วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

ทุกศาสนา ล้วนเป็นสากล









"หากทุกพระองค์
มิทรงรู้จริงรู้แจ้งในปรมัตถธรรม
โดยมิทรงสามารถล่วงรู้ด้วยปัญญาญาณบารมี
โดยมิทรงสามารถหยั่งรู้ด้วยอนุตรญาณบารมี

ไหนเลยที่พระผู้ประเสริฐทั้งหลายนั้น
จักทรงเป็นพระศาสดาแห่งโลกเสรีนี้ได้
บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลายจงรับรู้ไว้แก่ใจตน"

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-1-2016

ตัวอย่างของคนที่กระทำผิดบาป 3 กระทง คือ

1.ยึดติดอัตตาในองค์พระศาสดา
จึงเกิดเป็น "ศาสดาของฉัน" ขึ้นมาได้

ทั้งๆที่พระองค์ทรงเป็น
พระศาสดาของโลกต่างหาก
มิใช่ศาสดาของเจ้าหล่อนคนเดียวเสียเมื่อไหร่

2.ก้าวล่วงผู้อื่น
จึงเกิดเป็นศาสดาของฉัน "เหนือกว่า" พระองค์อื่น
จึงเกิดเป็นพระธรรมคำสอนพระศาสดาของฉัน
เด่นกว่า ดีกว่า เหนือกว่า
คำสอนของพระศาสดาพระองค์อื่นๆ

ทั้งๆที่ตัวเจ้าหล่อนเองนั้น
ยังมิได้แตกฉานในพระธรรมคำสอน
ของพระศาสดาที่ตนยึดติดนั้นเลย

ทั้งๆที่ตัวเจ้าหล่อนนั่น
ยังมิได้เคยศึกษาพระธรรมคำสอน
ของพระศาสดาพระองค์อื่นที่ตนก้าวล่วง
อย่างจริงจังตั้งใจให้จบแจ้งเสียก่อนเลย

3.ขาดมหาสติ
ด้วยมิได้รู้สติ มีสติ และใช้สติ
ก่อนกล่าวสรุปจนผิดบาปดังกล่าวนี้เลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-1-2016

