วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระโอวาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ


 
 
 
 
พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
ทุกพระคำในพระโอวาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาสู่ท่านทั้งหลายนั้น
พระองค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้

ใครที่มีพื้นฐานอยู่บ้างแล้
ก็จะทรงเติมเต็มให้ผู้นั้นอย่างเหลือเฟือ

แต่สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานเลยนั้น
แม้เขาจะมองก็ไม่เห็น
แม้เขาจะรับฟังแต่ก็จะเหมือนไม่ได้ยิน

เพราะว่า....
พวกเขาแม้จะได้ยินกับหูได้เห็นด้วยตา
แต่ทว่าพวกเขาก็จะไม่เข้าใจ

ขณะบางคนที่พอมีความรู้กระปริบกระกระปรอย
ซึ่งมีความเชื่อมากกว่าความรู้จริงรู้แจ้ง
คนพวกนี้แม้พระองค์จะทรงยังมีเมตตาอยู่
พระองค์ยังคงให้โอกาสอยู่
แต่พวกเขาก็จะไม่รับฟัง

พวกเขาจะนอนหลับไม่รู้คุดคู้ไม่เห็น
บ้างก็จะพากันต่อต้าน-ก้าวล่วงเราแทน

เรารู้ความจริงเหล่านี้ดี
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณทรงกล่าวต่อเราเช่นนี้
เราจึงนำมากล่าวต่อท่านทั้งหลายไว้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28-12-2016

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ถ้าท่านเป็นคนดี ถ้าท่านเป็นคนมีธรรมะ






ถ้าท่านเป็นคนดี
ก็จงควบคุมปากของท่านไว้
เพราะคนดีจะกล่าวคำชั่วไม่ได้
ถ้าท่านเป็นคนมีธรรมะ
ก็จงทำลิ้นของท่านให้เชื่อง
อย่าปล่อยให้มันอยู่ไม่สุข
โดยเที่ยวพ่นพิษร้ายใส่คนรอบข้าง
ถ้าท่านเป็นคนฉลาด
ก็จงเปิดหูเปิดตาของท่านไว้
เพื่อรับฟังความจริงในมุมของคนอื่นบ้าง
จงอย่าเที่ยวพิพากษาคนอื่น
โดยใช้อารมณ์รู้สึกนึกคิดของตนเอง
ว่าคนนั้นผิดใครๆก็ผิดทั้งนั้น
ยกเว้นตัวฉันจักค้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ
ถ้าท่านเป็นคนดี
ก็จง "เก็บปาก" "เก็บคำ"ของท่านไว้
อย่าไปต่อปากต่อคำกับคนพาลพาโลโฉเก
เพราะท่านจักสูญเสียเวลาไปเปล่าๆ
เนื่องเพราะคนประเภทนี้
ล้วนลุ่มหลงในเงามายาของตนเอง
ถือตัวว่าสวย ว่ารวย ว่ามีอำนาจเหนือกว่า
อัน "อายตนะ" เหล่านี้
จึงนำพาหายนะมาสู่ตนเสมอ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-12-2016

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เราคือผู้นำพาความรัก







องค์จิตจักรวาล
ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญา

พระองค์นี่เองที่ทรงให้กำเนิด
จิตวิญญาณของเราทั้งหลาย
และพวกเราจึงล้วนเป็นบุตรของพระองค์

ท่านทั้งหลายจึงเป็นสิ่งล้ำค่าของพระองค์
พวกท่านเป็นดั่งลูกแกะในทุ่งหญ้า
อันอุดมสมบูรณ์ของพระองค์โดยแท้

เจ้าของแกะยังจำแกะทุกตัวของตนได้
แล้วจะให้พระองค์ทรงลืมพวกท่าน
ทอดทิ้งพวกท่านเอาไว้บนโลกนี้ได้อย่างไร

ท่านทั้งหลายจงตรองดูเถิดว่
มารดาที่ยังป้อนนมให้ลูกของตนดูดดื่มอยู่นั้น
จะไม่มีวันลืมลูกของตนเองได้ฉันใด
ตราบใดที่พวกท่านยังต้องดื่มกินธัญญาหาร
ที่พระองค์ทรงตระเตรียมเอาไว้ให้
บนดาวโลกเสรีนี้อย่างเหลือเฟือแล้ว
พระองค์ก็จะไม่มีวันลืม
ลูกๆอย่างพวกท่านเช่นกัน

นี่เป็นความจริง
ที่เรานำมากล่าวต่อท่านเพื่อจะย้ำว่า

เราคือผู้นำพาความรัก
จากองค์พระบิดาของพวกเรา
มามอบให้แก่ท่านทั้งหลาย
พร้อมแจ้งข่าวสารการชำระโลก
และชี้ทางกลับบ้านก่อนวันสิ้นยุค

เรายังยินดีต้อนรับ
ท่านที่ยังมีความเชื่อและศรัทธาในเราน้อยอยู่
เพราะเรามิมีความประสงค์ที่จะ
ขัดแย้งโต้เถียงกับใครๆ
ในเรื่องความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละคน
เพราะความรู้และข่าวสารใดๆที่เรากล่าว
ล้วนเป็นความจริงจากพระองค์
มิใช่ความคิดเห็นส่วนตัว
เราจึงไม่จำเป็นต้องขัดแย้งโต้เถียงกับใคร

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-12-2016

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อย่าลังเลสงสัยในภัยพิบัติที่เกิดขึ้นตรงหน้า





พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ท่านจงครองมหาสติไว้
อย่าปล่อยกายและใจของท่าน
ให้มันหมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับสิ่งเริงรมย์
จงอย่าปล่อยกายและใจของท่าน
ให้ติดหล่มแห่งโลกิยะ
ให้ดื่มด่ำอยู่กับราคะจริต
ให้ตีสนิทกับความชั่ว
ให้เกลือกกลั้วอยู่กับความงมงาย
จงอย่าปล่อยให้กาลเวลาผันผ่านไป
กับความทุกข์และสุขทั้งหลายในชีวิตประจำวัน
เพราะว่า #วันนั้น มันจะมาถึงตัวท่าน
โดยไม่มีใครบอกข่าวกล่าวขานล่วงหน้า
มันจะมาถึงอย่างฉับพลันทันใด
มีแต่เราเท่านั้นที่จะคอยเผยรหัสสัญญาณ
ให้ท่านได้ฉุกคิดกันล่วงหน้า
อย่างน้อยก็ 7 ราตรีแห่งพระบิดา
ที่จะทรงสื่อผ่านเรามาสู่ท่านทั้งหลาย
จงลับคมปัญญาของท่านไว้เถิด
เพราะ #วันนั้น จะมาถึงหลังจากวันนี้
จะเป็นวันที่ฟ้าสะท้าน
แผ่นดินจะสะเทือน
ทะเลจะคลุ้มคลั่ง
ขณะที่ทุกสิ่งอย่าง
จะครึกโครมในท่ามกลางความมืดมิด
ขอท่านทั้งหลายจงตื่นตัวเตือนตนไว้
โดยทำสามเหลี่ยมกับพระบิดา
ครองมหาสติให้มั่นคง
อย่าลังเลสงสัยในภัยพิบัติที่เกิดขึ้นตรงหน้า
แต่จงคว้ากฤตสติขึ้นมาถือไว้
ท่านทั้งหลายจักมีกำลังผ่านพ้น
เหตุการณ์เลวร้ายทั้งปวงได้
ด้วยความรักในพระบิดามีศรัทธามั่นในเรา
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ปลาที่จะถูกคัดทิ้งตามคำพิพากษา
รวมทั้งลูกแกะนอกคอกตัวที่ไม่เอาไหน
จะมีเครื่องหมายกากะบาท
สำแดงไว้ตรงหน้าผากทุกตัว
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-12-2016

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จงเอาชนะคนชั่วด้วบความดี





พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ศัตรูจะหวนกลับมาคืนดีกับท่าน
ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติตนดังต่อไปนี้

ให้ในสิ่งที่เขาอยากได้ใคร่มี
ให้ในสิ่งที่เขาเพิ่งจะรู้ว่าเขาไม่มี
ให้ในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าท่านจะมี
ให้ในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าท่านจะให้

เพราะการปฏิบัติเช่นนี้
มันจะช่วยทำให้เขา
มีจิตสำนึกที่ดีงามต่อตัวท่านได้

จิตสำนึกเป็นของเขา
แต่ความดีงามนั้นเป็นของท่า

จงเอาชนะใจศัตรูของท่าน
ด้วยการแบ่งปันความดีงามให้เขาไป
แทนที่จะเอาชนะศัตรูด้วยความชั่วร้าย
เพราะท่านไม่มีวันที่จะทำสำเร็จหรอก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16-12-2016

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จิตจักรวาลอ่านโลก Volcanics #Domino ของ Parinya Model




^#จิตจักรวาลอ่านโลก^
************************
นี่เป็น #iรหัสเตือนภัย ล่าสุด
ในแผนปฏิบัติการชำระโลก ครั้งที่ 4
เพื่อการเปลี่ยนยุคแห่งจิตวิญญาณมนุษย์
เพื่อการปรับเปลี่ยนองค์กรโลก
เพื่อการยกระดับจิตสำนึกมนุษย์
ส่งสัญญาณขึ้นมาที่ฝั่งฟ้าประเทศชิลี
ยามเย็นวันที่ 14 ธันวาคม 2559
เพื่อเตือนให้ชาวโลกระวังกรณีแผ่นดินไหว
ตามแผนปฏิบัติการ #Volcanics #Domino
ของ Parinya Model
โดยจุดศูนย์กลางการสั่นไหวจะเริ่มตรงแถบนี้
แล้วจะมีการยกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งความถี่ในการเกิด
ความรุนแรงที่สั่นไหว
รวมทั้งพิกัดพื้นที่ที่จะสั่นไหว
จะเริ่มขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
โดยใกล้ๆศูนย์กลางนี้จะไหวถี่ขึ้น
ความปลอดภัยของมนุษย์จะค่อยๆลดลง
ดั่งแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆมืดมัวสลัวลง
ก่อนจะเข้าสู่ความมืดมิด
ในยามสิ้นแสงตะวันเมื่อสิ้นวัน
เฉกเช่นเพลาแห่งการสิ้นยุคนั่นแหละ
ดั่งภัยพิบัติที่นับวันจะร้อนแรงยิ่งขึ้น
ดุจดั่งสีแดงที่ทาทาบอาบไว้บนแผ่นฟ้า
ซึ่งเป็นเงาสะท้อนขึ้นมาจากแผ่นดิน
พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระสุริยะแม้จะรักพวกท่านและรักโลก
ดั่งแสงสีชมพูที่ทรงเปล่งประกายไว้เป็นสัญญาณ
แต่ชมภาพนี้แล้วท่านทั้งหลายจะรู้ว่า
บรรยากาศนั้นมันเปี่ยมไปด้วยความเศร้าหมอง
นี่ไง...ที่เราอ่านโลกให้ท่านฟัง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-12-2016

