วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

จิตสำนึกหายไปไหน...???



ทำไม...การตายของสัตว์มากมายขนาดนั้น
ซึ่งทั้งภาพของซากศพและกลิ่นเลือดที่คลุ้ง...
ถึงไม่ทำให้ผู้คนที่เข้าร่วมพิธีมีความรู้สึกสลดใจ
แล้วเกิดความเมตตาสงสารสัตว์เหล่านั้นบ้างเลยแม้แต่น้อย...
จิตสำนึกหายไปไหน...???"

Answer:

1.จิตสำนึก หมายถึง
จิตที่ใสใจที่สวยอันเปี่ยมล้นด้วยรัก
กับความฉลาดทางปัญญาของสมอง
ของพวกเขาแต่ละคน
ที่จะก่อให้เกิดสำนึกดีสำนึกชั่วนั่นเอง

2.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ตอนมาเกิดเป็นมนุษย์ภพชาติแรกบนโลกนี้นั้น
แต่ละคนก็ถือคุณสมบัติดังกล่าวนี้มาด้วยกันทั้งสิ้น

แต่พอมาเกิดกันมากๆภพชาติเข้า
กิเลสตัณหาก็ถูกพอกพูนเพิ่มขึ้นที่ในจิต
จึงยังผลให้มนุษย์เปลี่ยนจากจากจิตใสใจสวย
กลายเป็น "จิตเสื่อม ใจทราม" แทน
จนไม่อาจเข้าถึงการใช้ความฉลาดของสมองได้

3.สาเหตุที่ จิตเสื่อม ใจทราม
ก็เพราะมนุษย์ตกเป็นทาสกิเลสตัณหา
เนื่องจากหลงผิดคิดว่ามายา
ที่เป็นรูปลักษณ์ รส กลิ่น เสียง สัมผัส
คือ แก่นแท้
จึงพากันหลงในมายาพากันเป็นทาสสิ่งเร้านั้น

โดยหลงลืมไปว่ารายรอบตัวที่สัมผัสรู้ดูเห็นได้อยู่
มันคือ "มายา" ที่เป็นอัตตาและรูปลักษณ์
ของแก่นแท้ของแต่ละสรรพสิ่งที่เร้นอยู่ข้างใน
มิใช่ตัวตนที่แท้จริง...
นี่เป็นสาเหตุใหญ่

4.สาเหตุที่ใช้ปัญญาของสมองไม่ได้
ก็เพราะจิตมันมืดบอด คือ ไม่ใส ไม่สวย
เนื่องด้วยกิเลสตัณหาครอบงำจิตไว้
จึงยังผลให้พลังอำนาจของจิต
ไม่มากพอที่จะไปสั่นสะเทือนสมอง
ให้เกิดความฉลาดทางปัญญาได้นั่นเอง

นอกจากนั้น
สาเหตุแห่งความโง่และงมงายของมนุษย์
อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันก็คือ
การมีค่านิยมในการดำเนินชีวิตทางสังคมผิดๆ
เป็นต้นว่า.....

นิยมคนเก่ง มากกว่าคนฉลาด
เชื่อตามผู้รู้หรือนักปราชญ์ มากกว่าการเชื่อตนเอง
ครูส่วนใหญ่ชอบสอนให้รู้ มากกว่าสอนให้คิด
ผู้ใหญ่มักสอนสั่งให้เด็กเชื่อตาม ทำตาม
แทนการคิดตาม

5.เพราะสาเหตุในข้อ 4.นี่ไง
จึงยังผลให้......

มนุษย์โลกพากันอวดรู้ อวดครู อวดตำรา
มากกว่าการอวดปัญญาที่ในตน

มนุษย์โลกพากันอวดโง่
มากกว่าการอวดฉลาด
โดยไม่รู้ตัวว่า
ที่ตนอวดแสดงฉลาดอยู่นั้น
แท้แล้วเป็นความฉลาดในด้านโง่ๆมากกว่า

6.ส่วนปัญหาที่ท่านหยิบขึ้นมารำพึงสุดท้ายคือ
ทำไมพวกเขาจึงไม่รู้ว่าฆ่าสัตว์ตายอย่างทารุณ
เป็นความผิดบาป ทำไมพวกเขาไร้สติปัญญา
เอาจิตสำนึกไปไว้ไหน?

คำตอบก็คือ เพราะมีจิตใจมืดบอด
จนไม่อาจเข้าถึงความฉลาดทางปัญญาในตนเองได้
จึงได้แต่เชื่อตามอย่างงมงาย
ทำตามอย่างว่าง่าย ไร้เหตุผล

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
28-04-2015

การเรียนรู้ ของคน 4จำพวก








































เราเคยกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
เอาไว้บ่อยครั้งแล้วว่า...

มนุษย์แต่ละคนนั้น
หากแบ่งตามความสามารถในการเรียนรู้แล้ว
เราจะแบ่งพวกเขาออกเป็น 4 จำพวก คือ

1.พวกที่อยากรู้ แต่ยังไม่รู้
คนพวกนี้น่าสอน น่าแนะนำมาก

2.พวกที่เคยอยากรู้ แต่ได้เรียนรู้มาบ้างแล้ว
คนพวกนี้จะสอนยากขึ้นมาหน่อย
เพราะมักจะเชื่อว่า "กูรู้แล้ว" มากกว่า

จึงเป็นพวกไม่อยากรู้แล้ว
หรือเป็นพวกหลงตัวเองว่ารู้แล้วนั่นแหละ

3.พวกที่ไม่อยากรู้ เพราะไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไม
คนพวกนี้เหมือนปิดทวารทั้งห้าเสียสนิทเลย
คนพวกนี้ต้องรอให้เห็นโลงจึงจะหลั่งน้ำตา

4.พวกที่ไม่ใส่ใจใฝ่รู้อะไรที่ควรใส่ใจ
ทั้งๆที่ตนจะต้องใส่ใจให้มากด้วยซ้ำ
เพราะว่าคนพวกนี้นั้น
จะไม่รู้ว่าตนเองยังไม่รู้ในเรื่องจะต้องรู้นั้น

ดังนั้น....
พวกเขาจึงเข้ามาอวดโง่บ้าง
ก้าวล่วงคนนั้นคนนี้ด้วยความคิดคับแคบบ้าง
แสดงปัญญาระดับการคิดแบบจิตมนุษย์บ้าง
ถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านี้เข้ามาให้เปรียบเทียบ
พวกท่านทั้งหลายจะรู้ได้ไงว่า
พวกท่านน่ะจิตปัญญาสูงส่งในระดับใด
เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
28-04-2015

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

นึก" กับ "คิด" ต่างกันอย่างไร



นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย

แม้ว่าทุกวันนี้....
ยังคงมีอีกมากคนที่ยังไม่รู้ว่า
"นึก" กับ "คิด" ต่างกันอย่างไร
เพราะยังมิเคยผ่านประสบการณ์ "ไซโคโชว์"
กับอาจารย์ปริญญา ตันสกุล

แต่เราก็จะกล่าวความจริง
ต่อท่านทั้งหลายที่ยังมิได้ใช้โอกาสว่า
พลังอำนาจทางปัญญาของมนุษย์นั้น
จักต้องได้จาก "กระบวนการคิดที่ถูกต้อง"
ซึ่งพระผู้สร้างได้ทรงกำหนดติดตั้งเอาไว้ดั่งนี้

1.ต้องเริ่มกันที่ "จิต"
2.ต้องทำให้ศักดิ์สิทธิ์ที่ "สมอง"
3.ต้องครองธรรมด้วย "มหาสติ"
4.ต้องใช้ "ปณิธานแห่งนิพพาน"
5.ต้องกล้าหาญ "แสดงออก"

