วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อโหสิ....อโหสิ....อโหสิ



เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การเกี่ยวกรรมกันของพวกท่าน
ล้วนเกิดได้จากเงื่อนไขเหล่านี้ คือ

1.คนหนึ่งกระทำไม่ถูกต้องต่ออีกคนหนึ่ง

2.คนที่ถูกกระทำเกิดอาการเสียสมดุลทางจิตใจ
เป็นโกรธ เกลียด เคียด แค้น

3.คนที่ถูกกระทำ
เมื่อเสียสมดุลทางจิตแล้ว
มีการกระทำตอบด้านลบกลับคืน

จนยังผลให้คนที่เป็นฝ่ายริเริ่มกระทำคนแรก
เสียสมดุลไปทางด้านลบบ้างเมื่อถูกตอบโต้เข้าให้
จนเกิดการต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้านกันไปมา
การเกี่ยวกรรมกันมันจึงเกิดขึ้น

4.ขณะบางคนที่ถูกกระทำด้านลบโดยผู้อื่นก่อน
เมื่อเสียสมดุลทางจิตใจแล้ว
ก็ได้แต่ผูกใจเจ็บแค้นอยู่อย่างนั้น
เพราะไม่สามารถกระทำตอบด้านลบใดๆคืนได้
การเกี่ยวกรรมกันมันจึงเกิดขึ้น

5.เราใคร่ถามท่านทั้งหลายว่า
เมื่อใดที่ท่านเป็นฝ่ายถูกกระทำที่ไม่ถูกต้อง
ผ่านทางหู ทางตา หรือทางร่างกาย
จนเข้าไปกระทบจิตใจท่านให้เกิดการเสียสมดุลนั้น

มันจึงมีปัญหาเฉพาะหน้า
ให้ท่านได้เผชิญอยู่ 2 ปัญหา คือ
1).ปัญหาทางจิตของท่านเองที่กำลังเสียสมดุลอยู่
2).ปัญหาจากคนที่กระทำไม่ถูกต้องที่ยั่วยุท่าน

คำถาม คือ สองปัญหานี้
ปัญหาใดเป็นปัญหาใหญ่ของท่าน
อันควรได้รับการแก้ไขก่อน????

จะจัดการ "ไอ้เวรนั่น" ที่เขาทำให้ท่านเสียสมดุลหนัก
หรือจะจัดการ "ไอ้เวรนี่" คือ
จิตของท่านเองที่กำลังป่วยหนักเพราะเสียสมดุลอยู่

6.ส่วนมากท่านจะเลือกจัดการแต่ "ไอ้เวรนั่น"
แล้วปล่อย "ไอ้เวรนี่" คือ จิตตนเองเอาไว้
โดยปล่อยให้มันทุรนทุรายอยู่อย่างนั้น
เสมือนเข้าใจว่าถ้าได้แก้แค้นแล้ว
สภาวะจิตตนเอง คือ ไอ้เวรนี่
จะเกิดการผ่อนคลายหายป่วยได้เช่นนั้นแหละนะ

ที่ผ่านมาในชีวิตอดีตของท่านนั้น
ในยามที่สภาวะจิตสงบแล้ว
ท่านก็รู้ดีว่าการปฏิบัติเช่นนั้น
เป็นการทำผิด! คิดผิด!!

เพราะที่ถูกต้องแล้วท่านต้องจัดการ
แก้ปัญหาที่ในจิตของตัวท่านเอง
จะถูกต้องกว่าและง่ายกว่าด้วยซ้ำไป
ท่านจึงสามารถจะ "หยุด"
หรือ "ตัด" การเกี่ยวกรรมนั้นได้

โดยสิ้นสุดยุติกงล้อแห่งกรรมนั้นได้
ก็ด้วยตัวท่านเองโดยแท้
ใช่คนอื่นก็หาไม่...

7.วิธีเดียวที่ท่านจะสามารถตัดกรรมนั้นได้ทันที!!!!
ในกรณีที่ท่านเป็นฝ่ายถูกกระทำไม่ถูกต้อง
โดยให้ท่านจงยุติมันไว้ด้วยพยางค์สั้นๆว่า

โอ้โหสิ....โอ้โหสิ...โอ้โหสิ.....

