วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

จิตสำนึกที่ดีนั้น คือ อย่างไร






เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เป็นเรื่องไม่ยากที่จะเข้าใจได้ว่า
การเป็นคนดีนั้นต้องเป็นผู้มีจิตสำนึกที่ดี

แต่เรื่องที่ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ
ใครจะเข้าใจกันได้บ้างว่า
จิตสำนึกที่ดีนั้น คือ อย่างไร

หากยังอิจฉาตาร้อนคนอื่นอยู่
หากยังอยากได้เกินความพอดีอยู่
หากปากยังเคี้ยวฆ่าเพื่อนร่วมโลกอยู่
หากปากยังก้าวล่วงคนอื่นอยู่
หากยังทำตนเหนือคนอื่นอยู่
หากยังบ้าอำนาจอยู่
หากยังมือถือสากปากถือศีลอยู่
หากยังมักมองคนอื่นในแง่ลบโดยไร้เหตุผลอยู่
หากยังบังคับผัวตน เมียตน ให้อยู่ในโอวาทอยู่
หากยังรักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็นอยู่
หากยังหูเบาเชื่อคนง่ายอยู่
หากยังใช้อารมณ์หยาบๆรายวันกันอยู่
หากยังชอบฝักใฝ่สิ่งอุตริอยู่
หากยังขาดมหาสติและปณิธานแห่งนิพพานอยู่
หากยังหลงทางไปนิพพานอยู่
หากยังจำพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของตนไม่ได้อยู่

ถ้ายังคงมีคุณสมบัติที่บกพร่องเหล่านี้
แม้สักเพียงหนึ่งข้ออยู่
จะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีจิตสำนึกดีแล้วได้อย่างไร
ท่านทั้งหลายต้องรู้จักประเมินตนเองเอาไว้เสมอ

จงอย่าได้แต่เก็บธรรมะ
จงอย่าดีแต่ถือธรรมะ
จงอย่าเด่นแต่ท่องธรรมะ
เพราะพฤติกรรมเหล่านี้
มันชำระจิตใจท่านให้ใสสวยไม่ได้
มันช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวท่านไม่ได้
ถ้าท่านไม่นำเอาธรรมะนั้นมา "ทำ"
ให้เป็นรูปธรรมในชีวิตจริง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-07-2016

มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ ด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้







เราเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลาย
เอาไว้ในกาลอดีตว่า

"มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่
ด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้
แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกถ้อยคำ
ซึ่งออกมาจากโอษฐ์ของพระเจ้า"

ในยุคปัจจุบันอันเป็นปลายยุคพลังงานเก่า
เราก็จะกล่าวความจริงเป็นทำนองเดียวกัน
ต่อท่านทั้งหลายว่า

ท่านทั้งหลายจะดำรงชีวิตอยู่ในชาตินี้
ด้วยเพียงอาศัยปัจจัยสี่ คือ อาหาร
เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
เพื่อบำรุงเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ในมิติโลกทางกายภาพอยู่ด้านเดียวไม่ได้

แต่ท่านทั้งหลายจักต้องดำรงชีวิตอยู่
ด้วยการนำพระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาล
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันด้วย
เพราะพระโอวาทแห่งพระเจ้าในทุกถ้อยความ
ล้วนเป็นกระยาหารทิพย์ของจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ซึ่งท่านจะปล่อยให้แก่นแท้ของตน
ขาดอาหารทิพย์นี้ไม่ได้

อีกทั้งบนดาวโลกดวงนี้ก็ไม่มีอาหารอื่นใด
ที่สอดคล้องกับความต้องการทางจิตวิญญาณเลย
นอกจาก "พระโอวาท" ที่ทรงสื่อผ่านเรามา
เพื่อบอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลาย
อยู่ทุกทิวาราตรีกาลเท่านั้น

เพราะทุกถ้อยพระโอวาทที่เรากล่าว
ทุกข่าวสารการชำระล้างโลกเพื่อการเปลี่ยนยุค
ล้วนได้รับสื่อมาจาก "พระโอษฐ์" ทั้งสิ้น
เรามิได้อุตรินึกเองกล่าวเองแต่อย่างใด
ท่านจึงสามารถบริโภคพระโอวาทได้เพราะไร้พิษ

เราจึงได้เน้นย้ำต่อท่านทั้งหลายเอาไว้
ในการกล่าวพระโอวาททุกบททุกตอนว่า
"เราจะขอกล่าวความจริง" ต่อท่านทั้งหลายเสมอ
ก็ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งสิ้นนี้แหละท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-07-2016

