พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
กิเลส ตัณหา และราคะจริต เป็นจิตฝ่ายต่ำ
ที่ทุกท่านจักต้องผ่านมันไปให้ได้
ถ้าผ่านมันไปไม่ได้สภาวะจิตของท่านก็จะไม่ก้าวหน้า
ที่ทุกท่านจักต้องผ่านมันไปให้ได้
ถ้าผ่านมันไปไม่ได้สภาวะจิตของท่านก็จะไม่ก้าวหน้า
ที่ไม่ก้าวหน้าก็เพราะว่าจิตของท่าน
จะสั่นสะเทือนอยู่แต่ความถี่ในย่านนี้เท่านั้น
คือ โลภะ โทสะ โมหะ
จะสั่นสะเทือนอยู่แต่ความถี่ในย่านนี้เท่านั้น
คือ โลภะ โทสะ โมหะ
วันๆเหมือนท่านเดินขึ้นเดินลงบันไดอยู่แค่ 3 ขั้น
ทั้งๆที่ยังมีบันไดเหลืออยู่อีกตั้งหลายขั้น
กว่าท่านจะพาตนเองขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุดได้
ทั้งๆที่ยังมีบันไดเหลืออยู่อีกตั้งหลายขั้น
กว่าท่านจะพาตนเองขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุดได้
บันไดขั้นที่สูงกว่าสามขั้นนี้หมายถึง
แรงสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวก
ที่จิตยังยกระดับการสั่นสะเทือนต่อไปได้อีก
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ในย่านของ "ความรัก" ล้วนๆ
คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ท่านจะไม่สามารถยกระดับสภาวะจิต
ให้สูงขึ้นไปทางด้านบวกในย่านความรักนี้ได้เลย
ถ้าท่านยังมัวขึ้นๆลงๆบันไดแค่สามขั้น
เป็น โลภ โกรธ หลง-งมงาย อยู่แถวๆนี้
แรงสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวก
ที่จิตยังยกระดับการสั่นสะเทือนต่อไปได้อีก
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ในย่านของ "ความรัก" ล้วนๆ
คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ท่านจะไม่สามารถยกระดับสภาวะจิต
ให้สูงขึ้นไปทางด้านบวกในย่านความรักนี้ได้เลย
ถ้าท่านยังมัวขึ้นๆลงๆบันไดแค่สามขั้น
เป็น โลภ โกรธ หลง-งมงาย อยู่แถวๆนี้
ถ้าท่านจะผ่านมันไปได้
ก็ต้องใช้มหาสติควบคุมจิตตนเองไว้
แล้วสั่นสะเทือนเป็น "รักเพื่อให้" แทน
ในทุกๆคนทุกๆกรณีที่ท่านต้องตอบสนอง
ที่ท่านต้องมีสัมพันธ์ด้วย
ก็ต้องใช้มหาสติควบคุมจิตตนเองไว้
แล้วสั่นสะเทือนเป็น "รักเพื่อให้" แทน
ในทุกๆคนทุกๆกรณีที่ท่านต้องตอบสนอง
ที่ท่านต้องมีสัมพันธ์ด้วย
ถ้าจะรักเพื่อให้ใครๆก็ได้แม้เขาไม่น่ารัก
ท่านก็จักต้องมองเห็นคุณค่าของคนผู้นั้นก่อน
ซึ่งท่านจะมองเห็นคุณค่าของคนอื่นได้
มิใช่เพียงแค่ใช้สองตาเนื้อจ้องมองเท่านั้น
แต่ท่านต้องมองเห็นคุณค่าด้วยปัญญาต่างหาก
ท่านก็จักต้องมองเห็นคุณค่าของคนผู้นั้นก่อน
ซึ่งท่านจะมองเห็นคุณค่าของคนอื่นได้
มิใช่เพียงแค่ใช้สองตาเนื้อจ้องมองเท่านั้น
แต่ท่านต้องมองเห็นคุณค่าด้วยปัญญาต่างหาก
ท่านจงอย่าปล่อยให้จิตใจมันเป็นอิสระ
เพราะมันจะสั่นสะเทือนไปตามเงื่อนไขปลุกเร้าเสมอ