ท่านจำได้รึไม่ว่า
เวลาท่านประสบเหตุร้ายๆน่าตกใจกลัวมากๆ
เช่น เห็นรถชนกันแรงๆ
เห็นมอเตอร์ไซด์ล้มคว่ำคนขี่กระเด็น
เห็นอะไรที่น่าหวาดเสียว
ท่านจะอุทานว่ากระไรล่ะ.....นอกจากร้องว่า
"โอ้โห...โอ้โห....ขนาดนั้นเลยเหรอ"
เพียงไม่นานนักจิตของท่านก็จะสงบลงเป็นปกติ
ใช่หรือเปล่าล่ะ....???

ท่านรู้มั้ยว่า....คำอุทานที่ว่า "โอ้โหๆๆๆ"
เป็นภาษาจิตที่เป็นสากล
เป็นพยางค์สั้นๆแต่ศักดิ์สิทธิ์
ไม่ต่างไปจากคำว่า "อะอุมะ หรือ โอม!" หรอกนะ

หากเมื่อใดที่ท่านตกใจ ตื่นกลัว หวาดเสียว
เสียสมดุลทางจิตใจที่รุนแรงแล้ว
จงระลึกถึงคำนี้และความหมายที่เราเปิดเผยนี้
แล้วภาวนาซ้ำๆกันไปเรื่อยๆ
ขณะภาวนาหรือท่องมนต์นี้อยู่
จงอย่าเอาจิตไปไว้ที่อื่นหรือไม่นึกถึงเรื่องอื่น
นึกอย่างเดียว ท่องอยู่อย่างเดียวจนกว่าจะดีขึ้น
คือ โ้อโหๆๆๆๆๆๆๆๆ......
แล้วทุกอย่างที่อัศจรรย์ก็จะบังเกิดแก่ท่านเอง

8.ดังนั้น.....
เราจึงขอมอบ "กฤตสติ" เล่มนี้ให้แก่ท่าน
จงรับเอาไว้เป็นอาวุธประจำกาย
เอาไว้หั่นความแค้นเคืองอาฆาตในจิตท่าน
ทุกครั้งที่ถูกกระทำร้ายๆ
จงรีบร้องคำว่า "โอ้โหสิ! โอ้โหสิ! โอ้โหสิ!"
โดยไม่คิดเรื่องอื่นสอดแทรกขึ้นมา

เมื่อท่านกล่าวเร็วๆ ท่านก็จะกล่าวกับตนเองว่า
อโหสิ....อโหสิ....อโหสิ....

เรามอบกฤตสติแก่ท่านแล้ว
ไปนิพพานกลับบ้านของพวกเรากันเถิดนะ
เราจุดตะเกียงและเติมน้ำมันอีกหนึ่งหยดให้ท่านแล้ว
เชิญรับไปสิ....รับมั้ย?

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
27-05-2015

อย่าเดินถ่างขา ถ้าปรารถนาจะหลุดพ้น





อย่าเดินถ่างขา
ถ้าปรารถนาจะหลุดพ้น
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-05-2015

ปฎิบัติมาจนถึงที่สุด แล้วใยหลุดพ้นไม่ได้



จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ตามวิธีการทางเท็คนิกของพระหรือนักบวช

หมายถึง
การฝึกให้มีสติที่จะรู้เท่าทันสภาวะจิตตนเอง
ซึ่งผันแปรเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา
มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
เช่น เมื่อจิตมีราคะ โทสะ หรือโมหะ
ก็ให้รู้เท่าทันว่าจิตกำลังมีราคะ โทสะ หรือโมหะ
แล้วเฝ้าติดตามดูมัน
จนในที่สุดจะพบว่ามันก็ดับไปไม่ยั่งยืน
แล้วต่อมาไม่นานมันก็สามารถที่จะ
เกิดขึ้นมาใหม่ได้อีก
เป็นเช่นนี้เรื่อยไป.....

