วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หยิบปัญญา มานิพพาน





ท่านศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทั้งหลาย
การที่ท่านมักมีปัญหากับผู้อื่นอยู่เนืองๆนั้น
หากไม่เป็นเพราะว่าท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อน
ด้วยการกระทำบางสิ่ง
ให้เขาเสียสมดุลในจิตใจ
ไปในทางต่ำลงแล้ว
ก็ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายริเริ่มก่อน
จนยังผลให้ตัวท่าน
ค้ำจุนความสมดุลในจิตใจตนเองเอาไว้ไม่ได้
การเสียสมดุลในจิตใจของพวกท่านนั้น
มีหลายอาการอย่างที่คุ้นชินกันอยู่เช่น
หงุดหงิด ขุ่นข้อง หมองใจ
โกรธ เกลียด เคียดแค้น
อาฆาต พยาบาท
ซึมเซา เศร้าสร้อย หม่นมัว
เสียใจ เสียดาย
โหยหา อาลัย อาวรณ์
หลากหลายอาการเหล่านี้
เป็นผลจากการเสียสมดุลทางจิตใจทั้งสิ้น
สาเหตุแห่งทุกข์ใจเหล่านี้ล้วนมาจาก
ความไม่รู้ของพวกท่านเป็นหลัก
**หลักที่ 1.
เป็นเพราะท่านไม่รู้ว่า
ที่เขากระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่านนั้น
มันเป็นไปตามคุณสมบัติด้านลบของเขา
ซึ่งหมายถึงเป็นสันดานด้านไม่ดีของเขา
ที่เขาจะใช้แสดงออกหรือกระทำกับทุกๆคนเลย
ไม่ใช่กระทำกับท่านคนเดียวในโลกนี้หรอก
ดั่งเช่นฟักที่ต้มสุกในน้ำซุปเดือดๆนั่น
เพราะท่านชอบทานมันและอยากทานเร็วๆ
เวลาตักซดเข้าปากหากมันจะร้อนลิ้นกินยาก
ขนาดปากพองลิ้นไหม้
ท่านก็ยังไม่โทษน้ำซุปร้อนฟักร้อนชิ้นนั้น
แต่ท่านโทษตัวเองที่รีบสวาปาม
โดยไม่ทำให้มันร้อนน้อยลงเสียก่อนเสมอ
แล้วท่านก็จะจำไว้ว่าครั้งหน้าถ้าท่านจะซดอีก
ท่านจะต้องรอบคอบให้มันมากกว่านี้
อีกทั้งท่านเองก็รู้ว่า.....
ชิ้นฟักในน้ำซุปที่ต้มจนเดือดพล่านอยู่นั้น
ใครตักมันเข้าปากก็ลำบากปากลำบากลิ้นทั้งนั้น
เปรียบกับเพื่อนมนุษย์นิสัยไม่ดีคนนี้ก็เหมือนกัน
เพราะท่านคบหาสมาคมกันกับเขา
โดยไม่รอบคอบไม่ระวังตัวหรือขาดสติ
ก็ย่อมถูกเขาใช้คุณสมบัติด้านลบนิสัยที่ไม่ดี
แสดงออกหรือกระทำต่อตัวท่านเข้าให้นั่นแหละ
เมื่อไหร่ที่จิตของท่านบอกกับตนเองว่า
"ท่านเป็นผู้ถูกกระทำ"
จิตของท่านก็จะสั่นสะเทือนไปตามจริตของมันทันที
ถ้าเป็นคนมีนิสัยฉุนเฉียวโทสะจริตรุนแรงเคยตัวอยู่
ท่านก็จะแสดงออกทางอารมณ์รุนแรงตอบโต้ทันที
ถ้าเป็นคนมีนิสัยขี้ใจน้อยอยู่
ก็จะแสดงอาการน้อยใจตอบสนองทันที
ถ้าเป็นคนมีนิสัยชอบเก็บกด
ท่านก็จะแสดงอาการสลดหดหู่ใจ
หรือซึมเซา เศร้าหมองเข้าไปโน่นล่ะ
ในทางกลับกัน
ถ้าเป็นผู้ที่ผ่านการฝึก"มหาสติ"มาอย่างดี
ก็จะรู้จักแยกขี้หรือกากออกจากเนื้อที่มีสาระได้ไม่ยาก
ขี้หรือกากก็คืออารมณ์ไม่สมดุลก็จะถูกท่านกำจัดทิ้งไป
ท่านก็จะเลือกหยิบเอาแต่เนื้อที่มีสาระขึ้นมาแทน
หากครอบครัวจิตจักรวาลและศาสนิกทั้งหลาย
ปฏิบัติตามมรรควิถีแห่งเราเชิญชี้ดังว่านี้
เรื่อง "ยึดติดอัตตา" หรือ ไม่ยึดติดอัตตานั้น
มันจะกลายเป็นเรื่องนอกคัมภีร์ไปทันที
นี่ที่เรากล่าวมา
ยังเป็นเพียงแค่หลักที่ 1.
อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ใจของพวกท่านเท่านั้นนะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30-11-2015

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"สติ" มิได้ช่วยให้ท่านดับทุกข์




เราจะกล่าวความจริงให้พวกท่านรู้ไว้อีกว่า.....
"สติ" มิได้ช่วยให้ท่านดับทุกข์
อันเกิดจากจิตท่านกระทบกับ
สิ่งเร้าภายนอกภายในดอกท่าน
แต่สติช่วยให้ท่านเกิดดวงปัญญา
ต่างหาก....
เมื่อเกิดปัญญาแล้ว
ท่านยังต้องฝึกคิดให้เป็นอีกด้วย
การมีสติปัญญาแต่โง่เพราะคิดไม่เป็น
ท่านก็จัดการสิ่งที่เรียกว่าทุกข์
ไม่ได้หรอก...
พอเข้าใจว่ามีสติแล้วดับทุกข์ได้
พวกท่านเลยฝึกสติกันยกใหญ่
สติที่ได้จึงเกิดจากการกดทับ
ตัวทุกข์นั้นไว้ เขาเรียกว่า
"ข่มใจ" ไงล่ะ...พอหลุดจากสติ
ที่ข่มไว้ ทุกข์นั้นมันก็โผล่ขึ้นมาอีก
ถามตัวเองสิ...ใช่มั้ย?
เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
29-11-2015

การรับรู้ไม่รับเอา



การรับรู้ไม่รับเอา
ใช้ได้กับบางเงื่อนไขเท่านั้น
เช่น สุนัขกัดกันเสียงดังหนวกหู
ท่านตกใจตื่นกลางดึก
อย่างนี้ต้องวางแน่นอน
เอามา "ถือสา"
หรือเก็บมาทุกข์ก็โง่แล้ว
เพราะมันไร้สาระสิ้นดี
เรื่องของหมา เราไม่เกี่ยว
หน้าที่เราคือหลับต่อไปดีกว่าโกรธหมา
ไปกัดกับหมา...ว่ามั้ย?
นักบวชนั่งหลับตาอยู่คนเดียว
พอจิตสั่นไหวเขาจึงทำแบบนี้
พวกท่านเป็นคนมีสังคม
ผัวมี เมียมี ลูกมี เพื่อนมี
เมื่อเกิดทุกข์เพราะเกิดปัญหา
ท่านจึงต้องแยกอารมณ์ไม่สมดุล
ซึ่งเป็นขยะออกจากสาระหรือตัวปัญหา
นั้นให้ได้ก่อน
ท่านจึงต้องใช้สติจากจิต
ทำงานร่วมกับปัญญาคือสมอง
จัดการสิ่งที่ทุกข์นั่นให้ลุล่วง
จะมัวนั่งข่มใจไว้
ปัญหาทางจิตอาจคลี่คลาย
แต่ปัญหาทางโลกจะยังอยู่
พระหยุดที่จิต...ดับปัญหาภายใน
จบแล้วก็จบ
แต่ชาวบ้านยังมีปัญหาทางโลก
ตัวการเกิดปัญหาทางจิตให้ขบคิด
ต่อไปอีก...
จึงสอนให้ใช้แต่สติแบบนักบวช
แต่ไม่สอนให้ฉลาดคิด
เพื่อหาทางออกจากปัญหานั้นๆ
ในชีวิตประจำวัน....
บางคนจึงกลายเป็นคนไม่ทุกข์ไม่ทำ
มีชีวิตที่อืดอาดเซื่องซึม
ยามว่างๆเผลอเมื่อไหร่เป็นวูบหลับทุกที
มีชีวิตแบบนี้...จะดีหรือ
เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
29-11-2015

ธรรมมะ มีไว้ใช่แค่ท่อง



บางคนท่องธรรมะเสียจนขึ้นใจ
ต้องมีสตินะ
ต้องไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรานะ
ต้องอยู่กับปัจจุบันนะ
ต้องวางทุกข์และสุขนะ
ต้องละกิเลสตัณหานะ
ฯลฯ
มันล้วนคำพูดหรูๆ ฟังแล้วดูดีจัง
ซึ่งใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้น
แต่ปัญหา คือ รู้มาก...บวชนาน...
แล้วยังนิพพานกันไม่ได้
นี่แน่ะ....เราจะบอกให้
1.เพราะรู้แค่ว่าต้องทำอะไรบ้าง
จึงจะสร้างทางถึงนิพพานได้
2.ได้แค่รู้ว่าต้องทำอะไรตามข้อ 1.นั่น
แต่ไม่คิดต่อว่า...ตนต้องทำอะไรๆที่รู้นั้น
ให้มันสำเร็จเป็นรูปธรรมได้อย่างไร
ผลลัพธ์จึงไม่เกิด
จิตปัญญาจึงมิได้ยกระดับ
จึงทำได้เพียงสะสมเสบียงความรู้ไว้มากมาย
แต่ก้าวหน้าทางจิตวิญญาณไม่ได้
(ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด)
จึงดีแต่พูด ได้แต่คุย
3.บางเรื่องที่รู้ก็รู้ผิด
เพราะคิดเองเออเองบ้าง
เพราะเชื่อตามที่เขาเชื่อกันมาบ้าง
พอรู้ผิดก็เลยติดขัด ก็เลยสะดุด
มีชีวิตที่สับสน
ไปต่อข้างหน้าไม่ได้
เช่น งงๆกับตนเองว่า
เกิดมาเป็นมนุษย์ทำไม...
บ้างก็คิดว่า
ตนเกิดมาเพื่อ....
ละวางกิเลสตัณหา
เกิดมาเพื่อนิพพาน
โดยเอาพันธะสัญญาข้อ๖
มาเพียรทำอยู่เรื่องเดียว
แถมเอาวิธีนักบวช คือ ถนัดทำอยู่คนเดียว
ถนัดนั่งหลับตาอยู่คนเดียว
อีกต่างหากด้วย
นี่แหละเหตุแท้ที่ปฏิบัติธรรมมานาน
คุยธรรมะเก่ง...แต่ทำไมนิพพานไม่ได้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-11-2015

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล ว่าด้วยเรื่อง "ใยจึงทุกข์ทุกวัน" 2




ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล
ว่าด้วยเรื่อง "ใยจึงทุกข์ทุกวัน"
******************************
(2)
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
ถ้าท่านรักที่จะฝันถึงอนาคต
ท่านก็จะต้องฝันให้เป็น
การฝันเป็น หมายถึง
ท่านต้องฝันในสิ่งที่เป็นไปได้
ถ้าท่านฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
มันก็จะกลายเป็นการ "เพ้อฝัน"
ประเภทสร้างสวรรค์วิมานในอากาศ
การฝันเป็น ยังหมายถึง
ท่านต้องฝันในสิ่งที่เป็นจริงสำหรับท่านได้ด้วย
นั่นคือจะต้องรู้ว่าท่านมีพลังอำนาจมากพอ
ที่จะทำในสิ่งที่ท่านฝันนั้นให้สำเร็จ
สมดั่งฝันได้หรือไม่ แค่ไหน อย่างไร
การนั่งนอนอยู่ในปัจจุบัน
แล้วคิดฝันไกลไปข้างหน้า
ฝันถึงสิ่งที่ท่านต้องการ
โดยมีเพียงแค่ฝันแต่ไม่มีการริเริ่มลงมือทำนั้น
ท่านก็จะมิอาจประสบความสำเร็จ
ในสิ่งที่หวังนั้นได้.....
การใฝ่ฝันว่าจะรวย
ด้วยการนั่งนอนรอคอยโชคชะตา
เผื่อว่าจะมีวาสนาบุญหล่นทับ
นี่ก็เป็นการฝากความใฝ่ฝันในอนาคตของท่าน
เอาไว้กับความว่างเปล่าในปัจจุบัน
เหตุที่มันว่างก็เพราะว่า
ท่านมิได้ทำอะไรในสิ่งที่ฝันนั้นเลย
นอกจาก "ฝัน"เท่านั้นเอง
การอยากจะรวย
ด้วยการมุ่งเสี่ยงโชคเสี่ยงลาภไปกับหวย
แล้วมานั่งเฝ้ารอลุ้นที่จะรวยในทุกๆวันที่หวยออก
เผื่อว่าจะมีโชคฟลุ้คกับเขาได้บ้าง
นี่ก็เป็นการฝากความใฝ่ฝันในอนาคตของท่าน
เอาไว้กับความไม่แน่นอน
การอยากจะมีอายุยืนหรือมีสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า
ก็มิได้อยู่ที่ความใฝ่ฝันของท่านในวันนี้
แต่มันอยู่ที่ว่าในวันนี้นั้น
ท่านใส่ใจดูแลตนเองดีอยู่หรือเปล่า
การหลุดพ้นคือนิพพานนั้น
มันก็มิได้ขึ้นอยู่กับว่า
ใครรู้ความหมายของนิพพานหรือไม่
ใครเชื่อเรื่องนิพพานหรือเปล่า
แต่มันอยู่ที่ว่าใครคนนั้น
มีปณิธานแห่งนิพพานแท้จริงหรือเปล่า
โดยใครคนนั้นกำลังปฏิบัติตน
อยู่บนเส้นทางสายวิมุตติ์นี้หรือเปล่า
ถ้าท่านจะไม่ "ทุกข์ทุกวัน"
ด้วยการไม่ยึดโยงอยู่กับอดีตแล้ว
ท่านยังต้องเรียนรู้ที่จะ "ฝันถึงอนาคต"
ให้เป็นด้วย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-11-2015

"หลักธรรมตามรอยพระยุคลบาท"













วิสัยทัศน์และค่านิยมการทำงาน
ตามหลักธรรมาภิบาล
เพื่อส่วนรวมและประชาชน
สำหรับข้าราชการในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หลักสูตร: 2-3 วัน
ชื่อหลักสูตร "หลักธรรมตามรอยพระยุคลบาท"
ถ่ายทอดพฤติกรรมผ่านจิตตปัญญา
โดย
 อ.ปริญญา ตันสกุล

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล ว่าด้วยเรื่อง "ใยจึงทุกข์ทุกวัน"





ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล
ว่าด้วยเรื่อง "ใยจึงทุกข์ทุกวัน"
******************************
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
ท่านจงอย่าไปยึดติดอยู่กับอดีต
เพราะอดีตมันผ่านพ้นไปแล้ว
ท่านไม่สามารถปฏิเสธเรื่องราว
เหตุการณ์ สถานการณ์ใดๆที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้นได้
ท่านสามารถทำได้แต่เพียงเรียนรู้ว่า
ประสบการณ์ในอดีตเหล่านั้น
มันสอนอะไรท่านบ้าง
ประสบการณ์ร้ายๆในอดีตเหล่านั้น
มันทำให้ท่านฉลาดขึ้นมาได้บ้างหรือไม่
ฉลาดเพิ่มขึ้นแค่ไหน อย่างไร
ความเศร้าสร้อย โหยหา อาลัย
ความเสียดาย เสียใจ อาวรณ์
ความโกรธขึ้ง เคียดแค้น ชิงชัง
ในทุกสิ่งทุกเรื่องราวของอดีตที่มันผ่านมา
โดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดยุติกันเมื่อไหร่
จิตใจจึงจะคืนสู่สมดุลได้ตามปกตินั้น
มันคือการหยิบเอาอดีตที่เป็นมายา
นำมาจุดไฟสุมใจตนเองให้ร้อนเร่าในปัจจุบัน
พวกท่านจึง "ทุกข์ทุกวัน" อยู่จนบัดนี้ไงล่ะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-11-2015

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม กรณี "กรรมสนองอย่างไร?"




ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:
ตอน ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม
กรณี "กรรมสนองอย่างไร?"
******************************
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า...
กฎแห่งกรรมนั้นไม่ต้องมีใครควบคุมมัน
ใครเป็นผู้ก่อกรรมนั้นขึ้นมา
คนผู้นั้นจักต้องรับผิดชอบในผลกรรมนั้นเสมอ
ไม่ช้าก็เร็ว....ไม่ช้าก็เร็ว.....ไม่ช้าก็เร็ว
ในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณนั้น
เมื่อใดก็ตามที่จิตปัจจุบันของท่าน
มีอาการสั่นสะเทือนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบก็ตาม
มันก็จะก่อให้เกิดพลังงานกรรม
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
แล้วแผ่กระจายจากจิตของท่านออกมาภายนอก
ในรูปของคลื่นวงกลมเป็นระลอกๆอย่างต่อเนื่อง
ตราบเท่าที่จิตของท่าน
ยังสั่นสะเทือนเป็นอาการเช่นนั้นอยู่
ถ้าจิตของท่านเกิดการสั่นสะเทือน
เป็นอาการที่รุนแรง เช่น โกรธจัด ฉุนเฉียว วู่วาม
หนำซ้ำยังโกรธนาน เสียสมดุลทางอารมณ์นาน
มันจะก่อให้เกิด "คลื่นวงกลม" ขนาดใหญ่
เหวี่ยงออกมาเป็นระลอกไล่ตามกันมาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจิตที่สั่นสะเทือนเป็นโทสะ โลภะ โมหะ
จะมีลักษณะของคลื่นในแบบที่ว่านี้ทั้งสิ้น
เนื่องจากจิตเมื่อสั่นสะเทือนแล้ว
เกิดเป็นพลังงานในรูปคลื่นวงกลมขนาดใหญ่นี่เอง
คนส่วนใหญ่จึงเรียกจิตของตนเองว่า "จิตหยาบ"
เมื่อคลื่นจิตชนิดหยาบๆของท่าน
กระจายตัวออกไปจากจิต
ที่เป็นต้นกำเนิดคลื่นพลังงานกรรมนั้น
มันจะใช้เวลานานพอสมควร
กว่าจะเดินทางไปถึงสุดขอบสนามพลังงานเอกภพ
และเมื่อถึงสุดทางแล้วคลื่นนั้นก็จะพากัน
ทะยอยวกกลับตามเส้นทางเดิม
เพื่อย้อนคืนสู่ต้นกำเนิดของมันก็คือตัวท่านอีกครั้ง
เนื่องจากตัวท่านที่ดำรงอยู่บนดาวเคราะห์โลก
มีพิกัดตำแหน่งอยู่ในโซนของศูนย์กลางของเอกภพ
ดังนั้นระยะทางไปและกลับของคลื่นพลังงานกรรม
จึงเป็นสองเท่าของรัศมีหรือเท่ากับ
ความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลางของเอกภพนั่นเอง
ดังนั้น....
สมมติว่าถ้าท่านตัดสินใจผิดคิดผิด
ด้วยอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบแล้ว
ผลกรรมที่เกิดขึ้นนั้นสักวันหนึ่ง
มันก็จะสะท้อนย้อนกลับคืนมาหาท่าน
เพื่อให้ท่านได้พบเจอสถานการณ์แบบเดิมๆนั้น
จะให้ท่านได้ตัดสินใจใหม่เสียให้ถูกต้อง
นั่นคือ ต้องรักได้ ให้อภัยเป็น ดังที่รู้กันอยู่แล้ว
แต่เนื่องจากเส้นผ่านศูนย์กลางของเอกภพ
มีขนาดความยาวเท่ากับ 8 ล้าน 1 แสนล้านไมล์
ด้วยเหตุนี้เอง...
กว่าคลื่นพลังงานกรรมของท่าน
มันจะย้อนกลับคืนสู่ตัวท่าน
อย่างที่เรียกว่า "กรรมตามทัน" นั้น
จึงจำต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับ
นานข้ามภพชาติกันเลยทีเดียว
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-11-2015

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความจริงที่ต้องรับรู้ ปรากฏการณ์ก๊าซโอโซนรั่ว




ขณะนี้พบว่าเกิดรูรั่วของชั้นโอโซนเหนือขั้วโลกใต้
มีขนาดใหญ่เท่ากับพื้นที่ทวีปอเมริกาเหนือ!!!

เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
มีการตรวจพบว่า

ในชั้นบรรยากาศโลก
ตรงบริเวณแถบแอนตาร์กติกหรือขั้วโลกใต้
มีช่องโหว่หรือรูรั่วของโอโซน
กินพื้นที่กว้างราวๆ 25.8 ล้านตารางกิโลเมตร
ซึ่งถือว่าเป็นรูโหว่ที่ใหญ่ที่สุดเป็นประวัติิการณ์
เพราะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่พอๆกับ
ทวีปอเมริกาเหนือทั้งทวีปเลยทีเดียว

ปรากฏการณ์ก๊าซโอโซนรั่ว
ในชั้นบรรยากาศโลกนี้
เป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดีว่า
ดาวเคราะห์โลกทุกวันนี้
กำลังขาดแคลนก๊าซอ๊อกซิเจนอย่างหนักแล้ว

เพราะในก๊าซโอโซน 1 โมเลกุลนั้น
จะได้จากการรวมตัวกัน
ของก๊าซออกซิเจนถึง 3 อะตอม

ถ้าโลกมีปริมาณก๊าซอ๊อกซิเจน
ที่เหลือใช้แล้วเป็นปริมาณสูงมาก
ก๊าซโอโซนที่ลอยตัวขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ
ก็จะถูกโลกดึงดูดเหนี่ยวรั้ง
ให้ปกคลุมหุ้มห่อโลกเอาไว้
อย่างหนาแน่นไร้ช่องโหว่รูโหว่เสมอ

แต่ถ้ามีปริมาณอ๊อกซิเจนที่เหลือใช้
น้อยกว่าที่พระบิดาทรงกำหนดเอาไว้มาก
โอโซนในชั้นบรรยากาศโลกจะเบาบาง
ถ้าน้อยกว่าพิกัดสมดุลที่ทรงกำหนดเอาไว้ให้
มันก็จะฟ้องด้วยช่องโหว่หรือรูรั่วดังที่ปรากฏในขณะนี้

แต่เนื่องจากก๊าซออกซิเจน
ที่มนุษย์และสัตว์ใช้หายใจ
พืชต้องใช้อ๊อกซิเจน
ในกระบวนการสังเคราะห์แสงร่วมกับสีเขียวที่ใบ
เพื่อการผลิตสร้างอาหารเลี้ยงตนเองนั้น

ต้องใช้พลังงานความรักบริสุทธิ์จากจิตมนุษย์
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่มีจำนวนพลังงานมากพอและต่อเนื่อง
ลงไปทำปฏิกริยา "Nuclear Fission"
กับอะตอมของธาตุออกซิเจนเหลวบริสุทธิ์ 100%
ซึ่งติดตั้งอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของทุกท่าน
ภายในแกนกลาง (Core) หรือ "แก่น" โลก

ดังนั้น...
การที่โลกเกิดปรากฏการณ์ช็อคจักรวาล
เพราะมีรอยรั่วของก๊าซโอโซนขนาดมหึมา
ในบรรยากาศทางขั้วโลกใต้นี้
จึงเป็นตัวชี้วัดความล้มเหลวของมนุษย์โดยรวม
ที่รักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็น มีกิเลสตัณหาครอบงำ
จนยังผลให้จิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์
ของชาวโลกส่วนใหญ่ตกต่ำจนวิกฤตนั่นเอง

