วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สงครามโลกครั้งที่สาม




#สงครามโลกครั้งที่สาม

 จงใจมอบ ภาพนี้ แด่พี่น้อง
ไว้เพ่งมอง ตรองตรึก ถึงศึกหน้า
สงครามโลก ครั้งสาม กำลังมา
เชิญผู้กล้า หาญสู้ จงดูเอา

สงครามนี้ ภัยพิบัติ จัดทัพศึก 
แสนคักคึก แกร่งกล้า หาใดเท่า
ดินน้ำลม ไฟผลาญ เกินการเดา
ล้วนเล็งเป้า โจมตี ที่มนุษย์

โลกระทึก ศึกหนัก จนหักแหก
แผ่นดินแยก หลุมยุบ ลาวาผุด
แผ่นดินล่ม จมลึก ทั้งตึกทรุด
โหดร้ายสุด ฝนกระหน่ำ โลกน้ำนอง

แผ่นดินไหว เลื่อนลั่น สะท้านลึก
ไหวยามดึก ยิ่งเล่า ยิ่งเศร้าหมอง
ผู้หลับไหล มากมาย นอนก่ายกอง
ญาติพี่น้อง สูญหาย ใต้หินดิน

ทะเลโหม โครมครืน เป็นคลื่นยักษ์
เป้าหมายหลัก ซัดสาด กวาดสูญสิ้น
เก็บวัตถุ เท็คโนโลยี มีราคิน
จนพังพิน สิ้นทราก แม้กากเดน

พายุหมุน รุนแรง แข่งกันร้าย
เข้าโจมตี เช้าสาย ใช่ล้อเล่น
ความเร็วลม สองเกลอ เฮอริเคน
ไต้ฝุ่นเด่น สองทัพ โลกอัปปาง

ภูเขาไฟ ใหม่เก่า เขย่าขวัญ
ระเบิดกัน ทั่วหล้า จนตาค้าง
ลาวาร้อน ย่างสด จนสุดทาง
คนเคว้งคว้าง ครางครวญ ชวนให้กลัว

แผ่นดินโลก โยกไหว ไฟเผาผลาญ
จักร้าวราน ทุกข์ทน จนถ้วนทั่ว
ฟ้ามืดมิด ปิดโลก แพร่โรค "กลัว"
ให้คนชั่ว รู้ชั่ว ทำตัวดี

สงครามโลก จักเห็น เป็นจริงแน่
เมื่อคนแพ้ พิบัติภัย ในวิถี
แผ่นดินล่ม คนตาย โชคไม่ดี
เป็นโลกที่ เช้าเย็น ไม่เห็นใคร 

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-10-2017

ศาสตร์และศิลป์แห่งการแก้ปัญหา




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ลิ้นกับฟันที่อยู่ในปากเดียวกัน
ยังมีโอกาสกระทบกระทั่งกันได้
เมื่อมีการกระทบกันแล้วในบางครั้ง
ก็อาจมีบางฝ่ายที่อ่อนแอกว่าได้รับบาดเจ็บ

ดังนั้น
ฟันที่คมและแข็งแรงกว่าถ้าหากเมตตาลิ้น
เวลาขบเคี้ยวอาหารก็ต้องระวังมิให้กระทบลิ้น
ส่วนลิ้นที่อ่อนแอกว่าหากมีเมตตาต่อตนเอง
ขณะช่วยส่งอาหารให้ฟันขบเคี้ยว
ก็ต้องระวังไม่ยื่นลิ้นเข้าไปให้ฟันขบกัดด้วย
มันถึงจะทำงานร่วมกันได้อย่างสันติสุข

พี่น้องที่รักทั้งหลาย
การใช้ชีวิตร่วมกันกับคนหมู่มากนั้น

หากเป็นไปด้วยความประมาท 
หากขาดมหาสติในการปฏิบัติตนต่อกัน
หากขาดวินัยในการอยู่ร่วมกั
พวกท่านก็จะมีปัญหาระหว่างกันเสมอ

ความเป็นปึกแผ่นแน่นเหนียว
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
จะถูกบั่นทอนจนสั่นคลอนไปในที่สุด

เมื่อใดก็ตาม
ที่ท่านมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องงานที่ทำร่วมกัน
หรือปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นส่วนตัว
สิ่งที่ท่านต้องรู้ก็คือว่า
ในขณะนั้นตัวท่านเอง
กำลังเชิญอยู่กับปัญหาเรียงตามลำดับ
จากใหญ่ไปหาเล็ก 3 ประการ คือ

1.ปัญหาที่จิตใจตนเอง
2.ปัญหาที่จิตใจคู่กรณี
3.ปัญหาที่ข้อขัดข้องระหว่างกัน

ศาสตร์และศิลป์แห่งการแก้ปัญหา
ที่ท่านต้องรู้ไว้ปฏิบัติจริงก็คือ

1.จัดเรียงลำดับปัญหา
ที่ควรจัดการก่อนหลังให้เรียบร้อยก่อน

2.ปัญหาทางด้านจิตใจ
จักต้องจัดการแก้ไขก่อนปัญหาอื่น

3.ปัญหาภายในจิตใจตนเอง
คือ สิ่งที่ต้องจัดการก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด

4.ปัญหาภายในจิตใจคู่กรณี
คือ สิ่งที่ท่านต้องจัดการช่วยเหลือ
เมื่อท่านจัดการปัญหาในจิตใจตนได้แล้ว

5.ปัญหาที่ข้อขัดข้องระหว่างกัน
เป็นสิ่งที่ท่านกับคู่กรณี
จักต้องใช้สติปัญญาและความรัก
ทำการคิดอ่านแก้ไขร่วมกันให้ลุล่วงนั้น
จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการแก้ปัญหา

หากท่านสังเกตขั้นตอนการแก้ปัญหา
ระหว่างท่านกับบุคคลอื่นๆดังกล่าวนั้น
ท่านจะพบว่าปัญหาด้านจิตใจ
เป็นปัญหาใหญ่ที่จะต้องหยิบขึ้นมา
เพื่อจัดการแก้ไขให้ลุล่วงก่อน
โดยเฉพาะปัญหาที่จิตใจของตัวท่านเอง

เหตุเพราะว่า
หากจิตใจท่านยังไม่ถูกจัดการชำระ
เพื่อทำให้มันสงบสมดุลเสียก่อน
มันจะทำให้ท่านไม่พร้อม
ที่จะจัดการกับปัญหาอื่นใดทั้งสิ้น

เมื่อสภาวะจิตท่านสงบสมดุลได้แล้ว
แปลว่าท่านช่วยเหลือตนเองให้พร้อม
โดยช่วยตนเองให้เกิดมหาสติได้แล้ว
ท่านจึงมีหน้าที่ "ช่วยคู่กรณี" ของท่าน
ให้เขาเกิดมหาสติเพื่อสร้างสงบสมดุล
ให้เกิดขึ้นภายในจิตใจของเขาด้วย

หากท่านช่วยตนเองและคู่กรณี
ให้มีสภาวะจิตสงบสมดุลเป็นผลสำเร็จ
ไม่ว่ามันจะต้องใช้เวลานานสักปานใด
นั่นเท่ากับว่าพวกท่านทั้งคู่
ถึงพร้อมแล้วต่อการจัดการปัญหาอื่น
ที่มันจะต้องใช้สติปัญญาและความรักร่วมกัน
ให้ประสบผลสำเร็จต่อไปได้

คำว่า "ปัญหาอื่น" ที่เรากล่าวนี้
หมายถึง ข้อขัดข้องที่เกิดขึ้นนั่นเอง
ซึ่งมันเป็นปัญหาทางเท็คนิกจิ้บจ๊อยเท่านั้น
เพียงแค่คิดร่วมกัน แก้ไขร่วมกัน
จนมีความเห็นพ้องต้องกันได้แล้ว
ความราบรื่นก็จะเกิดขึ้น
ทุกสิ่งอย่างก็จักดำเนินร่วมกันต่อไปได้

ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างกัน
จากปัญหาเล็กน้อยจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่
เพราะพวกท่านไม่เข้าใจหลักการแก้ปัญหา
โดยพวกท่านสองฝ่ายมักจะปฏิบัติกันดังนี้ คือ

1.มองเห็นคู่กรณีเป็น "ศัตรู" หรือคู่ต่อสู้
2.เป็นศัตรูที่จักต้องเอาชนะมันให้ได้
3.ต่างจึงมุ่งมั่นที่จะหักหาญรุกรานกัน
4.โดยซุกปัญหาที่ขัดข้องกันไว้ในรองเท้า

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เพราะเหตุนี้เอง

ในที่ทำงาน ภายในครอบครัว 
หรือในสังคมของพวกท่าน
มันจึงมีบรรยากาศเหมือนดั่งสนามรบ

บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้
มันจึงเต็มไปด้วยสมรภูมิแห่งการสู้รบ
หาความสุขสงบไม่ได้ทั้งๆที่ทุกคนอยากได้
เพราะใช้วิธีจัดการปัญหาไม่ถูกต้อง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-10-2017

บันทึกแผ่นดินไหวใหญ่ ประจำวันที่ 7-8 ตุลาคม 2560





#บันทึกแผ่นดินไหวใหญ่
ประจำวันที่ 7-8 ตุลาคม 2560
ภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
****************************
***10 largest earthquakes in the world (past 24 hours):