2.ดังนั้น....
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จึงเป็นวิธีการฝึกปฏิบัติจิตให้รู้สติอยู่กับปัจจุบัน
โดยมีจิตตนเองเป็นฐานที่ตั้ง

อันเป็นวิธีการเพ่งจิตหรือส่องจิต
หรือเฝ้าติดตามดูสภาวะจิตที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
ในขณะนั่งปิดหูปิดตาสงบสำรวมอยู่ในที่ตั้งนั้น

3.ส่วนวิธีการกำหนดจิตโดยครอง "มหาสติ"
ด้วยวิธีธรรมชาติสมาธิในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเป็นวิถีแห่งจิตจักรวาลที่เรากล่าวไว้นั้น
เหมาะสำหรับฆราวาสผู้ครองเรือน
ที่จะถือปฏิบัติเป็นมรรควิถี
สู่การอยู่เหนือกรรมหรือเป็นคนพ้นกรรมทั้งปวง

เพราะเป็นการปฏิบัติไป
ในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน
ที่มิใช่การปลีกวิเวกหรือสันโดด
ที่เป็นการนั่งหลับตาปฏิบัติอยู่กับจิตตนเองตามลำพัง
อันเป็นมรรควิถีของนักบวชผู้เป็นนักรบแห่งแสงสว่าง

4.สำหรับการครอง "มหาสติ" ตามวิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
เป็นการปฏิบัติตนในสองมิติที่เป็นธรรมชาติที่สุด
โดยแทนที่จะคอยตามเฝ้าดูสภาวะจิตในปัจจุบัน
ตามวิถีของนักบวชหรือพระ
เพื่อการรู้เท่าทันความไม่เที่ยงแท้ของจิต
แต่การครองมหาสติ
จะยังประโยชน์ให้ผู้ปฏิบัติได้มากกว่านั้น

เพราะท่านสามารถใช้ "มหาสติ" ช่วยค้ำจุน
การเป็นคนสองมิติของท่านให้สงบสมดุลกัน
ระหว่างมิติทางกายภาพกับมิติทางจิตวิญญาณ
เพื่อประโยชน์สูงสุดที่ท่านเองหรือมนุษย์ทุกคน
จักต้องเข้าถึงมันให้ได้

นั่นคือ....
การรู้จักรัก รู้จักให้ และรู้จักใช้ปัญญาของสมอง
เพื่อการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคม
โดยไม่ทำลายความสงบสมดุลของกันและกัน
ในอันที่จะช่วยให้ท่านทั้งหลาย...

**รู้เท่าทันกิเลสตัณหาของตนได้ทันทีที่มันเกิดขึ้น
**สามารถจัดการกับกิเลสตัณหานั้นได้ทันทีที่มันเกิดขึ้น
**สามารถเข้าถึงความรักเพื่อการตอบสนองคนที่ไม่น่ารักได้
**สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาแทนอารมณ์ขยะรายวันได้
**สามารถแสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม
ออกมาได้อย่างเหมาะสม

5.การครอง "มหาสติ" หมายถึง
การที่ท่านจะต้องปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน
ขณะดำเนินชีวิตร่วมกันกับผู้อื่น ดังนี้ คือ

(1).ต้องรู้สติ
เพื่อสร้างความฉลาดทางอารมณ์ คือ .....

รู้ว่าขณะนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ (รู้ปัจจุบัน)
รู้ว่าเมื่อครูท่านได้ทำอะไรมา (รู้อดีต)
รู้ว่าต่อไปข้างหน้าท่านต้องทำสิ่งใด (รู้อนาคต)

(2).ต้องมีสติ
เพื่อสร้างความฉลาดทางสังคม คือ ....

**รู้รับรู้ในสิ่งสมควรรู้
รู้รับเอาในสิ่งสมควรรับเอา

**รู้รับรู้ในสิ่งสมควรรู้
รู้ไม่รับเอาในสิ่งไม่สมควรรับเอา

**รู้ที่จะไม่รับรู้ในสิ่งไม่สมควรจะรู้
รู้ไม่รับเอาในสิ่งไม่สมควรรับเอา

(3).ต้องใช้สติ
เพื่อสร้างความฉลาดทางปัญญา คือ....

มีความสามารถที่จะเข้าถึง
การใช้ความฉลาดของสมองทั้งสองซีกได้
อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

6.ท่านจะแลเห็นว่า....
ระหว่างการนั่งเพ่งมองส่องจิตอยู่คนเดียวเงียบๆ
กับการบริหารจิตตนเองไปในชีวิตประจำวัน
ด้วยมรรควิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
ผลลัพธ์ของการปฏิบัติมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

เพราะการครองมหาสติ
จะช่วยให้ท่านไม่กระทำผิดบาป
ด้วยการก้าวล่วงใครอื่นเขา
ให้เกิดเวรกรรมขึ้นมาใหม่ได้ง่ายๆเลย

