วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

บวชนานแล้วใยนิพพานไม่ได้



คำว่า "บวชมานาน" มิได้หมายถึงพระหรือนักบวช ผู้เลือกเส้นทางหลุดพ้นด้วยบทบาทของ "นักรบเพื่อแสงสว่าง" เท่านั้น แต่เราหมายถึงฆราวาสผู้ครองเรือนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่บนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้ ที่เลือกเส้นทางหลุดพ้นด้วยบทบาทของ "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง" ด้วยเช่นกัน

คำว่า "บวช" โดยทั่วไปแล้วหมายถึง การเป็นผู้ยึดพระธรรมคำสอนของพระศาสดาที่ตนรับถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เป็นผู้ที่ละเว้นในการกระทำความผิดบาปทั้งปวง และเป็นผู้ที่เพียรกระทำแต่กรรมดีอยู่เป็นนิจ

ตามหลักแล้ว ผู้ใดที่ครองศีลครองธรรมอยู่เป็นประจำ ผลลัพธ์ของการกระทำนั้นก็น่าจะนำพาดวงจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของผู้ปฏิบัติ ข้ามผ่านด่านนภาลัยหรือประตูนิพพาน ออกไปสู่ภายนอกเอกภพ ซึ่งเป็นดินแดนแห่งบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณที่แต่ละรูปธรรมได้จากกันมาเสียนานกันได้แล้ว แต่มนุษย์ทั้งหลายกลับทำไม่สำเร็จ แม้ขณะนี้ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนจากยุคพลังงานเก่าเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่กันแล้วก็ตาม

สาเหตุที่จิตวิญญาณมนุษย์ส่วนใหญ่ ยังตกค้างอ้างแรมกันอยู่มากมาย เพราะกลับบ้าน คือ นิพพานทางจิตวิญญาณยังไม่สำเร็จนั้น มีหลายสาเหตุดังนี้

1.เน้นการถือศีลปฏิบัติธรรม แค่เพียงรูปแบบในมิติโลกทางกายภาพเท่านั้น

2.ขาดการรู้แจ้งในนัยแห่งนิพพาน จึงยังไม่สามารถปฏิบัติตนให้ถูกต้องถ่องแท้ได้ ยังผลให้ไม่อาจเข้าถึงนิพพานทางจิตวิญญาณได้ในทุกภพชาติที่ผ่านมา

3.เน้นการดำเนินชีวิตเพื่อตอบสนองความต้องการในทางกายภาพ มากกว่าการมุ่งจะตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณด้านแก่นแท้ของตนเอง เช่น ยึดที่รูปแบบการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ตนศึกษามา จำมาจากครูบาอาจารย์ หรือจำมาจากตำรากันเสียมากกว่าการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้นด้วยปัญญาของตนเอง

สาเหตุหลักทั้งสามประการ คือ การพิจารณาจากภาพรวมของผู้คนส่วนใหญ่ตั้งแต่อดีตกาลผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในด้านของความผิดพลาดบกพร่องที่สามารถมองเห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้

การหลุดพ้นหรือนิพพานของจิตวิญญาณนั้น หากเป็นการให้ความหมายในด้านอภิปรัชญาแล้ว หมายถึง การที่มนุษย์โลกแต่ละคนสามารถสิ้นสุดยุติการมีภพชาติของตนเองเอาไว้ได้ ด้วยการไม่มีเหตุให้ต้องย้อนกลับสู่การเกิดใหม่อีกตลอดกาลนิรันดร เพราะรูปธรรมทางพลังงานที่เรียกว่าจิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์นั้น สามารถดีดตนเองหนีแรงดึงดูดถ่วงรั้งของเอกภพออกไปสู่สนามพลังงานภายนอกได้อย่างสิ้นเชิง

การที่จะดีดตนเองออกไปนอกระบบเอกภพได้นั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญ 5 ประการ จะขาดพร่องตรงข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ไม่ได้ คือ

1.ความต้องการที่จะหลุดพ้น:

มันเป็นเรื่องปกติที่เธอจะไม่สามารถกระทำสิ่งใดๆให้ประสบผลสำเร็จได้ ถ้าไร้ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้ คือ
1.1 วัตถุประสงค์ของการกระทำนั้น
1.2 เป้าหมายของการกระทำนั้น
1.3 ทิศทางของการกระทำนั้น
1.4 วิธีการที่จะเลือกนำมาใช้กระทำสิ่งนั้น
1.5 แรงบันดาลใจในการกระทำสิ่งนั้นให้บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

2.น้ำหนักมวลหรือน้ำหนักตัว:

ถ้าจะหลุดพ้นได้จริงๆนั้น น้ำหนักตัวของตนก็จักต้องน้อยที่สุด หรือว่าเบาที่สุด ในระดับที่จะไม่เป็นภาระให้กับการดีดตนเองหนีแรงดึงดูดของเอกภพทั้งระบบออกไปได้เท่านั้น

นี่จึงย่อมหมายความว่า น้ำหนักตัวหรือน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณเธอจักต้องไม่หนักมากเกินกว่าน้ำหนักตัวตอนที่ข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติแรกโดยเด็ดขาด เพราะน้ำหนักมวลในตอนข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์โลกภายในเอกภพอันไพศาลนี้นั้น จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์แต่ละคน ล้วนถูกกำหนดให้มันเป็นอิสระจากอำนาจแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของเอกภพกันอยู่แล้ว หมายความว่า จิตวิญญาณทุกรูปธรรมสามารถเดินทางเข้าออกผ่านประตูมิติของเอกภพได้อย่างไร้อุปสรรคนั่นเอง

ดังนั้น ถ้าใครปรารถนาจะนิพพาน คือ กลับบ้านในสภาวะของการหลุดพ้นออกไปได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว จิตวิญญาณแก่นแท้ของคนๆนั้นจักต้องหาหนทางรีดน้ำหนักส่วนเกินทิ้งไปให้หมด จะปล่อยให้อ้วนจนสร้างน้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่ได้เด็ดขาด

สำหรับจิตวิญญาณของพวกเธอนั้น สิ่งที่ทำให้น้ำหนักมวลของเธอมันเพิ่มขึ้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า "รหัสบุรพกรรมแม่เหล็ก" อันหมายถึง อนุภาคประจุไฟฟ้าทั้งบวกและลบซึ่งเป็นผลกรรมทั้งด้านบวกและลบที่จิตเธอผลิตสร้างมันขึ้นมา ในขณะเป็นคนสองมิติที่เรียกว่า "มนุษย์" นั่นแหละ

ปกติแล้วน้ำหนักมวลของรูปธรรมทางพลังงานของพวกเธอแต่ละคน เมื่อแรกเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์นั้น มีน้ำหนัก 50 มิลลิกรัมเท่ากันหมด ซึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้จะเป็นน้ำหนักมวลของเมอร์คขะบาห์ซึ่งเป็นพาหนะของจิตวิญญาณ 20 มิลลิกรัม เป็นน้ำหนักมวลของพลียะเดี้ยนส์ 30 มิลลิกรัม และน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณของเธอเองที่เป็นนิวเคลียสหรือแกนกลางของรูปธรรม 0 มิลลิกรัม คือ มีมวลน้อยมากจนวัดน้ำหนักมวลไม่ได้

ส่วนบุรพกรรมแม่เหล็ก ที่จิตมนุษย์ผลิตสร้างขึ้นร่วมกับเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ (กายสังขาร) เมื่อสั่นสะเทือนร่วมกันเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดทั้งด้านบวกด้านลบขึ้นมานั้น มันจะอยู่ในรูปของอนุภาคไฟฟ้าที่มีทั้งบวกอันหมายถึงผลกรรมด้านบวก และอนุภาคไฟฟ้าที่เป็นด้านลบอันหมายถึงผลกรรมด้านลบ ซึ่งมันจะถูกผลิตสร้างขึ้นอยู่ตลอดวัน โดยน้ำหนักมวลของอนุภาคแห่งกรรมเหล่านี้ จะมีน้ำหนักเท่ากันตลอดทั้งบวกและลบ คือ 10.5 มิลลิกรัม

