วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ระหัสแห่งพุทธทำนาย2





พุทธทำนายพอสังเขปทั้ง  13  บทที่จะะเปิดเผยนี้ 
ล้วนเป็นภาพของความบอบ ช้ำภายในระบบโลก  ซึ่งองค์พระศาสดาได้ทรงทำนายไว้ล่วงหน้านับพันปีมาแล้ว  เพื่อเตือนสติมนุษย์ให้เกิดจิตสำนึกใหม่  ซึ่งมนุษย์เองสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์  เลวร้ายใด ๆ ได้  หากลงมือกระทำที่จิตสำนึกของตนเอง  แต่มนุษย์  กลับละเลยกันมาตลอด  มหันตภัยจึงไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย  ดาวเคราะห์โลกเป็นดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี  มีกฏแห่งกรรมเป็นรางวัลการกระทำทางจิตสำนึกมนุษย์ไว้รองรับทั้งในทางกายภาพ ของมนุษย์เองและในมิติคู่ขนาน  การพยากรณ์ใด ๆ ไว้ล่วงหน้านั่นคือสิ่งที่จิตจักรวาลทุกรูปธรรมย่อมรู้แต่การที่เหตุการณ์ใด ๆ เหล่านั้นมันจะเกิดขึ้น  หรือไม่เกิดขึ้นมันอยู่ที่การตัดสินใจของมนุษย์เองทั้งสิ้น
  รหัสรับแห่งพุทธทำนาย
ความสำคัญในพุทธทำนายแยกได้เป็นประเด็นสำคัญ  13  ประการ
ซึ่งทรงทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเอาไว้ล่วงหน้าวันเวลาที่ตรัสถึงคือช่วงเวลาแห่งยุคสมัยปัจจุบันนี่เอง.
.  [1]." ไฟจะลุกลามมาทางตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม  นักบวช  และพระจะอดอยากยากเข็ญ  "  ไฟในที่นี้คือ   ภัย   จากการคลั่งวัตถุนิยม   อันเกิดจากมนุษย์อีกซีกโลกหนึ่งที่มีสมองซีกซ้ายนำขวาเป็นผู้สร้างเพื่อชัก จูงจิตวิญญาณของผู้คนที่ไม่สมดุลให้ลุ่มหลงมัวเมาไปกับมันจนกลายเป็นทาสของ วัตถุ   และถูกผู้สร้างมันขึ้นมาชักจูงจิตวิญญาณไปในทางต่ำ  จนทำให้เกิดความขาดสมดุลจิตวิญญาณไป  จิตสำนึกคลั่งตะวันตกเป็นไปอย่างรุนแรง  ตั่งแต่ระดับผู้นำลงมาถึงระดับล่างแทบทุกชนชั้น   มนุษย์ซีกตะวันออกมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น  ที่ยังคงใกล้ชิดกับศาสนาถือปฎิบัติธรรมะอย่างเข้าใจและซึ้งในรสพระธรรม   ผู้ประพฤติดีประพฤติชอบมักไม่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่  นอกจากมีอำนาจเหนือ  ศีลธรรมเสื่อมทรามมีผู้คนที่ศรัทธาในพระศาสนาเข้าวัดทำบุญน้อยลง  เนื่องจากจิตใจไม่ฝักใฝ่และมีทัศนคติไม่ถูกต้องต่อผู้สืบทอดศาสนา  ทีมีพฤติกรรมนอกรีตให้เห็นอยู่กลาดเกลื่อนเหมือนเป็นเรื่องปกติมองเห็นใคร ที่พูดถึงเรื่องศาสนาและธรรมมะเป็นหัวโปราณคร่ำครึ  และความเสือมโทรมในจิตใจของผู้คนที่แสดงพฤติกรรมโหดร้ายก้าวร้าวต่อเพื่อน มนุษย์ด้วยกันเหมือนไม่ไช่มนุษย์  หนักขึ้นทุกวัน    นักบวชและพระมีโอกาศเยียวยาจิตใจมนุษย์ในสังคงน้อยลงกว่าเดิม   เนื่องจากมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เข้าวัดเพราะเสื่อมศรัทธา  ไม่ไส่ใจ  และใฝ่การทำมาหากินเพื่อชีวิต  ไม่ได้ทำอะไรเพื่อจิตวิญญาณของตนเลย    บทบาทของพระในการเผยแพร่พระธรรมจึงถูกปิดกั้นมนุษย์มีพระไว้เพื่อการประกอบ พิธีกรรมในการสวดที่ศักดิ์สิทธิ์และใฝ่หาแต่พระที่มีอิทธิฤทธิ์ไว้เป็นที่ พึ่งเท่านั้น    การอดอหยากยากเข็ญของพระ  จึงหมายถึง   การที่พระไม่มีโอกาศได้กระทำหน้าที่ของตนในการเผยแพร่ธรรมมะนั่นเอง..