คุณสมบัติจิตใส 5 ประการ


 
 
 
 
พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำว่า #จิตใส หมายถึง
คนที่มีคุณสมบัติทางจิต 5 ประการดังนี้ คือ

1.เป็นคนมองโลกในแง่ดี
เพราะมีนิสัย "นึกบวก" นึกดี นึกชอบ
หรือเป็นผู้ #ดำริชอบ เสมอ

2.เป็นผู้ที่มีจิตสงบเพราะมีนิสัยรักสงบ
ไม่นึกลบ คิดลบ ต่อใครๆ
ไม่คิดเอาเปรียบเบียดเบียนใคร
ไม่คิดล่วงเกินก้าวร้าวใคร

3.เป็นผู้มีจิตเบิกบานผ่องใ
จิตใจไม่ขุ่นมัว
รู้จักรัก รู้จักให้
มีความร่าเริง อารมณ์ดี
มีความเป็นมิตรกับทุกๆคน
ไม่มีความโกรธแค้น อาฆาต
ไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ตนเอง

4.เป็นคนไม่หมกมุ่นวุ่นวาย
อยู่ในกองกิเลสตัณหา
เพราะละวางการยึดติดอัตตาทั้งปวงได้
จิตจึงมีความสงบสมดุลเสมอ

5.เป็นผู้ไม่ลุมหลงงมงาย
ในรูป รส กลิ่น เสียงทั้งหลาย
จึงสามารถเข้าถึงจิตปัญญาของตนได้

เรากล่าวความจริง 5 ประการ
ให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้ไว้ดั่งนี้แล้ว
จงเร่งชำระจิตของท่าน
ให้บังเกิดความสงบ สมดุล และสว่าง
เป็นคุณสมบัติทางจิตกันเถิดนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-12-2016

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาล ครั้งที่238






ท่านศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทั้งหลาย
ถ้าท่านยังมีปณิธานแห่งนิพพาน
ถ้าท่านเชื่อมั่นว่าทุกศาสดาล้วนเป็นหนึ่งเดียว
ถ้าท่านยอมรับว่าทุกศาสนาล้วนเป็นสากล
ถ้าท่านเป็นฆราวาสผู้ต้องการหลุดพ้นแท้จริง
ถ้าท่านต้องการจะเรียนรู้ในสิ่งที่ท่านไม่รู้ว่าไม่รู้
ถ้าท่านต้องการจะรู้ว่าปฏิบัติธรรมมานาน
แล้วใยยังนิพพานกันไม่ได้
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเราเป็นใคร
ใครมีบัญชาให้เรากลับมาหาท่านตามสัญญา
ใครเป็นลูกแกะที่หลงทางของเรา
ใครจะได้รับการพิพากษาให้เป็นปลาที่ถูกคัดไว้
ถ้าท่านต้องการเข้าใจและเข้าถึง
สาระแห่งนิพพานทั้งหลายเหล่านี้ คือ
#มายา #อัตตา #อนัตตา #สมมติ
#สว่าง #ว่าง #วาง #สงบ
ถ้าท่านอยากรู้ว่า....
ทำไมจึงเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลกและไหวทั้งวันคืน
อะไรจะเกิดขึ้นกับท่านบ้างทั้งวันนี้และวันข้างหน้า
"ภัยพิบัติ" กับ "ภัยธรรมชาติ" นั้น
แตกต่างกันอย่างไร
เราจะสื่อถ่ายทอดคลื่นความรู้และความคิด
จาก #องค์จิตจักรวาล มาให้ท่านทั้งหลาย
ได้รับรู้รับฟังกันสดๆ เข้าใจง่าย
ไม่เล่นโวหาร ไม่เน้นสำบัดสำนวน
ไม่ต้องเรียนสูงก็ฟังได้
ในวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2559
ระหว่างเวลา 13.00 - 18.30 น.
ณ ตึกทองชั้น 6 บมจ.ไอซีซี กทม.
เชิญโทรสำรองที่นั่งเข้าฟังฟรี-ไม่มีค่าใช้จ่าย
ได้ที่คุณตุ๊ก Tel.089-1052727
(โปรดแต่งกายสุภาพ)
ต่างจังหวัด/ต่างประเทศ
เชิญรับชมถ่ายทอดสดผ่าน ทีวีออนไลน์
ทาง www.jitchakraval.com ในวันเวลาดังกล่าว
ป.วิสุทธิปัญญา
13-12-2016

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จิตสำนึก จิตใต้สำนึก ไม่เหมือนกัน







พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

วันวานนี้มีดาราหนุ่มคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ออกทีวี
กับสื่อมวลชนผู้ดำเนินรายการทางทีวีอีกคนหนึ่ง
มีการให้สัมภาษณ์และอ่านข่าว
ที่สอดคล้องตรงกันอยู่ประโยคหนึ่งว่า

^^ทำงานด้วย "จิตใต้สำนึก"^^

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
ถ้าท่านยังไม่ตาย
ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่
ท่านจะไม่สามารถทำอะไรๆในชีวิตประจำวัน
ด้วย #จิตใต้สำนึก ได้หรอกนะ

หน้าที่ของท่านที่เป็นมนุษย์
จักต้องเรียนรู้ที่จะทำทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน
ด้วย #จิตสำนึก เท่านั้น

จงระลึกเอาไว้ว่า
#จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกไม่เหมือนกัน
มันมิใช่สิ่งเดียวกัน

เพราะคำว่า "จิตใต้สำนึก" เป็นคำแปลกหู
เพราะคำว่า "จิตใต้สำนึก" กล่าวแล้วเท่ห์
จึงนำมาใช้ผิดๆโดยไม่เข้าใจความหมาย

มาสิ....
เราจะอธิบายและจำแนก
"จิต" ทั้งสองอย่างนี้ให้พวกท่านเข้าใจ
เพื่อบันทึกไว้ในพจนานุกรมแห่งโลก
สำหรับมนุษย์โลกยุคพลังงานใหม่ต่อไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-12-2016

ต้องใช้จิตสำนึก ไม่ใช่จิตใต้สำนึก







ความจริงที่เราจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายก็คือ
ในความเป็นมนุษย์ของท่านนั้น
ท่านทั้งหลาย คือ #คนสองมิติ
#คนสองมิติ หมายถึง ท่านทั้งหลาย
ล้วนเป็นรูปธรรมที่มี "สองภาค" ในตนเอง
โดยมีกายหยาบหรือกายสังขาร
ในที่นี้เราขอเรียกว่า #เครื่องยนต์แห่งกรรม
ซึ่งเป็นมิติโลกทางกายภาพ
อันมีจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ทำหน้าที่ควบคุมการทำงาน
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมของท่านทั้งระบบ
ตลอดชีวิตของท่านจนกว่าจะสิ้นลม
นี่เป็นภาคแรกที่ท่านต้องรู้
เครื่องยนต์แห่งกรรมของท่าน
จะถูกสั่งการด้วยจิตหยาบ
โดยจิตที่เป็นผู้บงการ สั่งการ และควบคุม
กลไกทั้งหมดของเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่เป็นมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม
ในชีวิตประจำวันของท่านทั้งหลายนั้น
เราขอเรียกว่า #จิตสามนึก
จิตสามนึกประกอบด้วย
จิตที่ใช้ในการนึกสามอย่าง คือ
นึกได้ นึกเอา และ นึกเอง
ซึ่งภายหลังนามเรียกจิตตัวนี้ก็เพี้ยนไป
จาก "จิตสามนึก" ก็กลายเป็น #จิตสำนึก แทน
โดยไม่รู้แปลว่าอะไร
ถ้าท่านเป็นคนรู้นึก
อันหมายถึงนึกชอบมิใช่นึกชั่ว
ท่านก็จะเป็นคนคิดชอบไม่คิดชั่ว
ท่านก็จะถูกเรียกว่า #คนดี
ท่านจึงเป็นพวกที่ใช้ #จิตรู้สำนึก ดำเนินชีวิต
แต่ถ้าท่านเป็นคนไม่รู้นึก
อันหมายถึงนึกชั่วมิได้นึกชอบ
ท่านก็จะเป็นคนคิดชั่วไม่คิดชอบ
ท่านก็จะถูกเรียกว่า #คนชั่ว
ท่านจึงเป็นพวกที่ใช้ #จิตไร้สำนึก ดำเนินชีวิต
ความรู้เบื้องต้นสำหรับท่านทั้งหลาย
เท่าที่เรากล่าวมาข้างต้น
จึงสรุปความได้ว่า
1.มนุษย์เป็นคน 2 มิติ
มิติแรก คือ มิติทางกายภาพ
2.มิติทางกายภาพจะมีจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
เป็นควบคุมหรือสั่งการ
3.จิตหยาบของท่านมีหน้าที่ "นึก"
ซึ่งมี 3 แบบ คือ นึกได้ นึกเอา และนึกเอง
โดยท่านจักต้อง "นึกชอบ" อย่าได้ "นึกชั่ว"
4.เมื่อใดที่จิตท่านนึกชอบ
จิตก็จะไปกระตุ้นให้สมอง(กายหยาบ) คิดชอบ
ท่านก็จะเป็นคนคิดดี พูดดี ทำดีได้เมื่อนั้น
เราก็จะกล่าวได้ว่า
ท่านเป็นผู้ที่แสดงออกหรือกระทำใดๆ
ด้วย #จิตรู้สำนึก (จิตรู้สามนึก)
แต่เมื่อใดที่จิตท่านนึกมิชอบคือนึกชั่ว
จิตก็จะไปกระตุ้นให้สมอง(กายหยาบ) คิดชั่ว
ท่านก็จะเป็นคนคิดมิชอบ
พูดไม่ดี และทำผิดบาปได้เมื่อนั้น
เราก็จะกล่าวได้ว่า
ท่านเป็นผู้แสดงออกหรือกระทำใดๆ
ด้วย #จิตไร้สำนึก (จิตไร้สามนึก)
ดังนั้น
กระบวนการฝึกอบรม #ไซโคโชว์ ของเรา
จึงสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ปรับเปลี่ยน
พฤตินิสัยของมนุษย์
ทั้งข้าราชการ ผู้บริหาร ผู้จัดการ พนักงาน
แม้กระทั่งเด็กและเยาวชนทั่วไป
หรือใครก็ได้ที่เรียกตนเองว่า #มนุษย์
กลยุทธ PSYCHO-SHOW ของเรา
เป็นกลยุทธอันแยบยล
ที่พระบิดาทรงบัญชาให้เรา
นำมาใช้ในการ #เปลี่ยนจิตไร้สำนึก ของผู้คน
ให้เป็น #จิตรู้สำนึก
เพื่อแสดงพฤติกรรมที่มุ่งหวังแทน
ให้นำมาใช้ฝึกอบรมเพื่อพัฒนา
โครงสร้างทางจิตวิทยาของคนที่อ่อนแอ
ให้กลับมาแข็งแกร่งและเป็นคนดี
ซึ่งไม่อาจใช้วิธีการสอนหรืออบรมวิธีอื่นๆ
เพื่อปรับเปลี่ยนนิสัยแก้ไขสันดานคน
ให้มีพฤติกรรมที่มุ่งหวังอย่างยั่งยืนได้
นอกจากฝึกอบรมถ่ายทอดพฤติกรรม
ด้วยกระบวนการ #ไซโคโชว์ นี้เท่านั้น
ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่า
ทุกรูปธรรมที่พวกท่านเรียกเขาว่าสัตว์นั้น
เขาใช้แต่ #จิตสัญชาตญาณ
อันเป็นภาคหนึ่งของจิตวิญญาณของเขา
เพื่อการดำเนินชีวิตเท่านั้น
แต่พวกท่านที่ถูกเรียกว่า "มนุษย์"
นอกจากจะมีจิตสัญชาตญาณให้ใช้แล้ว
ท่านยังมี #จิตสำนึก หรือ "จิตสามนึก" ให้ใช้
ซึ่งสัตว์ทั้งหลายไม่มีอีกด้วย
ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้
จึงเป็นการให้ความกระจ่างต่อท่านทั้งหลายว่า
#มนุษย์ต้องใช้จิตสำนึกในการดำเนินชีวิต
#มนุษย์ต้องรับฟังสัญชาตญาณตนเองบ้าง
ต่อไปก็จงอย่ากล่าวผิดด้วยความไม่รู้อีก
เพราะเราทำความไม่รู้ของพวกท่านให้กระจ่างแล้ว
ส่วนเรื่องราวของ #จิตใต้สำนึก นั้น
เราจะขอกล่าวต่อในตอนหน้านะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-12-2016