1.M 5.7 quake: 
Tonga Islands 
2 hours 32 minutes ago

2.M 5.1 quake: 
Northern Mid Atlantic Ridge 
2 hours 22 minutes ago

3.M 5.0 quake: 
125km NE of Namatanai, Papua New Guinea
4 hours ago

4.M 4.9 quake: 
OFF COAST OF JALISCO, MEXICO 
7 hours ago

5.M 4.8 quake: 
OAXACA, MEXICO 
24 hours ago

6.M 4.7 quake: 
OAXACA, MEXICO 
15 hours ago

7.M 4.7 quake: HOKKAIDO, JAPAN REGION 
15 hours ago

8.M 4.6 quake: OAXACA, MEXICO on Sat 
20 hours ago

9.M 4.6 quake: 
170km WNW of Pangai, Tonga
23 hours ago

10.M 4.6 quake: 
47km NNE of Ndoi Island, Fiji 
17 hours ago

ป.วิสุทธิปัญญา
8-10-2017

สัจธรรมความจริงระดับ "อนุตรธรรม"





#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่น้องที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สัจธรรมความจริงขั้นสูงสุด
ที่มนุษย์ไม่รู้ว่าตนไม่รู้ ก็คือ #อนุตรธรรม

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
สัจธรรมความจริงระดับอนุตรธรรมนี้
จะแตกต่างจากความจริง
ในระดับโลกียธรรมและโลกุตรธรรม

เพราะสัจธรรมระดับอนุตรธรรมนั้น
ท่านจะไม่สามารถใช้สมองสองซีก
วิเคราะห์และสังเคราะห์ความจริงได้เอง
เหมือนโลกียธรรมกับโลกุตรธรรม
ซึ่งเราได้กล่าวต่อท่านทั้งหลาย
เอาไว้ในบทก่อนๆที่ผ่านมาแล้ว

ถ้าจะเปรียบเทียบความต่างให้เห็นชัดเจน
ระหว่างสัจธรรมความจริงทั้ง 3 ระดับ
ก็อาจจะกล่าวได้ว่า

1.สัจธรรมระดับโลกียธรรมนั้
เป็นความจริงในสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นได้ง่าย
จากการสังเกตแล้วนำมาวิเคราะห์แยกแยะ
อย่างมีหลักคิดและเหตุผล
ด้วยสมองซีกซ้ายของตนเอง
ตาม #ChickModel by Parinya 

2.สัจธรรมระดับโลกุตรธรรมนั้น
เป็นความจริงที่จริงแท้
ที่ต้องสังเคราะห์ออกมาจากโลกียธรรม
ด้วยความสามารถในการใช้สมองซีกขวา
ซึ่งเป็นระบบกดปุ่มอีกทอดหนึ่ง

โดยผู้ใดที่สามารถเข้าถึงสัจธรรม
ในระดับโลกุตรธรรมได้อย่างชำนาญแล้ว
ท่านจะสามารถต่อยอด "ปัญญาญาณ"
ด้วยการยกระดับถึงขั้น "การหยั่งรู้"
ซึ่งภาษาฝรั่งใช้คำว่า Intuition ได้ด้วย

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
แต่สำหรับความจริงที่สูงสุด ลึกสุด
ในระดับที่เรียกว่า "อนุตรธรรม" นี้
ไม่สามารถคิดเชื่อมโยงหรือต่อยอดการคิด
ไปจากสัจธรรมทั้งสองระดับที่ว่ามาได้

เพราะความจริงที่จริงแท้ทั้งสองระดับ
เป็นความจริงที่จริงแท้เฉพาะในระบบเอกภพ
ทั้งมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงาน
ซึ่งมนุษย์สามารถเข้าถึงได้ไม่ยากนัก
ไม่ว่าจากการสังเกตแล้วคิดวิเคราะห์
วิเคราะห์ได้แล้วก็นำมาร่อนมาสังเคราะห์
จนเป็นสัจธรรมอันล้ำลึกได้ระดับหนึ่ง

ถ้าสัจธรรมใดที่มีอยู่ในเอกภพนี้
แต่สุดความสามารถที่จะสังเก
ด้วยกลไกอายตนะของตนเองได้
มนุษย์ก็จะใช้วิธีตั้งสมมติฐานเอา
เหมือนดั่งวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ
ของนักวิชาการโลกเขาทำกันนั่นแหละ

เห็นวงแหวนของดาวเสาร์ด้วยกล้องส่อง
ก็บรรจงตั้งสมมติฐานกันเอาเองว่า
มันคือนั่นนี่โน่นจิปาถะ

เห็นดวงดาราประดับฟ้าวับๆแวมๆมากมาย
ก็ตั้งสมมติฐานเอาเองว่าคือเป็นดวงอาทิตย์
โดยเรียกใหม่ว่า "ดาวฤกษ์" แทน
ซึ่งคาดเดาเอาเองว่าต้องใช่ดวงอาทิตย์แน่ๆ
จริงหรือไม่ ถูกหรือผิด ไม่รู้

