยวกับธาตุทั้งห้ากับทิศทั้งห้าด้วยว่า
เกี่ยวข้องกันอย่างไร
มีความหมายแฝงอะไรบ้างที่ว่า
ธาตุน้ำอยู่ทาง ทิศเหนือ
ธาตุไฟอยู่ ทางทิศใต้
ธาตุไม้อยู่ทางทิศตะวันออก
ธาตุทองอยู่ทิศตะวันตก
ธาตุดินอยู่ตรงกลาง.
เอเมน สาธุ
Answer:
การที่ครูของท่านกล่าวไว้เช่นนั้น
ก็เพราะครูผู้สอนเขาต้องการจะบอกให้รู้ว่า
1.เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เป็นเครื่องโอบอุ้มหุ้มห่อจิตหยาบ
และจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้เอาไว้ข้างใน
2.เมื่อถูกติดตั้งเอาไว้ข้างใน
จึงย่อมมิอาจรู้เห็นสิ่งใดที่อยู่ข้างนอกได้
องค์จิตจักรวาลจึงทรง "ติดตั้ง" กลไก
อวัยวะสัมผัสรู้ดูเห็นเป็น "อายตนะ" ทั้ง 5
เพื่อให้ทำหน้าที่คล้ายบานหน้าต่าง 5 บาน
เอาไว้กับกายหยาบภายนอก
เสมือนเป็นบานหน้าต่างทางจิตวิญญาณ
สำหรับ "ดวงตาแห่งจิตวิญญาณ" คือ จิตหยาบ
ใช้มองผ่านออกมาทางบานหน้าต่างนั้น
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นนั่นเอง
3.การกำหนดเป็นธาตุทั้งห้ากับทิศทั้งห้า
ก็เป็นเพียงแค่นำเอาสิ่งที่อายตนะรับสัมผัส
มาเป็นเครื่องกำกับหรือบ่งชี้ว่า
อายตนะชิ้นนั้นๆมันใช้สัมผัสสรรพสิ่งใด
ตัวอย่างเช่น
ถ้าเป็นหู (Ears)
ธาตุที่สัมผัสครูเขาก็เรียกว่า "น้ำ"
เพราะมองเห็นภาพคลื่นเสียงที่มันเคลื่อนตัว
จากแหล่งกำเนิดเสียงผ่านอากาศเข้ามาหาช่องหู
เป็นระลอกๆตามๆกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
คล้ายดั่งการส่งผ่านของคลื่นในน้ำนั่นแหละ
เพราะคลื่นเสียงในอากาศมนุษย์มองไม่เห็น
ท่านก็เลยหยิบเอาคลื่นน้ำมาอธิบายไว้แทน
ถ้าเป็นตา (Eyes)
ธาตุที่สัมผัสครูเขาก็เรียกว่า "ไฟ"
เพราะสมัยนั้นไม่มีคำว่า "คลื่นพลังงาน"
ไม่มีใครรู้จักคำว่า "คลื่นแสง"
การที่อายตนะตาสามารถมองเห็นสิ่งใดได้
ก็เป็นเพราะสิ่งนั้นเกิดการสะท้อนแสง
แล้วสะท้อนกลับมาเข้าตาของท่าน
จอรับแสงที่เรียกว่า "เรตินา" ที่ในตา
ก็จะสั่นสะเทือนไปยังจิตที่เป็นอายตนะข้างใน
เพราะเหตุว่าคลื่นแสงที่สะท้อนเข้าตา
เกิดจากการหักเหของแสงที่ตกกระทบสิ่งนั้น
จิตของท่านจึงบอกท่านได้ว่าตาพบเห็นอะไร
ครูของท่านเห็นว่ามันคล้ายแสงไฟที่คนแลเห็น
ท่านก็เลยหยิบเอา"ไฟ"มาอธิบายไว้แทน
4.การกำหนดว่าธาตุใดอยู่ทิศไหนใน 5 ทิศ
ก็เพราะต้องการจะบอกเพียงแค่ว่า
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์นั้น
#มีตารอบข้าง
อันหมายถึงมีอายตนะทั้ง 5 อยู่รอบตัว
ซึ่งสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งหยาบๆ
ได้แทบทุกสรรพสิ่งในแทบจะทุกมิติ
ที่พระบิดาทรงสร้างไว้ในจักรวาลนี้
โดยมี "กายหยาบ"
ที่เปรียบเสมือนผู้รับไว้ คือ ธาตุดิน
เพื่อยังประโยชน์แก่กายหยาบและจิตวิญญาณ
เป็นศูนย์กลางของสายน้ำทั้งห้าสาย
5.การอ่านพระคัมภีร์นั้น
เมื่ออ่านด้วยสมองซีกซ้ายแล้ว
ต้องขยายความด้วยสมองซีกขวาด้วย
ถ้าอ่านด้วยสมองซีกเดียวแล้ว
ทุกท่านจะติดอยู่ตรงที่ว่า
ธาตุทั้งห้ามันมีรูปลักษณ์อัตตาเป็นไง
แล้วทิศทั้งห้ามันเกี่ยวกันกับอะไร ยังไง
มันจะถามหาแต่ตัวตนมายาล้วนๆ
นี่แหละทำไม่เราจึงต้องสร้าง
กลยุทธการฝึกอบรมพัฒนาจิตตปัญญา
ที่ชื่อว่า Psycho Show ล่ะนะ
หมายเหตุ:
ที่ตอบคุณอโนทัยไว้ก่อนหน้านี้
ความบทนี้ก็มิได้แตกต่างกัน
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-4-2017
หมายเหตุ:
ขออนุโมทนาที่ท่านช่วยกันแชร์
องค์ความรู้ที่เป็นธรรมวิทยาทานนี้
ไปแบ่งปันเพื่อนในกลุ่มของท่าน
หากท่านเห็นดีด้วย
^แอดมิน^