ถ้าชอบจิตก็จะสั่นตอบสนองเป็นบวก
ถ้าไม่ชอบจิตก็จะสั่นตอบสนองเป็นลบ
ท่านจึงปล่อยให้จิตใจของท่านอิสระไม่ได้
ท่านจักต้องคุมจิตตนเองเอาไว้เสมอ
เพราะจิตมันเหมือนลิงที่มีนิสัยซุกซนอยู่ไม่สุข
เพราะมันจะสั่นสะเทือนไปตามเงื่อนไขปลุกเร้าเสมอ
ถ้าชอบจิตก็จะสั่นตอบสนองเป็นบวก
ถ้าไม่ชอบจิตก็จะสั่นตอบสนองเป็นลบ
ท่านจึงปล่อยให้จิตใจของท่านอิสระไม่ได้
ท่านจักต้องคุมจิตตนเองเอาไว้เสมอ
เพราะจิตมันเหมือนลิงที่มีนิสัยซุกซนอยู่ไม่สุข
ท่านจึงต้องหยิบ "#มหาสติ" ขึ้นมาถือครองไว้
โดยสติแรกที่ต้องนำมาใช้ปกครองจิต
เพื่อให้รู้เท่าทันอาการของจิตก็คือ #การรู้สติ
ซึ่งหมายถึงการรู้เท่าทันว่าในขณะนั้น
จิตสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดแบบใดอยู่
รู้เท่าทันว่าเพราะเมื่อครู่นี้ท่านเผชิญกับสิ่งใดมา
ทั้งท่านยังจะต้องรู้ว่าต่อไปข้างหน้ามันจะเป็นยังไง
ถ้าท่านจะสั่นสะเทือนทางจิตใจตอบสนอง
ในแบบที่ท่านกำลังจะกระทำนั้น
โดยสติแรกที่ต้องนำมาใช้ปกครองจิต
เพื่อให้รู้เท่าทันอาการของจิตก็คือ #การรู้สติ
ซึ่งหมายถึงการรู้เท่าทันว่าในขณะนั้น
จิตสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดแบบใดอยู่
รู้เท่าทันว่าเพราะเมื่อครู่นี้ท่านเผชิญกับสิ่งใดมา
ทั้งท่านยังจะต้องรู้ว่าต่อไปข้างหน้ามันจะเป็นยังไง
ถ้าท่านจะสั่นสะเทือนทางจิตใจตอบสนอง
ในแบบที่ท่านกำลังจะกระทำนั้น
เมื่อท่านรู้เท่าทันจิตตนเองแล้ว
ท่านยังต้องหยิบสติที่สองขึ้นมาใช้ต่อไปอีก
ท่านยังต้องหยิบสติที่สองขึ้นมาใช้ต่อไปอีก
สติที่สองที่ว่านี้ก็คือ #มีสติ"
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการ "รับรู้" อย่างฉลาด
หมายความว่า "รับรู้เพื่อเรียนรู้" ว่าอะไรเป็นอะไร
เป็นการรับรู้แล้วต้องนำมาขบคิดพิจารณา
มิใช่รับรู้แล้วรับเอามาเป็นเงื่อนไขทางจิต
การรับรู้เพื่อเรียนรู้มี 3 ลักษณะ คือ
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการ "รับรู้" อย่างฉลาด
หมายความว่า "รับรู้เพื่อเรียนรู้" ว่าอะไรเป็นอะไร
เป็นการรับรู้แล้วต้องนำมาขบคิดพิจารณา
มิใช่รับรู้แล้วรับเอามาเป็นเงื่อนไขทางจิต
การรับรู้เพื่อเรียนรู้มี 3 ลักษณะ คือ
1.#รับรู้แล้วรับเอา เพราะเห็นว่ามีสาระประโยชน์
2.#รับรู้แล้วไม่รับเอา เพราะเห็นว่าไร้สาระ
3.#ไม่รับรู้ไม่รับเอา เพราะมันเป็นสิ่งที่รู้ๆกันอยู่แล้ว
2.#รับรู้แล้วไม่รับเอา เพราะเห็นว่าไร้สาระ
3.#ไม่รับรู้ไม่รับเอา เพราะมันเป็นสิ่งที่รู้ๆกันอยู่แล้ว
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ถ้าท่านสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดแล้ว
ไม่นึก ไม่คิด ไม่เรียนรู้ให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