ท่านทั้งหลายจะสามารถเป็นคนพ้นกรรมได้
หากใช้การคิดด้วยจิตวิญญาณ
ตามกระบวนการ 5 ขั้นที่เราสอนท่านอยู่นี้

หากท่านแสดงออกหรือกระทำสิ่งใดๆ
โดยมิได้ผ่านกระบวนการ 5 ขั้นข้างต้น
แสดงว่าท่านยังมิได้ตกผลึกในสิ่งที่ท่านกำลังทำ
เพราะเป็นเพียงแค่ "นึก" ด้วยจิตเท่านั้น

ชีวิตท่านประจำวัน
จึงเต็มไปด้วยการพูดการกระทำ
ที่ผิดๆถูกๆอยู่ซ้ำซาก

ผิดคน ผิดวิธี
ผิดที่ ผิดเวลา
ผิดพลาด และผิดใจ
โดยผิดอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เนืองๆ

นี่เท่ากับว่า....
ท่านได้ก่อกรรมเวรขึ้นมาใหม่
เกี่ยวกรรมกับใครต่อใครอยู่เนืองๆด้วยเช่นกัน

เราจึงสื่อสอนท่านมาโดยตลอดว่า
อย่าเดินถางขาให้น่าเกลียด
จงเดินให้ตรงอย่างสง่า
คือ เดินตรงมาทางเรา
เพื่อมาเฝ้าฟังพระโอวาทองค์จิตจักรวาลด้วยกัน
เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

หนังสือแนะนำ " CHANGE " ศาสตร์แห่งการเปลี่ยนตนเองสู่ความสำเร็จ






































หนังสือแนะนำ...

" CHANGE "
ศาสตร์แห่งการเปลี่ยนตนเองสู่ความสำเร็จ
โดย อ.ปริญญา ตันสกุล MBA., M.S.
สถาบันสร้างเสริมจิตตปัญญาเพื่อพัฒนาพฤติกรรมศาสตร์ HMDC

1.คนดื้อไม่น่ารัก
2.มนุษย์ 5 จำพวก
3.มาดผู้นำต้องเป็นแบบใด
4.วัคซีนกันถูกหลอก
5.ประสบการณ์สอนอะไร
6.ไม่มีเวลาจริงหรือ
7.อย่าใช้ความคิดที่แตกต่างสร้างวิกฤติให้สังคม
------------------------------------------------------------
หนังสือน่าอ่าน : www.psychoshowparinya.com/index.php/en/2013-03-03-15-29-07
สนใจเป็นเจ้าของ
ติดต่อที่: คุณภัททริยา Tel.089-1052727

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

วัถุประสงต์ของชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก





1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

HMDC : จัดฝึกอบรม เเละพัฒนาบุคลากร



HMDC : จัดฝึกอบรม เเละพัฒนาบุคลากร
มีคนถามเราว่า....
ถ้าพนักงานเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา อืดอาด เฉื่อยชา
จะอบรมด้วยกระบวนการไซโคโชว์ ช่วยแก้ไขได้หรือไม่?
...........................................................................
คำตอบ คือ ได้แน่นอน!
แต่มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง คือ เราจะต้องวิเคราะห์
ค้นหาสาเหตุแท้จริงที่พวกเขาไม่ตรงต่อเวลาให้พบ
ไซโคโชว์ จะแก้ไขตรงสาเหตุนั้นให้

ตัวอย่างเช่น:
สาเหตุที่พนักงานส่วนใหญ่ไม่ตรงเวลา มีประมาณนี้ คือ

1.ทำงานในหน้าที่เดิมมานานปีจึงเบื่องานที่ทำนั้น
2.รายได้ไม่เพิ่ม เงินเดือนไม่ขึ้น ไม่พอใจผลประโยชน์
3.อยากลาออกแต่ยังหางานใหม่ไม่ได้

4.มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานบางคน
5.ไม่พอใจหัวหน้างานหรือผู้บังคับบัญชา
6.งานที่ได้รับมอบหมายมากเกิน หรือยากเกิน

7.ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่
8.ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานบกพร่อง ไม่ใส่ใจลูกน้อง
9.เอาอย่างเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่เหลวไหลให้เห็น

10.ทำดีหรือขยันแต่ไม่ได้ดี
11.ขาดกำลังใจในการทำงาน
12.มีปัญหาชีวิตส่วนตัวบางอย่างที่ยังแก้ไขไม่ได้

ถ้าผู้บริหาร หรือผู้รับผิดชอบงานฝึกอบรม
ตรวจสอบว่าสาเหตุของพนักงานแต่ละคน
ที่ไม่ตรงต่อเวลา ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน
มีสาเหตุจาก 1 ใน 12 ข้อที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้น

สถาบันฯก็จะดีไซน์หลักสูตร
สร้างโปรแกรมไซโคโชว์ขึ้นมารองรับ Training Needs นั้นๆ
ในรูปของกิจกรรมทางจิตวิทยาที่แยบยลต่อไป เช่น

ถ้าปัญหาเกิดจากความเบื่อหน่าย
ก็จะออกแบบหลักสูตรช่วย Refresh ให้

ถ้าเขาไม่รักบริษัท
ก็จะสร้างสำนึกแห่งการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรให้
(Sense of belonging) ด้วยการกระตุ้นที่จิตสำนึกให้ เป็นต้น

อ.ปริญญา ตันสกุล

นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
ด้านการปรับเปลี่ยนพฤตินิสัยของมนุษย์
ด้วยกระบวนการ Psycho-show
Tel.081-9349789, 089-1052727

อยู่กับทุกข์ก็สุขได้




เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ตราบใดที่ท่านยังปฏิเสธ
ในทุกสิ่งที่ท่านไม่ชอบ

ตราบใดที่ท่านยังปรารถนา
ในทุกสิ่งที่ท่านชอบ

ตราบนั้น
ท่านก็จักยังคงมีความทุกข์อยู่

ตราบนั้น
ท่านก็จักยังต้องดิ้นรนเพื่อการ "พ้นทุกข์" อยู่

ทั้งนี้....ไม่ว่าแก่นแท้ของท่าน
จะผ่านการมีภพชาติมาแล้วจนนับไม่ถ้วนก็ตาม

เพราะทุกสิ่งและเรื่องราวในชีวิตประจำวัน
ที่ท่านทั้งชอบและไม่ชอบ
มันล้วนเป็น "บททดสอบ"
ที่แก่นแท้ของท่านกับคนใกล้ตัว
ขีดเขียนกันขึ้นมาเองจากภพอดีตทั้งสิ้น

เพื่อเป็นบททดสอบ
จิตสำนึกแห่งการ "รักได้ ให้เป็น"

เพื่อเป็นบททดสอบ
จิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใสใจสวย

เพื่อเป็นบททดสอบ
การยกระดับภูมิธรรมและภูมิปัญญา

เพื่อเป็นบททดสอบ
การยกระดับสภาวะจิตหยาบสู่จิตวิญญาณ

เพื่อเป็นบททดสอบ
การสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน

ดังนั้น....
เป็นอันแน่นอนว่า
บททดสอบหลากหลายในชีวิตท่าน
ทั้งอดีตที่ผันผ่านตราบกระทั่งปัจจุบัน คือ วันนี้นั้น
มันจึงมีผลต่อความชอบ-ไม่ชอบของท่านโดยตรง

เนื่องเพราะท่านยังมีชอบไม่ชอบอยู่
เนื่องเพราะท่านยังไม่รู้ว่า
มันเป็นแผนการที่ท่านรังสรรค์กันขึ้นมาเองใช่ใครอื่น

นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
จงรู้ว่าการสั่นสะเทือนทางจิตใจ
เป็นทุกข์เมื่อเผชิญกับสิ่งที่ไม่ชอบไม่พอใจ
เป็นสุขเมื่อเผชิญกับสิ่งที่ชอบที่พอใจ
มันมิใช่ "หน้าที่" อะไรของท่านเลย

แม้ท่านจะทุกข์ หรือท่านจะสุขแค่ไหน
ท่านก็มิมีอำนาจใดที่จะเปลี่ยนแปลงบททดสอบนั้นๆได้
ท่านยังจักต้องเผชิญกับมันอยู่ดี
หน้าที่หลักของท่านคือ
ต้องข้ามผ่านหรือฟันฝ่ามันไปอย่างไรดีต่างหากล่ะ

จงยอมรับความจริงของตนเองเสียให้ได้
แล้วใช้ควาย 7 ตัวที่เราเคยสื่อสอนไว้
จัดการกับทุกอุปสรรคหรือทุกปัญหานั้นๆอย่างเบิกบาน
ไม่เกลียด ไม่กลัว ไม่ทุกข์ ไม่สุข
โดยก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของท่านด้วย "มหาสติ"
ยึดปณิธานแห่งนิพพานเป็นสำคัญ
เมื่อแก้ปัญหาได้จบ
ท่านจักพบหนทางสว่างแจ้งได้ดังหมาย

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
11-02-2015

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558

กระบวนการ "ไซโคโชว์" ของ PARINYA




ปัญหาด้านจิตวิทยาขององค์กรท่าน
วิธีการฝึกอบรมสัมมนาทั่วไป
จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
เพราะมิได้กระทำที่จิตสำนึก (จิตตปัญญา)

กระบวนการ "ไซโคโชว์" ของ PARINYA
เป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยา
โดยนักวิทยาศาสตร์พฤติกรรม
ซึ่งสามารถชี้แนวทาง สร้างแนวคิด
กระตุ้นจิตตปัญญาของกลุ่มเป้าหมาย
ให้เกิดการยอมรับและปรับตัวได้ล้ำลึก

อ.ปริญญา ตันสกุล
สถาบันสร้างเสริมจิตตปัญญา HMDC
Tel.081-9349789

คำโอด...คำอ้าง




คำโอด...คำอ้าง.....
............................
ตะโกนก้อง ร้องว่า "เรามาแล้ว"
จนเสียงแผ่ว กลับไม่รู้ เราอยู่นี่
จะเหหัน ชันคอ รอกี่ปี
จึงได้รู้ เรานี้ ที่เธอ "รอ"

ทั้งความรัก ความฉลาด มิขาดพร่อง
เชิญมารอง รับเอา กันเถิดหนอ
พร้อมเส้นทาง นิพพาน สานต้นตอ
เรายังรอ แบ่งปัน ทุกวันคืน

เพราะบาปหนา ตาบอด น่าอดสู
คนไม่รู้ หูตึง จึงขมขื่น
คนงมงาย ไร้สมอง คงกล้ำกลืน
ความขมขื่น เพราะรอ จนท้อใจ

เปิดทวาร ทั้งหก ที่รกร้าง
แล้วสะสาง จิตสวย ด้วยใจใส
รับโอวาท สัจธรรม น้อมนำไป
พินิจใช้ แผ้วถาง ทางนิพพาน

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-04-2015

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

อุปสรรค คือ เครื่องมือทดสอบความมุ่งมั่น




อุปสรรค คือ เครื่องมือทดสอบความมุ่งมั่น
ถ้าท่านปรารถนาจะเป็นคนดี
ท่านจักต้องมีมารมาทดสอบเสมอ
มาร คือ ผู้ที่จะเข้ามาสร้างเงื่อนไข
ให้เกิดเป็นอุปสรรคในชีวิตหรือในงาน
เป็นได้ทั้งคนคุ้นเคยและคนแปลกหน้า
เพื่อเข้ามาทดสอบความปรารถนา
ต่อการจะเป็น "คนดี" ของท่านโดยเฉพาะ
ดังนั้น....
ถ้าหากท่านปรารถนาจะเป็นคนดีที่แท้จริงแล้ว
ไม่ว่าผู้ใดจะเข้ามาทำผิดคิดมิชอบต่อท่าน
หนักหนาสากรรจ์แค่ไหน
ท่านก็จักต้องไม่ทำชั่วตอบสนองต่อพวกเขา
เพื่อยืนยันให้โลกและฟ้ารู้ว่า
ท่านมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดีตราบกาลนิรันดร์
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-04-2015

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558

หยิบปัญญามานิพพาน



เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายมานานแล้วว่า
ให้หยิบ "ปัญญา" มานิพพานในทุกสิ่ง

เพื่อรักษาคุณสมบัติดี
ในความมีจิตใสใจสวยเอาไว้
ตราบกระทั่งวินาทีสุดท้ายแห่งการสิ้นลมหายใจ

เพื่อละวางเครื่องยนต์แห่งกรรมของท่าน
สู่การเป็นอิสระทางจิตวิญญาณ
ในสภาวะแห่งการหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง
ตามวิถีจิตจักรวาล
บนเส้นทางสายอริยมรรคของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

แต่วิธีการหยิบปัญญาในตนเองมาใช้นั้น
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้วิธี
ทั้งยังต้องมีการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญอีกด้วย

สมองมีสองซีก
ให้ความฉลาดได้สองระดับ
ท่านจักต้องจับฉวยมาใช้ให้ถูกต้อง
สอดคล้องกับคุณสมบัติของมันด้วย

1.หากท่านปรารถนาที่จะเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ทำไม...อย่างไร....?

ท่านต้องฝึกควบคุมอารมณ์ไม่สมดุลของตนเอง
ท่านต้องฝึกการเป็นคนช่างสังเกต
ท่านต้องฝึกการเป็นคนมีเหตุผล
ท่านต้องฝึกการใช้เหตุผลเป็น
ท่านต้องฝึกตั้งคำถามตนเองให้เป็น
ท่านก็ต้องฝึกการมองโลกไปตามความเป็นจริง

นี่คือการฝึกใช้สมองซีกซ้ายนำซีกขวา
ที่เรียกว่า "สติปัญญา" นั่นเอง

2.หากท่านปรารถนาที่จะนำธรรมะ
จากพระบิดาที่ทรงสื่อผ่านมาทางเรา
หรือจะนำเอาธรรมะ
จากธรรมชาติแวดล้อมรายรอบตัวท่าน
มาใช้เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต

ท่านก็ต้องฝึกการใช้จินตนาการ
ท่านก็ต้องฝึกการใช้ความคิดสร้างสรรค์
ท่านก็ต้องฝึกนิสัยการมองโลกด้านบวก
ท่านก็ต้องฝึกการคิดเชื่อมโยง

นี่คือการฝึกใช้ "ปัญญาญาณ"
จากสมองซีกขวานำซีกซ้ายนั่นเอง

3.การนั่งหลับตาปฏิบัติเท็คนิกสมาธิเป็นอาชีพ
จะไม่สามารถเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดทางปัญญา
เพื่อการหลุดพ้นไปเสียจากทุกสิ่ง
ตามวิถีจิตจักรวาลที่ว่านี้ได้

ไม่ฟัง ไม่รู้
ไม่คิดตาม ไม่เข้าใจ
ไม่ปฏิบัติ ย่อมไม่ได้
ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีวันถึงมรรคผลนั้น

เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-04-2015

แก้ววิเศษ 2ดวง - เส้นทางของการหลุดพ้น



ถ้าท่านพร้อมที่จะเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เพราะไม่พร้อมที่จะออกบวช-ปลีกวิเวก
ท่านก็สามารถยกระดับจิตตปัญญา
เพื่อนำพาแก่นแท้ของท่านสู่การหลุดพ้นได้
ด้วยการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมตามปกติ
เพียงแต่ท่านจักต้องถือครอง 2 สิ่งนี้ไว้ให้มั่นคง
ในทุกขณะจิตในยามตื่น
จงอย่าได้ผิดพลาดบกพร่อง
จิตวิญญาณของท่าน
ก็สามารถเข้าถึงแดนสุญตาได้เช่นกัน
เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-04-2015

ประโยขน์ ของการครองศีล




ถ้าการครองศีล หมายถึง
การครองตนไว้อย่างมั่นคง
โดยมิให้เกิดการก้าวล่วงต่อผู้ใด
ทั้งด้วยกาย วาจา และจิตใจ
จนเป็นเงื่อนไขด้านลบของผู้อื่น
แล้วยังผลให้ผู้อื่นเสียสมดุลทางจิตใจ

ศีล จึงย่อมหมายถึงการทำให้สิ้นไป
ซึ่งเงื่อนไขที่กล่าวนั้น

สำหรับฆราวาสหรือชาวบ้าน
ศีลที่พึงถือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
จึงมีเพียงข้อเดียวเท่านั้น....
นั่นคือ "การไม่ก้าวล่วง" ใคร

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-04-2015

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

ตะเกียงส่องธรรม




พลังอำนาจในตนเองที่สำคัญ
คือ แสงสว่างที่จะส่องทางสู่ประตูแห่งการหลุดพ้น
ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว...แต่จะใช้มันได้
ใช้มันเป็นหรือเปล่าเท่านั้น

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-04-2015

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

ประวัติพระองค์ที่หายไป



เรียนท่านอาจารย์ครับ...
๑) ในประวัติของพระเยซู
เห็นว่ามีแต่เรื่องราวพระองค์ท่านตอนประสูติ
แล้วก็ข้ามไปจนถึงช่วงประกาศศาสนาเลย
มีคนกล่าวว่า
ประวัติพระองค์ที่หายไปนั้น
พระองค์ได้เดินทางสู่ดินแดนตะวันออก
เพื่อศึกษาหลักปรัชญาทางพุทธศาสนา...
ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ?
อย่างไร ?
ขอบพระคุณครับ..... !!!!
....................................
คำตอบของเรา:
ต่อคำถามข้อ 1 ของท่าน
....................................
1.องค์เยซูก็ทรงมีภูมิลำเนา
อยู่ในดินแดนซีกตะวันออกอยู่แล้ว
จะให้พระองค์เสด็จไปตะวันออกไหนอีกล่ะ
2.ประวัติหลังประสูติที่หายไป
เป็นเพราะพระองค์มิได้เล่าให้ใครฟัง
ดั่งเช่นทุกวันนี้ตัวเราใครๆก็รู้ว่า
ภูมิลำเนาอยู่ไหน เรียนอะไรมา
แต่คนตั้งค่อนโลกก็ยังไม่รู้ว่า
ตลอดระยะเวลา 7 ภพชาติของเรา
และตลอดระยะกว่าสามสิบปีที่ผ่านมาเนี่ย
เราได้ทำอะไรเพื่อมนุษย์โลกไปแล้วบ้าง
คงรอวันอนาคตกระมัง
ที่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายจะรับรู้กันได้บ้าง
ว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจอันใด
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล
3.ถ้าท่านคิดว่า.....
เพราะเราบวชเรียนมานาน
และต้องมีการเดินทางไปศึกษา
หลักปรัชญาพุทธศาสนา
ยังดินแดนแห่งพระพุทธองค์มาแล้วแน่ๆ
จนจดจำพระคัมภีร์ของศาสดาได้อย่างขึ้นใจ
จึงค่อยมากล่าวธรรมะต่อชาวโลกได้อย่างทุกวันนี้นั้น
มันก็คงไม่ต่างจากการที่ท่านเชื่อว่า
องค์เยซูคริสต์เจ้า......
สามารถกล่าวธรรมะเด็ดๆดีๆด้วยวลีศักดิ์สิทธิ์
จนเป็นศาสนาที่ผู้คนนับถือกันมาก
เป็นอันดับหนึ่งของโลกได้
เพราะได้ศึกษาหลักปรัชญาพุทธศาสน์
มาแล้วนั่นแหละ
เนื่องจากบางท่านเชื่อว่าถ้าไม่เคยศึกษามาก่อน
พระองค์จะทรงเป็นยอดมหาคุรุไม่ได้
คล้ายๆอย่างนั้น....
4.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
พระพุทธองค์ทรงพระปรีชายิ่ง
พระธรรมที่กล่าวสอน
ล้วนได้จากปัญญาญาณของพระองค์เอง
จากประสบการณ์ตรงของพระองค์ล้วนๆ
จนทั้งหมดทั้งสิ้น....
5.แต่สำหรับองค์เยซูคริสต์เจ้า
รวมทั้งการเป็นตัวเราเองจนทุกวันนี้นั้น
ทุกถ้วนถ้อยสัจธรรม
ทั้งโลกิยะ โลกุตระ และอนุตระ
หาใช่ได้มาจากประสบการณ์ทางปัญญา
และประสบการณ์ชีวิตส่วนตนเพียงด้านเดียว
ดั่งคุรุของท่านหรอกนะ
องค์เยซูทรงตรัสต่อศิษยานุศิษย์
ของพระองค์เสมอมิใช่หรือว่า
พระองค์ทรงกล่าวพระวจนะตามพระเจ้า
เราเองก็กล่าวเอาไว้ทุกครั้งว่า
เราสื่อพระโอวาทมาจากองค์จิตจักรวาล
เรามิได้กล่าวเองเออเองเลยสักนิด
ดังนั้น....สัจธรรมที่ทรงกล่าว
จึงเป็นดั่งพระโอวาทแห่งพระเจ้า
ซึ่งได้รับการสื่อถ่ายทอด
ผ่านคลื่นการคิดจากพระเจ้า
คือองค์จิตจักรวาลในยุคนี้นั่นเอง
เป็นการกล่าวพระโอวาท
ที่ได้จากการสื่อถ่ายทอดคลื่นการคิด
ในระบบจิตสู่จิตในแนวดิ่ง
ที่เรียกว่า "Vertical Telepathy"
เมื่อท่านทราบเยี่ยงนี้แล้ว
เราก็จะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
องค์เยซูนั้นมิได้มีความจำเป็นจะต้อง
เดินทางจากภูมิลำเนาไปไหนๆให้ยากเหนื่อย
เพราะพระองค์ประทับอยู่ตรงไหนเวลาใด
ก็ทรงสามารถสื่อพระโอวาทกับพระเจ้า
ได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว....
6.มนุษย์ทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
นัยความหมายของคำว่าพระศาสดา
สำหรับพวกท่านนั้น
หมายถึง ผู้ใดผู้หนึ่งในยุคนั้นๆ
ที่ชาวโลกส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็น
ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งตน
7.แต่สำหรับพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในทุกมิติ
ผู้เป็นพระเจ้าเหนือทั้งปวงนั้น
ความหมายของคำว่า "พระศาสดา"
มิได้ทรงหมายความเพียงเท่านั้นหรอกท่าน
พระศาสดาด้วยนัยแห่งองค์จิตจักรวาล
ทรงหมายถึงดวงจิตธรรมญาณ
ที่ขันอาสาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้
เพื่อทำหน้าที่ "กล่าวพระโอวาท"
ต่อพี่ๆน้องๆชาวโลก
ในพระนามแห่งพระเจ้า
เป็นตัวแทนแห่งพระเจ้า
เป็นบุตรเอกในพระองค์
เมื่อโลกถึงคราวคับขัน
อย่างกรณีถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่านี้
ที่พระบิดาทรงต้องพิพากษาโลก
เพื่อชำระโลกให้กลับคืนสู่สมดุลใหม่
และหาหนทางช่วยให้ลูกๆที่ตกค้างได้กลับบ้าน
กลับคืนสู่แดนสุญตาที่ทุกท่านจากมา
ในภพชาตินี้ให้มากที่สุดให้จงได้
พระองค์ก็ทรงใช้ให้เราย้อนกลับมา
ทำหน้าที่ในพระนามแห่งพระองค์อีกครั้ง
เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-04-2015

ความเชื่อของท่าน กับความจริงของเรา มันจะเหมือนกันได้อย่างไร



เรียนท่านอาจารย์ครับ...