   [2].. " ลูกไฟจะตกจากฟากฟ้าเป็นเพลิงผลาญเหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ "พุทธทำนาบบทนี้  กล่าวถึงการทำศึกสงความระหว่างเผ่าพันธ์มนุษย์ด้วยกันเอง  ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎเกณฑ์ทางกายภาพของจักวาล  ว่าด้วยเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสรรพสิ่งในระบบโลก  ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์  การขัดแย้งรบราฆ่าฟันกัน  ทั้งชนในชาติเดียวกัน  ไปจนถึงระหว่างประเทศ  พล่าผลาญชีวิตกันอย่างไร้จิตสำนึกแห่งเมตาธรรมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์  ที่ค้นคิดขึ้นจนนับวันอาวุธที่ผลิตขึ้นจะมีพลังอำนาจในการทำลายล้างอย่างน่า กล้วมากขึ้น  อาวุธนิวเคลียร์ ขีปนาวุธ และอาวุธเชื้อโรค คือความร้ายแรงและเป็นภัยมหันต์  แต่ละชนชาติที่ก้าวร้าวเหล่านั้นเคยรู้บ้างหรือไม่ว่าศาสตราวุธทันสมัยที่ แต่ละรายสะสมกันไว้นั้นหากกดปุ่มพร้อมกันมันสามารถทำลายโลกใบนี้ได้แค่เพียง นาทีเดียว สำหรับมนุษย์ที่กำลังหวั่นกลัวจากสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามคำพยากรณ์ในยุคพลังงานเก่า  จงรับรู้ไว้ด้วยว่า โรงเรียนโลกใบนี้มิได้โดดเดี่ยว  โดยปราศจากผู้ดูแลอย่างการคิดแบบจิตมนุษย์เลย  จิตจักวาลและรูปธรรมชั้นสูงในมิติคู่ขนาน  จะไม่มีวันปล่อยให้ผู้มีจิตวิญญาณอธรรมกระทำการเช่นนั้นได้อีกต่อไป 
    3." มหาสมุทรจะชอกช้ำ " พุทธทำนายบทนี้ทรงเน้นความเน่าเสียของน้ำจากปฎิกูลเคมีสังเคราะห์ ที่มนุษย์สร้างขึ้นทำลายความสมดุลของระบบโลก ทำให้น้ำทะเลเป็นพิษ น้ำเน่าเสีย สัตว์ทะเลต้องจบชีวิตลงเพราะสารพิษและขาดออกซิเจน เนื่องจากกากปฎิกูลต่างๆ จะมีมากเกินกว่ากายภาพของแผ่นดินจะซึมซับโอบอุ้มเอาไว้ได้ มันจะค่อยๆเคลื่อนไหลสู่ท้องทะเล อำนาจเงิน ผลประโยชน์ ความบ้าคลั่งทางปัญญาอุตสาหกรรมหนัก คือ ตัวการก่อมลภาวะทางน้ำของมนุษย์ซึ่งปัจุปันนี้กำลังเป็นปัญหาระบบนิเวศน์ เสียสมดุลจาก มลพิษ สนาการณ์โลกในขณะนี้ปัญหามลภาวะมันหนักหนาจนสุดเยียวยาได้ มหันตภัยกำลังคืบคลานสู่มวลมนุษย์ชาติแล้ว จงเตรียมตัวกันไว้ให้ดี.4 " ศึกจะติดเมือง " พุทธทำนายบทนี้  ทรงหมายถึง ความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆทั่วโลกมันจะก่อตัวขึ้นแทบทุกแห่งที่ชนชั้น ผู้นำขาดความสมดุลในจิตใจการต่อสู้รบพุ่งกันกระทบกระทั่งกันมีให้เห็นไม่ ว่างเว้น โดยมองเห็นความมีอำนาจเหนือเปรียบดั่งขนมหวาน  ศึกสงความบนโลกจะไม่มีวันสงบทั่วแผ่นดินใด้ หากยังมีการคิดค้นมีการผลิตเพื่อขายกันหยู่ เหยื่อแห่งสงครามแม้ไม่ไช่สงครามโลก  ก็ยังจะคงมีหยู่บนแผ่นดินโลกตลอดไป.