เพราะการครองมหาสติ
จะช่วยให้ท่านเข้าถึงความรักกับปัญญา
ที่ท่านสามารถหยิบมาใช้แก้กรรม
หรือตัดกรรมเก่าที่ค้างคามาจากภพชาติอดีต
ระหว่างท่านกับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ
ให้มันสิ้นสุดยุติกรรมลง
อย่างสิ้นเชื้อได้ในภพชาตินี้

ดังนั้น...
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราเตือนพวกท่านว่า
อย่าเดินถ่างขาถ้าปรารถนาการหลุดพ้น
เพราะท่านเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
พวกท่านมิใช่นักรบแห่งแสงสว่าง...

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
27-05-2015

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พลังจิตใต้สำนึก



หลายคนถามเราว่า....
เราเป็นนักวิชาการสัมผัสพิเศษ
ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางจิต
แล้วใยไม่จัดหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานบริษัทต่างๆ
เกี่ยวกับการสั่งจิตใต้สำนึกแนวฝรั่งและต่างชาติ
ที่กำลังนิยมกันอยู่ในเมืองไทยขณะนี้ล่ะ

เราได้ตอบพวกเขาไปว่า.....

1.เพราะเราไม่ต้องการทำผิดบาป
ต่อจิตวิญญาณของผู้ที่จะมาเข้ารับการอบรมกับเรา

เพราะการกระตุ้นแรงบันดาลใจ
ด้วยวิธีการ "สั่งจิตใต้สำนึก" โดยตรงนั้น
เป็นการกระทำที่ผิดกระบวนการทางธรรมชาติ

การเจาะเข้าไปหาจิตวิญญาณข้างใน
เพื่อใช้อำนาจทางจิตวิญญาณ
ขับเคลื่อนพฤติกรรมใดๆ
แทนจิตสำนึกของตนนั้นเป็นการกระทำที่ผิดบาป
เสมอการก้าวล่วงจิตวิญญาณของตนนั่นเอง

เพราะธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้น
สามารถเข้าถึงแรงบันดาลใจในตนเอง
ที่ได้จากจิตใต้สำนึกของตนเองกันอยู่แล้ว
โดยไม่ต้องใช้วิธีการหรือพิธีกรรมพิเศษเลย
เพียงแต่ว่าจะทำเป็นใช้เป็นกันหรือเปล่าเท่านั้น

2.เพราะเรารู้ว่า...
แรงบันดาลใจเป็นพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
ซึ่งมนุษย์โลกเรียกว่า "พลังแห่งจิตใต้สำนึก" นั้น
พลังอำนาจที่ช่วยให้คนตกใจเพราะไฟไหม้
สามารถแบกยกขนย้ายตุ่มน้ำ
ที่มีน้ำหนักมากกว่าตนเองหลายเท่าได้

โดยที่พลังอำนาจตัวนี้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์
จะสั่นสะเทือนเพื่อขับเคลื่อนออกมาให้ใช้

ผ่านความกลัวสุดขีด! ตกใจสุดขีด!
ในสถานการณ์วิกฤติคับขันเสี่ยงชีวิต

ผ่านความปรารถนาอย่างแรงกล้า
ผ่านความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ผ่านความรักอันบริสุทธิ์
ผ่านความเชื่อมั่นอันสูงสุด

ผ่านสัญชาตญาณในชีวิตประจำวัน
เพื่อการมีชีวิตรอดของเครื่องยนต์แห่งกรรมนั้น
เช่น หิว หาว กระหาย เหนื่อยล้า การหนีภัย
การป้องกันตัว และอื่นๆ
ที่ทั้งคนและสัตว์ล้วนมีเหมือนๆกัน

ดังนั้น...
หากเราไปสอนท่านทั้งหลายให้ทำผิดธรรมชาติ
ทั้งๆที่ยังมีวิธีทางที่ถูกต้องถ่องแท้และไม่ยาก
ซึ่งท่านทั้งหลายสามารถปฏิบัติได้
ด้วยตนเองกันอยู่แล้ว
มันก็จะสร้างความผิดบาปให้เราเองด้วย