ดังนั้น ถ้าตลอดชีวิตเธอเอาแต่ก่อกรรมทั้งดีและเลวจนยังผลให้เกิดบุรพกรรมแม่เหล็กพวกนี้มากๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบทำบุญเบื้องล่างหวังสร้างไว้เบื้องบนสวรรค์มายา หรือทำบุญกุศลในชาตินี้หวังจะได้รับสิ่งดีๆตอบแทนในภพชาติหน้า ซึ่งมันจะก่อให้เกิดผลกรรมด้านบวกที่เป็นรหัสบวก ไปจนถึงการก่อเวรเกี่ยวกรรมกระทำผิดบาปต่อผู้อื่นด้วยจิตสำนึกอันชั่วร้ายและต่ำทรามซึ่งมันจะก่อให้เกิดผลกรรมด้านลบที่เป็นรหัสลบดังกล่าวมาแล้วนั้น น้ำหนักมวลรวมของจิตวิญญาณของเธอเป็นต้องเพิ่มขึ้นเสมือนว่าอ้วนขึ้นอย่างแน่นอน

นี่แหละ...ที่จะเป็นคำอธิบายเชิงอภิปรัชญาด้วยภาษาชาวบ้านง่ายๆให้เธอได้เรียนรู้ว่า การก่อเวรก่อกรรมทำเข็ญแล้วนิพพานไม่ได้ สาเหตุหนึ่งก็คือกรณีที่กล่าวนี้แหละนะ

3.พลังอำนาจสูงสุดอันเป็นขีดสามารถทางจิตวิญญาณของตนเอง:

พลังอำนาจที่จะใช้ในการขับเคลื่อนจิตวิญญาณสู่ การหลุดพ้นออกไปนอกระบบเอกภพนี้ มันจะต้องเป็นพลังอำนาจอันเกิดจากภายในรูปธรรมทางจิตวิญญาณของเธอเองเท่านั้น ซึ่งพลังอำนาจดังกล่าวนี้มันจะต้องได้จากแรงสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวกของจิตวิญญาณเธอทั้งระบบ ที่สัมพันธ์กันกับแรงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองของเมอร์คขะบาห์ซึ่งเป็นพลังงานเปลือกนอกของจิตวิญญาณของพวกเธอแต่ละคนด้วย

มนุษย์ปกติที่จิตหยาบยังหยาบอยู่ เมอร์คขะบาห์จะสามารถสั่นสะเทือนตนเองสูงสุดได้แค่ 600 เม็กกะเฮิร์ตซ์ แปลว่ามีพลังอำนาจในการขับเคลื่อนจิตวิญญาณหนีแรงดึงดูดของเอกภพค่อนข้างน้อย เมื่อตายแล้วก็จึงหลุดพ้นไม่ได้

มนุษย์ในรายที่ปฏิบัติธรรมจนจิตเริ่มใส ใจเริ่มสวยแล้ว เมอร์คขะบาห์จะสามารถสั่นสะเทือนตนเองสูงสุดในระหว่าง 1,200 ถึง 2,400 เม็กกะเฮิร์ตซ์ ซึ่งพลังอำนาจในระดับนี้แหละคือจิตวิญญาณที่มีอนาคต เพราะสามารถนำพาตนเองหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ คือนิพพานได้แน่ๆ

สำหรับมนุษย์ที่เลือกบทบาทของ "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง" ที่ยังเป็นผู้ครองรัก ครองเรือน ครองสมบัติพัสถาน และครองงาน ไปจนถึงการครองโลกกันอยู่นี้ ตลอดระยะเวลานับหมื่นปีที่พากันเวียนว่ายตายเกิดตลอดมานั้น จิตวิญญาณแต่ละคนเปรียบได้ดั่งนักเดินทางที่มีชีวิตของตนเปรียบได้ดั่งเรือลำน้อยๆ ที่จะนำพาตนเองแล่นลอยไปให้ถึงฝั่งฝันนั่นคือ "ด่านนภาลัย" หรือประตูแห่งนิพพานให้จงได้

แน่นอนว่าสิ่งที่เธอทุกคนไม่เคยตรวจสอบ ก่อนจะแล่นลอยนาวาชีวิตของเธอตรงไปยังฝั่งฝันนั้น ซึ่งมันมีผลต่อการ "สอบตก" มาแล้วในทุกภพชาติ นั่นคือ