กิเลสตัณหาและราคะจริตอย่างใดอย่างหนึ่ง
มันก็จะเบียดแทรกเข้ามาทันที
ถ้าท่านสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดแล้ว
ไม่นึก ไม่คิด ไม่เรียนรู้ให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
กิเลสตัณหาและราคะจริตอย่างใดอย่างหนึ่ง
มันก็จะเบียดแทรกเข้ามาทันที
สิ่งใดรู้แล้วเช่นเพื่อนคนนี้สันดานขี้ขโมย
เมื่อเจอพฤติกรรมลักขโมยของเขาเข้า
ก็ให้ท่านจงวางเฉยเสีย
อย่าตกอกตกใจหวั่นไหวเสียความรู้สึก
เพราะท่านรู้มาก่อนแล้วว่าเขาเป็นคนแบบนั้น
เมื่อท่านรู้มาก่อนแล้วหรือ "รู้ๆอยู่แล้ว"
จิตจึงต้องไม่ตกตาม
มันคือการรับรู้แล้วไม่รับเอานั่นเอง
เมื่อเจอพฤติกรรมลักขโมยของเขาเข้า
ก็ให้ท่านจงวางเฉยเสีย
อย่าตกอกตกใจหวั่นไหวเสียความรู้สึก
เพราะท่านรู้มาก่อนแล้วว่าเขาเป็นคนแบบนั้น
เมื่อท่านรู้มาก่อนแล้วหรือ "รู้ๆอยู่แล้ว"
จิตจึงต้องไม่ตกตาม
มันคือการรับรู้แล้วไม่รับเอานั่นเอง
ถ้าหากทุกๆวันท่านทำอย่างนี้ได้ทุกครั้ง
จิตของท่านก็จะเกิดการคุ้นชิน
จนกลายเป็น "วางเฉย" ได้เลยแม้ถูกยั่วยุ
ซึ่งอาการวางเฉยของจิตนี่แหละ
เรียกว่า #จิตเป็นอุเบกขา เพราะไม่รับรู้ไม่รับเอา
จิตของท่านก็จะเกิดการคุ้นชิน
จนกลายเป็น "วางเฉย" ได้เลยแม้ถูกยั่วยุ
ซึ่งอาการวางเฉยของจิตนี่แหละ
เรียกว่า #จิตเป็นอุเบกขา เพราะไม่รับรู้ไม่รับเอา
นี่จึงเป็นกระบวนการเอาชนะกิเลส
ซึ่งเป็นจิตฝ่ายต่ำหรือจิตหยาบด้วย #มหาสติ
ตามมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
ในบทบาทนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เพื่อการพัฒนาจิตตปัญญาสู่ด้านบวกสูงสุด
จนบรรลุมรรคผลสูงสุดทางจิตวิญญาณ
คือการหลุดพ้นหรือนิพพานนั่นเอง
ซึ่งเป็นจิตฝ่ายต่ำหรือจิตหยาบด้วย #มหาสติ
ตามมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
ในบทบาทนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เพื่อการพัฒนาจิตตปัญญาสู่ด้านบวกสูงสุด
จนบรรลุมรรคผลสูงสุดทางจิตวิญญาณ
คือการหลุดพ้นหรือนิพพานนั่นเอง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-4-2017
ป.วิสุทธิปัญญา
25-4-2017
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
"ถ้ายุคใดที่จิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำ ยุคนั้นมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ"
จิตสำนึกตกต่ำ หมาย ถึง มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของสมองได้ ดีแต่ใช้อารมณ์รู้สึกกับการนึกของจิตขับเคลื่อนพฤติกรรม และดีแต่ท่องจำข้อธรรมะเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้เลย ตัวอย่างเช่น การคิดลบต่อผู้อื่น กล่าวร้ายต่อผู้อื่น หรือการใช้วาจาเหยียดหยามถากถาง จาบจ้วงผู้อื่น เป็นต้น