3.เพราะเรารู้ว่า....
การสอนท่านให้สั่งตนเองว่า "ทำได้ๆ"
แม้ว่าคำสั่งดังกล่าวนั้นมันอาจจะ "หล่นลงไป"
ในจิตใต้สำนึกของท่านได้ก็ตาม
แต่มันก็เป็นแค่เพียง
การสร้าง "ความเชื่อ" ขึ้นมาในอากาศ
เพื่อทำให้เกิด "ความกล้าแสดงออก"
สำหรับคนขลาดเท่านั้น
มิใช่สิ่งที่เราเรียกว่า "ความเชื่อมั่นในตนเอง"

ความ "เชื่อว่า" ท่านทำได้
กับ "ความเชื่อมั่นว่า" ท่านทำได้
สองสิ่งนี้ความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะ

การเชื่อว่าตนเองต้องทำได้
จนยังผลให้กล้าพูดกล้าทำกล้าแสดงออก
โดยที่ท่านยังขาดความรู้ ความชำนาญ ความฉลาด
ท่านยังขาดประสบการณ์
ขาดความพร้อมในหลายๆด้านแล้ว
ท่านจะทำสิ่งยากๆนั้นได้แน่หรือ

การเชื่อว่าตนเองต้องทำสำเร็จก็เช่นกัน
หากยังขาดทักษะความพร้อมในหลายๆด้าน
โดยมีแต่ความเชื่อ....เชื่อ.....จากการปลุกเร้าตนเอง
ท่านจะทำสิ่งยากๆนั้นสำเร็จได้แน่หรือ

ความกล้าริเริ่ม...กล้าลงมือทำย่อมเป็นสิ่งดี
แต่ท่านควรสร้างความมั่นใจที่จะทำสิ่งนั้น
ด้วยการเรียนรู้ที่จะสร้างความพร้อมที่จะทำ
ในอีกทางหนึ่งด้วย

มีตัวอย่างมั้ย....มีใครสักกี่คนกัน
ที่เขาสามารถเข้าถึงพลังทางจิตวิญญาณ
ด้วยวิธีการสร้างความเชื่ออย่างที่ท่านถามเรามา
แล้วสามารถคิดหรือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า
ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม
เหนือมนุษย์คนอื่นๆ.....

4.เพราะเรารู้ว่า....
พลังจิตใต้สำนึกหรือพลังทางจิตวิญญาณ
ที่ท่านเรียกว่า "แรงบันดาลใจ" นั้น
จะใช้สิ่งจูงใจภายนอกมากระตุ้นไม่ได้
เพราะแรงบันดาลใจมิใช่แรงจูงใจ

การขับเคลื่อนแรงบันดาลใจออกมาใช้นั้น
ท่านสามารถจะกระทำผ่านจิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์
ด้วยวิธีที่เป็นธรรมชาติได้เสมอเมื่อต้องการ
เพียงแต่ท่านจักต้องรู้กลไกกระบวนการ
เพื่อ "สั่งการ" ผ่านจิตสำนึกปกติของท่านให้เป็น
ซึ่งในสไลด์ต่อไป เราจะแนะนำให้ท่านได้รู้

5.เพราะเรารู้ว่า.......
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณหรือแรงบันดาลใจนั้น
ถ้ามนุษย์ต้องการใช้มัน
จักต้องสั่นสะเทือนผ่านจิตสำนึกเท่านั้น
จะสั่นสะเทือนผ่าน "จิตไร้สำนึก" ไม่ได้
แม้ท่านจะทำสำเร็จก็ตาม

เพราะพลังอำนาจจากจิตใต้สำนึก
เปรียบเสมือนพลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่รถยนต์
รถยนต์เปรียบเสมือนเป็นร่างกายของท่านนั่นแหละ

เมื่อมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นในครรภ์แม่
ถ้าจิตวิญญาณซึ่งเสมือนเป็นแบตเตอรี่
ไม่เข้าไปปฏิสนธิทางวิญญาณ
มันก็ไม่ต่างจากรถยนต์ที่ผลิตเสร็จแล้ว
แต่ไม่ได้ติดตั้งแบตเตอรี่นั่นเอง
รถยนต์คันนั้นก็จะติดเครื่องยนต์
เพื่อขับเคลื่อนใช้งานไม่ได้

ถ้าหากเป็นมนุษย์ก็หมายถึง
ทารกน้อยคนนั้นในครรภ์แม่
จะมีชีวิตขึ้นมาเพื่อการเติบโตไม่ได้เช่นกัน