แต่ถ้าใช้ปัญญาญาณได้
หรือมีญาณหยั่งรู้จริงแท้แน่แล้ว
ท่านคงไม่กล้าสรุปหรอกว่า
ที่ระยิบระยับนับล้านดวงนั้นเป็นดวงอาทิตย์
เพราะในระบบสุริยจักรวาลโลก
แค่มีดวงอาทิตย์ดวงเดียวเท่านั้นเอง
พอถึงหน้าร้อนมนุษย์ก็ร้อนแทบตับแลบแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
แต่สำหรับความจริงระดับ "อนุตรธรรม"
อันเป็นความจริงที่อยู่นอกระบบเอกภพนี้
ปัญญาญาณหยั่งรู้ของมนุษย์ทั่วไป
จะมิอาจเข้าถึงด้วยตนเองได้หรอก

ท่านเคยได้ยินคำว่า "สุดเอื้อม" มั้ย?
เคยได้ฟังคำว่า "เกินกว่าจะหยั่งถึง" มั้ย?
ทั้ง 2 ถ้อยความนี้เป็นอภิปรัชญานะ
เพราะเรามิได้หมายถึง

การเอามือล้วงรูแล้วสุดที่มือจะหยั่งถึงได้
การเอาไม้หยั่งดูแล้วสุดที่ไม้จะหยั่งถึงได้
เพราะรูนั้นมันลึกเกินไปนั่นเอง

ความจริงระดับอนุตรธรรมนี้
ถ้าจะกล่าวง่ายๆให้สมองซีกซ้ายเข้าใจ
ก็พอจะกล่าวได้ว่า

1.เป็นความจริงที่ถ้าไม่มีใครบอกก็จะไม่รู้
เพราะสัมผัสรู้เห็นความจริงนี้ด้วยตนเองไม่ได้
จะคาดเดาเอาเองตั้งสมมติฐานเองก็ไม่ได้

2.เป็นความจริงที่ผู้บอกเล่ากล่าวเผย
จักต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับความจริงนั้น
จักต้องเกี่ยวข้องกันกับความจริงนั้น

3.เป็นความจริงที่ผู้บอกเล่ากล่าวเผย
รู้เห็นเป็นจริงอยู่ดุจดั่งความลับเฉพาะตน
ซึ่งคนทั่วๆไปที่ไม่เกี่ยวข้องก็มิอาจรู้ได้
ต่อให้มีปัญญาญาณฉลาดล้ำลึกแค่ไหน
ก็จะมิอาจเรียนรู้ มิอาจหยั่งรู้เองได้
จักต้องมี "ครูจำเพาะตน" เมตตาให้เท่านั้น

เราขอกล่าวความจริงว่า
สัจธรรมระดับอนุตรธรรมนี่แหละ
เป็นความจริงที่มนุษย์โลกไม่รู้ว่าตนไม่รู้
เป็นความจริงที่มิอาจคิดด้วยจิตมนุษย์ได้

เป็นความจริงที่บรรดานักวิชาการส่วนใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ
จะพากันแอนตี้ต่อต้านหรือไม่เชื่อ
เพราะใช้สมองซีกซ้ายของตนเป็นมาตรฐาน

ด้วยเหตุนี้เอง
องค์เยซูคริสต์เจ้าในกาลอดี
เมื่อทรงกล่าวสัจธรรมระดับอนุตรธรรม
ก็จะทรงอาศัยความเชื่อมั่นและศรัทธา
ที่พี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีทั้งหลายในยุคนั้น
พึงน้อมถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
พึงมอบให้พระองค์ผู้ทรงกล่าวพระโอวาท
เป็นปัจจัยสำคัญเสมอ

เนื่องจากพระองค์ทรงรู้แจ้งดีว่า
อนุตรธรรมความจริงนั้น
มนุษย์โลกทั้งหลายจะมิอาจเข้าถึง
ด้วยปัญญาของสมองทั้งสองซีกได้เอง
จักต้องเชื่อในพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้าง
จักต้องเชื่อในพระองค์ซึ่งเป็นบุตรเอก
ผู้เข้ามากล่าวพระโอวาทแทนเท่านั้น

พี่น้องที่รักทั้งหลาย
ถ้ามันเป็นความจริงอันแสนพิเศษแล้ว
ความจริงในระดับสูงสุดอนุตรธรรมนี้
ซึ่งมีเพียงแต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้
มันคืออะไรบ้างหนอ....