ในบทหนึ่งของคัมภีร์ศาสนาเต๋า




ตอบคำถาม: 
Anothai Bunjong

กราบเรียนถามท่าน อ.ปริญญา
ขออาจารย์เมตตาเสริมเติมปัญญา..
ในบทหนึ่งของคัมภีร์ศาสนาเต๋า กล่าวว่า 

Question 1:
จากเอกธาตุแปรเปลี่ยนเป็นไตรวิสุทธิธาตุ 
Answer:
คำกล่าวขานนั้นหมายถึง

จาก 1 ดวงจิตธรรมญาณ
ก็ก่อกำเนิดขึ้นเป็น 3 ภาคส่วนบริสุทธิ์

*ภาคแรก คือ "กายหยาบ"
ซึ่งเป็นสรรพสิ่งหนึ่งในมิติทางกายภาพ
ที่จะเป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ทั้งเพศหญิงหรือเพศชายในวันข้างหน้า

*ภาคสอง คือ "จิตวิญญาณ"
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ผู้ขันอาสาพระบิดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ที่เป็นตัวตนแก่นแท้ในเครื่องยนต์แห่งกรรม

*ภาคสาม คือ "จิตหยาบ" หรือ จิตมนุษย์
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ที่จิตวิญญาณแบ่งภาคตนเองออกมา
เพื่อให้ช่วยทำหน้าที่แทนตนเอง
ในการควบคุมกลไกกระบวนการต่างๆ
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ให้ถูกต้องเหมาะสมและดีงาม
ตามที่จิตวิญญาณผู้มาเกิดนั้นต้องการ

Question 2:
จากไตรวิสุทธิธาตุนี้
ได้ก่อกำเนิดธาตุไม้ขึ้นทางทิศบูรพา 
ธาตุทองกำเนิดทางทิศประจิม 
กำเนิดตรงศูนย์กลางคือธาตุดิน 
ธาตุไฟกำเนิดขึ้นทางทิศทักษิณ
และธาตุน้ำกำเนิดขึ้นทางทิศอุดร 

Answer:
เมื่อดวงจิตธรรมญาณ
ให้กำเนิดกายหยาบกับจิตหยาบ
รวมเป็น 3 ภาคส่วนแล้ว

ลำดับถัดมาก็คือการสั่นสะเทือนร่วมกัน
เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโต
เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมนุษย์
ที่สมบูรณ์พร้อมต่อการใช้งา
ทั้งในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้
และมิติทางกายภาพ
ในด้านของเครื่องยนต์แห่งกรรม

ดังนั้น
ทั้งสามภาคส่วนจึงได้ร่วมกันสร้าง
ส่วนที่เป็นกายหยาบให้เป็นโครงสร้างหลัก
เพื่อใช้ห่อหุ้มดวงจิตธรรมญาณ
และจิตหยาบเอาไว้ภายใน
เราเรียกว่า "การปฏิสนธิทางวิญญาณ"
โดยกำหนดให้กายหยาบเป็น "ธาตุดิน"
เพราะเป็นจุดศูนย์รวมของทุกสรรพสิ่ง

จากนั้นก็ร่วมกันสร้างช่องปากและลิ้นขึ้น
เพื่อเอาไว้ดูดซับน้ำและอาหาร
เข้าไปหล่อเลี้ยงธาตุดินอีกทีหนึ่ง
จึงกำหนดให้ลิ้นเป็น "ธาตุไม้"

ร่วมกันสร้างช่องจมูกเอาไว้หายใจ
นั่นคือการสูดซับรับเอาอากาศดีเข้าไป
แล้วถ่ายเอาอากาศเสียออกมา
ในลักษณะของการหายใจเข้า-ออ

ถ้าไม่มีช่องจมูกกายหยาบก็จะต้องตาย
จิตหยาบกับจิตวิญญาณก็อยู่ไม่ได้
อากาศบริสุทธิ์ที่กายหยาบต้องการ
จึงเป็นของมีค่าราคาแพงดั่งทอง
นี่จึงเป็นเหตุแห่งการกำหนดให้
อากาศที่ใช้หายใจให้เป็น "ธาตุทอง"
หรือ "ธาตุลม" นั่นเอง

นอกจากนั้นยังร่วมกันสร้างดวงตา
ให้เป็นช่องทางรับรู้ของคลื่นแสง
ซึ่งท่านเปรียบไว้คล้ายดั่งไฟ
แสงที่ส่องเข้าไปกระทบในดวงตา
จึงเรียกว่า "ธาตุไฟ"