หากขืนปล่อยให้โลกเกิดรูรั่วชั้นโอโซน
มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมากขึ้นเรื่อยๆเช่นนี้แล้ว
ภัยอันตรายที่มนุษย์ส่วนใหญ่รู้แล้วก็คือ
มนุษย์จะไม่ปลอดภัยจากรังสีบางอย่าง
ที่ถูกส่งมาจากดวงอาทิตย์และจากแหล่งอื่นในอวกาศ

นอกจากนั้นภัยมหันต์ที่มนุษย์โลกยังไม่รู้
นั่นคือ วันหนึ่งในอีกไม่นานข้างหน้า
มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
จะต้องเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตของก๊าซออกซิเจน
จากการมีอ๊อกซิเจนในธรรมชาติไม่เพียงพอ
ทุกคนต้องแย่งกันหายใจ แย่งกันใช้อ๊อกซิเจน

หลายคนจะเกิดอาการปัญญาทึบคิดไม่ออก หัวช้า
หลายคนจะเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ
หลายคนจะเกิดอาการคลื่นไส้ อยากอาเจียน
หลายคนจะเกิดอาการหาวถี่ๆ ง่วงนอนผิดปกติ
หลายคนจะมีอาการหัวใจสั่นคล้ายใจจะขาด
หลายคนจะขาดสติง่ายมีอารมณ์รุนแรงเมื่อถูกยั่วยุ

หลายคนจะเหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็ว
แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย

นักกีฬาบางคนอาจช็อคหมดสติหรือหัวใจวายคาสนาม
นักกีฬาบางคนที่ต้องใช้กล้ามเนื่อน่องขา
ก็จะเกิดอาการเป็นตะคิวกระทันหัน
ฯลฯ

ที่เรากล่าวเอาไว้ตั้งยืดยาวก็เพื่อให้ท่านทั้งหลาย
คอยติดตามเฝ้าสังเกตอาการเหล่านี้กันด้วยตนเอง
เพื่อจะได้รู้ตัวล่วงหน้าก่อนใครๆว่า
ภัยร้ายอันหมายถึงชีวิตมันมาถึงตัวเมื่อไหร่
จะได้จัดการกับตนเองได้ทันท่วงที
เนื่องจากมันเป็น "ความรู้ใหม่"
ที่มนุษย์โลกทั้งหลาย "ยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้"

สมาชิกในครอบครัวจิตจักรวาล
คงต้องทำงานหนักด้วยการรักกันให้มากขึ้น
เพื่อมอบดอกผลแห่งรักให้แก่ดาวโลก
ใช้เยียวยาช่องโหว่ของโอโซน
ให้มิดชิดสนิทดังเดิมโดยเร็ว

ก๊าซโอโซนเป็นก๊าซที่
แปรสภาวะและเปลี่ยนคุณสมบัติ
มาจากก๊าซอ๊อกซิเจนในระบบโลกเอง

โดยมีประโยชน์อีกด้านหนึ่งซึ่งท่านต้องรู้ไว้
นั่นคือ บรรยากาศชั้นโอโซนที่หุ้มห่อโลกไว้นี้
จะทำหน้าที่เสมือนเป็นถุงลมขนาดใหญ่
ที่จะคอยกักกั้นก๊าซออกซิเจนเอาไว้ในระบบโลก
มิให้หลุดลอยออกไปนอกระบบง่ายๆอย่างไร้ประโยชน์

เราจึงขอกล่าวความจริงเหล่านี้
ให้ท่านรับรู้ไว้ด้วยรักและปรารถนาดี
ผู้ใดไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
จงรอวันพิสูจน์เถิด...อีกไม่นานหรอก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-11-2015

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ชะตาชีวิต กับ ชะตากรรม

Question:
บททดสอบกับพันธะกรรมที่ต้องชดใช้
มีข้อสังเกตอย่างไร?
Answer:
Khunพัฒน์ธัญญ์ ชาตวัฒนานนท์
1.คำกล่าวที่ว่า "บททดสอบ" นั้นแท้แล้ว
คำเต็มคือ "บททดสอบจิตสำนึกด้านบวก" นั่นเอง
2.บททดสอบจิตสำนึก คือ เหตุการณ์ สถานการณ์
หรือเรื่องราวต่างๆ ที่คนรอบข้างท่านคนใดคนหนึ่ง
หยิบยื่นมาให้ในชีวิตประจำวัน
โดยสิ่งที่พวกเขาหยิบยื่นมาให้ท่านนั้น
จะเป็น "เงื่อนไข" กระตุ้นหรือปลุกเร้าให้
เกิดการสั่นสะเทือนของจิตและปัญญา
เพื่อตอบสนองต่อเงื่อนไขนั้นๆให้ถูกต้อง
3.เงื่อนไขที่คนรอบข้างของท่านหยิบยื่นมาให้
เพื่อทดสอบจิตปัญญาดังว่านี้
จะมีทั้งเงื่อนไขด้านบวกที่ท่านพึงพอใจ
และเงื่อนไขด้านลบที่ท่านไม่พึงประสงค์
ทั้งนี้หน้าที่ของท่านก็คือ
จะต้องสั่นสะเทือนจิตปัญญาตอบสนอง
ที่เป็นด้านบวกเท่านั้น...นั่นคือ
ต้องรักให้ได้ แม้เขาจะทำตัวไม่น่ารักต่อท่าน
ต้องให้อภัยเขาให้ได้ แม้ว่าเขาจะทำตัวไม่น่าให้อภัย
ต้องใช้สติปัญญาของสมองแทนให้ได้
แม้ว่าเขาจะพยายามยั่วยุอารมณ์ท่านก็ตาม
4.ถ้าท่านจะสามารถปฏิบัติตนเช่นว่านี้ได้นั้น
ท่านจะต้องฝึกตนเองให้มี "มหาสติ" เอาไว้เสมอ
เพราะมหาสติเป็นธรรมชาติสมาธิ
ที่จะช่วยให้ท่านตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา
คือรู้เท่าทันอารมณ์รู้สึกนึกคิดของตนเอง
และรู้เท่าทันการยั่วยุของคนรอบข้าง
ซึ่งมันจะช่วยให้ท่านมีอำนาจเหนือนำจิต
อีกทั้งมีพลังอำนาจในการคิดด้วยปัญญาของสมอง
อย่างเต็มประสิทธิภาพและมากด้วยคุณภาพเสมอ
5.การที่มนุษย์จะต้องมีบททดสอบก็เพราะว่า
การอยู่คนเดียวตามลำพังนั้นจะไม่สามารถยกระดับ
แรงสั่นสะเทือนจิตสำนึกให้สูงขึ้นทางด้านบวกได้
พระบิดาจึงทรงยินยอมให้มนุษย์แต่ละคน
ผลัดกันหยิบยื่นบททดสอบให้แก่กันและกัน
ทั้งบทดีบทร้ายตลอดเวลาไปจนตลอดชีวิต
คนรอบข้างที่สำคัญในการยื่นบททดสอบให้กัน
ก็คือพ่อแม่ลูกสามีภรรยาวงศาคณาญาติ
เพราะร่วมกันเขียนบทละครชีวิตกันไว้
ตั้งแต่ภพชาติแรก
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์
ซึ่งเราเรียกบททดสอบลักษณะนี้ว่า "ชะตาชีวิต"
6.ส่วนกรณีที่มนุษย์แต่ละคน
จะต้องเผชิญกับสถานการณ์บางอย่างที่ตนไม่ชอบใจ
จากการแสดงออกหรือกระทำของคนอื่นๆ
ที่มิใช่วงศาคณาญาติหรือคนในครอบครัวนั้น
โดยภาพรวมแล้วก็เป็นบททดสอบจิตสำนึกเหมือนกัน
แต่จะต่างกันกับชะตาชีวิตก็ตรงที่ว่า...
การกระทำไม่ถูกต้องต่อกันและกันนี้
มักเป็นไปตามแรงแห่งกรรมอันเกิดจาก
การกระทำผิดบาปต่อกันในอดีตชาติมากกว่า
ทั้งนี้ก็เพื่อให้โอกาสย้อนกลับมาตัดสินใจใหม่
ในสถานการณ์แบบเดิมๆที่เคยผิดพลาดไว้ให้ถูกต้อง
ซึ่งกรรมประเภทนี้เราเรียกว่า "บุรพกรรม"
7.คำว่า "บุรพกรรม" นั้น หมายถึง ความผิดบาป
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านลบ
ที่พวกท่านกระทำผิดบาปต่อจิตวิญญาณตนเอง
เพราะรักคนที่ไม่น่ารักไม่ได้
ให้อภัยคนที่ทำตนไม่น่าให้อภัยก็ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เองในภพชาติใหม่เช่นภพชาติปัจจุบัน
ท่านจึงต้องเกิดมาแล้วเผชิญกับสถานการณ์เดิมๆอีก
เสมือนนักเรียนที่สอบตกซ้ำชั้นนั่นแหละ
โดยที่สถานการณ์เหล่านี้จะถูกเรียกว่า
"บททดสอบจิตสำนึก" เช่นเดียวกัน
8.นอกจากนั้นสำหรับมนุษย์แต่ละคน
ที่ยังไม่สามารถข้ามพ้น
การยึดติดตัวตนอัตตาและหลงมายาได้
เมื่อมีผู้ใดกระทำไม่ถูกต้องต่อตนเองเข้า
ก็จะเกิดอาการโกรธเกลียดเคียดแค้น
อาฆาตพยาบาทจองล้างจองผลาญเสมอ
ดังนั้น...
ถ้าท่านเผลอไผลสอบตกในบททดสอบ
ที่คนพวกนี้หยิบยื่นเงื่อนไขด้านลบมาให้
ด้วยการกระทำไม่ดีงามต่อตัวท่าน
แล้วตัวท่านก็ตอบสนองตัวเขา
ด้วยการกระทำด้านลบ
โดยรักไม่ได้ ให้ไม่เป็น
อีกทั้งยังใช้อารมณ์กระทำตอบต่อตัวเขา
แทนการใช้ปัญญาแล้ว
การเกี่ยวกรรมกันหรือก่อกรรมสัมพันธ์ก็จะเกิดขึ้น
เพราะผู้ที่ถูกท่านกระทำตอบด้านลบรุนแรง
ก็จะเกิดอาการโกรธเกลียดแค้นท่านรุนแรงเช่นกัน
กรรมประเภทนี้เราเรียกว่า "พันธะกรรม"
หรือ คนทั่วไปมักเรียกว่า "ชะตากรรม" นั่นเอง
9.เราจึงขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ไม่ว่ากรรมที่ท่านเผชิญจะเป็นรูปแบบใด
มันต่างล้วนเป็นบททดสอบ "จิตสำนึก" ทั้งสิ้น
ท่านมีหน้าที่จะต้องสอบผ่านมันไปให้ได้
ลักษณะกรรมที่ท่านว่า "ต้องชดใช้" นั้น
เป็นเพียงการสลับบทบาทกัน
โดยผู้ที่เคยถูกท่านกระทำ
เปลี่ยนมาถือบทบาทเป็นผู้กระทำต่อตัวท่านบ้าง
เพื่อชำระแค้นของเขาให้จิตสมดุลดังเดิม
สำหรับท่านก็จะได้รับบทเรียนชีวิตที่ถูกต้อง
เพื่อการดำเนินชีวิตให้สมบทบาทต่อไปด้วย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-11-2015

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม กรณี "รับรู้ ไม่รับเอา"




ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:
ตอน ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม
กรณี "รับรู้ ไม่รับเอา"
******************************
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
1 ใน 3 ของมหาสตินั้น คือ การมีสติ
และการมีสติก็คือ
"เมื่อรับรู้ แล้วไม่รับเอา"
ซึ่งการรับรู้แล้วไม่รับเอานี่แหละ
ที่จะช่วยให้ท่าน
อยู่เหนืออารมณ์หยาบๆรายวันได้
เพราะไม่ตกเป็นทาสของการยั่วยุ
การก่อเวรเกี่ยวกรรมกับผู้อื่นในชีวิตประจำวันนั้น
ล้วนเกิดจากการสั่นสะเทือนในจิตใจตนเอง
เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบต่อผู้อื่นทั้งสิ้น
ซึ่งเราได้พยายามอธิบายความจริงเชิงอภิปรัชญา
ให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้และระมัดระวังกันตลอดมา
หน้าที่ของพวกท่านที่จะทำตนเอง
ให้อยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้อย่างหนึ่งก็คือ
จะต้องไม่ตกเป็นทาสการยั่วยุของผู้อื่น
โดยยอมให้ตนเองเสียสมดุลทางจิตใจง่ายเกินไป
มรรควิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
เราได้แนะเน้นให้ท่านทั้งหลาย
ฝึกเป็นผู้ "มีสติ" ให้เข้มแข็งไว้
โดยไม่ให้ตกเป็นทาสของการยั่วยุ
ด้วยการ "รับรู้ แล้วไม่รับเอา"
การรับรู้แล้วไม่รับเอา
หมายถึง.....
1.เมื่อมีใครกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
เช่น พูดไม่ดี หรือทำไม่ถูกต้องต่อท่าน
ท่านก็จักต้องไม่รับเอามันมาเป็นเงื่อนไข
ที่จะทำให้จิตใจของท่านเสียสมดุลไป
จนเกิดการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกเป็นลบ
แล้วนำไปสู่การนึกลบ คิดลบ กระทำลบ
ตอบสนองเขาคนนั้นกลับไปเด็ดขาด
2.การไม่รับเอา หมายความว่า
ถ้าท่านได้รับรู้แล้วว่าเขาพูดอะไร ทำอะไรต่อท่าน
ก็ขอให้ท่านจงอย่านำเอาสิ่งนั้นมาเป็นเงื่อนไข
ทำลายความสมดุลในจิตใจของท่านเอง
คำพูดหยาบคาย คำกล่าวร้ายๆแรงๆของเขา
หรือการกระทำบางสิ่งที่เกินเลยต่อท่านไป
แม้มันล้วนชวนให้ท่านเสียสมดุลทางอารมณ์
ท่านก็จักต้องไม่ควรใส่ใจ
ในสิ่งเหลวไหลไร้สาระของเขาเหล่านั้น
3.หน้าที่ของท่านก็คือ
เมื่อได้สัมผัสรับรู้ดูเห็นการกระทำของเขาแล้ว
จักต้องคัดแยกแจกแจงด้วยสติปัญญาในทันทีว่า
อะไร คือ "สาระ" อะไร คือ "ขยะ"
ถ้าเป็นสาระรับรู้แล้วก็ให้รับเอาไว้เพราะมีประโยชน์
แต่ถ้าเป็นขยะเมื่อรับรู้แล้วก็ควรเขวี้ยงทิ้งไป
อย่าไปใส่ใจให้เสียเวลาหรือเสียอารมณ์
เพราะมันเป็นสิ่งไร้ประโยชน์หรือไร้ค่านั่นเอง
4.กรณีที่มีใครกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
แทนที่ท่านจะโกรธมันคนนั้นมากๆ
ก็ให้ท่านค้นหา "สาระ" ของเขาให้พบว่า
เขาทำไม่ดีกับท่านทำไม
อะไรเป็นเหตุให้เขาทำไม่ดีต่อตัวท่าน
ท่านควรจะตอบสนองการกระทำของเขาอย่างไรดี
จึงจะไม่มีปัญหาต่อเนื่อง เป็นต้น
อันคำพูดไม่เพราะหู
อันกิริยาท่าทางยียวนกวนประสาท
สิ่งเหล่านี้ล้วน "ไร้สาระ" สำหรับท่าน
หากท่านไปใส่ใจรับเอามา
มันก็จะเป็นปัญหาทางอารมณ์ในจิตใจท่านทันที
ซึ่งมันมิได้มีสาระประโยชน์อันใดเลย
ซึ่งการปฏิบัติตนในการคัดแยก
ระหว่างสาระกับสิ่งไร้สาระดังว่านี้
มันเป็นการใช้หลักของ "ไก่โมเดล" ดีๆนี่เอง
ลองสังเกตวิธีการดำเนินชีวิตของไก่ดูสิ
ไก่จะใช้สองเท้าคุ้ยเขี่ยดินทราย
คัดแยกสิ่งที่ไร้สาระประโยชน์ออกไป
โดยใส่ใจค้นหาแต่เมล็ดข้าวหรือชิ้นอาหาร
อันเป็นสาระประโยชน์สำหรับตน
ซึ่งเจือปนอยู่กับดินทรายที่ไร้สาระเท่านั้น
โดยที่ไก่ไม่เคยเสียอารมณ์
ไปกับการเสียแรงเสียเวลาในการคุ้ยเขี่ย
เพื่อค้นหาสาระที่มีปริมาณน้อยกว่าสิ่งไร้สาระเลย
5.ดังนั้น...
เมื่อชายหนุ่มเบอร์ 2 ในภาพประกอบ
ได้สั่นสะเทือนจิตใจด้านลบ
จนก่อให้เกิดมวลพลังงานกรรมด้านลบขึ้น
แล้วเหวี่ยงมันออกมาภายนอกร่างกาย
อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
โดยที่เป้าหมายของเขาคือ สาวเบอร์ 1 นั้น
เพราะว่าสาวเบอร์ 1 เธอครองมหาสติได้เข้มแข็ง
สภาวะจิตของเธอจึงสั่นสะเทือนเป็นบวก
ด้วยความสงบและสมดุลอยู่ในตนเอง
อีกทั้งเธอก็ยังฉลาดพอที่จะเลือกรับรู้ว่า
หนุ่มเบอร์ 2 นั้นมีอะไรที่เป็นสาระอันควรใส่ใจได้บ้าง
โดยที่เธอจะต้องมองข้ามพฤติกรรมขยะอันไร้สาระ
จำพวกความเกรี้ยวกราด
ความก้าวร้าว
ความสามหาว
ความไม่เอาไหน
และอื่นๆ
ซึ่งเปรียบได้ดั่งเม็ดกรวดเม็ดทราย
ที่ไร้สาระสำหรับ "ไก่"
เพราะมิใช่อาหารของไก่โดยแท้
6.การที่ท่านอยู่ในสังคมคนหมู่มากนั้น
โอกาสที่คนรอบข้างทั้งใกล้ไกล
จะหยิบยื่นขยะห่อสาระเอาไว้
มาให้ท่านได้ชื่นชมหรือทดสอบนั้น
มันมิใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
แต่มันแปลกก็ตรงที่ว่า
อันทุกท่านน่ะล้วนปรารถนา
ความมีสาระในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
แต่ในการดำเนินชีวิตกันจริงๆ
ท่านก็กลับไปคว้าเอาสิ่งไร้สาระของผู้อื่น
มาทำลายความสมดุลในจิตใจของตนแทน
จนก่อเวรเกี่ยวกรรมสร้างภพชาติใหม่
อย่างมิรู้ว่าจะสิ้นสุดยุติกันที่ตรงไหนได้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-11-2015

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วัตถุประสงค์ ของชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก





1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

ตักเตือน" เขาให้รู้สำนึก (รู้ตัว) กับวิธี "ติเตียน" นั้นมันต่างกันอย่างไร





ATTN: Srevipa JT
Question:
เราควรปล่อยเขาทำตัวไม่น่ารัก
โดยเราเตือนใดไม่ได้เลยหรือค๊ะ
เพราะบางครั้งยิ่งเตือนยิ่งเตลิด
หากเราเฉยต่อไปเขาจะค่อยๆเรียนรู้
หรือรู้ตัวได้เองชิมิค๊ะ


ANSWER:
ถ้าเธอต้องเจอคนที่ทำตัวไม่น่ารัก
สิ่งอันสมควรทำตามลำดับเลย (ห้ามข้ามขั้นตอน)
มีดังนี้นะ

1.เป็นหน้าที่ของเธอที่จะ..........
ต้องตัก ต้องเตือน ต้องติ ต้องติง
ต้องตอบโต้ หรือ ต้องต่อต้าน
เขาคนนั้นหรือเปล่า...

ถ้าคำตอบ คือ ไม่ใช่ "หน้าที่"
ก็จงล้มเลิกการคิดที่จะเตือนเขาเสียเถอะ
ไม่งั้นเธอจะผิดบาปเสียเองในข้อหา "ก้าวล่วง"
โอเคนะ?

2.ถ้าพบว่าเป็นหน้าที่ของเธอแน่แล้ว
ที่จะต้อง "ตักเตือน" ให้เขารู้สำนึก
เธอก็ต้องถามตนเองว่า
วิธี "ตักเตือน" เขาให้รู้สำนึก (รู้ตัว)
กับวิธี "ติเตียน" นั้นมันต่างกันอย่างไร
เธอควรเลือกใช้วิธีไหนจึงจะไม่ก่อกรรมขึ้นมาใหม่

3.คนส่วนใหญ่มักจะสับสนระหว่าง 2 คำนี้แหละ
เพราะอารมณ์ด้านลบที่ในใจ
มันจะพาปากของตนไปสู่
การระบายอารมณ์ลบออกมาเสมอ
คำกล่าวส่วนใหญ่จึงมิใช่แค่ตักเตือน
แต่มันกลายเป็นติเตียนหรือต่อต้านหรือตอบโต้เขาไป
โดยที่ตัวเองมิได้ตั้งใจ

เหตุผลก็คือ
ไม่ตรวจสอบอารมณ์ตนเองก่อนว่า
ในขณะที่จะทำหน้าที่ตักเตือนเขาอยู่นั้น
ตนเองกำลังทำให้เกิดมวลของคลื่นพลังงานกรรม
กระเพื่อมสั่นขึ้นแล้วเหวี่ยงมันออกมารอบตัวอยู่รึเปล่า

ถ้าพบว่ามันกำลังสั่นสะเทือนเป็นความขุ่นมัว
สั่นสะเทือนเป็นความโกรธขึ้งไม่พึงพอใจ
ก็ให้เธอรีบดับมันเสียให้ได้ภายใน 3 นาที!!!!!
ด้วยคาถาโดนใจ...."ปริญญาโมเดล"
โดยรหัสลับง่ายๆมีอยู่ว่า...
ช่างเขาเถอะ ไม่เป็นไร ยังไงก็ได้
แค่นี้ก็ดีแล้วววว....

4.จงจำไว้ว่า "ต้องจัดการที่ใจตนเองก่อน"
อย่าเพิ่งไปจัดการที่คนอื่น

เพียงเท่านี้เธอก็จะสามารถ
เข้าถึงความรักได้เพราะจิตว่างจากขยะแล้ว
เข้าถึงการใช้ปัญญาได้เพราะหายโง่
อันเกิดจากอารมณ์ขยะปิดกั้นการใช้ปัญญาได้แล้ว

5.ถามตนเองว่า.....
ที่เขาทำตัวไม่น่ารักให้เธอรู้เห็นอยู่นั้นน่ะ
เธอเองเป็นผู้สร้างเงื่อนไขด้วยการทำอะไร
ไม่สบอารมณ์เขาอยู่หรือเปล่า...

ถ้าพบว่าตัวเธอเองแหละ
เป็นเหตุให้เขาทำตัวไม่น่ารักอยู่ในขณะนั้น
ไม่ว่าเธอจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม
เพียงแค่เธอหยุดทำหยุดพูด
แล้วขออภัยในความผิดพลาด(ผิดบาป)
ที่กระทำต่อเขาเสียโดยพลัน

เพียงเท่านี้....พฤติกรรมของเขา
ที่เธอเห็นว่าไม่ดี อยากตักเตือน
มันจะหายไปเองเพราะเขาเลิกทำ
โดยที่เธอมิพักต้องไปยุ่งเกี่ยวอันใดกับเขาเลย

เพียงแค่ตัวเธอหยุดสร้างเงื่อนไขเสียเอง
แค่นั้นแหละนะ...