    5 " ข้าวจะขาดแคลน " พุทธทำนายบทนี้  ทรงหมายถึงการทำลายระบบนิเวศน์อย่างไม่บันยะบันยัง เพื่อดูดซับพลังงานและการเก็บเกี่ยวทรัพยากรธรรมชาติ บนแผ่นดินจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกธัญญาหารเสื่อม สลายเสียสมดุลไป มนุษย์ใช้ผืนแผ่นดินรองรับความเจริญทางวัตถุ จนแทบไม่มีที่ใดเหมาะสมต่อการเพราะปลูกและเกษตรกรรม เพื่อการยังชีพอีกต่อไป  ในที่สุดความขาดแดลนอาหารบริโภคจะเป็นปัญหาของมนุษย์โลกที่ทุกคนต้องเผชิญ แม้ในยามที่ยังไม่มีศึกสงความให้เกิดข้าวยากหมากแพงเลยก็ตาม.
    6 " ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง " พุทธทำนายบทนี้ ทรงหมายถึง ภูมิอากาศโลกแปรเปลี่ยนไป จะก่อให้เกิดเชื้อโรคร้ายชนิดใหม่ๆ ที่เป็นภัยต่อสุขภาพร่างกายมนุษย์ จนถึงขั้นชีวิต โดยไม่อาจเยียวยารักษาได้มากมายหลายโรค มีทั้งโรคร้ายชนิดใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยรู้จัก และโรคร้ายชนิกเก่าๆ ที่มนุษย์เอาชนะมันได้จนทำให้มันเสียสมดุลไปในอดีตแล้ว มันจะแอบซุ่มวิวัฒนาการสายพันธ์ของตัวมันเองตามกฎทางกายภาพของจักวาล ยกระดับตัวมันเองสู่ความสมดุลกับมนุษย์ได้อีกครั้ง ที่มันสามารถจะมีอำนาจต้านทานฤทธิ์ยาตัวเก่าได้เป็นหย่างดียิ่งกว่าเดิม.
    7 " พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองจะหนีเข้าไพร " พุทธทำนายบทนี้ ทรงหมายถึง ความสับสนเสียสมดุลในจิตใจของผู้คนในสังคมถึงจุดที่ยากจะแก้ไขเยียวยาได้ จะทำไห้ผู้มีความสมดุลทางจิตวิญญาณต่างๆ เกิดความท้อแท้ในการทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์ของตนให้ลุล่วงได้อีกต่อไป เพราะไม่มีผู้ฝักไฝ่ศาสนา ไม่มีใครใฝ่หาการรู้แจ้ง บนเส้นทางของนักรบแห่งแสงสว่างตามแนวทางของพระศาสดา พวกเขาจึงจะพากันละไปจากสังคมเมือง แสวงหาความวิเวกและสุขสงบกันแต่เพียงลำพัง เหมือนอยากไปสววค์คนเดียว จนทำให้สังคมเสือมทรามลงอย่างรวดเร็ว เพราะต่างล้วนขาดจิตสำนึกที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต.
    8. " ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกผีเสื้อเหล็กนับแสนตัวมาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ " พุทธทำนายบทนี้ ทรงหมายถึง การกระทำต่อกันของมนุษย์โลก ทั้งทางกายภาพและในมิติคู่ขนาน ก่อให้เกิดมลภาวะทางพลังงานด้านลบและปฎิกูลทางกายภาพในระบบโลกเป็นจำนวนมาก มาย  มนุษย์ส่วนใหญ่จะมีจิตสำนึกที่สั่นสะเทือนต่อกันทางด้านลบ  เกิดพลังงานกรรมคุณสมบัติด้านลบในมิติคู่ขนานอย่างมากมาย  และทำให้ระบบโลกเสียสมดุลทางพลังงานที่จำเป็นไปมาก  จนอาจทำลายความสมดุลของระบบโลกเองและจักรวาลทั้งระบบ