ลำดับสุดท้ายที่จะกล่าวถึงก็คือ
การร่วมกันสร้างช่องหู
เพื่อให้รับรู้ "คลื่นเสียง" จากภายนอก

เนื่องจากคลื่นเสียงที่ผ่านเข้าสู่ประสาทหู
มันเดินทางมาแบบคลื่นที่สั่นเป็นระลอก
ต่อๆกันมาเรื่อยๆคล้ายคลื่นน้ำ
โดยมีตัวกลางที่คลื่นเคลื่อนผ่านคืออากาศ
จึงกำหนดให้ช่องหูที่สร้างขึ้นมาทั้งสองข้าง
เป็นที่กำเนิดของ "ธาตุน้ำ"

นี่จึงเท่ากับว่า
ทั้ง 3 ภาคส่วนก็ได้ร่วมกันสร้าง
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ที่มีกลไกอายตนะภายนอกทั้ง 5 ขึ้นมา
คือ ตา หู จมูก ลิ้น+ปาก และกายสัมผัส
อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

Question 3:
เมื่อธาตุทั้งห้าครบองค์ 
วิถีแห่งจักรวาลจึงเริ่มเคลื่อนหมุน 

Answer:
เมื่อเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ถูกสร้างขึ้นโดยสมบูรณ์แบบแล้ว
เจ้ากุมารน้อยผู้ปฏิสนธินั้
ก็จะพร้อมเป็นสรรพสิ่งหนึ่งในจักรวาลนี้
ที่จักต้องหมุนธรรมจักรในตนเองให้ได้

แล้วร่วมกันกับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ
ช่วยกันขับเคลื่อนดาวโลกเสรีดวงนี้
ให้เหวี่ยงหมุนไปด้วยกันอย่างไม่สิ้นสุด
เพื่อปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 ต่อไป
ทั้งหมดที่กล่าวนี้เป็น "วิถีแห่งจักรวาล"

Question 4:
ธาตุไม้ (บิดา) ธาตุทอง(มารดา)
ได้ผสมผสานกันขึ้น
ได้ก่อกำเนิดจิตวิญญาณเดิม 96 ดวง 
แผ่คลุมไปทั่วสากลโลก 

คำถาม เอกธาตุ คือ พระบิดา ? 
ไตรวิสุทธิคงคา และ ห้าธาตุ 
คือแดนใด ในเอกภพ 
ใช่แดนสุญญตาหรือไม่? 

ทำไมจึงกล่าวว่าก่อกำเนิด
จิตวิญญานเดิม 96 ดวง ? 

เต๋ากล่าว 3 5 ก่อเกิด 9 6 สร้างสรรค์สรรพสิ่ง
ขออาจารย์เมตตาเสริมเติมปัญญา..

Answer:
คำถามข้อนี้เราจะกล่าวความจริง
เท่าที่เราจะกล่าวได้ดังนี้

1.เอกธาตุ คือ พระบิดา 
2.ไตรวิสุทธิคงคา คือ แม่น้ำสามสาย
อันหมายถึงพระบิดา พระบุตร และพระจิต
ในมิติทางพลังงานแห่งจักรวา

3.ไตรวิสุทธิคงคา คือ แม่น้ำสามสาย
อันหมายถึงจิตวิญญาณ
จิตหยาบ และกายหยาบ
ในมิติโลกด้านกายภาพ

4.ที่ท่านถามมา
ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับเอกภพและแดนสุญตา
ผู้กล่าวสอนมิได้หมายไกลอย่างที่คิด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-4-2017

พระโอวาทของพระอาจารย์จี้กง





ตอบคำถาม: Anothai Bunjong‎
ขอ ท่าน อ.ปริญญา เมตตาขยายความ 
บันทึกพระโอวาทของพระอาจารย์จี้กง 
กล่าวว่า ....

Question 1:
ตาเห็นแต่ไม่จำ หูได้ยินแต่ไม่บันทึก 
Answer:
หมายถึง อายตนะที่เป็นตาและหู
เมื่อได้เห็นและได้ฟังสิ่งใดๆ
ตัวอายตนะเองจะไม่บันทึกจดจำสิ่งนั้นไว้
แต่จะทำหน้าที่เพียงถ่ายทอด
สิ่งที่ได้เห็นหรือได้ฟังนั้น
เข้าไปสู่จิตที่อยู่ข้างในจนหมดสิ้น

Question 2:
จิตใจจะตรงไม่งอเป็นเข็มเบ็
Answer:
เมื่อจิตรับข้อมูลที่อายตนะภายนอกส่งมาให้
จิตก็จะสั่นสะเทือนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ว่า
ข้อมูลที่ส่งเข้ามานั้นอะไรเป็นอะไร
นั่นคือชั้นตอนที่เราเรียกว่า #การรับรู้ นั่นเอง