6,มนุษย์มากมายมักมองข้ามความบกพร่องของตน
แต่แลเห็นความไม่ดีงามของคนอื่นชัดแจ๋ว
เธอพึงระวัง...ตามที่กล่าวนี้ด้วย

เรื่องเล็กน้อยและง่ายๆ
จะมิต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่และยากๆ
ดังที่มนุษย์ส่วนใหญ่เขาคุ้นชินกัน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-11-2015

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล: ความรู้เรื่องของ "กฎแห่งกรรม" ยุคพลังงานใหม่




ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:
ความรู้เรื่องของ "กฎแห่งกรรม" ยุคพลังงานใหม่
************************************************
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เรื่องของกฎแห่งกรรมที่จะกล่าวต่อไปนี้นั้น
ท่านทั้งหลายควรรับทราบไว้เป็นอย่างยิ่ง
เพราะเรามีคำตอบในเชิง Meta-physics (อภิปรัชญา)
ต่อคำถามยอดฮิทในหมู่มนุษย์โลกเสรีที่ว่า....
"การเกี่ยวกรรมกับผู้อื่นนั้น
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?"
1.การเกี่ยวกรรม หมายถึง
การที่คนอย่างน้อยสองคนขึ้นไป
ก่อ "กรรมสัมพันธ์กัน" เกิดขึ้น
โดยมีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้สร้างเงื่อนไขลบ
ด้วยการแสดงออกหรือกระทำไม่ถูกต้อง
ต่ออีกคนหนึ่งก่อน
(ในภาพประกอบนี้ผู้เริ่มก่อน คือ เบอร์ 2)
ทั้งนี้ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
2.เมื่อผู้ถูกกระทำหรือได้รับผลกระทบ คือ เบอร์ 1
สัมผัสรู้ดูเห็นหรือได้ยินได้ฟังเข้า
ก็จะเกิดอาการเสียสมดุลทางจิตใจขึ้นมาทันที
เพราะสาวเบอร์ 1 เป็นคนอ่อนไหวต่อการยั่วยุง่าย
เป็นคนที่ไม่มีมหาสติเป็นคุณสมบัติ
เธอจะสั่นสะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง
เกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบต่อการถูกยั่วยุนั้น
ด้วยอาการโกรธ เกลียด เคียด แค้น และอื่นๆ
โดยที่จิตใจเธอจะสั่นสะเทือนเป็นด้านลบ
ต่อหนุ่มเบอร์ 2 เกือบจะทันทีนั้นเช่นกัน
3.แม้ในทางโลก
สาวเบอร์ 1 อาจเก็บงำอำพราง
พฤติกรรมไม่พอใจของเธอเอาไว้ได้
หรืออดกลั้นความโกรธเอาไว้ไม่ไหว
แล้วแสดงออกหรือกระทำด้านลบ
ตอบโต้หนุ่มเบอร์ 2 เข้าให้บ้างก็ตาม
กระบวนการที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
ในมิติทางพลังงานด้านจิตใจของคนทั้งคู่
มันได้เกิด "กรรมสัมพันธ์" ขึ้นมาแล้ว
หรืออาจเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า
"การเกี่ยวกรรม" เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
4.ในศาสตร์ด้านอภิปรัชญาขององค์จิตจักรวาล
เราสามารถอธิบายได้ด้วยมายาสมมติดังภาพ
กล่าวคือ หนุ่มเบอร์ 2 ได้สั่นสะเทือนจิตใจตนเอง
จนเกิดกลุ่มมวลคลื่นพลังงานกรรมด้านลบขึ้นมา
โดยมีเป้าหมายที่จิตจดจ่ออยู่คือสาวเบอร์ 1
พร้อมๆกับการกระทำพฤติกรรมด้านลบบางอย่าง
ในมิติที่สาวเบอร์ 1 สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้ง 5
ทั้งนี้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือมิได้ตั้งใจก็ตาม
ทันใดนั้นคลื่นพลังงานกรรมของเขาอันเกิดจากจิต
ซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบที่โลกไม่ต้องการ
ก็จะถูกเหวี่ยงออกมาภายนอกร่างกายเขา
โดยเป้าหมายอยู่ที่สาวเบอร์ 1 ด้วยเช่นเดียวกัน
5.ปรากฏว่าสาวเบอร์ 1
เมื่อได้รับรู้ว่าตนถูกหนุ่มเบอร์ 2
กระทำพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ต่อตัวเธอเข้า
สภาวะจิตของเธอเมื่อถูกยั่วยุเข้า
ก็จะเกิดอาการเสียสมดุลทันที
จนสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์ขยะรายวันขึ้นมา
จิตของเธอก็จะผลิตสร้างมวลพลังงานกรรม
เป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบที่รุนแรง
แล้วเหวี่ยงมันออกมาอย่างต่อเนื่อง
ตราบเท่าที่สภาวะจิตเธอขณะนั้นยังเสียสมดุลอยู่
ส่วนปรากฏการณ์ในด้านมิติทางพลังงาน
ซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกับมิติโลกทางกายภาพ
ก็จะปรากฏเป็นมวลของคลื่นพลังงานกรรมด้านลบ
เหวี่ยงกระจายตัวออกมาจากสาวเบอร์ 1 ทุกทิศทาง
โดยริ้วคลื่นแต่ละระลอกที่ถูกเหวี่ยงออกมานั้น
จะพากันทะยอยพุ่งตรงไปยังหนุ่มเบอร์ 2 ทันที
6.ถ้าพินิจจากภาพจะเห็นว่า
คลื่นพลังงานกรรมของสาวเบอร์ 1 นั้น
เป็นคลื่นที่มีความรุนแรงมาก
เมื่อมีการปะทะกันกับ
คลื่นพลังงานกรรมของหนุ่มเบอร์ 2 เข้า
จึงยังผลให้สภาวะจิตของหนุ่มเบอร์ 2
เกิดอาการเสียสมดุลทางด้านลบตามไปด้วย
ขณะที่ระลอกคลื่นพลังงานกรรมที่เกิดขึ้นนี้
เมื่อมีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างเบอร์ 1 กับ 2 แล้ว
ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นก็จะเคลื่อนตัวต่อไป
จนถึงสุดขอบเขตของจักรวาล คือ เอกภพ
เมื่อสุดเขตแล้วก็จะวกกลับคืนมาหาเจ้าของมันต่อไป
ซึ่งเจ้าของคลื่นพลังงานกรรมด้านลบ
ที่ย้อนกลับคืนมาดังว่านี้ก็คือ
ทั้งเบอร์ 1 และเบอร์ 2
จักต้องร่วมกันรับผิดชอบมันทั้งคู่
ใครคนใดคนหนึ่งจะมาโทษเถียงกัน
ด้วยการคิดแบบจิตมนุษย์ว่า
ใครหาเรื่องใครก่อน....มิได้
ใครทำร้ายใครก่อน....ก็มิได้
7.นี่ถ้า.....
เบอร์ 2 ไม่กระทำผิดบาปต่อเบอร์ 1 ก่อน
ผลกรรมที่จักต้องมาเกี่ยวกรรมดังว่านี้ก็ไม่เกิดขึ้น
นี่ถ้า...
เบอร์ 1 สามารถรักได้แม้เบอร์ 2 จะทำตัวไม่น่ารักต่อเธอ
เบอร์ 1 สามารถให้อภัยเบอร์ 2 ได้แม้ว่าเขาไม่น่าให้อภัย
ผลกรรมที่จักต้องมาเกี่ยวกรรมกันก็จะไม่เกิดขึ้น
8.ท่านเห็นว่าการรักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงกัน
ระหว่างท่านทั้งหลายนั้นสำคัญมั้ยล่ะ?
ถ้าจะทำได้ก็ต้องครองมหาสติไว้ให้ได้
ต้องฝึกฝนการมีมหาสติให้ชำนาญไว้ใช่มั้ยล่ะ?
9.คลื่นพลังงานกรรมหมู่ของทั้งสองคน
เมื่อมันย้อนคืนมาถึงทั้งคู่ในภพชาติต่อไปนั้น
มันจะนำเอาเหตุการณ์ เรื่องราว
หรือสถานการณ์แบบเดิมๆที่เกิดขึ้นในภพชาตินี้
มาให้ทั้งคู่ได้ทดสอบจิตปัญญาว่า
เบอร์ 2 จะประมาทหรือขาดสติ
โดยทำอะไรให้เป็นเงื่อนไขด้านลบ
ต่อ เบอร์ 1 เหมือนภพชาติที่ผ่านมาอีกหรือเปล่า
ถ้าเบอร์ 2 กระทำผิดบาปอีกก็ถือว่า "สอบตก"
ต้องเรียนซ้ำชั้น คือ มีภพชาติหน้าต่อไปอีก
ในขณะเดียวกัน เบอร์ 1 ก็ต้องสอบให้ผ่านว่า
ถ้าเบอร์ 2 กระทำยั่วยุอีก
ตนจะรักได้ ให้เป็น
และใช้ปัญญากระทำตอบได้หรือไม่
ถ้ารักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็น ขาดมหาสติ
การเกี่ยวกรรมนี้ก็ยังจะคงอยู่ต่อไป
แปลว่าคนทั้งคู่ยังจะต้องมีชาติหน้าต่อไปอีกนั่นเอง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-11-2015

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

จงอย่าเป็นลิงหวงเถาวัลย์




ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:
นี่แน่ะท่านทั้งหลาย....
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จงอย่าเป็นลิงหวงเถาวัลย์
โดยเหวี่ยงตนเองจากต้นไม้เดิมที่มีผลไม้สุก
แต่ถูกตนเองเก็บกินหมดแล้ว
ไปหาต้นไม้ต้นใหม่ที่มีผลสุกงอมหอมหวานรออยู่
เมื่อไปถึงต้นไม้ต้นใหม่
กลับไม่ยอมไขว่คว้ากิ่งไม้ต้นใหม่นั้น
โดยยังคงเกาะมั่นยึดมั่นอยู่กับเถาวัลย์เส้นเดิมแล้ว
เจ้าลิงตัวนั้นก็จะถูกเถาวัลย์เหนี่ยวรั้ง
พากลับหลังคืนไปยังต้นไม้ต้นเดิม
ที่ไม่มีผลไม้สุกเหลือให้เป็นอาหารอีก
แต่ในชีวิตจริงของลิงทุกตัว
แม้พวกเขาจะใช้เพียงแค่สัญชาตญาณของสัตว์
ซึ่งไม่สามารถใช้จิตปัญญาชั้นสูงแบบมนุษย์ได้
ก็ยังไม่เคยพบว่า
จะมีลิงหวงเถาวัลย์เลยสักตัว!!
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-11-2015

วิธีตัดกรรม ตามมรรควิถีของจิตจักรวาล




นี่แน่ะท่านทั้งหลาย...