๓) ผมเคยได้ยินชาวคริสต์มักจะกล่าวว่า
หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน
ถูกทรมานจนตาย แล้วจากนั้น
พระองค์ก็ฟื้นจากความตาย
จากนั้นก็ลอยขึ้นบนสวรรค์

ในความเป็นจริงแล้ว
เป็นอย่างนั้นหรือไม่ ?

ประวัติช่วงนี้
แฝงปริศนาธรรมอะไรไว้บ้าง?

แล้วยังมีเรื่องราวว่า พระเยซูจะกลับมา....
หมายความว่าอย่างไรครับ ?

ขอบพระคุณครับ..... !!!!
....................................
คำตอบของเรา:
ต่อคำถามข้อ 3 ของท่าน
....................................
1.เรื่องราวที่ท่านได้ยินมาว่า
พระเยซูถูกตรึงกางเขน
แล้วได้รับความทุกข์ทรมานจนตายนั้น
เป็นความรู้ที่ไม่ถูกต้องนัก

2.ความรู้ที่ถูกต้องก็คือ....
พระองค์ถูกตรึงกางเขน...จริง
พระองค์ทรงได้รับความทุกข์ทรมาน...จริง
พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน...จริง

3.แต่ความรู้ที่ถูกต้องที่ผู้คนไม่รู้ก็คือ....
พระองค์ทรงยินยอมที่จะ
ถูกจับตรึงบนไม้กางเขนเองต่างหาก
มิใช่จนมุมเพราะหนีไม่ทัน หรือหนีไม่พ้น
จึงถูกจับตัวเป็นนักโทษอย่างที่หลายคนคิด

พระองค์จะทรงกล่าวความเท็จ
โดยปฏิเสธทหารฝ่ายบาปว่าพระองค์มิใช่เยซูก็ได้
เพราะคนพวกนี้ไม่มีใครรู้จักพระองค์มาก่อนเลย
แต่พระองค์กลับแสดงตน
ต่อพวกทหารโดยรับว่า "เรา คือ เยซู"
ด้วยมีพระประสงค์ที่จะรักษาสัจจะความจริงไว้
แม้จักต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม...
นั่นต่างหากล่ะ....

4.ที่พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้น
แทนที่จะกล่าวเท็จด้วยความขลาดกลัว
เพื่อหมายเอาชีวิตรอดเฉกเช่นคนทั่วๆไป
ก็เพราะทรงมีพระประสงค์จะให้บทเรียน
ต่อมนุษย์แห่งโลกเสรีทั้งหลายว่า
"จักต้องรักษาสัจจะของตนเอาไว้ด้วยชีวิต"

เนื่องจากพระองค์ทรงถือภารกิจสำคัญ
ในการมาเกิดเป็น "เยซู" ประการหนึ่ง คือ
ทรงขันอาสาพระบิดาลงมาตาม
พวกลูกแกะที่หลงทางให้กลับคอกหรือกลับบ้าน

เพราะประดาลูกแกะที่เหลวไหลเหล่านี้
เป็นพวกที่ "ลืมสัจจะ" ในพันธะสัญญา 6
ที่พวกตนเคยให้ไว้ต่อองค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้า

โดยจำไม่ได้ว่าตนเป็นใคร มาจากไหน
มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
ใครอนุญาตให้ตนมาเกิดเป็นมนุษย์
และตนมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง

พระองค์จึงทรงแสดงให้มนุษย์ทั้งหลายได้รู้ว่า
สัจจะที่เคยให้ไว้ต่อพระบิดานั้น
เป็นสิ่งล้ำค่าที่ทุกท่านจักต้องรักษาไว้ด้วยชีวิต
และต้องปฏิบัติไปตามนั้น

ขนาดสัจจะของตนที่มีพระนามว่า "เยซู"
ก็ยังต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต
แล้วสัจจะในพันธะสัญญา 6
ที่เคยให้ไว้ต่อพระบิดาตั้งแต่ภพชาติแรก
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์
ซึ่งสำคัญอันยิ่งยวด
พวกท่านที่เป็นมนุษย์จะละเลยสัจจะ
ที่มีต่อพระองค์ได้อย่างไรกัน?

5.การแสดงพระองค์ว่า
ทรงทุกข์ทรมานอย่างมากบนไม้กางเขน
โดยไม่สำแดงพระอำนาจอัศจรรย์แห่งพระเจ้า
ที่พระองค์ทรงมีอยู่เป็นอยู่
เพื่อข้ามพ้นคนพาลเหล่านี้ไปเสีย
ก็เพื่อแสดงให้พี่ๆน้องๆทั้งหลายได้ประจักษ์ว่า

พระองค์ทรงเป็นมนุษย์เหมือนพวกท่าน
มีเจ็บปวดมีทุกข์ทรมานได้เหมือนท่านทั้งหลาย
มีเลือดมีเนื้อเช่นเดียวกับพวกท่านเช่นกัน

ดังนั้น....
การแลกสัจจะด้วยชีวิตของพระองค์
กับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
จึงน่าจะเป็นแบบอย่างที่พระองค์จะสามารถ
สร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกมนุษย์ทั้งโลก
ให้หันมารักษาสัจจะใน "พันธะสัญญา 6" ได้

6.ที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือเหตุผลสำคัญ
เพื่อจะบอกต่อท่านทั้งหลายว่า....

พระองค์ไม่ทรงกล่าวเท็จ ผิดสัจจะ
พระองค์ทรงยอมให้จับแต่โดยดี
พระองค์มิทรงกลัวความตาย ไม่ขี้ขลาด
พระองค์ทรงยอมทุกข์ทรมานบนกางเขน
พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์บนกางเขน

ทั้งหมดนั้นก็เพื่อแสดงความเป็น "มหาคุรุ"
ในบทบาทแห่งผู้รักสัจจะเท่าชีวิตทั้งสิ้น
โดยมิทรงใช้อภินิหารเอาตัวรอด
ด้วยอภิสิทธิ์เหนือกว่ามนุษย์คนอื่นๆ

7.ด้วยเหตุนี้เอง
ที่เรากล่าวต่อท่านผู้ถามคำถามนี้ว่า
เรื่องราวพระเยซูที่ท่านได้รู้มาบ้างนั้น
มันไม่ค่อยจะถูกต้องนัก
ก็เป็นดั่งเช่นที่เรากล่าวมานั่นเอง

8.กับคำถามที่ว่า....
ถูกทรมานจนตาย แล้วจากนั้น
พระองค์ก็ฟื้นจากความตาย
ลอยขึ้นบนสวรรค์

ในความเป็นจริงแล้ว
เป็นอย่างนั้นหรือไม่ ?