คุรุ -ครู ในบริบทของ ผู้สอน








นี่แน่ะท่านทั้งหลาย....
การเป็นคุรุทางธรรมะแก่ผู้คนนั้น
ในทางโลกย์นับเป็นสิ่งดี
จะสอนอะไร จะสอนใคร
หากมีผู้รับฟัง มีผู้สนใจที่จะฟัง
ก็ล้วนเป็นสิ่งดีเสมอ
แต่ในทางจิตวิญญาณนั้นมันไม่เหมือนกัน
ท่านที่หมายจะเป็นครูในบริบทของ "ผู้สอน"
จักต้องสำนึกรู้เอาไว้ด้วยว่า
1."คุรุ" หมายถึง ผู้รู้ความจริงในสิ่งนั้นเรื่องนั้น
โดยเมื่อเป็นผู้รู้ความจริงนั้นๆแล้ว
จึงมีหน้าที่เพียงชี้แจงแสดงความจริง
ต่อผู้ปรารถนาความช่วยเหลือให้ได้เรียนรู้
เพื่อพวกเขาจะได้รู้ความจริงในสิ่งที่ตนรู้แล้วนั้น
นั่นคือที่มาของคำว่า "ครู" หรือ "คุรุ"
2.การที่ครูหรือคุรุ
จะรู้ความจริงในสิ่งที่ตนจะสอนผู้อื่นได้นั้น
ท่านจักต้องมั่นใจในความรู้นั้นก่อนว่า "รู้จริง"
การรู้จริง หมายถึง "รู้ความจริง"
ซึ่งความจริงที่รู้ก็คือ
สิ่งที่เรียกว่า "สัจธรรม" นั่นเอง
ถ้าสัจธรรมหมายถึงความจริงใดๆก็ตาม
ซึ่งมันจะต้องเป็นความรู้ที่ถูกต้องถ่องแท้แล้ว
ท่านคุรุทั้งหลายก็ย่อมจะอวดมโนโมเม
มักง่าย ประมาท หรือขาดสติ
ในการกล่าวสิ่งใดต่อคนอื่นๆไม่ได้เด็ดขาด
เพราะมันอาจทำให้คนอื่นหลงผิด เข้าใจผิด
ดำเนินทางผิดจนจิตวิญญาณของเขาสับสนได้
อันเป็นการผิดบาปอย่างยิ่ง
3.ครูซึ่งเป็นผู้รู้จริง
จึงมีหน้าที่ต้องเรียนรู้เพื่อให้ได้รู้ความจริงนั้นก่อน
ไม่ว่าจะด้วยการสอนตนเอง
จากการเผชิญหน้ากับความจริงนั้น
หรือเรียนรู้จาก "ครูที่แท้จริง"
มาอีกทอดหนึ่งก็ตาม
โดยเมื่อรู้ความจริงนั้นแล้ว
ก็จักต้องนำความจริงนั้นมาทำให้แจ้งกระจ่าง
ด้วยการปฏิบัติจริงเสียเองก่อน
เพื่อให้มั่นใจและศรัทธาในความจริงนั้นว่า
ที่ตนรู้อยู่นั้น "จริงแท้"
นี่แหละ....เส้นทางของครู "ผู้รู้จริง" ล่ะนะ
ดังนั้น
ความรู้ใดที่มโนโมเมเอง
แล้วนำมาแสดงต่อผู้อื่นกันอยู่นั้น
เราจะเรียกพฤติกรรมนี้ว่า "อวด"
มิใช่ "สอน"
ซึ่งคำว่าอวดนี้มาจากคำเต็มว่า
"อวดอุตริ" นั่นแหละ
4.เนื่องจาก "ความจริง" ในสกนธ์จักรวาล
มี 3 ระดับ
คือ 1. ระดับโลกิยธรรม
อันเป็นความจริงที่ใช้อายตนะพิสูจน์รู้ได้
คือ 2. ระดับโลกุตรธรรม
อันเป็นความจริงที่ต้องใช้
ความฉลาดทางจิตตปัญญา
ของสมองสองซีกของผู้เรียนเอง
เพื่อพิสูจน์ความจริงในความรู้นั้นเท่านั้น
คือ 3. ระดับอนุตรธรรม
อันเป็นความจริงขั้นสูงสุด
ที่กลไกอายตนะและปัญญาของสมองสองซีกในตน
ไม่สามารถเข้าถึงความรู้ที่ถูกต้องแท้จริงนั้นๆได้
จักต้องใช้ "ปัญญาขั้นสูงสุด"
จากจิตและปัญญาของสมองทั้งระบบ
ที่เรียกว่า "อนุตรปัญญาญาณ"
หรือ "โพธิญาณ" เท่านั้น
ซึ่งมนุษย์ทั่วไปจะเข้าถึงได้ยาก
นอกจากผู้มีหน้าที่มากล่าวพระโอวาท
แทนพระผู้เป็นเจ้าแห่งสกนธ์จักรวาล
ในบริบทแห่งพระศาสดาเท่านั้น
5.ดังนั้น
หากผู้ใดรู้ความจริงที่จริงแท้
ผู้นั้นย่อมกล่าวความจริงนั้นต่อผู้อื่นได้เสมอ
เพราะโลกนี้เป็นดาวแห่งทางเลือกเสรี
ทั้งคนที่จะรับฟังเพื่อเลือกเรียนรู้จากครูคนนั้น
ทั้งคนที่มุ่งสำแดงความจริงในบทบาทแห่งครู
แม้คนที่คิดจะเป็นครูนั้นยังมิอาจรู้ได้ว่า
ตนเป็นผู้มีหน้าที่ทางจิตวิญญาณในการเป็นครู
หรือว่าตนแค่เป็นผู้รู้กับเขาคนหนึ่งก็ตาม
คนที่จะเป็นครูจึงต้องรู้ความจริงไว้ตรงนี้ด้วยว่า
ถ้าท่านสอนผิดไปจากสัจธรรมแท้จริง
ไม่ว่าจากเหตุแห่งการมโนโมเมเอาเอง
ไม่ว่าจากการหลงผิดเข้าใจผิดหรือรู้มาผิดๆ
ท่านโดยจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเอง
จักต้องรับผิดชอบในผลกรรมแห่งความผิดบาปนั้น
ด้วยการสิ้นอายุขัยแล้วเมื่อใด
จักต้อง "หลุดลง" ไปแก้ไขที่ขุม 13
ก่อนจะย้อนกลับมาเร่ตามหาคนที่เขาเชื่อผิดหลงผิด
เพราะความผิดบาปของท่าน
เพื่อปรับความเข้าใจกันใหม่ให้ถูกต้อง
จนครบถ้วนทุกคนแล้วนั่นแหละ
เส้นทางแห่งการหลุดพ้น
จึงจะเปิดให้ท่านดำเนินต่อไปได้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-1-2016