Question 3:
สัมภาระก็จะเกี่ยวไม่ติด 
สรรพกิจก็จะไม่มีอุปสรรค 
Answer:
ถ้าจิตที่เป็นอายตนะภายใน
เมื่อได้รับข้อมูลใดจากอายตนะภายนอก
ก็จะนำเอาข้อมูลที่ได้รับนั้นมา"เรียนรู้"

โดยไม่เอาข้อมูลที่ได้รับนั้นมาเป็น "เงื่อนไข"
ที่จะทำให้จิตใจของตนสั่นสะเทือน
เกิดเป็นตัณหา ราคะ และเวทนา
มันคือการ #รับรู้แล้วไม่รับเอา นั่นเอง

ถ้าหากท่านทำเช่นนี้ได้
ภารกิจการเรียนรู้โลกของจิตวิญญาณ
ผ่านทางจิตหยาบกับอายตนะของท่าน
มันก็จะไม่มีอุปสรรคเลย

นอกจากนั้น
ถ้าจิตรับรู้แล้วไม่รับเอาข้อมูลนั้นๆมาปรุงแต่ง
เป็นความรู้สึก เป็นความอยาก เป็นอารมณ์
โดยจิตทำหน้าที่เรียนรู้อย่างตรงไปตรงมาได้
การก่อกรรมให้เกิดผลกรรมใดๆ
ที่ตนต้องรับผิดชอบหรือเป็นภาระย่อมไม่มี

เมื่อไม่มีผลกรรมใดๆปรากฏเกิดขึ้น
เพราะจิตมีแต่รับรู้เพื่อเรียนรู้อย่างเดียว
การที่จิตวิญญาณของท่าน
จะไปเกี่ยวกรรมกับใครผู้ใดจึงย่อมไม่มี

นั่นแปลว่า...
จิตของท่านจึงเปรียบเสมือนเข็ม
ที่ไม่งอเป็นตะขอเหมือนเบ็ด
มันจะเกี่ยวอะไรก็ไม่ได้
อะไรจะเข้ามาเกี่ยวติดเบ็ดก็ไม่มี

Question 4:
แล้วเลือดก็จะแปรเปลี่ยนเป็นธรรม 

Answer:
ถ้าในชีวิตประจำวันของท่าน
สามารถเข้าถึงการทำงานร่วมกันของจิต
กับอายตนะทั้งหมดของท่านเพื่อการเรียนรู้โลก
ด้วยวิธี #รับรู้ไม่รับเอา ที่ว่านี้ได้ตลอดชีพ
จิตของท่านก็จะสั่นสะเทือนด้านบวกทางเดียว

การสั่นสะเทือนด้านบวกของจิตท่านนั้น
มันจะส่งผลให้กลไก Corpuscollosum 
ซึ่งมีลักษณะคล้ายฐานรองก้อนสมองสองซีก
เกิดการผลิตสร้างประจุบวกออกมา
เมื่อธารเม็ดเลือดแดงไหลผ่านสมองซีกซ้าย
การเปลี่ยนถ่ายประจุบวก
เข้าสู่เม็ดเลือดแดงก็จะเกิดขึ้นทันที

ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตของท่าน
ให้มีความสุขสนุกสนานกับการเรียนรู้
โดยไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเร้าเหล่านั้นได้
เม็ดเลือดแดงที่ไหลเวียนในร่างกายท่าน
ก็จะเป็นเม็ดเลือดแดงบริสุทธิ์ 100%

Question 5:
เหมือนดั่งมนุษย์มีปีกสองข้าง 
เหมือนดั่งธนูที่ยิงขึ้นไปในอากาศ 
Answer:
ถ้าในชีวิตประจำวัน
ท่านสามารถ "รับรู้เพื่อเรียนรู้" ได้ตลอดวัน
โดยไม่มีการรับรู้เพื่อรับเอา
ตามที่เราขยายความไว้ให้แล้วนั้น
ผลกรรมที่จะต้องเกี่ยวกรรมกับใครอื่น
มันก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น

นอกจากนั้นท่านยังจะสามารถ
แก้ไขกรรมเก่าที่ท่านเคยผิดพลาด
ในภพชาติอดีตที่ผ่านมาได้อีกด้วย

ดังนั้น
ดวงจิตธรรมญาณของท่าน
ก็จะมีน้ำหนักมวลลดลงเข้าหา 50 มก.
อันเป็นน้ำหนักเดิมแท้ของท่านเองได้
นั่นจึงเท่ากับว่าแก่นแท้ของท่าน
มีน้ำหนักลดลงคือ "ตัวเบาขึ้น"

เปรียบดั่งท่านมีปีกเหมือนนกที่บินได้
ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆโดยแท้

นอกจากนั้น
จิตของท่านก็จะมีพลัง
จนสามารถติดต่อสื่อสารกับจักรวาลได้เอง
เมื่อสิ้นอายุขัยเมื่อใด
จิตวิญญาณของท่านก็จักพุ่งผ่านสู่ประตูมิติ
เพื่อการหลุดพ้นได้ดุจธนูพุ่งออกจากแหล่ง

Question 6:
หากจิตเหมือนเข็มเบ็ดตกปลา 
หย่อนลงในทะเลทุกข์
ก็จะเกี่ยวเอาพวกไม้และสวะ
กรรมเวรนั้นติดตามมา 