1.น้ำหนักมวลทางจิตวิญญาณของเธออยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน คือ 50 มิลลิกรัมเสมอหรือไม่ ถ้ามีส่วนเกินหรือเริ่มอ้วน เธอจักต้องรีบเร่งที่จะไม่ก่อกรรมใหม่และแก้ไขกรรมเก่าที่ทำให้อ้วนพีแล้วให้เป็นโมฆะให้หมดสิ้น

อนุภาคประจุไฟฟ้าที่เป็นบุรพกรรมแม่เหล็กที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ มันจะถูกนิวเคลียสเหวี่ยงออกมาออกันอยู่บริเวณชั้นเปลือกนอกของจิตวิญญาณ อันเป็นส่วนที่เราเรียกว่าเมอร์คขะบาห์นี่แหละ ถ้ามันมาออกันอยู่มากๆมันจะทำให้
เมอร์คขะบาห์มีพื้นที่ที่จะสั่นสะเทือนอนุภาคพลังงานของตนน้อย จะยังผลให้พลังอำนาจในการขับเคลื่อนจิตวิญญาณลดต่ำลง การดีดตนเองออกไปจากเอกภพเพื่อการหลุดพ้นก็จะยิ่งยากขึ้น

2.เธอหมั่นยกระดับแรงสั่นสะเทือนทางจิตให้สูงขึ้นทางด้านบวกเอาไว้ จนกลายเป็นคุณสมบัติของจิตหยาบไปได้หรือไม่ แค่ไหน อย่างไรแล้ว ซึ่งเธอจะต้องกระทำผ่านความรัก คือ อดทน อดกลั้น ให้อภัย มีใจเมตตา โอบอ้อมอารี เป็นต้น

พลังอำนาจที่ได้นี้ มันจะมีผลต่อค่าของการสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวกของจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกเธอแต่ละคนโดยตรงเลยทีเดียว เธอจึงเหลวใหลไม่ใส่ใจปฏิบัติให้มันกลมกลืนไปกับการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมในแต่ละวันมิได้

3.เธอจักต้องตรวจประเมินว่า เธอมีระดับความฉลาดทางปัญญาสูงถึงระดับการใช้ปัญญาญาณหรือโลกุตรญาณอันเกิดจากสมองซีกขวานำซีกซ้ายได้ดีแค่ไหน อย่างไรแล้ว ในชีวิตประจำวันเธอเป็นคนที่เกลียดกลัวปัญหาอยู่หรือเปล่า เธอเป็นนักคิดได้ดีแค่ไหน เธอฉลาดแก้ปัญหา กล้าตัดสินใจ และทำทุกสิ่งในชีวิตได้อย่างถูกต้องแม่นยำได้ดีเพียงใดแล้ว เป็นต้น

ทั้ง 3 ประการ คือ ประเด็นที่พวกเธอจักต้องถามตนเอง เพื่อการประเมินและปรับตัว ในอันที่จะนำไปสู่การสร้างพลังอำนาจแท้จริงที่จะนำแก่นแท้ของตนหลุดพ้นออกไปจากระบบเอกภพในภพชาติเดียวให้จงได้ ที่พวกเธอบวชนานแล้วยังนิพพานไม่ได้ ยังทำไม่สำเร็จเพราะเธอเข้าใจว่าจะนิพพานได้ต้องใช้รูปแบบ เธอจึงพยายามคัดหาต้นแบบที่เธอถูกจริตแล้วฟิตปฏิบัติตามกันเสียเป็นส่วนใหญ่

แต่ทว่าในจำนวนสาเหตุสำคัญหลายประการที่ทำให้นิพพานกันไม่ได้นั้น มีอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งจะขอนำมากล่าวพอสังเขปไว้ในที่นี้ก็คือ พวกเธอมากมายยังเข้าถึงสภาวะ "การดับการเกิดดับของ 7 สิ่ง" อย่างสิ้นเชิงไม่ได้