มิติของจิตหยาบ มิติของจิตวิญญาณ







พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ความจริงที่จริงแท้
ที่เราจะกล่าวต่อจากตอนที่แล้วก็คือ
เรื่องมนุษย์ คือ คนสองมิติ

โดยในตอนที่แล้ว
เราได้เปิดเผยไว้เพียงมิติเดียว
คือ มิติโลกทางกายภาพ
ซึ่งหมายถึงเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ของท่านทั้งหลายไม่ว่าชายหรือหญิงนั่นแหละ
โดยที่มิติของกายหยาบนี้
ท่านจะมี #จิตหยาบ หรือจิตมนุษย์
ทำหน้าที่สั่งการ บงการ หรือควบคุมไว้
ซึ่งจิตของท่านจะมี "สมอง" เป็นเครื่องมือ

การกระทำใดๆของจิตกับสมอง
ที่สั่งการให้เครื่องยนต์แห่งกรรมของท่าน
แสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมต่างๆ
ทั้งการนึกคิดของจิตหรือที่แสดงออกมา
เราเรียกว่า #สั่นสะเทือนทางจิตสำนึก

สำหรับความในตอนนี้
เราจะกล่าวถึงมิติที่สองของมนุษย์ให้รู้ว่า
เราหมายถึงมิติของ #จิตวิญญาณ นั่นเอง

จิตวิญญาณของมนุษย์
เป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ในลักษณะของกล่องพลังงาน
ที่มีคลื่นความถี่หลายคลื่นความถี่
ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่
ซึ่งเร้นตนเองอยู่ในกายหยาบของท่าน

จิตวิญญาณของท่าน
เป็นผู้ที่ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์
โดยเข้ามาปฏิสนธิทางวิญญาณกับกายหยาบ
ภายในครรภ์มารดาตั้งแต่ยังเป็นทารก

ดังนั้น
จิตวิญญาณของท่านจึงเป็นตัวตนแก่นแท้
เพราะเป็นผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อใช้ความเป็นคนสองมิติของตนเอง
ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวโลก
ตามพันธะสัญญา 6 ที่ให้ไว้ต่อพระบิดา
โดยมอบอำนาจให้จิตหยาบเป็นตัวแทนของตน
ทำหน้าที่ทั้งสองมิติให้ลุล่วง

ซึ่งทางมิติโลกด้านกายภาพ
จิตหยาบจะเป็นผู้รับผิดชอบแสดงเอง
ทั้งวจีกรรม และกายกรรม
ที่จะกระทำต่อเพื่อนมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง

ส่วนในด้านมิติทางพลังงานของจิตวิญญาณ
อันเป็นมิติที่สูงกว่าที่สองตาเปล่ามองไม่เห็นนั้น
แก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
จะเป็นผู้รับผิดชอบในการแสดงเอง

หมายความว่า
เมื่อใดก็ตามที่ท่านสั่นสะเทือนจิตสำนึก
ไม่ว่าจะรู้สำนึกหรือว่าไร้สำนึกก็ตาม
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ก็จะสั่นสะเทือนไปตามนั้นด้วยเสมอ

การก่อกรรมเกิดเวรทั้งหลาย
ตามความผิดบาปดีชั่วตามนัยของกฎแห่งกรรม
มันจะเกิดขึ้นก็ตรงการกระทำทางจิตวิญญาณนี่เอง
ใครที่จิตหยาบเอาแต่ดำริชั่วไปวันๆ
จิตวิญญาณของคนๆนั้นจึงเดือดร้อน

การสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณ
เพื่อให้เกิดการกระทำในมิติของแก่นแท้
อันเป็นมิติทางพลังงาน
ที่มีความสัมพันธ์กันกับจักรวาลที่ว่านี้นั้น
จิตวิญญาณของท่านจะใช้กลไกชิ้นหนึ่ง
ซึ่งเราจะขอเรียกว่า #จิตใต้สำนึก เป็นเครื่องมือ

การสื่อสารทางจิตหรือโทรจิต
การตอบสนองทางอารมณ์รู้สึกที่มีต่อกัน
การใช้จิตรู้สำนึกหรือไร้สำนึกกับผู้ใด
ที่จิตหยาบของท่านกระทำด้วยจิตสำนึก
จะยังผลให้จิตวิญญาณของท่าน
เกิดการสั่นสะเทือนไปตามนั้นทันที

ดังนั้น
ในที่สุดแล้วเราจะกล่าวได้ไหมล่ะว่า
#จิตใต้สำนึกเป็นเครื่องมือของจิตสำนึก

ต่อไปนี้อย่าใช้สองคำนี้ "มั่ว" อีกเลยนะ
เราขอตักเตือนคนที่กล่าวผิดมา
ด้วยความรักและปรารถนาดีจริงๆ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-12-2016

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พันธะสัญญาใจ






หนึ่งนั้นเป็นสัจจะ (ที่เราให้ไว้ต่อพระบิดา)
สองเป็นพันธะหน้าที่ (ที่เราจักต้องรับผิดชอบ)
สามเป็นสิ่งที่เกิดจากความรัก (ที่เรามีต่อท่านทั้งหลาย)
เมื่อกลับไปแล้วยังย้อนคืนกลับมา
ก็ล้วนเป็นไปตามพันธะสัญญาใจ
ที่เรากล่าวไว้ใน 3 สิ่งนี้ทั้งสิ้น
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-12-2016

พลังงานทางจิตวิญญาณ





พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งผู้ปรารถนาการหลุดพ้นหรือนิพพาน
จักต้องปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมกันให้ได้
ภายในภพชาติสุดท้ายก่อนกาลสิ้นยุคพลังงานเก่านี้
นั่นคือ
จักต้องยกระดับ #จิตหยาบ หรือ "จิตมนุษย์"
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับ #จิตวิญญาณ
ผู้เป็นแก่นแท้ของตนเองให้จงได้
มิเช่นนั้นจิตวิญญาณของท่าน
จะไม่สามารถคืนกลับยังแดนสุญตาที่จากมาได้เลย
ที่คืนกลับไม่ได้ก็เพราะเหตุว่า
จิตวิญญาณของท่านจะไม่มีพลังอำนาจมากพอ
ที่จะดีดตนเองหนีแรงดึงดูดของโลกและเอกภพ
ออกไปนอกระบบจักรวาลอันไพศาลนี้ได้นั่นเอง
สาเหตุที่พลังอำนาจไม่มากพอ
ทั้งๆที่ตอนข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในระบบโลก
จิตวิญญาณท่านทั้งหลายล้วนมีพลังอำนาจสูงกันอยู่
ก็เพราะว่าจิตวิญญาณของท่านนั้น
เกิดอาการ "เสื่อมพลังอำนาจ" ลงไปจากเดิม
เหมือนแบตเตอรี่รถยนต์ที่เสื่อมพลังไฟ
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณของท่าน
จะถูกใช้ไปในชีวิตประจำวันแม้ในยามหลับ
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่าน
จะมีชีวิตรอดและดำรงชีวิตอยู่ได้
ทั้งอวัยวะร่างกายและจิตใจ
จักต้องมีสมรรถนะสูงพอและสมดุลกัน
เพื่อสามารถรับฟังข่าวสารจากจักรวาลได้
พลังงานพื้นฐานเหล่านี้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดทั้งสิ้น
ถ้าพลังงานด้านแก่นแท้ลดน้อยถดถอยลงเมื่อไหร่
ท่านผู้นั้นจะมีร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สดชื่น ซึมเซา
อารมณ์หงุดหงิด ขาดสติง่าย ตกใจง่าย
ภูมิต้านทานโรคต่ำ สมองทึบ ขี้ลืม เป็นต้น
ที่สำคัญคือจะติดต่อกับจักรวาลไม่ได้
อันหมายถึงหลุดพ้นไม่ได้นั่นแหละ
ปกตินั้นพลังอำนาจทางจิตวิญญาณของท่าน
จะถูกใช้ผ่านกระบวนการของ #จิตสามนึก
โดยมี #จิตใต้สำนึก ทำหน้าที่ควบคุมกลไกนี้
ถ้าวันๆท่านเอาแต่ใช้มันไปเรื่อยๆไม่เติมเพิ่ม
พลังงานทางจิตวิญญาณก็ย่อมถดถอยน้อยลง
ดังนั้น
หน้าที่ของทุกท่านจึงต้องหมั่นเติมเพิ่ม
เพื่อรักษาพลังอำนาจด้านจิตวิญญาณของตนไว้
จนกว่าจะจบสิ้นอายุขัยไปจากการเป็นมนุษย์
ซึ่งเราบอกท่านแล้วว่าจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้ไม่ได้
วิธีการเติมเพิ่มพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
ที่สูญเสียไปกับการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ก็คือ การยกระดับจิตหยาบ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณ
ด้วยการ #ยกระดับแรงสั่นสะเทือน ของจิตหยาบ
ให้มันสูงขึ้นทางด้านบวกให้จงได้
เพราะว่าจิตวิญญาณของท่าน
จะสั่นสะเทือนตนเองทางด้านบวกบริสุทธิ์เท่านั้น
ในชีวิตประจำวันของท่าน
จึงต้องสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวก
ด้วยการรักได้แม้เขาคนนั้นไม่น่ารัก
ให้ได้แม้เขาคนนั้นไม่น่าให้โดยเฉพาะ "ให้อภัย"
และฝึกการมองโลกด้านบวกไว้เสมอ
ไม่ว่าใครผู้ใดจะดีหรือร้ายต่อท่านก่อนก็ตาม
นี่ไง...คือ การเติมเต็มพลังทางจิตวิญญาณ
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ถ้าท่านไม่ทำหรือทำไมได้
ท่านก็เสียทีที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
เพราะจิตวิญญาณที่ล่องลอยซึ่งไม่มีกายหยาบ
ไม่มีจิตสามนึกและไม่มีจิตหยาบ
เป็นผู้ที่ขาดความเป็นรูปธรรม 2 มิติ
จะไม่สามารถชาร์จแบ็ตเตอรี่ให้ตนเองได้
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นความจริง
ว่าแต่ว่า....จิตหยาบของท่านน่ะ
บัดเดี๋ยวนี้ลืมไปแล้วว่าตนเองนั้น
ยังมี "จิตวิญญาณ" อยู่ข้างในกันหรือเปล่า
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-12-2016