คำตอบของเราก็คือ
"จริงแท้แน่นอน"

หากการตายหมายถึง
การทิ้งกายสังขารของจิตวิญญาณ
หรือของแก่นแท้ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

ที่ท่านทั้งหลายเรียกว่า
"จิตวิญญาณ" ออกจากร่าง
แล้วสามารถดีดตนเองหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ
เพื่อคืนกลับสู่สวรรค์อันเป็นบ้านเกิด
ที่ตนจากมาเสียนานได้อย่างสง่างาม
ท่านจะไม่เรียกว่าเป็นการฟื้นคืนสู่ชีวิตใหม่
อันเป็นชีวิตหลังความตายดอกหรือ....

มันต่างจากตายแล้วจิตวิญญาณยังมีบาป
ต้องลงไปชำระบาปนั้นในนรก
ไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้
หลุดพ้นก็ไม่ได้...ตายสนิทมั้ยล่ะท่าน!

9.กับคำถามสุดท้ายในข้อ 3 ของท่านที่ว่า

"แล้วยังมีเรื่องราวว่า
พระเยซูจะกลับมา....
หมายความว่าอย่างไร?"

เราก็ขอยืนยันว่า....ณ เวลานี้
พระองค์เสด็จกลับมาแล้ว
เสด็จกลับมานานแล้วด้วย

เพื่อจะมานำพาจิตวิญญาณพวกท่านกลับบ้าน
เพื่อมาประกาศกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าของโลกเสรีนี้
เพื่อมาแจ้งข่าวสารการชำระโลก
เพื่อมาคัดปลาออกจากน้ำ
เพื่อมาตามลูกแกะที่หลงฝูง
เพื่อมากล่าวพระโอวาทพระบิดาต่อมนุษย์โลกเสรีนี้
เพื่อมาพาเจ้าสาวเข้าสู่ประตูห้องหอ คือ ด่านนภาลัย

เพื่อมาเติมน้ำมันให้ตะเกียงของพวกท่าน
และช่วยท่านจุดตะเกียงของท่านด้วย
อันหมายถึงพระองค์จะทรงช่วยให้ท่าน
เข้าถึงสภาวะจิตใสใจสวยรวยรักและปัญญา
เพื่อส่องทางกลับบ้านให้ทัน
ก่อน 56 วัน 8 ราตรีนี่ไงล่ะท่าน....

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-04-2015

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

บวชนานแล้วใยนิพพานไม่ได้



คำว่า "บวชมานาน" มิได้หมายถึงพระหรือนักบวช ผู้เลือกเส้นทางหลุดพ้นด้วยบทบาทของ "นักรบเพื่อแสงสว่าง" เท่านั้น แต่เราหมายถึงฆราวาสผู้ครองเรือนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่บนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้ ที่เลือกเส้นทางหลุดพ้นด้วยบทบาทของ "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง" ด้วยเช่นกัน

คำว่า "บวช" โดยทั่วไปแล้วหมายถึง การเป็นผู้ยึดพระธรรมคำสอนของพระศาสดาที่ตนรับถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เป็นผู้ที่ละเว้นในการกระทำความผิดบาปทั้งปวง และเป็นผู้ที่เพียรกระทำแต่กรรมดีอยู่เป็นนิจ

ตามหลักแล้ว ผู้ใดที่ครองศีลครองธรรมอยู่เป็นประจำ ผลลัพธ์ของการกระทำนั้นก็น่าจะนำพาดวงจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของผู้ปฏิบัติ ข้ามผ่านด่านนภาลัยหรือประตูนิพพาน ออกไปสู่ภายนอกเอกภพ ซึ่งเป็นดินแดนแห่งบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณที่แต่ละรูปธรรมได้จากกันมาเสียนานกันได้แล้ว แต่มนุษย์ทั้งหลายกลับทำไม่สำเร็จ แม้ขณะนี้ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนจากยุคพลังงานเก่าเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่กันแล้วก็ตาม

สาเหตุที่จิตวิญญาณมนุษย์ส่วนใหญ่ ยังตกค้างอ้างแรมกันอยู่มากมาย เพราะกลับบ้าน คือ นิพพานทางจิตวิญญาณยังไม่สำเร็จนั้น มีหลายสาเหตุดังนี้

1.เน้นการถือศีลปฏิบัติธรรม แค่เพียงรูปแบบในมิติโลกทางกายภาพเท่านั้น

2.ขาดการรู้แจ้งในนัยแห่งนิพพาน จึงยังไม่สามารถปฏิบัติตนให้ถูกต้องถ่องแท้ได้ ยังผลให้ไม่อาจเข้าถึงนิพพานทางจิตวิญญาณได้ในทุกภพชาติที่ผ่านมา

3.เน้นการดำเนินชีวิตเพื่อตอบสนองความต้องการในทางกายภาพ มากกว่าการมุ่งจะตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณด้านแก่นแท้ของตนเอง เช่น ยึดที่รูปแบบการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ตนศึกษามา จำมาจากครูบาอาจารย์ หรือจำมาจากตำรากันเสียมากกว่าการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้นด้วยปัญญาของตนเอง

สาเหตุหลักทั้งสามประการ คือ การพิจารณาจากภาพรวมของผู้คนส่วนใหญ่ตั้งแต่อดีตกาลผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในด้านของความผิดพลาดบกพร่องที่สามารถมองเห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้

การหลุดพ้นหรือนิพพานของจิตวิญญาณนั้น หากเป็นการให้ความหมายในด้านอภิปรัชญาแล้ว หมายถึง การที่มนุษย์โลกแต่ละคนสามารถสิ้นสุดยุติการมีภพชาติของตนเองเอาไว้ได้ ด้วยการไม่มีเหตุให้ต้องย้อนกลับสู่การเกิดใหม่อีกตลอดกาลนิรันดร เพราะรูปธรรมทางพลังงานที่เรียกว่าจิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์นั้น สามารถดีดตนเองหนีแรงดึงดูดถ่วงรั้งของเอกภพออกไปสู่สนามพลังงานภายนอกได้อย่างสิ้นเชิง

การที่จะดีดตนเองออกไปนอกระบบเอกภพได้นั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญ 5 ประการ จะขาดพร่องตรงข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ไม่ได้ คือ

1.ความต้องการที่จะหลุดพ้น:

มันเป็นเรื่องปกติที่เธอจะไม่สามารถกระทำสิ่งใดๆให้ประสบผลสำเร็จได้ ถ้าไร้ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้ คือ
1.1 วัตถุประสงค์ของการกระทำนั้น
1.2 เป้าหมายของการกระทำนั้น
1.3 ทิศทางของการกระทำนั้น
1.4 วิธีการที่จะเลือกนำมาใช้กระทำสิ่งนั้น
1.5 แรงบันดาลใจในการกระทำสิ่งนั้นให้บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

2.น้ำหนักมวลหรือน้ำหนักตัว:

ถ้าจะหลุดพ้นได้จริงๆนั้น น้ำหนักตัวของตนก็จักต้องน้อยที่สุด หรือว่าเบาที่สุด ในระดับที่จะไม่เป็นภาระให้กับการดีดตนเองหนีแรงดึงดูดของเอกภพทั้งระบบออกไปได้เท่านั้น

นี่จึงย่อมหมายความว่า น้ำหนักตัวหรือน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณเธอจักต้องไม่หนักมากเกินกว่าน้ำหนักตัวตอนที่ข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติแรกโดยเด็ดขาด เพราะน้ำหนักมวลในตอนข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์โลกภายในเอกภพอันไพศาลนี้นั้น จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์แต่ละคน ล้วนถูกกำหนดให้มันเป็นอิสระจากอำนาจแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของเอกภพกันอยู่แล้ว หมายความว่า จิตวิญญาณทุกรูปธรรมสามารถเดินทางเข้าออกผ่านประตูมิติของเอกภพได้อย่างไร้อุปสรรคนั่นเอง