    9."ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับใหลมาเป็นนานจะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก"    พุทธทำนายบทนี้  ตรัสถึงการสั่นสะเทือนของกายภาพโลกคือผืนแผ่นดิน  จะเกิดความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจะทำให้มนุษย์โลกได้รับ เคราะห์ภัยรุนแรงอย่างไม่คาดคิด  ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงนี้  จะเกิดจากแท่งแม่เหล็กในใจกลางโลกซึ่งเป็นแท่งโลหะร้อนระดับ  4,000  องศาเซลเซียสซึ่งเคยแน่นิ่งอยู่  จะถูกกระทำให้มันเคลื่อนที่ไปจากตำแหน่งเดิมเพื่อการปรับเปลี่ยนระบบโครง ข่ายสนามแม่เหล็กโลกสู่ระบบใหม่  ดังได้กล่าวไว้แล้วนั้น  เมื่อเกิดการเคลื่อนตัวด้วยแรงขับเคลื่อนอันมหาศาล  มันจะทำให้แผ่นพื้นทวีปและท้องมหาสมุทรเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนพื้น โลกเกิดการบิดตัวอย่างรุนแรงตามไปด้วย  มันจะทำให้แผ่นดินบางทวีปแยกตัวออกจากกัน  น้ำทะเลจะไหลบ่าเข้าไปแทนที่  ตึกรามสูงใหญ่และเทคโนโลยีอันสูงส่ง  พร้อมด้วยสารเคมีพิษร้ายต่าง ๆ จะถูกทับถมกันไว้ใต้พื้นโลกและแผ่นน้ำตราบนิรันดร์พร้อมกับชีวิตของผู้สร้าง มันขึ้นมา  ด้วยจิตไร้สำนึกจำนวนนับล้านคนจะถูกกลืนหายไปเช่นกัน  มันเป็นการดับอหังการ์ของมนุษย์ผู้มีจิตวิญญาณไม่บริสุทธิ์  ที่ฝ่าฝืนกฎทางกายภาพของจักรวาล  คิดสร้างลัทธิซาตานขึ้นในระบบโลก  ชักจูงจิตวิญญาณมนุษยชาติไปในเส้นทางที่ผิดพลาดโดยแท้  และเป็นการหยุดยั้งการทำลายโลกใบนี้ของพวกเขา  ในอันที่จะก้าวไปสู่การทำลายความสมดุลของจักรวาลอื่นต่อไปในเวลาเดียวกัน.
     10."ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน"   ปรากฏการณ์นี้มนุษย์สามารถสำเหนียกรู้ได้โดยไม่ต้องตีความ  เพราะปรากฏการณ์ธรรมชาติของคลื่นความร้อนคลื่นความเย็นที่ผ่านมา  และพายุแม่เหล็กรุนแรงในบรรยากาศทำให้ผู้คนทุกข์ยากล้มตาย  พืชพันธุ์เสียหายและอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่เกิดขึ้นไปแล้วและที่กำลังจะ เกิดต่อไป  เมื่อฝ่าเข้าไปท่ามกลางพายุแม่เหล็กที่รุนแรงนั้น  หรือหิมะตกหนักและพายุลูกเห็บขนาดยักษ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นความวิปริตแปรปรวนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  ซึ่งวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมนุษย์จะไม่มีวันเอาชนะได้  หลังการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคพลังงานใหม่  เมื่อแผ่นดินและจิตวิญญาณมนุษย์ถูกชำระให้บริสุทธิ์เรียบร้อยแล้วฤดูกาลต่าง ๆ บนโลกจะเปลี่ยนไป  แผนที่โลกจะต้องได้รับการแก้ไขใหม่หลายส่วน.
     11."ตลิ่งจะพัง"   จากการสั่นสะเทือนที่รุนแรงของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่มันจะเกิดต่อเนื่อง กันนานนับชั่วโมง  ผู้คนทั้งโลกจะรับรู้มันได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องจ้องดูทางทีวีอีกต่อไป  แผ่นดินใหม่จะปรากฏตัวขึ้นกลางมหาสมุทร  ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เคยต้องคำสาปให้จมอยู่ใต้มหาสมุทรมานานนับหมื่นปี  จากเหตุการณ์ที่จักรวาลชำระโลกเป็นครั้งที่สาม  ตั้งแต่เกิดมีมนุษย์บนดาวเคราะห์โลก  โดยอาศัยอำนาจแรงดึงดูดของดวงจันทร์ช่วยเหลือ  นอกจากจุดศูนย์กลางอันเป็นเป้าหมายของแผ่นดินไหวที่จะถล่มทลายลงไปใต้แผ่น น้ำแล้ว  บริเวณสองทวีปที่เป็นชายฝั่งมหาสมุทร  และเกาะบางเกาะจะจมหายไปใต้ท้องทะเลเช่นเดียวกัน.