จงอย่า "กลัวตาย" โดยขาดสติ





การได้รับรู้ข่าวสารด้านภัยพิบัติ
ที่มันเกิดขึ้นเรื่อยๆ แรงๆ
จนเกิดความเสียหาย
ใกล้จะเอาชีวิตผู้คนมากขึ้นทุกทีนั้น
มันอาจเป็นเหตุให้ใครหลายคน "กลัวตาย"

เราจึงจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ภัยพิบัติต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้น่ะ
มันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆแน่นอน
รุนแรงในระดับที่ผู้คนจะต้องตายหมู่
ไปจนถึงระดับที่แผ่นดินจะสูญหายนั่นล่ะ
ไม่มีผู้ใดจะหยุดยั้งมันได้หรอก
เราขอยืนยัน...

แต่เราจะขอเน้นย้ำต่อท่านทั้งหลายว่า
จงอย่า "กลัวตาย" จนขาดสติมิเป็นอันทำอะไร
เพราะถึงอย่างไรท่านก็มิอาจจะ
เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้
สู้เร่งเตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
เพื่อการผจญภัยกันไว้ดีกว่า

ท่านไม่ควรกลัวตายเพราะร่างกายของท่าน
เป็นแค่เพียง "เปลือกนอก" ของจิตวิญญาณ
ที่เข้ามาเป็นตัวตนแก่นแท้อยู่ข้างในเท่านั้น
โดยที่จิตวิญญาณของท่าน
ก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตจักรวาลดวงเล็ก
ซึ่งยังดำรงตนเองอยู่ในแดนสุญตา
ที่แบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์

ด้วยการเร้นตนเองอยู่ในโครงสร้างทางชีววิทยา
ที่เรียกกันว่า "รูปธรรมมนุษย์"
อันเป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่งที่จิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของท่านเองนั้น
จะต้องใช้มันเพื่อทำหน้าที่ปฏิบัติภารกิจสำคัญ
ทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณ

ดังนั้น
การตายของกายสังขารที่เป็นเปลือกนอก
จึงไม่ต่างจากการที่ท่านถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ออก
เพราะท่านสวมใส่มันไม่ได้แล้ว
เสื้อผ้าอาภรณ์ของท่านมันไม่เหมาะอีกแล้ว
ในขณะที่เมื่อถอดออกแล้วตัวท่านก็ยังอยู่
ตัวจริงของท่านน่ะยังมิได้หายไปไหนเลย
ท่านก็ยังคงเป็นท่านอยู่เช่นเดิม

ท่านที่หวาดวิตกกับความตาย
เป็นเพราะติดยึดอยู่กับ "เงามายา" ของตนเอง
ติดยึดอยู่กับมายาแวดล้อมตนเอง
มีความอาลัยอาวรณ์ต่อทุกสรรพสิ่งของตน
จนเกิดความเสียดายอย่างรุนแรงหากต้องตาย

ท่านจึงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าถึงความจริงเหล่านี้
ด้วยการปล่อยวางการติดยึดเสียให้สิ้น
โดยเฉพาะการหลงติดยึดใน "อัตตาของมายา"
อันเป็นตัวตนของเงาเพราะเข้าไม่ถึง "ตัวตนแก่นแท้"
เช่น การหลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียงของสรรพสิ่ง
ซึ่งล้วนเป็น "มายา" ของแก่นแท้นั้นๆทั้งสิ้น
จนยังผลให้จิตเกิดกิเลสตัณหาราคะขึ้นมา
เพราะหลงเงามายาแล้วยึดติดมันเข้านั่นแหละ

ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียดาย" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียความรู้สึก" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียของ" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียใจ" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียอารมณ์" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียเวลา" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียประโยชน์" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียโอกาส" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียเกียรติ" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียหน้า" อยู่

ถ้าท่านยังมีเสีย 1 ใน 10 เหล่านี้อยู่
มันคือตัวชี้วัดว่าท่านยังเป็นผู้หนึ่ง
ซึ่งจิตติดยึด "ตัวตนของมายา" อยู่เหนียวแน่น
ความกลัวตายของท่านก็ยังจะยากต่อการละวาง
เพราะจิตของท่านยังกลัว "การเสียชีวิต" อยู่ไงล่ะ

ภัยพิบัติร้ายแรงกำลังคืบคลานเข้ามาหา
จงรีบละวางความกลัวตายกันให้ได้โดยไว
เพื่อช่วยให้จิตวิญญาณของท่านเข้าถึง
ความสุขสงบอันเป็นนิรันดร์แท้จริงได้ในชาตินี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-07-2016