ทำไมพระศาสดาทุกพระองค์ จึงทรงเน้นให้ทุกท่าน "รักกัน"







พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ตามปกติแล้วจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
เป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ที่สามารถทำงานร่วมกัน
กับเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของตน
ผ่านต่อมไร้ท่อทุกต่อมที่ติดตั้งอยู่ข้างใน
ตัวอย่างเช่น
จิตวิญญาณแก่นแท้ข้างในกายสังขารท่าน
จะส่งพลังงานในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
ไปกระตุ้นให้ต่อมไร้ท่อต่างๆมีการสั่นสะเทือนเกิดขึ้น
เพื่อให้ต่อมไร้ท่อเหล่านั้นตื่นตัวตลอดเวลา
ในการทำหน้าที่ต่างๆตามคุณสมบัติที่ถูกกำหนดไว้
เช่นจะคอยกระตุ้นให้ #ต่อมไธรอยด์ ที่ลำคอตื่นตัว
เพื่อคอยช่วยควบคุมอารมณ์ขยะของท่านไว้
ถ้าต่อมไร้ท่อต่อมนี้ของท่านบกพร่อง
ท่านก็จะกลายเป็นคนที่มีปัญหาทางอารมณ์
ไม่สามารถเก็บกดอดกลั้นอารมณ์ไม่ดีเอาไว้ได้
ท่านจึงน้อตหลุดหรือสติแตกเมื่อถูกยั่วยุเสมอ
จะคอยกระตุ้นให้ #ต่อมไพเนียล
ตรงกลางระหว่างคิ้วในกระโหลกศีรษะท่าน
มีการสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลาในยามตื่น
เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการสั่นสะเทือน
ในการสัมผัสรู้ดูเห็นของกลไกอายตนะทั้งหมด
อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้เอง
ต่อมไร้ท่อต่างๆจึงเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ
เพื่อทำหน้าทีให้บริการท่านในมิติโลกทางกายภาพ
ท่านจะสังเกตได้ว่าถ้าต่อมไร้ท่อใดชำรุด
สุขภาพร่างกายของคนผู้นั้นจะมีอาการผิดปกติเสมอ
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
มันคือการใช้พลังงานทางจิตวิญญาณ
ที่จะเกิดการร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ
ดังนั้น
ท่านจึงต้องเรียนรู้ว่าจะช่วยเติมเต็ม
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณของตนกันได้อย่างไร
ซึ่งเราได้เปิดเผยต่อท่านมาแล้วว่า
ให้ใช้จิตหยาบสั่นสะเทือนเพื่อ "รักได้ ให้เป็น"
ในชีวิตประจำวันอย่างมั่นคงเข้าไว้แค่นั้นเอง
เพราะถ้าจิตหยาบสามารถสั่นสะเทือน
เป็นคลื่นความถี่ด้านบวกจนสูงสุดได้ละก็
จิตจะสามารถส่งคลื่นไปกระทำต่อต่อมไร้ท่อได้เอง
จิตวิญญาณแก่นแท้ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงาน
ถ้าจิตหยาบสั่นสะเทือนด้านบวกได้อย่างคงที่
จนยังผลให้จิตวิญญาณมีพลังสะสมสูงมาก
พลังงานส่วนเกินก็จะถูกนำไปเก็บเอาไว้
ที่ #ต่อมธัยมัส บริเวณหลังกระดูกทรวงอกนั่น
ผู้ที่ชอบปฏิบัติกรรมฐานเป็นนิจ
ผู้ที่หมั่นผลิตสร้างพลังงานความรัก
ด้วยการแผ่เมตตาอยู่เป็นประจำ
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักบวชหรือนักพรต
รูปธรรมเหล่านี้เมื่อตายไปร่างกายจะไม่เน่าเปื่อย
เล็บ เส้นขน และเส้นผมจะงอกยาวออกมาได้เรื่อยๆ
เหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด
เพราะเหตุว่า "พลังงานส่วนเกิน" ซึ่งสะสมไว้
ตรงต่อมธัยมัสที่ว่านี้มีเหลือเฟือนั่นเอง
ที่พลังงานด้านบวกเหลือใช้มากๆ
เป็นเพราะรูปธรรมมนุษย์ดังกล่าว
เอาแต่อิ่มสุขอยู่ในสมถะกรรมฐานนานนับปี
จิตจึงผลิตสร้างพลังงานด้านบวก
ออกมาสะสมเอาไว้มาก
เพราะขาดการแผ่เมตตาหรือปันพลังบวกให้ผู้อื่น
หรือแบ่งปันให้ผู้อื่นน้อยกว่าที่ตนผลิตสร้าง
ท่านทั้งหลายจักต้องระลึกเสมอว่า
ถ้าจิตหยาบของท่านสั่นสะเทือนด้านบวกได้เอง
จิตวิญญาณของท่านก็จะเสมือนหนึ่ง
ได้รับการชาร์จพลังงานเพิ่มขึ้นเสมอ
เพราะไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงาน
เนื่องจากจิตหยาบทำหน้าที่ทดแทนได้
อีกทั้งยังจะได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นเมื่อสิ้นอายุขัย
ซึ่งจะถ่ายเทพลังงานที่สะสมไว้มาจากต่อมธัยมัส
นี่ไงล่ะ....
ที่เป็นคำตอบว่าทำไมพระศาสดาทุกพระองค์
จึงทรงเน้นให้ทุกท่าน "รักกัน"
ที่เป็นคำตอบว่าทำไมพระบิดา
จึงทรงเน้นให้ท่านทั้งหลาย
ละวางกิเลส ปฏิเสธตัณหา
มีมหาสติ และมีปณิธานแห่งนิพพาน
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-12-2016

กฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง





พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

#กฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง
ในสนามพลังงานจักรวาลอันไพศาลนี้

ดวงดาวทุกดวงในเอกภพเดียวกัน
อีกทั้งทุกรูปธรรมที่ดำรงอยู่บนดาวทุกดวง
ภายในเอกภพซึ่งเป็นระบบใหญ่
ต่างก็ล้วนอยู่ภายใต้กฎเดียวกันนี้ทั้งสิ้น

หลักการเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสรรพสิ่ง
จะบังเกิดได้ด้วยการบริหารจัดการที่ตนเอง
ให้สามารถดำรงอยู่ร่วมกันกับสรรพสิ่งอื่นๆได้
อย่างสอดคล้องลงตัวกันตลอด
อันหมายถึง #ทุกสรรพสิ่งต้องสมดุลกัน เท่านั้น
ซึ่งแต่ละสรรพสิ่งต่างต้องดำรงคุณสมบัติเดิมของตนไว้
โดยต้องไม่ทำลายคุณสมบัติของสรรพสิ่งอื่น

การที่ทุกสรรพสิ่งจะสร้างสมดุลร่วมกันได้
ก็ต้องมีเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการ คือ

1.แต่ละสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ภายในเอกภพนี้
ไม่ว่าจะมีตัวตนรูปลักษณ์แบบใด
ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก
จะต้องมีการสั่นสะเทือนแก่นแท้ของตนไว้ตลอด
เพราะการสั่นสะเทือนภายในแก่นแท้
คือวิธีการสร้างพลังอำนาจให้ตนเองของสิ่งนั้น

ถ้าสิ่งที่ว่านั้นเป็นมนุษย์
หากจะสร้างพลังอำนาจในตนเอง
ก็ต้องสั่นสะเทือนแก่นแท้คือจิตวิญญาณให้ได้
โดยจิตหยาบต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณ
ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่เดียวกัน
นั่นคือ "ความรักเพื่อให้" ในทุกรูปแบบ
เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย
และ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นต้น

ดังนั้น
พลังอำนาจในตนเองของสรรพสิ่งก็คือ
พลังงานความรักที่เป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ซึ่งสองตาเปล่ามองไม่เห็น
แต่สามารถปฏิสัมพันธ์ระหว่างท่านเองกับผู้อื่นได้
โดยความรักนี้มีไว้เพื่อ "เหนี่ยวรั้ง" ตนเอง
เอาไว้กับผู้อื่นหรือสรรพสิ่งอื่นนั่นเอง