ดังนั้น ถ้าใครปรารถนาจะนิพพาน คือ กลับบ้านในสภาวะของการหลุดพ้นออกไปได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว จิตวิญญาณแก่นแท้ของคนๆนั้นจักต้องหาหนทางรีดน้ำหนักส่วนเกินทิ้งไปให้หมด จะปล่อยให้อ้วนจนสร้างน้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่ได้เด็ดขาด

สำหรับจิตวิญญาณของพวกเธอนั้น สิ่งที่ทำให้น้ำหนักมวลของเธอมันเพิ่มขึ้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า "รหัสบุรพกรรมแม่เหล็ก" อันหมายถึง อนุภาคประจุไฟฟ้าทั้งบวกและลบซึ่งเป็นผลกรรมทั้งด้านบวกและลบที่จิตเธอผลิตสร้างมันขึ้นมา ในขณะเป็นคนสองมิติที่เรียกว่า "มนุษย์" นั่นแหละ

ปกติแล้วน้ำหนักมวลของรูปธรรมทางพลังงานของพวกเธอแต่ละคน เมื่อแรกเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์นั้น มีน้ำหนัก 50 มิลลิกรัมเท่ากันหมด ซึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้จะเป็นน้ำหนักมวลของเมอร์คขะบาห์ซึ่งเป็นพาหนะของจิตวิญญาณ 20 มิลลิกรัม เป็นน้ำหนักมวลของพลียะเดี้ยนส์ 30 มิลลิกรัม และน้ำหนักมวลของจิตวิญญาณของเธอเองที่เป็นนิวเคลียสหรือแกนกลางของรูปธรรม 0 มิลลิกรัม คือ มีมวลน้อยมากจนวัดน้ำหนักมวลไม่ได้

ส่วนบุรพกรรมแม่เหล็ก ที่จิตมนุษย์ผลิตสร้างขึ้นร่วมกับเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ (กายสังขาร) เมื่อสั่นสะเทือนร่วมกันเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดทั้งด้านบวกด้านลบขึ้นมานั้น มันจะอยู่ในรูปของอนุภาคไฟฟ้าที่มีทั้งบวกอันหมายถึงผลกรรมด้านบวก และอนุภาคไฟฟ้าที่เป็นด้านลบอันหมายถึงผลกรรมด้านลบ ซึ่งมันจะถูกผลิตสร้างขึ้นอยู่ตลอดวัน โดยน้ำหนักมวลของอนุภาคแห่งกรรมเหล่านี้ จะมีน้ำหนักเท่ากันตลอดทั้งบวกและลบ คือ 10.5 มิลลิกรัม

ดังนั้น ถ้าตลอดชีวิตเธอเอาแต่ก่อกรรมทั้งดีและเลวจนยังผลให้เกิดบุรพกรรมแม่เหล็กพวกนี้มากๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบทำบุญเบื้องล่างหวังสร้างไว้เบื้องบนสวรรค์มายา หรือทำบุญกุศลในชาตินี้หวังจะได้รับสิ่งดีๆตอบแทนในภพชาติหน้า ซึ่งมันจะก่อให้เกิดผลกรรมด้านบวกที่เป็นรหัสบวก ไปจนถึงการก่อเวรเกี่ยวกรรมกระทำผิดบาปต่อผู้อื่นด้วยจิตสำนึกอันชั่วร้ายและต่ำทรามซึ่งมันจะก่อให้เกิดผลกรรมด้านลบที่เป็นรหัสลบดังกล่าวมาแล้วนั้น น้ำหนักมวลรวมของจิตวิญญาณของเธอเป็นต้องเพิ่มขึ้นเสมือนว่าอ้วนขึ้นอย่างแน่นอน

นี่แหละ...ที่จะเป็นคำอธิบายเชิงอภิปรัชญาด้วยภาษาชาวบ้านง่ายๆให้เธอได้เรียนรู้ว่า การก่อเวรก่อกรรมทำเข็ญแล้วนิพพานไม่ได้ สาเหตุหนึ่งก็คือกรณีที่กล่าวนี้แหละนะ

3.พลังอำนาจสูงสุดอันเป็นขีดสามารถทางจิตวิญญาณของตนเอง:

พลังอำนาจที่จะใช้ในการขับเคลื่อนจิตวิญญาณสู่ การหลุดพ้นออกไปนอกระบบเอกภพนี้ มันจะต้องเป็นพลังอำนาจอันเกิดจากภายในรูปธรรมทางจิตวิญญาณของเธอเองเท่านั้น ซึ่งพลังอำนาจดังกล่าวนี้มันจะต้องได้จากแรงสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวกของจิตวิญญาณเธอทั้งระบบ ที่สัมพันธ์กันกับแรงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองของเมอร์คขะบาห์ซึ่งเป็นพลังงานเปลือกนอกของจิตวิญญาณของพวกเธอแต่ละคนด้วย

มนุษย์ปกติที่จิตหยาบยังหยาบอยู่ เมอร์คขะบาห์จะสามารถสั่นสะเทือนตนเองสูงสุดได้แค่ 600 เม็กกะเฮิร์ตซ์ แปลว่ามีพลังอำนาจในการขับเคลื่อนจิตวิญญาณหนีแรงดึงดูดของเอกภพค่อนข้างน้อย เมื่อตายแล้วก็จึงหลุดพ้นไม่ได้

มนุษย์ในรายที่ปฏิบัติธรรมจนจิตเริ่มใส ใจเริ่มสวยแล้ว เมอร์คขะบาห์จะสามารถสั่นสะเทือนตนเองสูงสุดในระหว่าง 1,200 ถึง 2,400 เม็กกะเฮิร์ตซ์ ซึ่งพลังอำนาจในระดับนี้แหละคือจิตวิญญาณที่มีอนาคต เพราะสามารถนำพาตนเองหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ คือนิพพานได้แน่ๆ

สำหรับมนุษย์ที่เลือกบทบาทของ "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง" ที่ยังเป็นผู้ครองรัก ครองเรือน ครองสมบัติพัสถาน และครองงาน ไปจนถึงการครองโลกกันอยู่นี้ ตลอดระยะเวลานับหมื่นปีที่พากันเวียนว่ายตายเกิดตลอดมานั้น จิตวิญญาณแต่ละคนเปรียบได้ดั่งนักเดินทางที่มีชีวิตของตนเปรียบได้ดั่งเรือลำน้อยๆ ที่จะนำพาตนเองแล่นลอยไปให้ถึงฝั่งฝันนั่นคือ "ด่านนภาลัย" หรือประตูแห่งนิพพานให้จงได้

แน่นอนว่าสิ่งที่เธอทุกคนไม่เคยตรวจสอบ ก่อนจะแล่นลอยนาวาชีวิตของเธอตรงไปยังฝั่งฝันนั้น ซึ่งมันมีผลต่อการ "สอบตก" มาแล้วในทุกภพชาติ นั่นคือ

1.น้ำหนักมวลทางจิตวิญญาณของเธออยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน คือ 50 มิลลิกรัมเสมอหรือไม่ ถ้ามีส่วนเกินหรือเริ่มอ้วน เธอจักต้องรีบเร่งที่จะไม่ก่อกรรมใหม่และแก้ไขกรรมเก่าที่ทำให้อ้วนพีแล้วให้เป็นโมฆะให้หมดสิ้น