เราขอยกบางตัวอย่างมากล่าวต่อท่าน
ไว้ในที่นี้บ้าง ดังนี้

1.จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร
2.ใครเป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน
3.จิตวิญญาณของท่านมาจากไหน
4.จิตวิญญาณท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
5.ใครอนุญาตให้จิตวิญญาณท่านมาเกิด
6.มาเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
7.มนุษย์ โลกและจักรวาลสัมพันธ์กันยังไง
8.ทำไมจิตวิญญาณมนุษย์ต้องนิพพาน

หากท่านพิจารณาทั้ง 8 คำถามแล้ว
ท่านจะทราบด้วยตนเองทันทีว่
จะต้องมีครูคนพิเศษเท่านั้น
ที่จะสามารถช่วยตอบคำถาม
ที่จะสามารถเล่าความจริงต่อตัวท่านได้

นี่ไง...
จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่า
ทำไมพระศาสดาจึงต้องขันอาสาพระบิดา
ลงมาช่วยเหลือมนุษย์ผู้ไม่รู้ให้ได้รู้
ด้วยการเข้ามาทำหน้าที่กล่าวพระโอวาท
ในพระนามแห่งพระบิดาให้ท่านฟัง

นอกจากนั้น
ในปลายยุคพลังงานเก่านี้
ความจริงเรื่องโลกกับมนุษย์กำลังถูกชำระ
ด้วยภัยพิบัติที่รุนแรงขนาดแผ่นดินหาย
รุนแรงขนาดผู้คนต้องล้มตายจำนวนมาก
ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับดาวโลกมาก่อน

ความจริงที่โลกและมนุษย์
จักต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ

เป็นความจริงที่มนุษย์บางพว
จักต้องทำตัวเป็นปลาที่ถูกคัดไว้
แม้จะยังหายใจด้วยปอด
แต่ก็มีชีวิตรอดปลอดภัยอยู่ในน้ำลึกๆได้

เป็นความจริงที่โลกและมนุษย
จักต้องทำตัวเป็นแกะ
ซึ่งจำเสียงเพรียกจากเจ้าของที่ร้องหา
แล้วรีบแจ้นกลับมาเข้าคอกได้ทันเวลา

ที่สำคัญคือ ยังมีความจริงอยู่อีกว่า
ขณะนี้สิ้นยุคพลังงานเก่า
เพราะครบจำนวนเวลา 6 หมื่นปี
ท่านจึงหมดเวลาวาระการทำหน้าที่
ตามพันธะสัญญา 6 ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาแล้ว
ท่านต้องรีบนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
ในสภาวะนิพพานก่อนวันสิ้นยุคให้ได้

นี่ก็เป็นความจริงในระดับ "อนุตรธรรม"
ที่ท่านทั้งหลายทั่วทั้งโลกาในปลายยุคนี้
ยังไม่รู้ว่าตนเองยังไม่รู้
ยังไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรู้
ยังไม่รู้ว่าตนกับโลกจะต้องเผชิญกับสิ่งใด

นี่ไงล่ะ....
เป็นเหตุให้เราต้องกลับมาอีกครั้ง

มาเพื่อช่วยภารกิจพระบิดา
ในการพิพากษาโลก
เพื่อเปลี่ยนโลกไปสู่ยุคพลังงานใหม่
ยุคแห่งความศิวิไลซ์แห่งจิตใจผู้เหลือรอด
และโลกใหม่ที่มีฟ้าใหม่ในพิกัดใหม่
บนสนามพลังงานที่สมดุลมากขึ้น

มาเพื่อช่วยคัดปลาขึ้นจากน้
มาเพื่อร้องเรียกแกะหลงฝูงกลับเข้าคอก
มาเพื่อพาเจ้าสาวเข้าสู่ประตูด่านนภาลัย

ปลาทุกตัวที่ไม่เอาไหน
แกะตัวใดที่ไม่เอาถ่าน
เจ้าสาวตนใดที่เกียจคร้าน
คงได้แต่หลับไหลถือตะเกียงที่ไร้น้ำมัน
ล้วนจะได้รับการพิพากษาจากตัวท่านเอง

ช่างเท็คนิกของพระบิดา
จะช่วยกันทำเครื่องหมาย
กากะบาทบนหน้าผากให้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-10-2017

วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ศิลปะแห่งการเป็นผู้ให้




พี่ๆน้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
#การทำบุญ เป็นกิริยาวัตถุ
หมายถึง การให้สิ่งดีๆที่ให้แล้วทำแล้ว
ก่อให้เกิดความมีปิติสุขขึ้นที่ในใจทุกฝ่าย
ทั้งตัวผู้ให้ ผู้ได้รับ และผู้ที่รู้เห็นการให้นั้น
โดยบุญ คือ "ปิติสุขจากการให้"
จะต้องเกิดขึ้นภายในจิตใจของทุกๆท่าน
มิใช่เกิดขึ้นที่ "การมีหน้ามีตา"
มิใช่เกิดขึ้นที่การได้มาของ "คำสรรเสริญ"
มิใช่เกิดขึ้นที่ "พิธีการ พิธีกรรม" ศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหมดที่กล่าวมา
เราหมายความว่า
การทำบุญของท่านต้องทำด้วยจิตสามนึก
การทำด้วยจิตสามนึก คือต้องนึกได้เองว่า
การให้ของท่านจะเป็นประโยชน์สุขต่อผู้รับ
จะทำให้ตัวท่านเองสุขใจที่ได้ให้ได้ทำ
และจะทำให้ท่านสุขใจที่ได้รู้เห็นว่า
ฝ่ายผู้ที่ได้รับนั้นเขายินดีและมีความสุข
ท่านจะเห็นได้ว่านัยแห่งการทำบุญนั้น
ผลแห่งบุญจะเน้นกันเฉพาะที่จิตใจ
ด้งนั้น
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องทำตามประเพณี
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องรอให้มีเทศกาล
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องทำในธรรมศาลา
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องได้หน้าตา
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องหาประโยชน์แฝง
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องมากพิธีรีตอง
การทำบุญจึงไม่จำเป็นต้องอาศัยพิธีกรรม
ทั้ง 7 ประการที่กล่าวไว้นี้ คือ...
#ศาสตร์แห่งการให้ หรือ การทำบุญโดยแท้
นอกจากนั้น
ที่เรากล่าวว่า "บุญเป็นกิริยาวัตถุ" นั้น
เราหมายถึง การกระทำความดีงามใดๆ
ในบทบาทของการเป็นผู้ให้
ไม่ว่าจะเป็นการสั่นสะเทือน
ทางกาย วาจา หรือจิตใจก็ตาม
การสั่นสะเทือนทางกายเพื่อการให้
เช่น การให้ทาน การแบ่งปัน
การแลกเปลี่ยน และการยอมยกให้
ซึ่งฆราวาสทั้งหลายก็สามารถปฏิบัติได้
ส่วนการสั่นสะเทือนทางจิตใจ
เพื่อการให้นั้นเป็นปฏิบัติการทางเท็คนิก
ที่พระหรือนักบวชผู้ถือสันโดดต้องใช้
เพราะพระท่านปลีกวิเวกอยู่คนเดียว
จึงจำต้องให้ด้วยจิตใจของท่านเท่านั้น
เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา ตามแนวพุทธ
ที่กระทำทางจิตต่อเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งเรียกปฏิบัติการทางเท็คนิกนี้ว่า
"การแผ่เมตตา" หรือ "อุทิศให้" นั่นเอง
นอกจากนั้นการให้ทางจิตใจ
ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งที่ชาวบ้านหรือฆราวาส
จักต้องใช้มันให้ได้และใช้ให้เป็นนั่นคือ
การอดทนเพื่อตนเอง
การอดกลั้นเพื่อผู้อื่น
การอภัยเพื่อกันและกัน
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เมื่อเข้าใจถึงศาสตร์แห่งการทำบุญแล้ว
การทำบุญด้วยการให้ของท่านนั้น
ยังจะต้องมีศิลปะแห่งการให้ด้วย
มันจึงจะช่วยให้การให้ของท่านมีคุณค่า
1.#ให้โดยมิพักต้องให้ใครร้องขอ
เพราะมันจะทำให้จิตใจของท่าน
สั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุดได้อย่างเต็มพลัง
เพราะท่านเต็มใจให้ และตั้งใจให้จริงๆ
โดยให้ใครก็ได้ที่ท่านพึงใจที่จะให้
ให้ใครก็ได้ที่ท่านพร้อมที่จะให้
ต่างกับการให้เพราะมีใครมาร้องขอ
สำนึกแห่งการเป็นผู้ให้ในจิตใจท่าน
มันจะสั่นสะเทือนน้อยกว่ากันมากนัก
เช่น ให้เพราะเกรงใจ ให้เพราะตัดรำคาญ
ให้เพราะเห็นว่าเป็นประเพณีปฏิบัติ
ให้เพราะเห็นแก่มิตรภาพ เป็นต้น
2.#ให้โดยไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทน
การให้ในลักษณะเช่นนี้
เป็นการสั่นสะเทือนของจิตด้านบวก
ด้วยสำนึกแห่งการเป็นผู้ให้อีกเช่นกัน
โดยเฉพาะท่านเต็มใจและตั้งใจให้
แก่ผู้ที่ท่านเองก็รู้ล่วงหน้าอยู่แก่ใจแล้วว่า
เขาไม่มีปัญญาและไร้ความสามารถ
ที่จะตอบแทนอะไรแก่ท่านได้
ความมีปิติสุขอันเกิดจากการให้นั้น
มันต่างกันเยอะเลย
3.#ให้อย่างมีคุณค่า
หมายถึงการให้ของท่านนั้น
จักต้องคำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ
ที่มันจะเกิดขึ้นต่อทั้งผู้ได้รับ
กับตัวท่านเองที่เป็นผู้ให้
หลังการให้ของท่านสำเร็จแล้วด้วย
เช่น ให้เงินแล้วท่านเองสบายใจมั้ย
ถ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
แสดงว่าท่านเกิดการลังเลใจในการให้
โดยไม่มั่นใจในการให้ของท่านเองว่า
หลังการให้แล้วอาจเกิดปัญหา
ต่อตัวท่านหรือผู้รับอย่างใดอย่างหนึ่ง
นั่นแสดงว่าจิตใจท่านยังไม่พร้อมที่จะให้
ถ้าฝืนใจให้การให้นั้นก็จักมีคุณค่าลดลง
นอกจากนั้น
การให้อย่างมีคุณค่า
นอกจากจะขึ้นอยู่กับจิตใจของผู้ให้แล้ว
ยังขึ้นอยู่กับว่า "ผู้ได้รับ" จากท่านนั้น
เขามองเห็น "คุณค่าของสิ่งที่เขาได้รับ"
มากน้อยแค่ไหนอย่างไรด้วย
จงอย่าเข้าใจผิดว่า
นี่เป็นการทำบุญหรือให้อย่างมีเงื่อนไข
แต่มันเป็นศิลปะแห่งการให้
ที่ผู้ให้ต้องคนึงถึงเสมอ
เพื่อช่วยให้ผู้รับได้ไปสวรรค์กับผู้ให้
คือเกิดปิติสุขที่ในจิตใจของเขาด้วย
จะได้ช่วยกันหมุนธรรมจักร
ผลิตสร้างพลังรักตามสมการซัมเบต้า
มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้
ตามพันธะสัญญา 6 นั่นเอง
การปฏิบัติเช่นว่านี้
จึงมิใช่สร้างเงื่อนไข
เพื่อประโยชน์ของผู้ให้แต่อย่างใด
ดังนั้น
ในทุกเทศกาลการทำบุญด้วยการให้
จักได้เป็นการให้ที่มีประสิทธิผล
ที่จะบังเกิดต่อทุกคนทุกฝ่าย
จักเป็นการให้ที่มีอิทธิพล
ต่อดาวโลกดวงนี้อย่างแท้จริง
เพราะทุกท่าน
มีทั้งศาสตร์และศิลป์แห่งการให้
ตามมรรควิถีจิตจักรวาล
อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมกันแล้ว
ดาวโลกจักลดความรุนแรงด้านภัยพิบัติได้
ความสงบสุขจักเกิดขึ้นที่ในจิตใจท่าน
เพราะความฉลาดและมีสำนึกแห่งการให้
มิใช่ปฏิบัติบำเพ็ญแบบงมงายอีกแล้ว
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-10-2017