เป็นเพราะความรัก
ที่ึดึงดูดเหนี่ยวรั้งซึ่งกันและกันไว้นี่เอง
จึงยังผลให้ทุกสรรพสิ่ง "สร้างระบบเดียวกัน" ขึ้นมาได้
ไม่ต่างจากพวกท่านสร้างครอบครัวหรือทีมงานได้
ก็เพราะใช้ความรักจากใจหยิบยื่นให้แก่กันโดยแท้

2.นอกจากนั้น
แต่ละสรรพสิ่งเมื่อสร้างระบบเดียวกันขึ้นมาได้แล้ว
ต่างก็จักต้องดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลด้วย

การสร้างสมดุลอย่างง่ายของสรรพสิ่งก็คือ
#การเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
เช่น โลกหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ทุกสิ่งในระบบโลกจึงเกาะติดยึดโยงอยู่กับโลกได้
ไม่หลุดกระเด็นออกไปนอกระบบ

สำหรับสรรพสิ่งที่เรียกว่า "มนุษย์" แล้ว
ความสมดุลในระบบจิตของตนเอง
ก็เกิดได้จากการ #เหวี่ยงหมุนธรรมจักร
จากอายตนะภายนอกเข้าสู่จิตด้านใน

ส่วนความสมดุลในระบบเครื่องยนต์แห่งกรรม
ซึ่งเป็นมิติทางกายภาพนั้น
ก็คือการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ตัดผ่านสนามพลังงานแม่เหล็กโลกนั่นแหละ
ซึ่งพวกท่านไม่ต้องเดินไปหมุนรอบตัวเองไปด้วย
แต่โลกที่ท่านเหยียบยืนนี่แหละ
จะเป็นผู้นำพาท่านเหวี่ยงหมุนไปเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-12-2016

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การใช้อริยสัจ 4 สำหรับฆราวาส


 
 
 
 
การใช้อริยสัจ 4 สำหรับฆราวาส:
................................................
1.อริยสัจ 4 คือ สูตร หรือ ข้อกำหนด หรือ แนวทางซึ่งเป็นความจริงอันประเสริฐที่จะใช้จัดการกับสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายเรียกว่า "ความทุกข์" ได้แบบเบ็ดเสร็จ

2.ถ้าเป็นความทุกข์ในมิติแห่งจิตวิญญาณของพวกเธอ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการมีสังสารวัฏ หรือ การเวียนว่ายตายเกิดอันมิรู้สิ้นสุดหลุดพ้นกันได้เมื่อไหร่ ต่อกรณีนี้พระพุทธองค์ได้ทรสอนสั่งพวกเธอเอาไว้นานแล้ว

3.แต่ถ้าเป็นความทุกข์ในมิติโลกทางกายภาพ ก็คือ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นฆราวาสโดยเลือกจะมีครอบครัว หรือเลือกดำเนินชีวิตในบทบาทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง มักจะหนีไม่พ้นกับการต้องเผชิญสิ่งที่ตนเรียกว่าทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น

4.สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ก็คือ สิ่งที่เธอรู้สึกว่าทนได้ยาก ทนไม่ไหว ทนไม่ได้ จนอยากเอามันออกไปให้พ้นจากตัวเธอ หรือไม่ก็อยากจะเอาตัวเธอเองออกไปให้พ้นจากสิ่งนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่พวกเธอจะใช้คำรวมสั้นๆว่า "ปัญหา" นั่นเอง

หลักการใช้อริยสัจ 4 เพื่อจัดการกับปัญหาในชีวิต:
.......................................................................
1.เมื่อเกิดทุกข์ เธอต้องสำนึกรู้ทันทีว่า เธอได้พบเผชิญกับปัญหาเข้าให้แล้ว หน้าที่ของเธอก็คือ จักต้องเรียนรู้ด้วยการวิเคราะห์ให้ได้ ค้นให้พบว่า "ปัญหานั้น" คือ อะไรกันแน่ ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ว่า "ทุกข์" ของตนคืออะไรตามหลักแห่งอริยสัจนั่นเอง

2.เมื่อค้นพบว่าปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์ของเธอ คือ อะไรแน่แล้ว หน้าที่ของเธอก็จักต้องทำการสืบค้นต่อไปว่า ต้นตอหรือบ่อเกิดแห่งปัญหาที่แท้จริงที่เธอพบนั้นมัน คือ อะไรแน่

นี่ก็หมายถึง การเรียนรู้สาเหตุแห่งปัญหาอันนำมาซึ่งความทุกข์ที่เธอเผชิญอยู่ ที่หลักแห่งอริยสัจ หมายถึง "สมุทัย" คือ การเรียนรู้ถึงสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์นั้นนั่นเอง

3.เมื่อค้นพบว่า ตัวต้นต่อบ่อเกิดแห่งปัญหาที่นำมาซึ่งความทุกข์ทั้งหลายของเธอนั้น มันคืออะไรแน่แล้ว เธอก็ต้องเรียนรู้ต่อไปว่าจะแก้ปัญหาตรงสาเหตุแห่งปัญหานั้น ด้วยวิธีการใดได้บ้าง คิดหาวิธีให้ได้หลายๆวิธี แล้วก็ตัดสินใจเลือกเอาวิธีที่ดีที่สุดที่เธอพร้อมและสามารถจะทำได้จริงเพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหานั้นต่อไป

นี่ก็หมายถึง การเรียนรู้ที่จะค้นหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดและมั่นใจว่านำมาใช้แก้ไขปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์ของเธอได้แน่ๆ ด้วยวิธีการตัดสินใจเลือกที่ฉลาดที่สุด ซึ่งหลักแห่งอริยสัจ หมายถึง "นิโรธ" อันหมายถึง ความดับทุกข์นั้นได้สำเร็จโดยแท้

4.เมื่อเธอจัดการกับปัญหาดังกล่าวที่เผชิญอยู่เป็นผลสำเร็จ นั่นเท่ากับว่า เธอจัดการดับทุกข์ทั้งกายและใจของเธอได้แล้ว หน้าที่ของเธอยังจักต้องเรียนรู้ต่อไปให้สุดทางอีกด้วยว่า....เมื่อเธอมีประสบการณ์แห่งทุกข์นั้นแล้ว เธอจะป้องกันตนเองอย่างไรเพื่อมิให้เกิดทุกข์แบบเดียวกันนี้อีกในวันข้างหน้า....

นี่คือ ปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ใช่หรือไม่ล่ะ?

ถ้าเธอใช้ประสบการณ์นี้เป็นบทเรียน แล้วเตรียมตัวเตรียมใจป้องกันไว้มิให้มันเกิดปัญหาที่จะนำพาความทุกข์มาให้เธออีกในวันข้างหน้าได้นั้น ตามหลักแห่งอริยสัจ 4 ก็หมายถึง "มรรค" นั่นคือ การรู้วิถีทางดำเนินชีวิตที่ชาญฉลาด (Smart) โดยไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตตามแบบเดิมๆอีกตลอดไป

5.ตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา ในแต่ละวันถ้าเธอใช้หลักแห่งอริยสัจ 4 ที่เรากล่าวมาทั้งหมดพอสังเขปนี้ จัดการกับอุปสรรคปัญหาใดๆในชีวิต เธอก็จะสามารถผ่านบททดสอบและได้รับบทเรียนกันอย่างมากมายมหาศาล ขณะที่จิตปัญญาของเธอก็จะทรงพลังอำนาจเหลือคณานับ มิมีงมงาย มิใช่แก่แล้วแก่เลย ตามอายุขัยที่ผ่านมาเป็นแน่แท้....

หมายเหตุ:

สำหรับคำขยายของ "มรรค ที่มีองค์ประกอบ 8 ประการ" นั้น
เป็นคำเฉลยที่พระพุทธองค์ทรงรวบรวมเอาไว้ให้พวกเธอได้ระวังตนกันให้มากๆว่า มันล้วนเป็นที่มาแห่งการเกิดทุกข์กาย ทุกข์ใจ ในชีวิตประจำวันด้วยกันทั้งสิ้น

พระพุทธองค์ ทรงหมายความว่า
ถ้าเธอประพฤติมิชอบใน 8 กรณีนี้
เธอย่อมเกิดทุกข์แน่ๆ ทั้งกายและใจ กล่าวคือ....

1.การเข้าใจผิด
2.การคิดผิด
3.การพูดผิด
4.การทำผิด
5.การยังชีพผิด
6.การเกียจคร้าน
7.การขาดสติ
8.การขาดสมาธิ

รวมแล้วพวกเธอกล่าวขานกันว่า "มรรค 8" นั่นแหละนะ....

พระศาสดาท่านทรงตรัสสอนเอาไว้ดีแล้ว
หากว่าเธอมีธรรมะดีๆแต่ไม่เข้าใจ
หรือว่าเข้าใจไปเสียผิดๆ ก็หาประโยชน์อันใดมิได้ทั้งนั้น

<3 span=""> คราวนี้หยิบฉวยเอา "อริยสัจ 4"
มาใช้ในชีวิตกันอย่างเป็นรูปธรรมได้รึยังล่ะ
ท่านนักเรียนผู้อุทิศตนเป็นฆราวาสแห่งเราทั้งหลาย.....

ป.วิสุทธิปัญญา
ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก UCSA
17-07-2014

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

กรรมใครกรรมมัน






พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านปรารถนาการหลุดพ้นแท้จริง
ก็จงอย่าเพียรพยายามแสวงหา
วิธีการพิเศษอันใด
ให้มันพิศดารไปกว่าการเป็นมนุษย์
ที่มีจิตสามนึกเป็นเครื่องมือกันต่อไปอีกเลย

เพราะเหตุว่า....