การดับการเกิดดับอย่างสิ้นเชิง
หมายถึง เมื่อสามารถดับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว สิ่งที่ดับได้สำเร็จนั้น จักต้องไม่เกิดขึ้นมาใหม่เพื่อให้ต้องดับสิ่งนั้นอีกตลอดไป
เพราะพวกเธอดับการเกิดดับของทั้ง 7 สิ่งนี้ไม่ได้ นาวาชีวิตของเธอจึงแล่นไปไม่ถึงฝั่งฝันกันมาตลอด....นั่นคือ

1.ดับการเกิดดับของการมีอัตตา คือ ตัวฉัน ตัวเธอ ตัวมัน
2.ดับการเกิดดับของการยึดถืออัตตา คือ ถือว่าเป็นของฉัน ของเธอ ของมัน
3.ดับการเกิดดับของความโลภ คือการอยากได้ใคร่มีในสิ่งที่ไม่ควรไม่เหมาะ
4.ดับการเกิดดับของความมีโทสะจริต คือ ความต้องการเอาชนะ ความต้องการมีอำนาจเหนือนำ ความต้องการทำร้ายทำลาย
5.ดับการเกิดดับของความงมงาย คือ การหลงเชื่อและปฏิเสธในสิ่งที่ตนอธิบายไม่ได้และไม่เข้าใจ โดยไม่ใช้สติปัญญาก่อน
6.ดับการเกิดดับของความสุข คือ การอยากมีความสุข การกลัวความสุขที่มีอยู่จะเสื่อมสลาย
7.ดับการเกิดดับของความทุกข์ คือ การไม่อยากมีทุกข์ การกลัวความทุกข์

ถ้านักเรียนพิจารณา การดับการเกิดดับทั้ง 7 ประการที่กล่าวมาแล้วจะพบว่า เธอจะสามารถประสบผลสำเร็จได้ในชาตินี้โดยไม่ต้องเสียเวลาเป็นนับหมื่นๆปีเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว ด้วยการปฏิบัติ 3 สิ่งให้เป็นธรรมชาติของเธอให้ได้ คือ

1.ต้องครองมหาสติตลอดทั้งวันให้ได้ คือ รู้สติ มีสติ และใช้สติตลอดเวลา
2.ต้องแสดงปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจน คือ รักได้ ให้เป็น และไม่ก้าวล่วงผู้อื่น
3.ต้องใช้จิตสัญชาตญาณและจิตสำนึกในการดำเนินชีวิตเท่านั้น คือ การสำนึกรู้ในความถูกต้อง เหมาะสม ดีงาม และการสำนึกรู้ในบาป บุญ คุณ โทษ ควรไม่ควร โดยจะต้องคิดตรึกตรองอย่างถ่องแท้ ตาม "ปริญญาโมเดล" ให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจลงมือทำสิ่งใดๆก็ตาม

อย่ามัวแต่รั้งรออะไรอยู่อีกเลย....ลงมือทำเสียทีเถอะ....
รีบลงนาวาของเธอด้วยเวลาที่เหลืออยู่ นำพานาวาแล่นล่องไปหาฝั่งฝัน
ค่อยๆละทิ้งสัมภาระบ้าๆบอๆผ่านการดับการเกิดดับทั้ง 7 ที่ว่ามาไปทีละสิ่งสองสิ่งเพื่อทำให้นาวาของเธอมันเบาลงจะได้ล่องแล่นไปได้เร็วขึ้น

ครานี้รับรองว่า....ถึงด่านนภาลัยภายในก่อนสิ้นยุคนี้แน่ๆ
รีบก้าวตามเรามาเถิดพี่น้องทั้งหลาย....

"แล่นเรือตาม เรามา อย่าช้าชัก
สิ่งของหนัก ผลักทิ้ง อย่านิ่งเฉย
ทั้งบุญบาป ลาภผล อย่าสนเลย
จงคุ้นเคย ทำดี เพราะดีจริง

การทำดี ได้ดี นั้นดีแน่
อย่าเล็งแล แต่ผลดี ที่ทุกสิ่ง
การทำดี ได้ดี นั้นมีจริง
ไม่ต้องอิง ผลดี ก็ได้ดี"

ป.วิสุทธิปัญญา
3-04-2014