อย่าก้าวล่วง พระศาสดาพระองค์อื่น




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เรายังมีประเด็นที่ชาวพุทธหลายคน
เชื่อกันอยู่ผิดๆเป็นข้อที่ 4 ว่า

"มีเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น
ที่สอนวิธีการปฏิับัติธรรม
ที่ช่วยให้ไปนิพพานได้"

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ผู้ที่เชื่อและกล่าวถ้อยความไว้เช่นนี้นั้น
เป็นเพราะรู้ไม่จริง คิดเหมาเอาเอง
หรืออาจมีอคติศาสนาอื่นแอบแฝงด้วย

เป็นไปไม่ได้หรอกท่าน
ถ้าการหลุดพ้นของจิตวิญญาณ
ที่พวกท่านเรียกว่า "นิพพาน" นั้น
เป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องจริง
สำหรับมนุษย์โลกเสรีนี้แล้ว

พระศาสดาพระองค์อื่นๆ
ที่เสด็จลงมาจุติในแต่ละยุคสมัย
เพื่อชี้ทางสว่างไสวให้แก่มวลมนุษย์นั้น
มีหรือที่ทุกพระองค์จะมิทรงทราบหรือไม่รู้
และเมื่อรู้แล้วว่าสำคัญยิ่งแต่ไม่บอกไม่สอน
มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

โดยเฉพาะพระศาสดาพระองค์อื่นๆ
ซึ่งเป็นผู้กล่าวพระโอวาท
ในพระนามพระบิดาต่อท่านทั้งหลาย
ด้วยการ "สื่อคลื่นความคิด" ในระบบจิตสู่จิต
โดยตรงกับองค์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
มิได้คิดเองสอนเองกล่าวเอง
ตามสัจธรรมที่ตนเองค้นพบ

ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระบิดาจะมิทรงสอน
บุตรมนุษย์ของพระองค์ให้ได้รู้
เพราะพระองค์ทรงมีพระประสงค
จะให้ลูกๆทุกคนกลับบ้าน
กลับคืนสู่แดนสุญตาที่จากมานานกันเสียที
เพราะทรงรอคอยลูกๆมานานมากแล้ว

เราจะกล่าวต่อคนที่กล่าวว่า
มีเพียงศาสนาเดียว
ที่สอนวิธีปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงนิพพานว่า

ท่านจงอย่ากล่าวเท็จและอย่าก้าวล่วง
พระศาสดาพระองค์อื่นๆอยู่อีกเลย
เพราะมันเป็นการผิดบาปสถานหนัก