ถึงแม้จะมีพระเจ้าคอยฉุดลาก 
ก็มิอาจลากขึ้นมาได้

Answer:
ถ้าจิตท่านมีการ "รับรู้แล้วรับเอา" เกิดขึ้น
จิตของท่านก็ไม่ต่างจากเบ็ดตกปลา
หย่อนลงไปตรงไหนก็จะติดสวะติดทุกข์
ซึ่งเป็นดั่งกรรมเวรติดขึ้นมาด้วยเสมอ

แม้ว่าจะมีพระบิดาทรงเมตตา
มีพระบัญชาให้เรามาฉุดช่วยพวกท่าน
ก็จะมิอาจช่วยท่านให้หลุดพ้นได้

ถ้าท่านไม่ใส่ใจในคำสื่อสอนของเรา
ถ้าท่านปฏิเสธพระบิดาไม่ศรัทธาเรา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-4-2017

วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2560

ความอยากด้านบวก







ตอบคำถาม: Nui Diamond
Question:

กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
หากเราอยากทางบวก เช่น
อยากทำดี อยากปลูกต้นไม้
อยากไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลายและเปิดโลกทัศน์
อยากไปฟังธรรม

และเรามักสนองตอบความอยากนั้น
เช่นรีบทำงานให้เสร็จเพื่อจะได้ไปฟังธรรม
อยากได้รถใหม่ เพราะคันเก่าซ่อมบ่อยแล้ว

ที่ยกตัวอย่างมาไม่ใช่ความอยาก
ที่ต้องแทรกแซงใช่ไหมคะ
กราบขอบพระคุณคะ

Answer:
เราขอกล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า

1.ความอยากด้านบวกนั้น
เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณ
ที่ใช้เพื่อกระตุ้นจิตหยาบให้ทำงาน
ร่วมกันกับหน้าต่างภายนอกทั้งห้า
และหน้าต่างข้างในอีกหนึ่งคือจิตเอง
เพื่อสร้างกระบวนการ "เรียนรู้" โดยแท้

2.กระบวนการเรียนรู้ของจิตนั้น
จึงมีขั้นตอนดังนี้ คือ

ขั้นตอนแรก
จะเกิดการสัมผัสสรรพสิ่งรอบตัว
ด้วยอายตนะภายนอกทั้งห้า
เมื่ออายตนะนั้นๆ"#สัมผัส" สิ่งนั้นแล้ว

ขั้นตอนที่สอง
อายตนะนั้นๆก็จะถ่ายทอด
รหัสสัญญาณที่ตนสัมผัสไปสู่จิต

ขั้นตอนที่สาม
จิตก็จะสั่นสะเทือนเพื่อ"#รับรู้"
รหัสสัญญาณที่ถูกส่งเข้าไปนั้นทันที

ขั้นตอนที่สี่
เมื่อจิตรับรหัสสัญญาณนั้นแล้ว
ก็จะเรียนรู้ด้วยตนเองในทันทีว่า
สัญญาณที่ถ่ายทอดมา
จากอายตนะนั้นๆ"อะไรเป็นอะไร"

ขั้นตอนที่ห้า
เมื่อจิตรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
จิตก็จะสั่นสะเทือนเป็น "การนึก"
แบบใดแบบหนึ่งใน 3 แบบ นั่นคือ
นึกออก นึกเอา และนึกเอง

ขั้นตอนที่หก
จิตจะนำสิ่งที่ตนนึกนั้น
ไปสั่นสะเทือนร่วมกันกับสมอ
ที่ท่านทั้งหลายเรียกว่า #การคิด นั่นเอง

3.ที่เรากล่าวมานี้
เป็นกระบวนการเรียนรู้ของจิ
ที่ต้องอาศัยหน้าต่างของจิตวิญญาณ
คือ อายตนะภายนอกทั้งห้า
ร่วมกับสมองสองซีกของท่านนั่นแหละ

ดังนั้น
ถ้าจิตท่านสั่นสะเทือนเป็นการอยากรู้
อยากเห็น อยากดม อยากสัมผัส
อยากชิม อยากฟัง และอื่นๆ
ในอันที่จะกระตุ้นอายตนะให้ทำงาน
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อะไรๆแล้ว
มันคือ "ความอยากด้านบวก"

4.ถ้าเป็นการอยากเพื่อการทำหน้าที่
ที่ตนต้องรับผิดชอบ
ทั้งหน้าที่ทางโลกและทางจิตวิญญาณ
นี่ก็เป็นความอยากด้านบวกเช่นกัน

เช่น อยากหลุดพ้น คือนิพพาน
อยากประสบความสำเร็จ
อยากมีสุขภาพพลานามัยดี เป็นต้น

5.อยากทำความดีงาม
เพราะรู้ว่าทำแล้วดีต่อผู้อื่น นี่เป็นบวก

อยากทำความดีงาม
เพราะอยากได้ใคร่ดี นี่เป็นลบ

อยากไปฟังพระโอวาทพระบิดา
เพราะอยากเรียนรู้ นี่เป็นบวก
เพราะเป็นการทำตามหน้าที่ ที่ต้องทำ