      12."แผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเล"  โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ   ประเทศที่คลั่งวัตถุนิยม  คลั่งไคล้เทคโนโลยี  ทั้งผู้สร้างมันขึ้นมา  ผู้งมงายกับการใช้มัน  และประเทศที่ผู้นำมีจิตสำนึกบกพร่อง  บ้าอำนาจและกระทำการก้าวร้าวต่อจิตวิญญาณผู้คนที่บริสุทธิ์ให้ต้องจบชีวิตลง เพราะศึกสงคราม  นั่นคือดินแดนหายนะอันเป็นเป้าหมายของจักรวาลด้วยเช่นกัน  ทุกอย่างจะถูกกลบฝังไว้ใต้โลกท่ามกลางผงฝุ่นและเปลวเพลิง  อันเกิดจากแผ่นดินแยกยุบตัวและภูเขาไฟระเบิดซ้ำ  ความหายนะจะเกิดขึ้นแทบทั่วแผนดินนี้  ทั้งผู้ได้รับเคราะห์กรรมโดยตรงและโดยอ้อม  จนแทบจะมองหาใครมาคอยช่วยเหลือใครไม่ได้เลย . 
      13."นักปราชญ์จะถูกทำลายให้สิ้นสูญ"   มนุษย์จะเห็นได้ว่า  ยุคปัจจุบันนั้นสังคมเต็มไปด้วยการอยู่ร่วมกันด้วยผลประโยชน์มากกว่าความรัก ที่มีต่อกันเพื่อร้อยเรียงกันไว้เป็นหนึ่งเดียว  ต่างต้องคอยระแวงกันตลอดเวลาด้วยการคอยมองหาว่า  ใครชั่วน้อยกว่าใคร  แทนที่จะมองหาความดีงามของกันและกัน  มนุษย์โลกส่วนใหญ่พากันเร่งพัฒนาภูมิปัญญาของตนโดยไม่ใส่ใจพัฒนาสติกับ ปัญญา  คิดสร้างขยะพลังงานกรรมด้านลบและขยะเทคโนโลยีที่เน้นวัตถุขึ้นมามากมาย  เพื่อสร้างโอกาสและอำนาจ  เอาไว้บงการจิตวิญญาณมนุษย์คนอื่นที่ด้อยกว่า  โดยไม่ได้ใช้พลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ในตนเอง  อันเกิดจากจิตสำนึกแท้จริงและสติทางวิญญาณที่มีพลังงานความรักเป็นตัวขับ เคลื่อนพฤติกรรม  ให้ผู้อื่นยอมรับ  เชื่อมั่นและศรัทธาเลยนอกจากนั้นกลับใช้พลังอำนาจจากจิตไร้สำนึก  ผลักไสคนดี ๆ ออกไปไกลจากเส้นทางของตัว  ทำลายคนดีด้วยจิตสำนึกที่ผิดพลาดโดยไม่รู้ว่าความดีงามแท้จริงคืออย่างไร  สังคมมนุษย์  คลั่งอำนาจ  ลาภยศ  สินทรัพย์และวัตถุนิยมมากยิ่งกว่าแสวงหาความดีงาม  กิเลสตัณหา  อบายมุข  สารพิษ  ยาเสพติดหาได้กลาดเกลื่อน  มนุษย์เพาะบ่มสำนึกแห่งความชั่วร้ายไว้ในจิตใจที่พร้อมจะนำมันออกมาแสดงได้ ง่ายกว่า  การจะมองหาความดีงามคือความรักบริสุทธิ์  หยิบยื่นให้แก่ใคร ๆ มนุษย์ที่สมดุลและคนดี ๆ กลับไม่ได้การยอมรับจากผู้คนเพราะมนุษย์ใช้ตนเองที่จิตสำนึกขาดความสมดุล ตัดสินมนุษย์ผู้อื่น  ที่มีความสมดุลกว่าผิดพลาดไปหมด  ความเป็นธรรมในสังคมจึงหายากยิ่ง  แม้แต่นักบวชมากรายก็ยังทุศีลของพระพุทธองค์หนักขึ้นทุกวัน  ยุคพลังงานเก่าที่ผ่านมา  มันจึงเป็นสังคมที่ไม่ได้ส่งเสริมคนดีที่เหลือน้อย  ทำให้คนดีเกิดความท้อแท้สงบงันเหมือนการเห็นแก่ตัวเพราะต้องระมัดระวังตน  โดยหยุดบทบาทตนเองไว้  การที่มนุษย์จะแสดงความดีงามสู่สังคมสักครั้งสักคนจะต้องใช้ความกล้าหาญและ การเสียสละที่ยิ่งใหญ่เกินจริง  จึงจะพอฟันฝ่าอำนาจด้านลบที่เกาะกุมจิตใจผู้คนส่วนใหญ่ได้. ที่พุทธทำนายพอสังเขปทั้ง  13  บทที่เผยนัยมานี้  ล้วนเป็นภาพของความบอบช้ำภายในระบบโลก  ซึ่งองค์พระศาสดาได้ทรงทำนายไว้ล่วงหน้านับพันปีมาแล้ว  เพื่อเตือนสติมนุษย์ให้เกิดจิตสำนึกใหม่  ซึ่งมนุษย์เองสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์  เลวร้ายใด ๆ ได้  หากลงมือกระทำที่จิตสำนึกของตนเอง  แต่มนุษย์  กลับละเลยกันมาตลอด  มหันตภัยจึงไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย  ดาวเคราะห์โลกเป็นดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี  มีกฏแห่งกรรมเป็นรางวัลการกระทำทางจิตสำนึกมนุษย์ไว้รองรับทั้งในทางกายภาพ ของมนุษย์เองและในมิติคู่ขนาน  การพยากรณ์ใด ๆ ไว้ล่วงหน้านั่นคือสิ่งที่จิตจักรวาลทุกรูปธรรมย่อมรู้แต่การที่เหตุการณ์ใด ๆ เหล่านั้นมันจะเกิดขึ้น  หรือไม่เกิดขึ้น     มันอยู่ที่การตัดสินใจของมนุษย์เองทั้งสิ้น  เมื่อมนุษย์ละเลยไม่แก้ไขตั้งแต่ต้น  ก็เท่ากับว่ามนุษย์เป็นผู้เลือกสถานการณ์เลวร้ายกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ด้วยตนเองโดยแท้.                                              




ได้เห็นภาพสไลด์ของเราแล้ว
ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งคิดเข้าใจว่า
เรากำลังจะกล่าวความจริงเรื่องของ
น้ำมันหมดคลัง หมดถัง หมดสต้อคนะ
ทั้งอย่าเพิ่งคิดเข้าใจว่า....
เรากำลังจะกล่าวความจริงเรื่องของ
พรุ่งนี้น้ำมันทุกชนิดจะลดราคาลงอีกเท่าไหร่
ขณะที่ก๊าซหุงต้มเขาจะขึ้นราคากันเท่าใด
เรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ
เรื่องนโยบายพลังงานและบริการ ปชช.นั้น
หากยังชำระโลกไม่เสร็จสิ้น
มันยังมิใช่หน้าที่ของเราหรอกนะ
เมื่อถึงวันนั้นแล้ว......
เราจะให้พวกท่านใช้น้ำมันและก๊าซของพระบิดาฟรี
ใช้ยวดยาน รถไฟ รถโดยสารสาธารณะ
เครื่องบินภายในประเทศ และระหว่างประเทศฟรี
ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ฟรี
ใช้ไฟฟ้า ประปา ฟรีทุกอย่าง
นี่เรากล่าวตามความจริงมิใช่นโยบายประชานิยมนะ
เพราะเรามิใช่นักการเมือง
แต่ว่า....ท่านสนใจมั้ยล่ะ?
สำหรับความจริงของบทเรียน
จากสไลด์น้ำมันหมดถังนี้
เราหมายถึงนักเรียนหลายท่าน
อาจกำลังมีอาการเหมือนดั่งในภาพสไลด์นี้ต่างหาก
นั่นคือ.............
เกิดอาการเหมือนคนจะหมดเชื้อเพลิง
เกิดอาการเหมือนคนจะหมดไฟหรือไฟจะมอด
เกิดอาการท้อแท้และท้อถอยกันอยู่ต่างหากล่ะ
อาการท้อที่เกิดขึ้นนั้น
คนส่วนใหญ่มักจะหมายถึง
การยอมจำนนแล้ว
เบื่อหน่ายแล้ว
เซ็งแล้ว
ไม่สู้ต่อแล้ว
ไม่อดทนอีกแล้ว
ไม่ไหวแล้ว
ไม่เอาแล้ว
เป็นอาการทางจิตด้านลบ
เป็นอาการเสียขวัญ
เป็นอาการหมดพลังใจ
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านไม่ก้าวเดินไปข้างหน้า
แล้วท่านจะมีความก้าวหน้าได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ก้าวไปข้างหน้าให้ต่อเนื่อง
แล้วอีกเมื่อไหร่ท่านจะถึงเส้นชัยได้ดั่งใจปรารถนา
ถ้าท่านไม่ยอมต่อสู้ฟันฝ่า
แล้วท่านจะมีโอกาสชนะถึงหลักชัยได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ยอมเผชิญปัญหา
แล้วท่านจะยกระดับความฉลาดทางปัญญาได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ยอมเผชิญกับความกลัว
แล้วท่านจะปลุกสำนึกแห่งผู้กล้าให้ตนเองได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ยอมสูญเสีย
แล้วท่านจะรู้เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ได้อย่างไร
หากท่านปฏิเสธความจริงอันยิ่งใหญ่เหล่านี้
ภายในจิตใจท่านมันก็จะมีแต่ "ทุกข์ขัง" อยู่เท่านั้น
เพราะความท้อแท้หรือท้อถอยที่เกิดขึ้นในใจท่าน
มันมิได้ช่วยให้สถานการณ์ที่ท่านเผชิญอยู่
มันผ่อนคลายสลายตัวไปได้เลย
ความท้อมันมิได้ช่วยให้อะไรๆดีขึ้นมาได้เลยสักนิด
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ความท้อแท้และท้อถอยของท่านนั้น
มันอาจเกิดจาก.....