1.ท่านมี "พลังความรัก" เป็นคุณสมบัติที่ในจิต
ซึ่งพระบิดาทรงประทานไว้ให้ท่าน
ตั้งแต่มาเกิดเป็นคนบนดาวโลกเสรีนี้แล้ว
ซึ่งท่านมีหน้าที่เพียงเข้าถึงมันให้ได้เท่านั้น

2.ท่านยังมี "ดวงปัญญา"
ที่ทรงประทานให้ท่านทั้งหลายไว้
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
อย่างเท่าเทียมกันทุกคน
ตั้งแต่ภพชาติแรกที่ได้มาเกิดบนโลกเสรีแล้ว
ซึ่งท่านมีหน้าที่เพียงเข้าถึงมันให้ได้เช่นกัน

3.ท่านยังมี "ดวงธรรม"
ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ได้ทรงประทานผ่าน #บุตรเอก ทุกพระองค์
ให้เสด็จลงมากล่าวพระโอวาทแทนพระองค์

ให้ท่านได้เกิดสติทางวิญญาณตลอดมาแล้ว
ซึ่งท่านมีหน้าที่เพียงเข้าถึงมันให้ได้
ด้วยการนำมาใช้เป็นบริบท
ในการดำเนินชีวิตประจำวันเท่านั้น

4.ท่านยังมีดวงแห่งโอกาส
เพื่อให้ได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติต่อๆไป
ตราบใดที่โลกเสรียังไม่ถึงกาลสิ้นยุค
คือ 6 หมื่นปีโลกนั่นเอง

การได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่
ก็เพื่อการให้โอกาสท่าน #แก้ไขกรรมเก่า
ที่ท่านได้กระทำผิดบาปเอาไว้ในชาตินี้โดยแท้

ทั้ง 4 สิ่งนี้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอำนาจ
ในบทบาทของการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง
ที่จะสามารถ "แก้ไขกรรม" หรือ "ตัดกรรมเก่า"
ที่ท่านเคยก่อไว้ในอดีตชาติหรือชาตินี้ได้

มันเป็นหนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ
อย่าไปเชื่อว่าหรือหวังว่า
จะมีวิธีอัศจรรย์อันใดยิ่งกว่านี้อีกเลย
เสียเวลาและโอกาสแห่งการมีภพชาตินี้ไปเปล่าๆ

วิธีการตัดกรรมเก่าหรือแก้ไขกรรมเก่าที่ดีที่สุด
ที่ท่านสมควรปฏิบัติทุกลมหายใจในยามตื่น

1.ใช้มหาสติในการดำเนินชีวิต
รู้สติ มีสติ และใช้สติ

เพื่อพิจารณาทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ด้วยจิตตปัญญาเท่านั้น
มิใช่ด้วยนิสัย สันดาน และอารมณ์รู้สึก
ในลักษณะของประมาทและขาดสติ

2.ตัดสินใจให้ถูกต้องเหมาะสมและดีงาม
เพื่อที่จะกระทำตอบสนองทุกเงื่อนไข
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ไม่ว่าจากคน สัตว์ หรือ สิ่งแวดล้อม
ด้วยกาย วาจา และจิตใจ
ที่จะนำความสันติสุขมาสู่ตนเองและผู้อื่นเท่านั้น

3.เรียนรู้ที่จะรักให้ได้ ให้ให้เป็น
โดยไม่กระทำชั่วตอบสนอง
แม้ท่านจะถูกยั่วยุด้วยพลังลบที่รุนแรงก็ตาม

เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพียงเท่านี้ท่านก็จะทำให้การเกิดของท่าน
มีคุณค่ายิ่งนักแล้ว

การมีภพชาติของท่านก็จะหมดไป
แปลว่า "นิพพาน" คือ หลุดพ้นได้อย่างสิ้นเชิง
เพราะท่านไม่มีภารกิจอะไรจักต้องทำอีกนั่นเอง

การนั่งสมาธิเฉยๆแล้วฝันถึงกรรมอดีต
การพยายามจะระลึกชาติให้ได้
ว่าเคยก่อกรรมทำเข็ญกับใครไว้
แล้วเน้น "ขออโหสิกรรม"
จนกว่าเจ้ากรรมนั้นๆ
จะใจอ่อนอโหสิกรรมให้ท่านเท่านั้นแหละ

มันยาก 2 อย่าง

อย่างแรก
ท่านมีปัญญาเข้าถึงอดีตกรรม
ที่ตนเคยก่อไว้ได้จริงๆ
โดยไม่มโนหลอกตัวเองแน่แท้หรือเปล่า

อย่างที่สอง
เจ้ากรรมนายเวรเขาจะใจอ่อน
หายโกรธแค้นอาฆาตท่านง่ายๆจริงหรือเปล่า

เหมือนตีหัวเขาแตกเลือดยังไหลซิบอยู่
แล้วมากระซิบข้างหูเขาว่า "ขอโทษนะ"

ซึ่งวิธีการที่กล่าวนี้มันไม่ง่ายนักหรอก
สำหรับบทบาทของการเป็น "ฆราวาส"
ในเพียงช่วงอายุขัยไม่กี่สิบปี
ถ้าหากท่านมิได้มีพรสวรรค์จากอดีตกันมาบ้าง

เว้นแต่การจะเป็น "นักบวช" ผู้เคร่งครัดจริงจัง
เยี่ยงพระศาสดาของท่านพระองค์นั้นเท่านั้น

มรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
บนเส้นทางการหลุดพ้น
จึงน่าจะเหมาะสมกว่าวิธีพิศดาร
ที่หลายท่านยังคงหลงไหลอยู่แนนอน

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา
ที่ทรงเมตตาประทานพระโอวาท

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-11-2016

พระองค์ผู้ทรงใช้เรามา


วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การก้าวล่วง





ท่านทั้งหลายรู้จักคำว่า "ก้าวล่วง" มั้ย
การก้าวล่วง
หมายถึง การก้าวก่าย-ล่วงเกินผู้อื่น
จนยังผลให้ผู้อื่นเสียสมดุล
ทั้งทางจิตใจ ร่างกาย และทางสังคม
*การก้าวก่าย
หมายถึง การเป็นเหตุให้ผู้อื่น
เสียสมดุลหรือเกิดความเสียหาย
ทั้งต่อร่างกายและทางสังคม
เช่น การทำตนเป็นอุปสรรคต่อผู้อื่น
ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เสียเวลา เสียประโยชน์
เสียโอกาส เสียชื่อเสียง
เสียทรัพย์ เป็นต้น
*การล่วงเกิน
หมายถึง การเป็นเหตุให้ผู้อื่น
เสียสมดุลทางจิตใจ
หรือเป็นเหตุให้ผู้อื่น #จิตตก
เช่น เสียความรู้สึก
และอารมณ์เสีย เป็นต้น
ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำก้าวก่ายทางโลก
หรือการกระทำล่วงเกินทางจิตใจ
มันล้วนนำไปสู่การทำลายความสมดุล
ในสองมิติของบุคคลอื่นทั้งสิ้น
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
โทษบาปของการก้าวล่วงต่อผู้อื่นนั้น
มันอยู่ตรงที่การเป็นเหตุให้ผู้อื่น
สูญเสียความสมดุลไปจากปกตินั่นเอง
จิตใจที่สมดุล คือ สภาวะจิตที่สงบสุข
ชีวิตที่สมดุล คือ สภาวะทางสังคมที่ใครคนนั้น
สามารถดำรงอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นอย่างมีสันติสุข
ตามกฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน
ของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลนี้
ดังนั้น
ถ้าท่านเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียสมดุลทางจิตใจ
และหรือเป็นเหตุให้ผู้อื่นเกิดการเสียสมดุลในชีวิต
ท่านก็ต้องรับเอาความผิดบาปนั้นไว้เสมอ
เราจึงขอเตือนคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น
เพราะใจดี ใจพระ ให้ระวังความผิดบาป
จากการไปก้าวก่ายล่วงเกินคนอื่นเขา
จนทำให้เขาเสียสมดุลดังว่านี้
เพราะการขาดมหาสติอย่างแรงเอาไว้ด้วย
เข้าทำนองว่า....คิดจะทำคุณงามความดี
แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นโทษไปเสียนี่
เช่น เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ
ด้วยเหตุผลส่วนตัวของเขาบางอย่าง
แต่ท่านกลับยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
โดยที่เขาไม่ได้ร้องขอ
โดยท่านไม่ได้ถามเขาก่อนว่าต้องการให้ช่วยมั้ย
หรือไม่ได้ถามเขาก่อนว่า
ท่านจะให้ความช่วยเหลือเอามั้ย เป็นต้น
การช่วยเหลือโดยพละการของท่าน
กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาบางอย่างให้เขาแทน
หวังจะสร้างบุญแต่กลายเป็นสร้างบาปแทน
เพราะไร้สติขาดปัญญานั่นเอง
การดำเนินชีวิตร่วมกันกับคนอื่น
ด้วยความมีน้ำจิตน้ำใจเอื้อเฟื้อกันนั้น
เป็นสิ่งดีงามควรกระทำอย่างยิ่ง
แต่ท่านต้องใช้สติปัญญากำกับด้วย
โดยยึดหลัก "ปริญญาโมเดล"
ว่าด้วยกฎเกณฑ์แห่ง 6 ถูกเอาไว้เสมอ
การคิดช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อสร้างบุญกุศลนั้น
อย่าให้มันกลายเป็น "ผิดบาป"
ด้วยข้อหาว่า "เจือก" เพียงเพราะท่านประมาท
หรือขาดสติเพราะไม่ใช้ปัญญาอีกเลย
นี่แหละ.....
การก้าวล่วงผู้อื่นเป็นความผิดบาปอย่างยิ่ง
กราบพระบาทพระบิดา
ที่เมตตาประทานพระโอวาท
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-11-2016

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สุข หรือทุกข์อยู่ที่ใจใช่ใครอื่น





พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ทุกข์หรือสุขมันเกิดที่จิตใจซึ่งอยู่ข้างใน
ทุกข์สุขของใครก็อยู่ที่ในจิตใจของใครคนนั้น
เหตุและผลแห่งทุกข์กับสุข
จึงเป็นเรื่องเฉพาะตนคนอื่นไม่เกี่ยว

ความทุกข์ทั้งปวงล้วนเกิดจาก
จิตใจท่านบังเกิดความไม่พึงพอใจขึ้น
เมื่อเกิดความไม่พึงพอใจจนได้ที่แล้ว
จิตก็จะแปลเป็นความอยากไม่อยาก

เจ้าตัว "อยาก-ไม่อยาก" นี่แหละ
ตัวก่อทุกข์ล่ะนะ

*เมื่อได้ฟังเขาก่นด่าท่านมาแล้ว
ท่านจะเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจไม่พอใจทันที

ไม่พอใจเพราะท่าน "ไม่อยาก" ให้เขาด่า
ไม่พอใจเพราะท่าน "อยากให้" เขาหยุดด่า

แต่ปรากฏว่าเขากลับด่าท่านไม่ยอมหยุด
ท่านจึงเสียสมดุลทางอารมณ์มาก
หรืออารมณ์เสียมากก็เลยโกรธจัด
เมื่อท่านโกรธจัดจิตก็ไม่สงบแล้ว

จิตไม่สงบก็คือ "จิตทุกข์" หรือ "จิตป่วย"
ถ้าท่านมีนิสัยใจคอแบบนี้
คือ จิตติดทุกข์อยู่เป็นประจำ
แสดงว่าจิตท่านนั้นมันเกิดอาการ "ป่วย" แล้ว