อยากไปฟังพระโอวาทพระบิดา
เพราะต้องการหาหนทางกลับบ้า
นี่ก็เป็นบวก
เพราะเป็นการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ

6.จงระวัง....
ความอยากจะให้....นี่เป็นบว
อยากจะได้ อยากจะเอาประโยชน์ใส่ตน
ในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่....นี่ก็เป็นลบ

หลักการพิจารณามี 6 ข้อเท่านี้เอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-4-2017

วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

วิธีใช้ มหาสติ




#ตอบคำถาม : Rakchai Gurusastra

กราบเรียนถาม...ท่านอาจารย์ครับ

Question1.
การมองย้อนไปหาอดีต
เพื่อให้รู้อดีต คือ อย่างไรครับ

Question 2.
การแลไปข้างหน้า
เพื่อมองให้เห็นอนาคตด้วย คืออย่างไรครับ
กราบขอบพระคุณครับ

Answer 1 & 2 :
1.จงมองปัจจุบัน
ไปตามความจริงที่เห็นได้จากสิ่งที่เป็น

2.จงมองย้อนหาอดีต
โดยการคิดวิเคราะห์ด้วยปัญญ
เพื่อค้นหาเหตุและผล หรือที่มาที่ไป
ในลักษณะของอดีตเป็นเหตุแห่งปัจจุบัน

3.จงมองไปในกาลข้างหน้า
ด้วยการคิดวิเคราะห์เชิงสร้างสรรค์ว่า
ถ้าปัจจุบันเป็นอย่างที่เห็
มันจะเป็นเหตุให้เกิดผลดี-เด่น-ด้อยอันใด
ที่จะมาถึงในอนาคตบ้าง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-4-2017

หมายเหตุ:
ขอบคุณที่ช่วยกันแชร์ออกไปจากห้องเรียน
เพื่อแบ่งปันสมาชิกในกลุ่มของท่าน
เป็นธรรมวิทยาทาน

สาธุโมทนา
^แอ็ดมิน^

ความไม่เหมาะสม คือ ความเหมาะสม






#ตอบคำถาม:
แม่น้องภูริ พัณณมาศ มิศกะเสวตร์

Question:
กราบขอคำอธิบายประโยคที่ว่า
" ความไม่เหมาะสม คือ ความเหมาะสม "
ในความหมายของจิตจักรวาลอีกครั้งค่ะ อาจารย์...
ขอบคุณค่ะ

Answer:
กรณีคนที่ก่อกรรมทำชั่วไว้
แล้วต้อง "ถูกลงโทษ"
ไปตามกรรมที่ตนก่อไว้นั้น

1.การถูกลงโทษ
ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมแน่นอน
เพราะเป็นการทำร้ายร่างกายและจิตใจคน

2.แต่เหมาะสมแล้วใช่รึไม่
ที่จะต้องใช้วิธีการอันไม่เหมาะสมนั้น
เพื่อจัดการกับจิตสามนึกที่บกพร่องของคน
ให้เกิดความมีสำนึกขึ้นมาได้ในกรณีนั้นๆ

3.ถ้าท่านไม่รู้ต้นสายแห่งผลกรรมนั้น
ท่านก็ย่อมเห็นการลงโทษทำร้ายกัน
เป็นความไม่เหมาะสม

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจงละทิ้ง
นิสัยการมองโลกแบบเดิมๆ
คือ มองทุกสิ่งแต่เพียงปัจจุบันขณะที่แลเห็น
เหมือนมองทุกสิ่งรอบตัวแบบแบนๆ
ทั้งๆที่ทุกสรรพสิ่งแม้กระทั่งกาลเวลา
มันก็มิได้มีความจริงแค่เพียงมิติเดียว

ท่านจักต้องอยู่ในปัจจุบัน แล้วรู้ปัจจุบัน
พร้อมกับการมองย้อนไปหาอดีต เพื่อรู้อดีต
และแลไปข้างหน้าเพื่อมองให้เห็นอนาคตด้วย
นี่มันเป็น #มหาสติ ที่องค์จิตจักรวาล
ทรงสื่อมาสร้างสติทางวิญญาณ
แก่ท่านทั้งหลายเอาไว้แล้วมิใช่หรือ

4.นี่คือคำกล่าวของเราที่ว่
"ความไม่เหมาะสม คือ ความเหมาะสม"
เพื่อบอกท่านทั้งหลายว่า
เรื่องราวหลายอย่าง
จะเอาแต่คิดแบบจิตมนุษย์ไม่ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-4-2017

หมายเหตุ:
ขอบคุณที่ช่วยกันแชร์ออกไปจากห้องเรียน
เพื่อแบ่งปันสมาชิกในกลุ่มของท่าน
เป็นธรรมวิทยาทาน