ท่านเองเชื่อในพระพุทธศาสนาก็ชอบแล้ว
จงก้มหน้าปฏิบัติตามพระพุทธองค์เถิด
เพื่อนำพาจิตวิญญาณนิพพานให้ได้ในชาตินี้
หากมั่นใจว่าท่านพบวิธีหลุดพ้นได้แล้ว
อย่าเสียเวลาไปกับการกระแนะกระแหน
คนที่เขารักศรัทธาศาสนาอื่นๆอีกเลย

เราเคยย้ำเสมอว่า
ทุกศาสนาล้วนเป็นสากล
ทุกพระศาสดาล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
ทุกสัจธรรมล้วนมาจากต้นธารเดียวกัน
วันนี้...เราก็จะขอยืนยันอยู่เช่นเดิม

พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระบิดาได้ทรงสื่อผ่านเรามา
ตั้งแต่สมัยกาลอดีตแล้วว่า
จิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคน
ซึ่งขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนั้น
ใครก็ตามที่จะได้รับโอกาสมาสู่การเกิด
ผู้นั้นจะต้องให้สัจจะสัญญาต่อพระบิดาว่า
จะปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 ประการ
มิเช่นนั้นจะมิได้รับอนุญาตให้มาเกิด

โดยหนึ่งใน 6 ประการที่ว่านี้ก็คือ
ให้สัญญาว่าจะย้อนคืนกลับสู่แดนสุญตา
ภายในเวลาไม่เกิน 6 หมื่นปีโลก
ก่อนที่พระองค์จะทรงปิดยุคพลังงานเก่า
ด้วยปฏิบัติการชำระโลกครั้งใหญ่
ซึ่งดาวเคราะห์โลกดวงนี้จะมืดมิดไร้แสง
ยาวนานถึง 56 วัน หรือ 8 ราตรีเลยทีเดียว

การให้สัญญาว่าจะต้องกลับแดนสุญตา
คือการ "นิพพาน" ทางจิตวิญญาณนั่นเอง

นอกจากนั้นท่านผู้ที่กล่าวก้าวล่วงไว้
ก็ยังไม่รู้อีกด้วยว่าวิธีนิพพานที่แท้จริง
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้คืออย่างไร

ไปเข้าใจว่าต้องหมั่นทำบุญสุนทานเยอะๆ
นั่งกรรมฐานสมาธิบ่อยๆหน่อย
หมั่นฟังเทศน์ฟังธรรมเป็นประจำ
ถือศีลห้าศีลแปดและกินเจอย่างเคร่งครัด
ด้วยวิธีการหลักๆทั้งสี่ประการที่กล่าวนี้
เป็นวิถีทางเดียวที่จะถึงนิพพานได้เท่านั้น

เมื่อแลเห็นว่าศาสนิกชนในศาสนาอื่น
เขาไม่มีสอนแบบนี้ไม่มีปฏิบัติบำเพ็ญเช่นนี้
จึงไปกล่าวหาพวกเขาว่า
เป็นศาสนาที่มิได้สอนปฏิบัติธรรม
เพื่อช่วยให้เข้าถึงนิพพานได้เอาดื้อๆ

เราเองก็เคยกล่าวไว้
เพื่อให้สติทางวิญญาณแก่ท่านทั้งหลายว่า
"พระหรือนักบวชกับชาวบ้าน
วิธีนิพพานนั้นแตกต่างกัน"

พระพุทธองค์ทรงเป็นพระภิกษุสงฆ์
ก็ทรงมีมรรควิถีแห่งนิพพานแบบนักบวช
เพื่อฝึกฝนสอนสั่งสาวกของพระองค์

ส่วนองค์เยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นฆราวาส
ก็ทรงชี้ทางการหลุดพ้นแบบฆราวาส
ต่อพี่ๆน้องๆชาวโลกเสรี
ตามที่ทรงรับสื่อมาจากพระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้น
วิธีปฏิบัติธรรมสู่การหลุดพ้นหรือนิพพาน
ในบริบทของนักบวชกับชาวบ้าน
มันจึงต้องแตกต่างกันอย่างชัดเจน

พระพุทธองค์ทรงเน้นปฏิบัติการทางเท็คนิก
ขณะที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเน้นแนะ
ผ่านบุตรเอกของพระองค์ต่อท่านทั้งหลาย
ให้เคร่งครัดปฏิบัติธรรมไปตามธรรมชาติ
โดยไม่ต้องปลีกวิเวกไม่ต้องถือสันโดด
ไม่ต้องทรมานเครื่องยนต์แห่งกรรมเลย

ทรงเน้นให้ถือบวชที่จิตใจเป็นสำคัญ
ซึ่งมีดวงแก้วสองดวงให้ถือครองไว้
คือ มีมหาสติและมีปณิธานแห่งนิพพาน
เพื่อผ่านทุกบททดสอบที่คนรอบข้างยื่นให้
ปลายทางสุดท้ายก็จะถึงสวรรค์นิรันดร
อันหมายถึงแดนนิพพานนั่นเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-10-2017