ทำอย่างทุ่มเทเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ
ทำอย่างทุ่มเทเท่าไหร่ก็ไม่ก้าวหน้า
ทำอย่างทุ่มเทเท่าไหร่ก็ยังเอาดีอะไรไม่ได้
ทำอย่างทุ่มเทเท่าไหร่ก็ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ทำอย่างทุ่มเทเท่าไหร่ก็ยังไม่มีใครเข้าใจ-เห็นใจ
ฯลฯ
ถ้าเกิดอาการดังที่เรากล่าวไว้
ก็ให้ลองปฏิบัติตามนี้ดูนะ
1.จงฝึกเรียนรู้อะไรให้เร็ว......
ด้วยการ.......
เรียนรู้ทั้งอุปสรรคปัญหาที่ท่านเผชิญอยู่
เพื่อรู้จักปัญหานั้นให้ทะลุแจ้ง
และเรียนรู้ข้อผิดพลาดบกพร่องของตนเอง
เพื่อการปรับปรุงแก้ไขใหม่เสียให้ถูกต้อง
2.จงนำสิ่งที่เรียนรู้ดีแล้วนั้น
ไปสู่การปฏิบัติจริง.......
เช่น เมื่อรู้ปัญหาและเข้าใจปัญหาดีแล้ว
ก็จะได้ค้นหาวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
หรือเมื่อรู้ว่าตนเองมีจุดอ่อนที่ตรงไหน
ก็ให้รีบปรับปรุงแก้ไขเสียทันที
นักเรียนจะต้องรู้ว่า
การเปลี่ยนแปลงใดๆจะเกิดขึ้นไม่ได้
หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงนั้นมันจะเกิดชึ้นไม่ได้
หากท่านไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง
3.ถ้าท่านเปลี่ยนแปลงแล้ว
ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เพราะเปลี่ยนแปลงไม่สำเร็จ
หรือเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้
ก็ให้ท่านจงทำใจเย็นๆเข้าไว้
แล้วกลับไปเริ่มต้นที่ข้อ 1.ใหม่
โดยอย่าไปใส่ใจที่จะนับเป็นสถิติว่า
ท่านปฏิบัติแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง
ขอให้ท่านทั้งหลายจงประสบความสำเร้จ
และระลึกเสมอว่า.....
ความทุกข์นั้นเกิดที่ใจ
ทุกข์ได้แต่อย่าท้อ
เพียงท่านยอมรับในสิ่งไม่พึงประสงค์ของตนได้
ความทุกข์นั้นมันก็จะกลายเป็นเพื่อนของท่านไปทันที
ท่านก็จะไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป
ภายในหัวใจท่านมันจะมีพื้นที่ว่าง
ให้กับคำว่า "สู้ต่อ" แทนคำว่า "ท้อแท้" แน่นอน
เอเมน....สาธุ......
ป.วิสุทธิปัญญา
16-12-2014

จงหยิบปัญญา มานิพพาน




ความหมายของคำว่า "มนุษย์" คือ ผู้มีจิตใจสูง
ผู้มีจิตใจสูง หมายถึง
ผู้ที่สามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตตนเอง
ให้สูงขึ้นทางด้านบวกให้สูงสุดได้
ผู้สามารถสั่นสะเทือนจิตใจด้านบวกสูงสุดได้
หมายถึง ผู้ที่มีคุณสมบัติที่สำคัญดังนี้
1.สามารถสั่นสะเทือนจิตใจตนเองด้านบวกได้
แต่ต้องมีเงื่อนไขช่วยกระตุ้นปลุกเร้า เช่น
สมเพช เวทนา สงสาร
เมตตา กรุณา มุทิตา
อดทน อดกลั้น ให้อภัย
แลกเปลี่ยน และ แบ่งปัน
เป็นต้น.......