อนุภาคประจุไฟฟ้าที่เป็นบุรพกรรมแม่เหล็กที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ มันจะถูกนิวเคลียสเหวี่ยงออกมาออกันอยู่บริเวณชั้นเปลือกนอกของจิตวิญญาณ อันเป็นส่วนที่เราเรียกว่าเมอร์คขะบาห์นี่แหละ ถ้ามันมาออกันอยู่มากๆมันจะทำให้
เมอร์คขะบาห์มีพื้นที่ที่จะสั่นสะเทือนอนุภาคพลังงานของตนน้อย จะยังผลให้พลังอำนาจในการขับเคลื่อนจิตวิญญาณลดต่ำลง การดีดตนเองออกไปจากเอกภพเพื่อการหลุดพ้นก็จะยิ่งยากขึ้น

2.เธอหมั่นยกระดับแรงสั่นสะเทือนทางจิตให้สูงขึ้นทางด้านบวกเอาไว้ จนกลายเป็นคุณสมบัติของจิตหยาบไปได้หรือไม่ แค่ไหน อย่างไรแล้ว ซึ่งเธอจะต้องกระทำผ่านความรัก คือ อดทน อดกลั้น ให้อภัย มีใจเมตตา โอบอ้อมอารี เป็นต้น

พลังอำนาจที่ได้นี้ มันจะมีผลต่อค่าของการสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวกของจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกเธอแต่ละคนโดยตรงเลยทีเดียว เธอจึงเหลวใหลไม่ใส่ใจปฏิบัติให้มันกลมกลืนไปกับการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมในแต่ละวันมิได้

3.เธอจักต้องตรวจประเมินว่า เธอมีระดับความฉลาดทางปัญญาสูงถึงระดับการใช้ปัญญาญาณหรือโลกุตรญาณอันเกิดจากสมองซีกขวานำซีกซ้ายได้ดีแค่ไหน อย่างไรแล้ว ในชีวิตประจำวันเธอเป็นคนที่เกลียดกลัวปัญหาอยู่หรือเปล่า เธอเป็นนักคิดได้ดีแค่ไหน เธอฉลาดแก้ปัญหา กล้าตัดสินใจ และทำทุกสิ่งในชีวิตได้อย่างถูกต้องแม่นยำได้ดีเพียงใดแล้ว เป็นต้น

ทั้ง 3 ประการ คือ ประเด็นที่พวกเธอจักต้องถามตนเอง เพื่อการประเมินและปรับตัว ในอันที่จะนำไปสู่การสร้างพลังอำนาจแท้จริงที่จะนำแก่นแท้ของตนหลุดพ้นออกไปจากระบบเอกภพในภพชาติเดียวให้จงได้ ที่พวกเธอบวชนานแล้วยังนิพพานไม่ได้ ยังทำไม่สำเร็จเพราะเธอเข้าใจว่าจะนิพพานได้ต้องใช้รูปแบบ เธอจึงพยายามคัดหาต้นแบบที่เธอถูกจริตแล้วฟิตปฏิบัติตามกันเสียเป็นส่วนใหญ่

แต่ทว่าในจำนวนสาเหตุสำคัญหลายประการที่ทำให้นิพพานกันไม่ได้นั้น มีอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งจะขอนำมากล่าวพอสังเขปไว้ในที่นี้ก็คือ พวกเธอมากมายยังเข้าถึงสภาวะ "การดับการเกิดดับของ 7 สิ่ง" อย่างสิ้นเชิงไม่ได้

การดับการเกิดดับอย่างสิ้นเชิง
หมายถึง เมื่อสามารถดับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว สิ่งที่ดับได้สำเร็จนั้น จักต้องไม่เกิดขึ้นมาใหม่เพื่อให้ต้องดับสิ่งนั้นอีกตลอดไป
เพราะพวกเธอดับการเกิดดับของทั้ง 7 สิ่งนี้ไม่ได้ นาวาชีวิตของเธอจึงแล่นไปไม่ถึงฝั่งฝันกันมาตลอด....นั่นคือ

1.ดับการเกิดดับของการมีอัตตา คือ ตัวฉัน ตัวเธอ ตัวมัน
2.ดับการเกิดดับของการยึดถืออัตตา คือ ถือว่าเป็นของฉัน ของเธอ ของมัน
3.ดับการเกิดดับของความโลภ คือการอยากได้ใคร่มีในสิ่งที่ไม่ควรไม่เหมาะ
4.ดับการเกิดดับของความมีโทสะจริต คือ ความต้องการเอาชนะ ความต้องการมีอำนาจเหนือนำ ความต้องการทำร้ายทำลาย
5.ดับการเกิดดับของความงมงาย คือ การหลงเชื่อและปฏิเสธในสิ่งที่ตนอธิบายไม่ได้และไม่เข้าใจ โดยไม่ใช้สติปัญญาก่อน
6.ดับการเกิดดับของความสุข คือ การอยากมีความสุข การกลัวความสุขที่มีอยู่จะเสื่อมสลาย
7.ดับการเกิดดับของความทุกข์ คือ การไม่อยากมีทุกข์ การกลัวความทุกข์

ถ้านักเรียนพิจารณา การดับการเกิดดับทั้ง 7 ประการที่กล่าวมาแล้วจะพบว่า เธอจะสามารถประสบผลสำเร็จได้ในชาตินี้โดยไม่ต้องเสียเวลาเป็นนับหมื่นๆปีเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว ด้วยการปฏิบัติ 3 สิ่งให้เป็นธรรมชาติของเธอให้ได้ คือ

1.ต้องครองมหาสติตลอดทั้งวันให้ได้ คือ รู้สติ มีสติ และใช้สติตลอดเวลา
2.ต้องแสดงปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจน คือ รักได้ ให้เป็น และไม่ก้าวล่วงผู้อื่น
3.ต้องใช้จิตสัญชาตญาณและจิตสำนึกในการดำเนินชีวิตเท่านั้น คือ การสำนึกรู้ในความถูกต้อง เหมาะสม ดีงาม และการสำนึกรู้ในบาป บุญ คุณ โทษ ควรไม่ควร โดยจะต้องคิดตรึกตรองอย่างถ่องแท้ ตาม "ปริญญาโมเดล" ให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจลงมือทำสิ่งใดๆก็ตาม

อย่ามัวแต่รั้งรออะไรอยู่อีกเลย....ลงมือทำเสียทีเถอะ....
รีบลงนาวาของเธอด้วยเวลาที่เหลืออยู่ นำพานาวาแล่นล่องไปหาฝั่งฝัน
ค่อยๆละทิ้งสัมภาระบ้าๆบอๆผ่านการดับการเกิดดับทั้ง 7 ที่ว่ามาไปทีละสิ่งสองสิ่งเพื่อทำให้นาวาของเธอมันเบาลงจะได้ล่องแล่นไปได้เร็วขึ้น

ครานี้รับรองว่า....ถึงด่านนภาลัยภายในก่อนสิ้นยุคนี้แน่ๆ
รีบก้าวตามเรามาเถิดพี่น้องทั้งหลาย....

"แล่นเรือตาม เรามา อย่าช้าชัก
สิ่งของหนัก ผลักทิ้ง อย่านิ่งเฉย
ทั้งบุญบาป ลาภผล อย่าสนเลย
จงคุ้นเคย ทำดี เพราะดีจริง

การทำดี ได้ดี นั้นดีแน่
อย่าเล็งแล แต่ผลดี ที่ทุกสิ่ง
การทำดี ได้ดี นั้นมีจริง
ไม่ต้องอิง ผลดี ก็ได้ดี"

ป.วิสุทธิปัญญา
3-04-2014