*นอกจากนั้น
ถ้าท่านกำลังพึงพอใจทุกสิ่งในชีวิต
ท่านก็ "อยาก" ให้มันเป็นเช่นนั้นตลอดไป
ท่านย่อม "ไม่อยาก" ให้ชีวิต
มันผันแปรเปลี่ยนไปจากที่มันเป็นอยู่

แต่ยิ่ง "ไม่อยาก" ให้มันเปลี่ยนมากเท่าไหร่
จิตใจก็จะยิ่ง "ปริวิตก" มากเท่านั้น

ถ้าจิตใจยิ่ง "ปริวิตก" มากเท่าไหร่
จิตใจก็จะยิ่งไม่สงบจนเกิด"ทุกข์"มากเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.ความรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจ หรือพอใจไม่พอใจ
เป็นต้นสายของเหตุแห่งความทุกข์ในชีวิต
ความรู้สึกทั้งสองด้านจึงเป็น "กิเลส"
ซึ่งท่านไม่ควรปล่อยให้จิตติดอาการเด็ดขาด

2.เพราะถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว
จิตของท่านมันจะปรุงแต่งเป็น
อาการ "อยาก-ไม่อยาก" ต่อไปทันที
ท่านจะไม่มีทางระงับยับยั้งมันได้เลย

เจ้าตัวอยากไม่อยากนี่แหละ คือ "ตัณหา"

3.ตัณหา จึงมาจากกิเลส
ถ้าดับกิเลสหรือความรู้สึกตัวนี้ได้
ตัณหาคืออยากไม่อยากย่อมดับตามไปด้วย

ถ้าท่านดับตัณหาได้
ตัวอุปาทานคือการหลงผิดก็จะไม่เกิด

อุปาทานก็คือการลุ่มหลงในเงามายาของสรรพสิ่ง
เพราะคิดว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นตัวตนแก่นแท้
ทั้งรูป รส กลิ่น เสียงจึงหลงยึดติดพวกมันเข้า
การหลงยึดติดในสิ่งเหล่านี้นี่เอง
จักเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งปวง

4.ถ้าท่านดับตัณหาไม่ได้
ตัวอุปาทานก็จะสร้างปัญหาทางจิตแก่ท่านต่อไป
นั่นคือ มันจะทำให้จิตของท่านไม่ว่าง
ที่ไม่ว่างเพราะมัวแต่หลงยึดติดอัตตาของสรรพสิ่ง

การยึดติดมากจนยากจะปล่อยวาง
ยังจะทำให้จิตท่านเสียสมดุลไปจากความว่าง
ห่างไกลจากความสุขสงบ
เพราะมันจะเกิดโทสะ โลภะ โมหะ
มาพอกพูนจิตใจคล้ายดั่งสนิมจนหนาขึ้นเรื่อยๆ
ในบั้นปลายจิตใจท่านก็จะเกิดการ "ตายด้าน"

5.อาการ "ตายด้าน" ก็คือ
รักไม่ได้ ให้ไม่เป็น เห็นแก่ตัว

ดังนั้น
ถ้าหากท่านทั้งหลาย
ยังใช้ชีวิตด้วยจิตที่ติดทุกข์กันอยู่เยี่ยงนี้
โดยไม่ยอมเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเลย
ท่านก็จักเป็นปลาที่ถูกคัดทิ้งแน่นอน

กราบพระบาทพระบิดา
ที่ทรงเมตตาประทานพระโอวาท

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-11-2016

จัดว่าเป็นความดีงามของท่านได้หรือ






เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จะจัดว่าเป็นความดีงามของท่านได้หรือ
ถ้าท่านเลือกรักแต่เฉพาะคนที่รักท่าน
ถ้าท่านเลือกรักแต่เฉพาะคนที่ทำดีกับท่าน
เพราะคนที่ไม่ดีหรือคนบาปทั้งหลายนั้น
ใครๆเขาก็รักคนที่รักเขา
ใครๆก็รักคนที่ทำดีกับเขาด้วยเหมือนกัน
จะจัดว่าเป็นความดีงามของท่านได้หรือ
ถ้าท่านยังเลือกให้ยืมเงิน
เฉพาะคนที่ท่านมั่นใจว่าจะได้คืน
เพราะคนบาปทั่วไปเขาก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน
จะจัดว่าเป็นความดีงามของท่านได้หรือ
ถ้าท่านรักลูกหลานของคนข้างบ้าน
น้อยกว่ารักลูกหลานของตัวท่านเอง
เพราะคนทั่วไปเขาก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน
ดังนั้น
ท่านจงรักคนทุกคนให้เท่าเทียมกัน
จงรักทุกคนให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
จงให้ทุกคนในสิ่งที่ท่านให้ได้
โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเถิด
เพราะพระบิดา
จะทรงประทานบำเหน็จให้แก่ท่าน
อย่างเหมาะสมบริบูรณ์
ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
โดยที่ท่านมิพักต้องร้องขอเลย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-11-2016

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เราเป็นผู้ประกาศข่าวสารการเปลี่ยนยุค







เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เราเป็นผู้ประกาศข่าวสารการเปลี่ยนยุค
จากยุคพลังงานเก่าสู่โลกยุคพลังงานใหม่
เราเป็นผู้เปิดเผยความลับของสวรรค์ว่า
พระบิดาจะทรงพิพากษาโลก
ด้วยปฏิบัติการชำระโลก ครั้งที่ 4
ที่ชาวโลกเสรีจักต้องเผชิญกับภัยพิบัติ
ที่รุนแรงและหนักหนาที่สุด
ยิ่งกว่าการชำระทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา
ตั้งแต่ 30 ปีเศษที่ผ่านมาแล้ว
เราขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
ที่เราเปิดเผยมาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความจริง
ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถจะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้
คำว่า #ชำระโลก หมายถึง
การปรับสมดุลใหม่ให้กับดาวเคราะห์โลก
ทั้งทางกายภาพและพลังงานที่เสียสมดุลอยู่
แล้วก็จะทำการยกระดับพลังอำนาจของโลก
ให้สูงขึ้นจากเดิมอีก 2 เท่า
พร้อมกับการย้ายพิกัดใหม่
ของดาวโลกเสรีในระบบสุริยะนี้
ซึ่งโลกจะมีฟ้าใหม่ในยุคพลังงานใหม่อีกด้วย
นอกจากนั้นปฏิบัติการชำระโลก
ยังหมายถึงการ #ชำระจิตสามนึก
ของมวลมนุษย์ทุกคนบนโลกเสรีนี้ด้วย
เพื่อให้มีจิตใสใจสวยรวยความรัก
สมศักดิ์ศรีแห่งการเป็นมนุษย์
ผู้มีจิตตปัญญาสูงส่งแท้จริง
จะได้ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
ในยุคพลังงานใหม่ได้อย่างสมบูรณ์
ชาวโลกเสรีทุกคน
จะต้องผ่านบททดสอบจิตสามนึกด้านบวก
เพื่อแทรกแซงกระบวนการของขันธ์ 5
ซึ่งสั่นสะเทือนอยู่ภายในจิตใจของตน
เพื่อหมุนธรรมจักร แทนกรรมจักรให้ได้โดยเร็ว
ชาวโลกเสรีทุกคน
จักต้องสอบผ่านบททดสอบ "ความกลัวตาย"
ด้วยการสั่นสะเทือนข้างในจิตใจ
น้อมนำเอาความรักเพื่อให้ออกมาให้ได้
ก่อนที่โลกจะมืด 56 วัน 8 ราตรี
ซึ่งเป็นคาบเวลาแห่งการเปลี่ยนยุค
เพื่อท่านจักได้เป็นปลาที่ถูกคัดไว้
กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17-11-2016

จงให้อภัย ในความผิดบาปของคนอื่น







พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระองค์ทรงใช้เรามาให้ทำหน้าที่อะไร
เราก็ทำหน้าที่ของเราไปตามนั้น

ถ้าท่านยอมรับในพระบิดา
ก็จงศรัทธาเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของเรา
เพราะเราเป็นผู้ทำตามพระบัญชา

ดังเช่นพระองค์
ให้เรามากล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า

จงให้อภัยในความผิดบาปของผู้อื่นเสีย
เพราะถ้าท่านไม่ให้อภัยแก่เขา
ความผิดบาปของเขาก็จะไม่ได้รับการให้อภัย

จิตวิญญาณของท่านกับเขา
ก็จะผูกสัมพันธ์กันไว้ด้วยสายใยแห่งกรรม
จนมิอาจเป็นอิสระจากกันและกันได้
ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อันใดเลย

นอกจากเมื่อตายแล้ว
พวกท่านก็จะต้องย้อนกลับมาสู่การเกิดใหม่
เพื่อเรียนรู้ที่จะให้อภัยในความผิดบาปนั้น
และเรียนรู้ที่จะไม่กระทำผิดบาปเช่นนั้น
กับผู้อื่นผู้ใดอีกตลอดไปนั่นแหละ

กราบพระบาทองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17-11-2016

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

กฎแห่งกรรม กฎหลักของจักรวาล (2)


 
 
 
 
 
 
พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ใครที่ไม่เชื่อเรื่องของกฎแห่งกรรม
ก็จงอ่านผ่านข้อความเหล่านี้ไปเสีย
เพราะข้อความทั้งหมดต่อไปนี
มีไว้สำหรับคนที่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเท่านั้น

1.พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงกำหนดให้ท่านทุกคนเป็นสัตว์สังคม
เพื่อทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวโลก
เนื่องจากภารกิจ "เพื่อนร่วมงาน" ของโลก
ทำคนเดียวให้สำเร็จไม่ได้
ทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน

2.ภารกิจหลักที่ว่านั้น คือ ช่วยให้โลกหมุน
ด้วยการผลิตสร้างพลังงานความรัก
ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ชนิดเดียวกันกับคลื่นสนามแม่เหล็กโลก
โดยผลิตจากจิตมนุษย์ของแต่ละคน
แล้วมอบให้แก่กันและกันในชีวิตประจำวัน

คลื่นพลังงานจิตด้านบวกหรือพลังงานความรัก
พวกท่านทุกคนสามารถสั่นสะเทือนต่อกัน
ผ่านความอดทน อดกลั้น และให้อภัย
ต่อการกระทำไม่ถูกต้องของคนอื่นๆ

หรือสามารถสั่นสะเทือนต่อกั
ในรูปของเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ต่อการกระทำด้านบวกของผู้อื่น
หรือต่อความต่ำต้อยอนาถาของผู้อื่น