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การที่ท่านล้มเหลวในการเผชิญบททดสอบ
เมื่อคนรอบข้างใกล้ตัวหยิบยื่นมาให้

เพราะท่านมี "จริต" เคยตัวในการตอบสนอง
เงื่อนไขไม่พึงประสงค์เมื่อถูกยั่วยุ
ในลักษณะของการอยากเอาชนะ
ลักษณะของการอยากต่อสู้
ลักษณะของการอยากปกป้องตนเอง

โดยที่ท่านมิได้ใช้สติปัญญาต่อไปว่า
ต่อสู้กับเขาด้วยอารมณ์ด้านลบแล้ว
ท่านจะชนะเขาสมใจอยากแน่หรือไม่

หากชนะเขาได้แล้ว
ท่านจะได้ดิบได้ดี
มีกำไรชีวิตอันใดเพิ่มขึ้นหรือเปล่า
ท่านจะมีมิตรแท้เพิ่มขึ้นหรือเปล่า

เราจึงขอฝากกลวิธีตัดกรรม
ในคลิปที่นำเสนอมานี้เพื่อท่าน
ได้ใช้ท่องจำและฝึกทำให้ขึ้นใจเถิด
ผลกรรมจะได้ลดลงจนเหลือไม่เกิน 30%
สมกับการที่จะเป็นปลาผู้ถูก "คัดไว้"
ในปฏิบัติการชำระโลกของพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16-11-2015

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล: "กฎแห่งกรรม" ภาค 2




ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:

เราจะกล่าวความจริงเรื่อง "กฎแห่งกรรม"
ต่อท่านทั้งหลาย เป็นภาค 2 อีกว่า

10.กรรมใดที่ท่านก่อขึ้น
จากการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิต
ในแต่ละกรรม แต่ละเรื่องราว และแต่ละครั้งคราวนั้น
ไม่ว่าท่านจะรู้สติหรือไม่รู้สติ
ไม่ว่าท่านจะจงใจหรือประมาทก็ตาม
มันก็จะก่อให้เกิด "ผลกรรม" ขึ้นเป็นกองๆ (ดังภาพ)

11.แต่ละกองแห่งกรรมที่ท่านก่อขึ้นในขณะนั้น
มันหมายถึง "ผลกรรม" ที่เป็นผลลัพธ์ของการกระทำ
อันเกิดจากจิตของท่านเองนั่นแหละ

โดยมันจะถูกเหวี่ยงออกมาจากจิตของท่าน
ในรูปของคลื่นวงกลมที่กระจายตัวออกไปรอบทิศ
อย่างเป็นระลอกต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
จนกว่าสภาวะจิตของท่านจะหยุดสั่นสะเทือน
คือว่างไปจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดขยะรายวันนั้นเสียได้
กองแห่งผลกรรมกองนั้นที่มีท่านเป็นศูนย์กลางอยู่
จึงจะ "ว่าง" ไปจากความมีอยู่เป็นอยู่

แต่นั่นก็หมายความว่าการสะท้อนกลับของคลื่น
ที่จะย้อนกลับคืนมา "สนอง"
ต่อตัวท่านผู้เป็นเจ้าของมัน
เมื่อมันได้เดินทางไกลไปจนสุดทาง
ที่ขอบสนามพลังงานแห่งเอกภพแล้ว
ก็ยังจะเป็นไปตามกฎแห่งการสมดุลอยู่ต่อไป

12.ถ้าท่านเป็นคนขี้โมโห โกรธง่าย เป็นนิสัย
กองของผลกรรมที่ท่านก่อขึ้นในชีวิตประจำวัน
มันก็จะเต็มไปด้วย "ผลกรรมทางอารมณ์ด้านลบ"

ชีวิตของท่านในอนาคตจะปรากฏชะตากรรม
ในลักษณะของการถูกคนรอบข้าง
สร้างเงื่อนไขลบแทบไม่เว้นว่างระหว่างวัน
เพื่อทดสอบสภาวะความมั่นคงทางจิตใจท่านว่า
มีความสามารถในการที่จะ "รักด้วยจิต"
มีความสามารถในการที่จะ "คิดด้วยสมอง"
เพื่อตอบสนองคนที่ไม่น่ารักรอบข้างได้หรือไม่

ถ้าได้ก็สอบผ่าน ถ้าสติแตก น้อตหลุด ก็สอบตก
เมื่อสอบตกก็เท่ากับว่า
ท่านได้ก่อกองแห่ง "ผลกรรม" ขึ้นมาใหม่อีกแล้ว

13.กองแห่งผลกรรมแต่ละกอง
เปรียบเสมือนคลื่นน้ำที่กระจายตัวออกเป็นวงกลม
จากจุดศูนย์กลางคนละจุดกัน

คลื่นน้ำที่เกิดจากการสั่นสะเทือนพวกนี้
มันเกิดจากจุดไหนเมื่อสะท้อนกลับมา
มันก็จะย้อนคืนสู่จุดศูนย์กลางที่มันเกิดเสมอ
หมายความว่า....
กรรมใครก็เป็นของคนนั้น
ใครก่อผลกรรมขึ้นไว้ คนนั้นจักต้องรับผิดชอบ
จะให้คนอื่นรับผลกรรมแทนตนเองไม่ได้

14.ผลกรรมที่ท่านก่อขึ้นไว้นั้น
มันเกิดจากแรงสั่นสะเทือนทางจิตของท่านเป็นหลัก
แม้ว่าคนที่เกี่ยวข้องกับท่านเขาไม่เอาความ
ท่านก็จะยังคงรับกรรมนั้นอยู่ดังเดิม

ท่านจึงต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า
ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตใจและปัญญาเป็นบวกหรือลบแรงๆ
คลื่นพลังงานกรรมก็จะไปเร็วและย้อนคืนกลับมาเร็ว

ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตตปัญญาเป็นบวกหรือลบค่อยๆ
คลื่นพลังงานกรรมก็จะไปช้าและย้อนคืนกลับมาช้า

ถ้าท่านสั่นสะเทือนด้านบวกอย่างเดียว
พลังงานกรรมด้านบวกก็จะย้อนคืนสู่ท่านอย่างเดียว
ชีวิตก็จะอูฟูอยู่สุขสำราญดี

ถ้าท่านสั่นสะเทือนเป็นความสงบสุข
ด้วยสภาวะจิตที่ว่างไปจากอัตตาทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง
จนสามารถดับการเกิดดับได้ทุกสิ่งแล้ว
ท่านจักเป็นมนุษย์ที่สมดุลอยู่ในสนามพลังงานจักรวาล
ที่ไร้แรงกระเพื่อมแห่งคลื่นกรรมทั้งปวง

นี่เป็นความจริง...
ที่เราจะกล่าวต่อท่านทั้งหลาย
ที่ยังเหลวไหลในการใช้ชีวิตประจำวันกันอยู่ล่ะนะ
มันเป็นความรู้ใหม่ที่หลายท่านไม่รู้ว่าตนยังไม่รู้
ท่านเป็นคนหนึ่งด้วย...มั้ย?

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16-11-2015

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล: "กฎแห่งกรรม"




ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:

เราจะกล่าวความจริงเรื่อง "กฎแห่งกรรม"
ต่อท่านทั้งหลายว่า

1.กฎแห่งกรรม หมายถึง
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการกระทำใดๆของท่านทั้งหลาย
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนทางจิตใจ
เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิต
และการสั่นสะเทือนทางอวัยวะร่างกาย
เป็นกายกรรมหรือวจีกรรม

2.กรรมที่เป็นการสั่นสะเทือนทางจิตใจของท่าน
มันจะก่อให้เกิดผลกรรมในรูปของคลื่นพลังงาน
ที่มีคุณสมบัติของกรรมนั้นๆกำกับเอาไว้ด้วย

ถ้าเป็นการสั่นสะเทือนด้านบวก เช่น รัก หรือ เมตตา
ก็จะเกิดผลกรรมในรูปของคลื่นความถี่ทางพลังงาน
ที่มีคุณสมบัติของกรรมนั้นกำกับไว้
และมีศักยภาพทางไฟฟ้าเป็นบวกด้วย

ถ้าเป็นการสั่นสะเทือนด้านลบ เช่น โกรธ หรือ โลภ
ก็จะเกิดผลกรรมในรูปของพลังงาน
ที่มีคุณสมบัติกรรมนั้นกำกับไว้
และมีศักยภาพทางไฟฟ้าเป็นลบด้วย

3.คุณสมบัติของกรรมทั้งด้านบวกและลบ
ซึ่งบันทึกไว้เป็นคุณสมบัติของพลังงานกรรมนี้
หมายถึง รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว
เหตุการณ์ สถานการณ์ อารมณ์รู้สึกนึกคิด
และการกระทำใดๆของท่านที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า
ซึ่งอาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของ เรื่องราว สถานการณ์ ฯลฯ
ที่ท่านเผชิญกันอยู่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง

ส่วนกรรมด้านบวกและลบในมิติทางกายภาพ
หมายถึง พฤติกรรมที่ท่านแสดงออกมาภายนอก
เพื่อกระทำต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆในชีวิตประจำวัน
จนเกิดเป็นเงื่อนไขด้านบวกบ้าง ด้านลบบ้าง
แล้วยังผลให้มนุษย์ที่ถูกท่านกระทำนั้น
เกิดอาการสั่นสะเทือนทางจิตใจด้านบวกหรือลบ
จนกระทำตอบสนองต่อท่าน
ทางด้านบวกบ้างลบบ้างคืนกลับมา

4.เมื่อใดก็ตามที่ท่านมีการสั่นสะเทือนทางจิตใจขึ้นมา
มันก็จะก่อให้เกิดคลื่นความถี่ของพลังงานกรรม
แผ่กระจายออกมาจากจิตในกายท่านอย่างต่อเนื่อง
โดยมีลักษณะเป็นระลอกคลื่นแบบวงกลม (ดังภาพ)
ในมิติที่สองตาเปล่าของท่านมองไม่เห็น

ระลอกคลื่นพลังงานกรรมจากจิตของท่าน
มันจะทะยอยกันกระจายตัวออกตามๆกันไป
โดยอาศัยสนามพลังงานแม่เหล็กโลก
กับสนามพลังงานของจักรวาลเป็นสื่อกลาง

คลื่นพลังงานกรรมของท่านทุกระลอก
ที่เดินทางออกไปจากจิตของท่านในลักษณะวงกลมนั้น
จะมีปลายทางอยู่ที่ "สุดขอบเอกภพ"
เมื่อมันเคลื่อนไปจนถึงสุดขอบเอกภพได้แล้ว
การวกกลับของคลื่นแต่ระลอกก็จะเกิดขึ้น

ระลอกคลื่นพลังงานกรรมที่วกกลับดังกล่าวนี้
ก็จะพากันทะยอยเดินทางกลับคืนมาหาท่าน
ผู้ผลิตสร้างมันขึ้นมาหรือเป็นเจ้าของมันเสมอ

เมื่อผลกรรมดังกล่าวนี้เดินทางมาถึงตัวท่าน
จิตวิญญาณของท่านโดยพี่พลียะเดี้ยนส์
ก็จะสั่นสะเทือนตนเองเพื่อรับเอาผลกรรมนั้น
มาเป็นบททดสอบและบทเรียนของท่าน
ในการดำเนินชีวิตประจำวันกันต่อไป
ซึ่งพวกท่านรู้จักกันในนามของ "ชะตากรรม" นั่นเอง

5.เนื่องจากเอกภพเป็นสนามพลังงานขนาดใหญ่มาก
โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับ
9,999 ยกกำลัง 2 คูณด้วย 8 ล้าน 1 แสนล้านไมล์

จึงยังผลให้การเดินทางไปและสะท้อนกลับ
ของคลื่นพลังงานกรรมที่ท่านก่อขึ้นนั้น
กว่ามันจะเดินทางย้อนกลับคืนมาถึงตัวท่าน
ที่เรียกว่า "กรรมสนอง" ก็ต้องใช้เวลายาวนานมาก

ท่านจึงจะเห็นได้ว่า
การก่อกรรมให้เกิดผลกรรมดี-ชั่วในภพชาตินี้นั้น
ส่วนใหญ่แล้วมันจะกลับมาสนองคืนเจ้าของกัน
ก็ในภพชาติหน้าเสมอ

6.อารมณ์หยาบๆรายวัน และโลภ โกรธ หลง
ถ้าสั่นสะเทือนโดยจิตของท่านขึ้นมาเมื่อไหร่
"พลังงานกรรม" ที่เรากล่าวต่อท่านทั้งหลายมานี้
มันจะถูกผลิตสร้างขึ้นมาในมิติของจิตทันที

กฎแห่งกรรมที่สำคัญคือ
กรรมดีกรรมชั่ว เป็นของตัวเอง
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

7.ผู้ใดเพียรสร้างผลกรรมอยู่ร่ำไปในชีวิตแต่ละวัน
ผู้นั้นเมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็มีหน้าที่
จะต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่
มารอรับผลกรรมทางพลังงานที่ตนก่อไว้
เพื่อกำจัด "ขยะพลังงาน" ทั้งหมดของตนให้สิ้น
ด้วยการ "รักได้ ให้เป็น" เท่านั้น
นี่คือ....ที่มาแห่งการมีสังสารวัฏล่ะนะ

8.ถ้าวันๆกรรมเก่ามิได้แก้ไข
กรรมใหม่ก็ยังสร้างเพิ่มอีก
เพราะตกหลุมพรางการยั่วยุจากบททดสอบ
ซึ่งคนรอบข้างเขาหยิบยื่นมาให้แล้วละก็
อย่าหมายเลยว่าจะนำพาแก่นแท้ของตน
ให้หลุดพ้นออกไปจากระบบเอกภพ
สู่แดนสุญญตาที่แก่นแท้ของตนจากมานั้นได้