สาธุโมทนา
^แอ็ดมิน^

วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

เหมือนศาสนาคริสต์ผสมพุทธหรือเปล่า





#ตอบคำถาม: บุศรินทร์ ณ นคร
Question:
เหมือนศาสนาคริสต์ผสมพุทธหรือเปล่า
Answer:
เราจะกล่าวความจริงให้เธอรู้ว่า
1.ทุกศาสนาในโลกนี้ล้วนเป็นสากล
2.ทุกพระศาสดาล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
พระองค์ทรงมาจากที่เดียวกัน
ทรงมาฉุดช่วยเวไนยเหมือนกัน
เพียงแต่เสด็จมาคนละยุคกันเท่านั้น
ถ้าเธอยังคิดแยกคริสต์แยกพุทธ
แสดงว่าเธอก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่า
ตนกำลังมองศาสนาเป็นแค่เพียงลัทธิ
มองพระศาสดาเสมอเพียงเจ้าลัทธิเท่านั้น
เพราะทั้งคำว่า "ศาสดาและศาสนา"
ล้วนสูงส่งยิ่งกว่าการคิดด้วยจิตมนุษย์เสียอีก
3.ถ้าเป็นสัจธรรมแท้จริง
ไม่ว่าพระศาสดาพระองค์ใดสอนเธอ
คำสอนนั้นย่อมเหมือนกัน
4.พระศาสดาทรงมาสอนมนุษย์คนละยุคสมัย
แต่ละยุคสมัยสาระที่สอนมีทั้งเรื่องเดียวกัน
และคนละเรื่องกันก็มี
บางพระองค์เน้นสอนแต่เรื่องโลกิยธรรม
บางพระองค์เน้นสอนแต่เรื่องโลกุตรธรรม
บางพระองค์เน้นสอนทั้งเรื่องโลกิยธรรม + โลกุตรธรรม
เธอน่ะเคยคิดพิจารณาความจริง
ที่เรากล่าวนี้บ้างหรือเปล่า
แต่อย่างไรก็ดี
ทุกเรื่องที่พระศาสดาแต่ละพระองค์
ทรงเมตตานำมาสอนมนุษย์นั้น
ล้วนเป็นสัจธรรมที่เธอต้องใส่ใจรับรู้เพื่อเรียนรู้ทั้งสิ้น
ทำไมเธอจึงยังคิดแบ่งแยกอยู่เช่นนี้ล่ะ
5.แต่ที่เรามาสอนมนุษย์ในยุคนี้
เรามีคำสอนครอบจักรวาลเลยล่ะ
ก็เพื่อช่วยให้พวกเธอที่ "ศึกษาธรรมะมานาน
แต่ยังนิพพานไม่ได้" เพราะมัวแต่แบ่งแยกนี่แหละ
ให้ดำเนินอย่างถูกทาง
เพื่อนำพวกเธอเข้าถึงการหลุดพ้นแท้จริง
สัจธรรมที่เราสอนก็คือ เราสอนเรื่อง
โลกิยธรรม + โลกุตรธรรม + อนุตรธรรม
แน่นอน...เพราะเธอศึกษาธรรมะแบ่งแบ่งแยก
เธอย่อมเห็นคำสอนของเรา
เป็นเหมือนทุกศาสนามารวมกันเลยทีเดียว
6.เป็นบุญแล้วล่ะนะที่เธอยังเห็นว่า
คำสอนของเราตรงตามที่พระศาสดาท่านสอนไว้
นี่แสดงว่าเรามิได้อวดอุตริเพื่อสร้างลัทธิใหม่
แต่คำสอนของเราเป็นการสื่อมา
จากองค์จิตจักรวาล
ผู้เป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเธอเอง
และทุกคนบนโลกเสรีนี้
เพื่อชี้ทางหลุดพ้นให้เธอและทุกๆคนต่างหาก
คนฉลาดทั้งหลาย
ย่อมแลเห็นความจริงได้ว่า
เรามีสิ่งดีๆที่ท่านไม่สมควรจะผ่านเลยไป
เมื่อได้แวะเวียนเข้ามาที่นี่แล้ว...
เราจะขอกล่าวต่อเธอว่า
เราน่ะไม่มีหน้าที่ให้โชคลาภเป็นตัวเลข
แก่เธอหรือใครๆที่ยังอยากรวย
ด้วยการมุ่งสร้างสมบัติไว้บนโลกนี้หรอก
เพราะเราเห็นว่าสมบัติบนโลกมันเสื่อมได้
ตัวขมวนก็จะคอยแอบกัดแทะให้เสียหายอีก
แต่เรามีหน้าที่ให้ปัญญา
แก่มนุษย์ที่มีพุทธิจริต
ที่จะใช้เพื่อการหลุดพ้นหรือนิพพาน
ในภพชาตินี้กันให้ได้ต่างหากล่ะ
เราพร้อมและยินดีชักชวนให้เธอ
หันมาสร้างสมบัติไว้บนสวรรค์แทนจะดีกว่า
บนนั้นน่ะไม่มีตัวขมวนคอยแอบกัดกิน
ทรัพย์สมบัติบนนั้นไม่มีใครขโมยของเธอได้
เพราะสมบัติที่เธอสร้างสมไว้อยู่ที่ไหน