2.สามารถสั่นสะเทือนจิตใจด้านบวกเป็นความรักได้
โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆช่วยเลย เช่น
รักเพื่อรักใครก็ได้
รักเพื่อได้รักใครก็ได้
รักเพื่อให้ได้ทุกคน
เป็นต้น.....
3.สามารถสั่นสะเทือนจิตใจด้านบวกสูงสุด
ในขณะอยู่กับตนเองตามลำพัง
หรือแม้จะอยู่ท่ามกลางเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ
เกิดเป็นความสุขสงบหรือมีปีติ
ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายในจิตใจ
จนกลายเป็นธรรมชาติของตนเองไปในที่สุด
4.สามารถยกระดับการนึกด้วยจิต
ไปสู่การขบคิดพิจารณา
ด้วยพลังสมองทั้งสองซีกของตนเองได้
โดยมิพักพึ่งพาปัญญาของคนอื่นๆไปเสียทุกเรื่อง
ท่านทั้งหลายจักต้องจดจำไว้ว่า
คนที่จะได้ชื่อว่าเป็น "มนุษย์" ได้อย่างเต็มคำนั้น
จักต้องเข้าถึงพลังอำนาจด้านบวกสูงสุด
เท่าที่ตนจะสามารถเข้าถึงได้
ในคุณสมบัติสำคัญทั้ง 4 ประการนี้เท่านั้น
มิเช่นนั้นแล้ว
ท่านผู้นั้นจะยังเรียกตนเองว่า "มนุษย์" ไม่ได้
คงเป็นได้แค่เพียง "คน" คนหนึ่ง
ซึ่งยัง "คนไม่สำเร็จ" นั่นแหละนะ
โดยเฉพาะการฝึกฝนตนเอง
เพื่อการรักให้ได้ ให้ให้เป็น และการใช้ปัญญาของสมอง
แทนการใช้จิตที่ดีแต่นึก แทนการใช้อารมณ์รู้สึก
กับการใช้นิสัยเคยชินและใช้สันดานเคยตัว
เป็นเครื่องขับเคลื่อนพฤติกรรมทางกายและวาจา
โดยไม่อาจใช้สติปัญญาจากสมองของตนได้
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านไม่สามารถสร้างคุณสมบัติทั้งสี่ข้อดังกล่าวได้
ท่านก็จะไม่อาจข้ามผ่านหรือฟันฝ่า
บททดสอบจิตสำนึกตามกฎแห่งกรรมของตนเองได้
ท่านก็จะไม่อาจประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
เพื่อให้ได้ความรู้จากบทเรียนรายวันนั้นๆได้เลย
จงอย่าปล่อยให้วันเวลามันผ่านไป
ด้วยการดีแต่ท่องธรรมะแต่ไม่ลงมือทำให้เห็นแจ้ง
ด้วยการดีแต่หยิบถ้อยคำธรรมะหรูหราภาษาสูงๆ
ของคนนั้นคนนี้มาสั่งสมไว้แต่ไม่ยอมคิดต่อ
ขอท่านทั้งหลายจงฉลาดเรียนรู้ ฉลาดแสวงหา
โดยมุ่งเน้นไปที่การหาปัญญา
ให้มากกว่าการหาความรู้เถิด
จงสร้างค่านิยมการเรียนรู้เสียใหม่
ด้วยการแสวงหาปัญญาเข้าไว้
เพราะความรู้ทั้งหลายนั้น
ท่านสามารถแสวงหาเอาจากปัญญา
ด้วยปัญญาของตัวท่านเองได้เสมอหากต้องการ
หลักการแสวงหาปัญญาในตนเองมีหลักเดียว
คือ ต้องเรียนรู้วิธีคิด ต้องฝึกทักษะการคิด
มิใช่ดีแต่นึกด้วยจิต
แต่ไม่ฝึกนำสิ่งที่ตนนึกอยู่นั้น
ไปคิดต่อด้วยสมอง
สมองมนุษย์นั้นพระบิดาทรงกำหนดสร้างไว้
อย่างแยบยลยอดเยี่ยมเหนือสิ่งใดในจักรวาลแล้ว
ท่านลองศึกษาเรียนรู้เรื่องสมองสองซีกบ้างสิ
มันมหัศจรรย์จริงๆนะ จะบอกให้ท่านรู้
เอเมน....สาธุ......
ป.วิสุทธิปัญญา
17-12-2014