9.เราจึงขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ว่า
จงฝึกครองมหาสติให้เข้มแข็งไว้
จงฝึกรักได้ให้เป็นกับทุกๆคนอย่างไร้เงื่อนไข
จงหมั่นทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาผ่านมาทางเรา

ท่านจักเป็นคนที่อยู่ "เหนือกรรม"
เป็นผู้ชนะมาร ชนะทั้งมวล ชนะใจตนเอง
นี่คือเส้นทางสายวิมุตติ์
เหมาะแห่งการจะเป็นผู้ถูก "คัดไว้" เหลือเกิน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-11-2015

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล หลุดพ้น กับ หลุดลอย





ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อใดที่จิตมนุษย์ในภาคส่วนของจิตสำนึก
สั่นสะเทือนเคลื่อนไหลฝักใฝ่ในเรื่องใดสิ่งใด
จิตใต้สำนึกซึ่งเป็นส่วนเมอร์คขะบาห์ของจิตวิญญาณ
เขาก็จะสั่นสะเทือนไปตามนั้นทันที
เพื่อนำพาจิตวิญญาณของท่าน
ไปมีสัมพันธ์กับเรื่องนั้น สิ่งนั้นเสมอ
การสั่นสะเทือนมากๆ แรงๆ ถี่ๆ บ่อยๆ
ยิ่งเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมให้เกิดคลื่นความถี่
ในอันที่จะไปเพิ่มพลังอำนาจการสั่นสะเทือน
ในจิตวิญญาณของท่านให้สูงขึ้น
ทั้งนี้ไม่ว่าเรื่องนั้นสิ่งนั้นจะมีจริงหรือไม่จริง
เมอร์คขะบาห์ก็จะจัดการให้
เป็นไปตามความต้องการของจิตมนุษย์เสมอ
ดังเช่นท่านที่หมั่นทำบุญสุนทาน
แล้วฝักใฝ่ต้องการได้ขึ้นสวรรค์มายาเมื่อคราตายลง
จิตใต้สำนึกโดยเมอร์คขะบาห์ก็จะนำพาไปตามนั้น
ทั้งๆที่สวรรค์แท้จริงนั้นไม่มี
คงมีแต่สวรรค์ของประดารูปธรรมแห่งอนัตตา
ซึ่งเป็นผู้ที่อิ่มเอิบอยู่กับความว่างเท่านั้น
ถ้าท่านปรารถนานิพพานแท้จริง
สวรรค์มายาจักต้องไม่มีในจิตสำนึกของท่าน
คงต้องมีแค่เพียงว่าทำดีนั้นดีแล้ว
ทำชั่วนั้นชั่วไม่ทำแล้ว
เป้าหมายสูงสุดมุ่งที่ด่านนภาลัย
ซึ่งเป็นประตูมิติแห่งการหลุดพ้นอย่างเดียว
ถ้าท่านยังมีสวรรค์มายา
จะน่าเสียดายมั้ยล่ะเมื่อท่านรู้ภายหลังว่า
ท่านมีพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
เพื่อการหลุดพ้นออกไปจากเอกภพนี้มากพอ
แต่ท่านก็ไม่สามารถเคลื่อนตัวออกไปได้
เพราะจิตของท่านน่ะ....
มันดันไปยึดโยงอยู่กับสวรรค์มายา
โดยมิยอมละวาง....
แทนที่จะหลุดพ้นออกไป
จึงทำได้แค่เพียง "หลุดลอย"
ไปอยู่ตรงสวรรค์มายาแห่งนั้นเท่านั้น
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-11-2015

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ธรรมวิถีจิตจักรวาล




ธรรมวิถีจิตจักรวาล

1.จิตวิญญาณแก่นแท้ในมนุษย์ทุกคน
เป็นผู้ขันอาสาข้ามมิติมาเกิดเป็นมนุษย์

2.องค์จิตจักรวาล
ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์
ทรงอนุญาตให้จิตจักรวาลดวงเล็กหรือพระบุตร
แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นดวงจิตธรรมญาณ
ถือพันธะสัญญา 6 ประการ
เดินทางข้ามมิติมาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้
โดยมีกำหนดเวลาไว้ที่ 6 หมื่นปีโลก

3.บัดนี้ได้ครบกำหนดตามเงื่อนเวลาดังกล่าวแล้ว
มนุษย์ทุกคนจักต้องเร่งนำพาแก่นแท้ของตนกลับบ้าน
ในสภาวะนิพพานเพื่อการหลุดพ้นออกไปจากระบบ
ให้ทันก่อนกาลปิดยุค
คือ 56 วัน 8 ราตรีที่มืดมิดยาวนาน

4.ขณะนี้ดาวเคราะห์โลกกำลังถูกชำระทั้งระบบ
รวมทั้งความเป็นคนสองมิติของมนุษย์ทุกคนด้วย
โดยทีมปฏิบัติการช่างเท็คนิกจากนอกระบบโลก
อันจะก่อให้เกิดมหันตภัยทุกรูปแบบ
ซึ่งจักต้องกลืนชีวิตชาวโลกจำนวนมาก
และกลบแผ่นดินโลกในบางพิกัด
โดยจะคัดคนดีให้เหลือไว้
เพื่อสร้างสมดุลใหม่ในระบบโลกยุคพลังงานใหม่

5.ดาวเคราะห์โลกดวงนี้จะถูกเปลี่ยนแปลง
สู่ยุคพลังงานใหม่ ด้วย "บางสิ่ง" ที่มนุษย์ต้องรู้
ดังตัวอย่างต่อไปนี้ คือ

1).อัตราหมุนรอบตัวเองของโลก
จะเป็นระหว่าง 22-23 ชั่วโมงต่อรอบ

2).แนวแกนหมุนของโลกที่ทำมุมกับแนวดิ่ง
จะเบี่ยงเบนไปจากเดิมไม่เกิน 8.5 องศา
เท่ากับว่าจะทำมุมเป็น 32 องศากับแนวดิ่ง

3).แนวเหนือใต้เข็มทิศแม่เหล็กโลก
จะเบี่ยงเบนมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ไม่เกิน 3 องศาจากแนวเดิม

4).ความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
จะเปลี่ยนเป็น ระหว่าง 14-22 เกาส์

5).มนุษย์โลกจะมีเครื่องยนต์แห่งกรรมระบบใหม่
เช่น จะมีต่อมไธมัสหลังทรวงอกโตขึ้นกว่าเดิม
กระดูกหน้าอกจะยกตั้งขึ้น

จะสามารถสื่อสารภาษาจิตซึ่งเป็นภาษาสากล
ในระบบ Horizontal Telepathy กับรูปธรรมอื่นๆ
ในจักรวาลอันไพศาลได้ เพราะมีสภาวะจิตตปัญญา
สูงขึ้นเหนือมาตรฐานในยุคพลังงานเก่า

จะมีอายุขัยยืนยาวขึ้นจากการที่ดาวเคราะห์โลก
เหวี่ยงหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้น
และจากพลังงานสนามแม่เหล็กที่ปรับค่าสูงขึ้น
โดยปรับเปลี่ยนจากสมการสามมิติ 3-3-3
เป็น 6-6-6 สูงกว่าเดิม 2 เท่าตัว
ยังผลให้การทำงานของเซลและอวัยวะ
มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ฯลฯ

6.ระหว่างนี้ทุกคนจะต้องเตรียมตนเองและแก่นแท้
เพื่อการผจญภัยพิบัติทั้งหลายด้วยมหาสติ
และแสดงปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจน
พร้อมปฏิบัติตามมรรควิถีจิตจักรวาลโดยเคร่งครัด
เพื่อสร้างโอกาสให้ตนเองให้เป็นผู้ถูกคัดไว้
เพื่อให้ลูกแกะที่หลงฝูง
ได้พบหนทางกลับเข้าฝูงให้ทันก่อนวันปิดยุค
ในอีกมิช้านาน....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-11-2015

แผนที่โลกยุคพลังงานใหม่





แผนที่โลกยุคพลังงานใหม่
ถ่ายทอดคลื่นการคิดจากองค์พระผู้สร้าง
โดย: ป.วิสุทธิปัญญา

หมายเหตุ:
ไม่เชื่อก็จงอย่าได้ก้าวล่วง
**************************
1.พื้นที่สีแดงจะเป็นพื้นที่ซึ่งเราขอเตือนว่า
ในอนาคตไม่นานไม่ปลอดภัยเป็นที่สุด

เพราะโลกยุคพลังงานใหม่
จะจัดองค์กรโลกใหม่ให้สมดุล
ทั้งทางกายภาพและพลังงาน
แผ่นดินสีแดงจึงต้องถูกแทนที่ด้วยน้ำ

2.พื้นที่ตามแผนที่ซึ่งปกติดีอยู่
ก็มิได้หมายความว่าจะปลอดภัยในการใช้ชีวิต
เพราะจักต้องได้รับผลกระทบจากการชำระเช่นกัน
เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุ ร้อนแล้ง โรคระบาด เป็นต้น

หรืออาจมีน้ำท่วมเมืองทั้งหมดด้วยเช่นกัน
แต่ในท้ายที่สุดแล้วน้ำก็จะลดลงจนเป็นปกติ
ในแผนที่นี้เราจึงมิได้เทสีแดงไว้

3.ที่เรานำออกมาเผยแพร่ขณะนี้ก็เพื่อ
ให้ท่านที่สนใจและไม่ชิงลบหลู่เสียก่อน
ได้เก็บเอาไว้ตั้งข้อสังเกตกันเอาเองว่า

ต่อนี้ไปถ้าเกิดภัยพิบัติขนาดใหญ่
ซึ่งอาจมีผู้คนเสียชีวิตพร้อมกันจำนวนมาก
หรือมีผู้เดือดร้อนจำนวนมากๆในคราวเดียวกันนั้น
เป็นพื้นที่ตรงไหนในแผนที่ของจิตจักรวาลบ้าง

ส่วนใหญ่...จะเกิดเหตุบนพื้นที่สีแดง
อย่างที่เราสื่อจากพระองค์มาให้รู้ว่า
ใช่หรือไม่ใช่...

ที่สำคัญ คือ เพื่อตักเตือนให้ท่านทั้งหลาย
ที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ โดยเฉพาะบนพื้นที่สีแดง
จงหมั่นเพียรทำความดีงาม
ตามคำสอนของศาสนาที่ท่านรับถือโดยพลัน

และจงเฝ้าระวังโดยเตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
ให้พร้อมต่อการผจญภัย
และเตรียมพร้อมอพยพหลบภัยเอาไว้ล่วงหน้าด้วย

*ขอท่านทั้งหลายจงอย่าตำหนิเรา
หากพื้นที่ของท่านมันเป็นสีแดง

เพราะเราปรารถนาดีจึงแจ้งข่าวสารนี้ล่วงหน้า
เพื่อเตือนให้ท่านไม่ประมาท...และเตรียมตัวไว้
ดีกว่าวันนั้นมาถึงโดยที่ท่านไม่ทันตั้งตัว

*นอกจากนั้น
พื้นที่สีแดงอาจเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งเพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่เกิน 20%

ทั้งนี้ขึ้นกับจิตสำนึกด้านบวกโดยรวม
ของพี่ๆน้องๆบนแผ่นดินนั้นเป็นสำคัญว่า
รักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร
ใช้ปัญญาดำเนินชีวิต
ไม่ก่อกรรมใหม่ แก้ไขกรรมเก่าได้
จนมีผลกรรมติดตัวอยู่ไม่เกิน 30% กันหรือเปล่า

*ขอจงอย่าเอาประวัติศาสตร์มาอ้างอิงว่า
สิ่งที่เรากล่าวไม่เคยมีเกิดขึ้นมาก่อน
ท่านจึงไม่เชื่อในคำเตือนของเรา

เรามิใช่หมอดู หมอเดา
หรือผู้อวดเอาอุตริใดๆดอกท่านทั้งหลาย
แต่เรากล่าวต่อท่านในพระนามแห่งพระองค์
กล่าวต่อท่านทั้งหลายด้วยความรัก

เราเขียนแผนที่นี้ด้วยความรัก
ตามหน้าที่หลักของเรา

ขอท่านจงอย่ากลัวจนขาดสติ
ที่รู้ไว้ล่วงหน้านี้น่ะดีแล้ว

หากท่านมั่นใจว่าเป็นคนดีพอตัว
ก็จงอย่ากลัวมหันตภัยใดๆเลย
พระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จะคุ้มครองคนดีเช่นท่านแน่นอน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-11-2015

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความรู้ใหม่เพื่อชาวโลก ตามธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล





ความรู้ใหม่เพื่อชาวโลก
ตามธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล
**************************
ภาพกลไกเส้นใยเกลียวแม่เหล็ก
ตัวกำหนดอายุขัยของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ซึ่งติดตั้งอยู่ในนิวคลิโอไทด์คู่ซ้ายของเซลทุกเซล

ทั้งยังเป็นเครื่องรับรหัส "พลังงานเส้นแสง"
จากนอกระบบโลก

ที่ใช้รับพลังความรักจากองค์จิตจักรวาล
และข่าวสารเพื่อการเปลี่ยนแปลง DNA
เพื่อให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ยกระดับพลังอำนาจไว้ให้พร้อม
ที่จะเข้าสู่การเป็นมนุษย์ยุคพลังงานใหม่
ยุคที่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้
จะมีพลังอำนาจแม่เหล็กโลกสูงขึ้นจากเดิม
และมีค่าสมการพลังงาน 3 มิติเพิ่มจากเดิมอีก 2 เท่า......