ใจของเธอก็อยู่ที่นั่นด้วย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-4-2017
#ตอบคำถาม: บุศรินทร์ ณ นคร
Question:
เหมือนศาสนาคริสต์ผสมพุทธหรือเปล่า
Answer:
เราจะกล่าวความจริงให้เธอรู้ว่า
1.ทุกศาสนาในโลกนี้ล้วนเป็นสากล
2.ทุกพระศาสดาล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
พระองค์ทรงมาจากที่เดียวกัน
ทรงมาฉุดช่วยเวไนยเหมือนกัน
เพียงแต่เสด็จมาคนละยุคกันเท่านั้น
ถ้าเธอยังคิดแยกคริสต์แยกพุทธ
แสดงว่าเธอก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่า
ตนกำลังมองศาสนาเป็นแค่เพียงลัทธิ
มองพระศาสดาเสมอเพียงเจ้าลัทธิเท่านั้น
เพราะทั้งคำว่า "ศาสดาและศาสนา"
ล้วนสูงส่งยิ่งกว่าการคิดด้วยจิตมนุษย์เสียอีก
3.ถ้าเป็นสัจธรรมแท้จริง
ไม่ว่าพระศาสดาพระองค์ใดสอนเธอ
คำสอนนั้นย่อมเหมือนกัน
4.พระศาสดาทรงมาสอนมนุษย์คนละยุคสมัย
แต่ละยุคสมัยสาระที่สอนมีทั้งเรื่องเดียวกัน
และคนละเรื่องกันก็มี
บางพระองค์เน้นสอนแต่เรื่องโลกิยธรรม
บางพระองค์เน้นสอนแต่เรื่องโลกุตรธรรม
บางพระองค์เน้นสอนทั้งเรื่องโลกิยธรรม + โลกุตรธรรม
เธอน่ะเคยคิดพิจารณาความจริง
ที่เรากล่าวนี้บ้างหรือเปล่า
แต่อย่างไรก็ดี
ทุกเรื่องที่พระศาสดาแต่ละพระองค์
ทรงเมตตานำมาสอนมนุษย์นั้น
ล้วนเป็นสัจธรรมที่เธอต้องใส่ใจรับรู้เพื่อเรียนรู้ทั้งสิ้น
ทำไมเธอจึงยังคิดแบ่งแยกอยู่เช่นนี้ล่ะ
5.แต่ที่เรามาสอนมนุษย์ในยุคนี้
เรามีคำสอนครอบจักรวาลเลยล่ะ
ก็เพื่อช่วยให้พวกเธอที่ "ศึกษาธรรมะมานาน
แต่ยังนิพพานไม่ได้" เพราะมัวแต่แบ่งแยกนี่แหละ
ให้ดำเนินอย่างถูกทาง
เพื่อนำพวกเธอเข้าถึงการหลุดพ้นแท้จริง
สัจธรรมที่เราสอนก็คือ เราสอนเรื่อง
โลกิยธรรม + โลกุตรธรรม + อนุตรธรรม
แน่นอน...เพราะเธอศึกษาธรรมะแบ่งแบ่งแยก
เธอย่อมเห็นคำสอนของเรา
เป็นเหมือนทุกศาสนามารวมกันเลยทีเดียว
6.เป็นบุญแล้วล่ะนะที่เธอยังเห็นว่า
คำสอนของเราตรงตามที่พระศาสดาท่านสอนไว้
นี่แสดงว่าเรามิได้อวดอุตริเพื่อสร้างลัทธิใหม่
แต่คำสอนของเราเป็นการสื่อมา
จากองค์จิตจักรวาล
ผู้เป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเธอเอง
และทุกคนบนโลกเสรีนี้
เพื่อชี้ทางหลุดพ้นให้เธอและทุกๆคนต่างหาก
คนฉลาดทั้งหลาย
ย่อมแลเห็นความจริงได้ว่า
เรามีสิ่งดีๆที่ท่านไม่สมควรจะผ่านเลยไป
เมื่อได้แวะเวียนเข้ามาที่นี่แล้ว...
เราจะขอกล่าวต่อเธอว่า
เราน่ะไม่มีหน้าที่ให้โชคลาภเป็นตัวเลข
แก่เธอหรือใครๆที่ยังอยากรวย
ด้วยการมุ่งสร้างสมบัติไว้บนโลกนี้หรอก
เพราะเราเห็นว่าสมบัติบนโลกมันเสื่อมได้
ตัวขมวนก็จะคอยแอบกัดแทะให้เสียหายอีก
แต่เรามีหน้าที่ให้ปัญญา
แก่มนุษย์ที่มีพุทธิจริต
ที่จะใช้เพื่อการหลุดพ้นหรือนิพพาน
ในภพชาตินี้กันให้ได้ต่างหากล่ะ
เราพร้อมและยินดีชักชวนให้เธอ
หันมาสร้างสมบัติไว้บนสวรรค์แทนจะดีกว่า
บนนั้นน่ะไม่มีตัวขมวนคอยแอบกัดกิน
ทรัพย์สมบัติบนนั้นไม่มีใครขโมยของเธอได้
เพราะสมบัติที่เธอสร้างสมไว้อยู่ที่ไหน
ใจของเธอก็อยู่ที่นั่นด้วย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-4-2017