3.ถ้าคนทุกคนบนโลกนี้
ต่างแบ่งหน้าที่กันทำงานเพื่อดาวโลก
แม้จะดำรงชีวิตอยู่กันคนละซีกโลก
แต่สามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันได้
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้
ก็จะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้ต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วคงที่ตามที่พระบิดากำหนดไว้
ความสมดุลของระบบโลกจึงจะเกิดขึ้น
และสามารถดำรงความสมดุลได้ตลอดไป

4.ดังนั้น
ความสำเร็จของมวลมนุษย์แห่งโลกเสรี
ต่อหน้าที่ทางจิตวิญญาณที่อาสามาเกิดนี้
จึงขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวเท่านั้นแต่สำคัญยิ่ง

นั่นคือ พวกท่านทุกคน
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
เข้าถึง #ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ได้แค่ไหน

พวกท่านใส่ใจที่จะรักกัน
และรักโลกบ้างมั้ย

พวกท่านรักลูกหลานคนข้างบ้า
เท่ากับที่ท่านรักลูกหลานของตนเองได้มั้ย

พวกท่านให้อภัยแก่บุคคลที่ท่านเห็นว่า
ไม่สมควรให้อภัยกันได้มั้ย

พวกท่านสามารถช่วยเหลือคนยากจน
ที่ท่านรู้เห็นมาตั้งแต่แรกแล้วว่า
พวกเขาไม่สามารถที่จะ
ตอบแทนบุญคุณท่านได้หรือไม่

5.พวกท่านจะไม่ใช้พละกำลังหรืออำนาจ
ที่ตนมีมากกว่าหรือเหนือกว่าชาติอื่น
ทำการย่ำยีกดขี่ข่มเหงเอาเปรียบชาติอื่นมั้ย

พวกท่านจะไม่ใช้วิชามาร
เข้าไปแอบแฝงยุแยงให้พวกเขาทะเลาะกันเอง
ทำสงครามเอาชีวิตคนภายในชาติเดียวกันเอง
เพื่อประโยชน์ส่วนตนที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง
จนนำความแตกแยกร้าวฉานสู่แผ่นดินนั้นมั้ย

พวกท่านสาบานได้มั้ยว่า
สงครามทุกพิกัดบนโลกนี้
ตนมิได้มีส่วนเอี่ยวเกี่ยวข้องด้วยมาก่อน
ตนมิเคยคาดหวังในผลประโยชน์อันใดมาก่อน
พวกท่านอยากเห็นโลกนี้มีสันติสุขแท้จริง

6.พฤติกรรมขยะแบบต่างๆ
ที่ผู้มีอำนาจเหนือนำผู้อื่นได้ใช้กระทำต่อผู้อื่น
อย่างไร้สติทางวิญญาณ
อย่างขาดจิตสำนึกแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน
ด้วยการคิดที่จะมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
ในบทบาทของจ้าวโลก
ซึ่งนำโลกไปสู่การแตกแยกมาตลอดนั้น
เป็นพฤติกรรมที่ผิดบาปมหันต

ที่สุดแล้วแม้ท่านจะยิ่งใหญ่ในทางโลก
แต่ท่านจักต้องวิปโยคทางจิตวิญญาณ
เพราะกฎแห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่ง
มันเป็นกฏที่แท้จริงของสากลจักรวาล

ผู้มุ่งทำร้ายจักต้องถูกทำร้ายตอบ
เคยทำอะไรกับใครอื่นไว้อย่างไร
ตนก็จักต้องได้รับผลกรรมนั้นตอบสนองเสมอ

7.ชาติมหาอำนาจ
จะเกิดสงครามกลางเมืองเสียเอง
จากการต่อสู้แตกแยกในพวกเดียวกันเอง
จนบ้านเมืองหาความสันติสุขไม่ได้
ด้วยสาเหตุทางการเมือง
เศรษฐกิจและการทหาร

ผู้คนจะไม่เคารพกฎหมาย
โดยอาศัยลัทธิเอาอย่าง
จึงกระทำตนฝ่าฝืนกฎหมายอยู่เนืองๆ

บ้านเมืองตนเองคงต้องวุ่นวายหนัก
จนไม่มีเวลาว่างจะไปแทรกแซงใครอื่น
จนไม่มีเวลาว่างจะไปก้าวล่วงใครอีก
เพราะต้องยุ่งกับการกวาดบ้านตนเอง
เพราะต้องยุ่งกับการทำสงครามภายในกันเอง
เพราะต้องยุ่งกับการทำสงครามกับภัยพิบัติ
ที่ช่างเท็คนิกของฟ้าจะจัดสรรมาให้

ประชาชนจะไม่รักชาติ
นักการเมืองจะขาดศีลธรรมจริยธรรม
ผู้คนจะมีความเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น
ข้าวจะยากหมากจะแพง
แต่อาวุธสงครามร้ายแรงจะราคาถูกลง

8.ชะตากรรมตัวอย่างในข้อ 7.
เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม
ซึ่งเป็นกฏเล็กในกฎหลักของจักรวาล
คือกฎแห่งการสมดุลกันของสรรพสิ่งโดยแท้

ผลกรรมมันกำลังจะทะยอยเกิดขึ้น
ให้ได้เรียนรู้กันอยู่แล้ว
โปรดติดตามชมกันเองเถิดท่านทั้งหลาย

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงพระเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-11-2016

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปลา 6 ชนิด ที่จะต้องถูกคัดทิ้ง


 
 
 
 
 
 
 
นี่เป็นปลา 6 ชนิด ที่จะต้องถูกคัดทิ้ง
ในปฏิบัติการชำระโลกเพื่อการเปลี่ยนยุค
ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี

*1.ปลาตัวที่ป่วยทางจิตวิญญาณ

หมายถึง ปลาจำพวกที่
เคยก่อกรรมทำผิดบาปเอาไว้มา
เคยก่อกรรมทำผิดบาปอยู่ซ้ำๆ
ในทุกภพชาติ
ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

บ้างก็เคยผ่านการบำบัดเยียวยา
เพื่อรักษาสมดุลทางจิตวิญญา
ในภพภูมินรกกันมาแล้วตั้งหลายครั้ง
แต่ก็ไม่มีวี่แววแนวโน้มว่าจะดีขึ้น
จนคืนสมดุลทางจิตวิญญาณ
ให้แก่ตนเองไม่ได้

ปลาเหล่านี้จะต้องถูกคัดทิ้
เพราะเป็นปลาจำพวกไม่มีอนาค
จะปล่อยให้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไม่ได้

*2.ปลาตัวที่พิการทางปัญญา

หมายถึง ปลาตัวที่มักง่าย
ถนัดแต่ใช้อารมณ์นำปัญญา

ปลาตัวที่ไร้สติ
จนตกเป็นทาสทางอารมณ์รู้สึกของตนเอง
โดยมักชอบทำอะไรเอาแต่ใจตัว
จึงเข้ากับใครอื่นไม่ค่อยจะได้

เป็นปลาที่คิดไม่เป็น
เข้าถึงอำนาจทางปัญญาของสมองไม่ได้
เพราะไม่เคยใส่ใจที่จะฝึกคิ
จึงไม่เชี่ยวชาญในการใช้ความคิด
จึงเป็นปลาตัวที่ไม่มีเหตุผ
เป็นปลาที่ใช้เหตุผลไม่เป็น

ปลาบางตัวในกลุ่มนี้
จึงมีอาการค่อนข้างจะงมงาย
สอดแทรกอยู่ด้วย

*3.ปลาตัวที่จำพระบิดาไม่ได

หมายถึง ปลาพวกที่ปฏิเสธพระบิดา
ทั้งๆที่พระบิดาเป็น
ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตนแท้ๆ

ถ้าเขาปฏิเสธการมีอยู่จริงของพระบิดา
นั่นเท่ากับว่าเขาก็ได้ตัดญาติ
ขาดสัมพันธ์กับพระบิดาแล้ว
การทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาไว้
ก็เป็นอันขาดการติดต่อสื่อสารไปทันที

ปลาพวกนี้มักจะต่อต้าน
การกลับมาตามพันธะสัญญาเดิมของเรา
ต่อต้านการสื่อพระโอวาทของเรา
และปฏิเสธพระโอวาทพระบิดา

*4.ปลาตัวที่ไม่มีปณิธานแห่งนิพพาน

หมายถึง ปลาตัวที่ไม่รู้จักรักผู้อื่น
ขณะที่ตนต้องการให้ผู้อื่นรัก

เป็นปลาตัวที่ไม่รู้จักการให้ผู้อื่น
ขณะที่ตนต้องการแต่จะได้รับจากผู้อื่น

เป็นปลาตัวที่ไม่แคร์การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น
จึงไม่ใส่ใจเรียนรู้ที่จะตอบสนอง
ความต้องการของผู้อื่นบ้าง
จึงมักทำตนเป็นอุปสรรคของผู้อื่นอยู่เนืองๆ

พฤตินิสัยเหล่านี้นี่เองที่ยังผลให้ปลาพวกนี้
มีแต่ก่อเวรเกี่ยวกรรมกับผู้อื่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนหมดโอกาสที่จะกลับบ้าน

*5.ปลาตัวที่พวกมารเรียกพี่

หมายถึง
ปลาตัวที่ฝักใฝ่แต่ในด้านชั่ว
จึงเชี่ยวชาญในการก่อกรรมทำเข็ญต่อผู้อื่น
มองหาความดีงามไม่เจอ

ปลาพวกนี้จะเป็นปลาตัวที่มักทำตนเป็นอุปสรรค
ในการยังประโยชน์สุขของปลาตัวอื่นๆ
จึงเป็นปลาที่คัดเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์
คัดทิ้งไปจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่า

*6.ปลาตัวที่ดีแต่พูด

หมายถึง
เป็นผู้สามารถกล่าวธรรมะ
ได้อย่างแคล่วคล่อง
ท่องธรรมะได้อย่างปราดเปรีย
เที่ยวสอนปลาตัวอื่นๆไปทั่ว

แต่ตัวเองกลับรู้ธรรมแต่ไม่รู้ทำ
จึงไม่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้อื่นได้

การเป็นผู้สอนธรรมะโดยมีดีอยู่ที่ปาก
จึงยากแก่การเป็นครูที่แท้จริงได้
เพราะการเป็นครูคือผู้ทำตนเป็นแบบอย่าง
มิใช่เพียงแค่แอบอ้างด้วย "คำพูด" เท่านั้น

ดังนั้น
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ปลา 6 ชนิดนี้ไงล่ะที่ฟ้าไม่โปรด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-11-2016