บางคนท้องเสียไม่ทราบสาเหตุ
บางคนหงุดหงิดไม่มีสาเหตุ
บางคนปวดมึนศีรษะทั้งวัน
บางคนรู้สึกอ่อนเพลีย โหยๆไม่รู้สาเหตุ
บางคนมีอาการก้าวร้าวรุนแรง สติแตกง่ายกว่านิสัยปกติ
บางคนเกิดอาการนอนไม่หลับ ทั้งๆที่ง่วงนอนมากแล้ว
บางคนรู้สึกเบื่ออาหาร....

นี่เป็นอาการข้างเคียง
จากกระบวนการยกระดับ ดีเอ็นเอ ทั้งสิ้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-11-2015

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า






นี่แน่ะ...ท่านทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
อันข่าวสารความรู้ใหม่ใดๆในห้องนี้นั้น

พระบิดาเป็นผู้ทรงสื่อพระวรสารผ่านมาทางเรา
เพื่อบอกให้พวกท่านรู้เรื่องแผนปฏิบัติการชำระโลก
และชี้หนทางนำพาแก่นแท้ของท่านกลับบ้าน
ตามเส้นทางของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ทุกถ้อยพระคำล้วนเป็นความจริง
ซึ่งเรามีสำนึกรับผิดชอบในทุกตัวอักษรอยู่แล้ว

จงอย่าใช้ความเชื่อไม่เชื่อเมื่อได้รู้
จงอย่าใช้ความชอบไม่ชอบเมื่อได้รู้
เพื่อการตอบรับหรือปฏิเสธเราในทันทีทันใด

เราเชื่อว่าทุกท่านมีสติปัญญาให้พร้อมใช้
ก็ลองตัดสินใจดูทีสิว่า
เมื่อท่านเข้ามาพบเจอ
ข่าวสารความรู้ใหม่ในห้องเรียนนี้แล้ว
ทางเลือกสามทางต่อไปนี้ ท่านจะเลือกหนทางใด

1.กระทำที่ตัวเรา:
ในฐานะผู้นำแสดงข่าวสารความรู้ใหม่นั้น

ด้วยการยอมรับศรัทธาเรา
หรือปฏิเสธด้วยการก้าวล่วงจ้วงจาบเรา
โดยท่านเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง

เราก็ขอบอกต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านเลือกหนทางนี้
ท่านคือหนึ่งในผู้งมงายแล้ว

2.กระทำที่ตัวท่านเอง:
ในฐานะผู้รับรู้ข่าวสารความรู้ใหม่นั้น

ด้วยการ "คิดตาม" ที่เรากล่าวไว้อย่างสงบรอบคอบ
เพื่อเรียนรู้ให้ได้ว่า "อะไรเป็นอะไรอย่างไร"
แทนการ "คิดต้าน" โดยไม่ทันจะคิดพิจารณาเลย

เราก็ขอบอกต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านเลือกหนทางนี้
ท่านก็คือสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวจิตจักรวาล
ผู้มุ่งนิพพานบนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

3.ท่านไม่กระทำทั้ง 2 ข้อ
เมื่อได้รับรู้ข่าวสารความรู้ใหม่นั้น

เราก็ขอบอกต่อท่านทั้งหลายว่า
มันก็เป็นสิทธิของท่าน
เพราะโลกนี้พระบิดาทรงยอมให้
เป็นดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี
กฎแห่งการกระทำนั้นยังคงศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ
ตราบกระทั่งถึงกาล 56 วัน 8 ราตรีนั่นล่ะนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-11-2015

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า




พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
********************************
พระจิต ก็คือ รูปธรรมทางพลังงาน
ที่มีความสมดุลอยู่ในตนเอง
โดยมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 6 เหลี่ยมมุม
อันเกิดจากสามเหลี่ยมด้านเท่าสองรูปขนาดเท่ากัน
วางซ้อนทับกันอยู่ภายในวงกลมวงเดียวกัน
โดยมุมทั้งสามไม่ซ้อนทับกันเลย
ซึ่งจะมีการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้มุมทั้งหกซ้อนทับกันจนเป็นหนึ่งเดียว

ดวงจิตธรรมญาณที่เร้นอยู่ในรูปธรรมมนุษย์
จะมีพิกัดที่ตั้งอยู่ตรงต่อมพิทูอิทารีหรือต่อมใต้สมอง
แต่จะเคลื่อนที่ไปทั่วทุกเซลอวัยวะร่างกาย
อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

พระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณที่ว่านี้
คือผู้อาสาพระบิดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ด้วยการเข้ามาปฏิสนธิกับกายหยาบ
ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโลหิตในครรภ์ของมารดา
เพื่อการเจริญเติบโตสู่การเป็นมนุษย์ต่อไป

ในขณะที่กำลังเจริญวัยเป็นทารกอยู่นั้น
พระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณนั้นๆ
ก็จะแบ่งภาคพลังงานของตัวเอง
ออกมาเป็น "จิตหยาบ"
เพื่อมอบหมายให้จิตหยาบ
แสดงบทบาทของการเป็นคนสองมิติแทนตนเอง
ขณะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นๆ

เมื่อพระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณ
เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ดังนั้นจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ซึ่งถูกแบ่งภาคออกมาจากจิตวิญญาณ
ก็ย่อมมาจากพระเจ้า
หรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงสามารถที่จะกล่าวไว้โดยสรุปว่า
ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณ
ต่างล้วนจึงเสมือนหนึ่งเป็นพระเจ้า
ที่สถิตย์อยู่ภายในรูปธรรมมนุษย์โดยแท้

ในขณะที่เป็นมนุษย์นั้น
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ซึ่งเป็นเสมอดั่งพระเจ้า
จะสามารถสั่นสะเทือนตนเองได้ถึง 7 ความถี่
เราจึงเรียกคลื่นพลังงานทั้ง 7 ย่านความถี่นี้ว่า
"พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า"

พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
จะประกอบด้วยอาการของจิต 7 อย่างดังนี้ คือ

1.พระวิญญาณแห่งการรู้สึก
(คลื่นการรู้สึก)
2.พระวิญญาณแห่งอารมณ์ต่างๆ
(คลื่นอารมณ์)
3.พระวิญญาณแห่งการนึก
(คลื่นการนึก)
4.พระวิญญาณแห่งการคิด
(คลื่นการคิด)
5.พระวิญญาณแห่งการจดจำเรื่องราวและอารมณ์
(คลื่นการบันทึกและการจดจำไว้)
6.พระวิญญาณแห่งการแสดงออก
หรือการกระทำทางอวัยวะร่างกาย
(คลื่นแห่งการกระทำ)
7.พระวิญญาณแห่งสัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต
(คลื่นแห่งสัญชาตญาณ)

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกท่านที่เป็นมนุษย์ทุกคน
ต่างล้วนมีพระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
ที่สั่นสะเทือนอยู่ข้างในจนตลอดชีวิตทั้งสิ้น
โดยท่านจะต้องเข้าให้ถึงที่สุดของความถี่ด้านบวก
ในทุกครั้งที่ั่สั่นสะเทือนจิตหยาบเสมอ

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งการรู้สึก
ก็คือ ความเวทนาสงสาร
ก็คือ ความเมตตา
ก็คือ ความกรุณา
ก็คือ ความมีมุทิตา
ก็คือ ความมีอุเบกขา

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งอารมณ์
ก็คือ ความรักในแบบต่างๆ เช่น
การอดทน
การอดกลั้น
การให้อภัย

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งการคิด
ก็คือ สามารถกดปุ่มใช้ปัญญาญาณ
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนสมองซีกขวา
นำสมองซีกซ้ายของท่านได้

ที่เรากล่าวมาเป็นอาทิเหล่านี้
มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่จะต้องเข้าถึงกันให้ได้
เพื่อยกระดับจิตหยาบให้สั่นสะเทือนด้านบวก
จนเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของท่านเอง
ด้วยการเข้าถึงพระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
ดังได้เปิดเผยมาให้รู้ตั้งแต่ต้นให้จงได้
เพื่อมิให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31-08-2015

กฎแห่งการปฏิสัมพันธ์




การปฏิสัมพันธ์ หมายถึง:
************************
1.การแสดงออกหรือการกระทำใดๆก็ตาม
ที่ท่านและคนอื่นๆปฏิบัติต่อกัน

2.เพื่อยังประโยชน์สุขและความสำเร็จร่วมกัน
ในชีวิตประจำวัน

3.โดยจะเป็นทั้งความสัมพันธ์
แบบเป็นครั้งคราว หรือแบบประจำเป็นกิจวัตรก็ได้

4.ในการปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวนี้
ท่านทั้งหลายจักต้องระลึกให้ได้ว่า
มนุษย์คนอื่นๆที่ท่านสัมพันธ์ด้วยนั้น
แม้เขาจะแสดงออกหรือกระทำต่อตัวท่าน
อย่างไม่สุภาพ ไม่เหมาะควร ไม่เป็นธรรม
แต่เขาก็มิใช่คู่ต่อสู้ของท่าน....
แต่เขาก็มิใช่ศัตรูของท่าน.....

5.แท้จริงแล้ว....พวกเขาทุกคน
ต่างล้วนเป็นผู้ที่จะช่วยท่านให้ประสบผลสำเร็จ
ในการยังประโยชน์สุขของท่านเองต่างหากล่ะ

6.ดังนั้น...
ท่านจึงต้องยึดมั่นเสมอว่า
ถ้าใครแสดงออกหรือกระทำต่อตัวท่าน
ในแบบที่ไม่สุภาพ ไม่เหมาะควร หรือ ไม่เป็นธรรม

ท่านจักต้องใช้
"กฎแห่งการปฏิสัมพันธ์ ของ ปริญญา" ดังนี้ คือ

1).ไม่ต่อสู้
2).ไม่ตอบโต้
3).ไม่ต่อต้าน
4).ไม่หลีกเลี่ยง

ทั้งนี้เพื่อป้องกันความแตกแยกร้าวฉาน
มิให้เสียการใหญ่นั่นเอง

7.โดยให้ท่านปฏิบัติต่อตัวเขาดังนี้ คือ

1).รับรู้แล้ว ไม่รับเอา

2).ป้องกันตนเองไว้
โดยไม่เปิดโอกาสให้เขา
ทำเช่นนั้นได้อีกในครั้งต่อไป

ด้วยรักและปรารถนาดีครับ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-11-2015