ถ้าท่านไปขับเคลื่อนพลังจิตใต้สำนึกออกมาใช้
โดยใช้จิตไร้สำนึกแทนจิตสำนึกมนุษย์
มันก็ไม่ต่างจากการไปต่อไฟสายตรง
ด้วยการลากสายมาจากแบตเตอรี่เพื่อใช้งาน
โดยท่านมิได้ติดเครื่องยนต์
เพื่อการรีชาร์จแบตขณะใช้
ผลบั้นปลาย คือ "ไฟหมดแบ็ต"

ท่านคงไม่รู้หรอกว่า
พลังจิตใต้สำนึกหรือแรงบันดาลใจ
ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังอำนาจทางจิตวิญญาณนั้น
ถ้ามันเสื่อมลง อ่อนแอ หรือสิ้นพลังแล้ว
มันจะนำปัญหาใหญ่มาสู่คนๆนั้น
ทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณอีกมากมาย
อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

เรากล่าวความจริงตามที่หลายท่านถามเรามา
เราขอนำมาบันทึกเอาไว้ตรงนี้
เพื่อแบ่งปันความรู้นี้ต่อนักเรียนท่านอื่นด้วย
โดยเรามิได้มีเจตนาที่จะก้าวล่วง
ความเชื่อไม่เชื่อของท่านผู้ใดทั้งสิ้น

แต่ที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้น.....
มันเป็นความจริงของเราเท่านั้นเอง
เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
22-05-2015

ตัวชี้วัดพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ



นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณของท่าน
ที่เป็นพลังจิตใต้สำนึกนั้น
หากใช้มันไม่เป็น
ก็สามารถเสื่อมถอยน้อยพลังอำนาจลงไปได้
แต่ถ้าหากใช้เป็น....
พลังอำนาจนี้ก็จะไม่มีวันหมดสิ้น
ทั้งยังจะสามารถเพิ่มพูนได้เรื่อยๆอีกด้วย
ตัวชี้วัดพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
ที่กำลังเสื่อมถอยน้อยพลัง
จะสังเกตได้ด้วยตัวของท่านเองดังนี้
1.จะไม่ค่อยมีใครรักท่าน
เสมือนว่าท่านเป็นคนไร้เสน่ห์นั่นแหละนะ
จะคบหากับใครก็คบกันได้ไม่นาน
หากไม่ถูกเอาเปรียบก็จะมีความขัดแย้งอยู่เนืองๆ
เสมือนว่าท่านเป็นคนเข้ากับใครไม่ได้
2.ความรักในครอบครัว
มักมีปัญหาอันเกิดจากความขัดแย้งกันบ่อยๆ
มีปากเสียงกัน ไม่ลงรอยกัน
เข้ากันไม่ค่อยจะได้
หนักมากจะถึงขั้นครอบครัวแตกแยก
พ่อแม่ลูกจะไปกันคนละทางสองทาง
ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
3.ท่านจะเป็นผู้นำที่ผู้ตามมักไม่ยำเกรง
ปกครองคนหมู่มากไม่ค่อยจะได้
ทำให้ทีมไม่เวิร์กจนถึงขั้นทีมแตก
กิจการภารธุระล้มเหลว ขาดทุน
รายได้ตกต่ำ ดำเนินไปได้ไม่ดีดังเดิม
หากท่านเป็นผู้ตามเจ้านายจะไม่ค่อยรัก
ทำถูกจะเป็นผิด จะถูกเพ่งเล็ง
เพื่อนฝูงจะหนีหน้าห่างหายออกไป
4.ท่านจะขาดสติง่ายกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์
ตื่นตกใจง่าย ไม่ค่อยมั่นใจในตนเอง
จิตใจไม่ค่อยสงบเย็นเท่าที่ควร
เครียดง่ายโดยไม่มีเหตุผล
จะกลายเป็นคนขี้ระแวง
วิตกจริตเพราะคิดลบโดยมองโลกในแง่ร้าย
สมองทึบคิดอะไรไม่ค่อยออก
5.ท่านพูดอะไรจะมีคนเชื่อคำท่านน้อยลง
เสมือนคำพูดนั้นไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย
ทั้งๆที่ท่านพูดความจริงทุกอย่าง
6.จะมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ อ่อนเพลียง่าย
จะเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยกว่าปกติ
เพราะภูมิต้านทานโรคต่ำ
7.จะตัดสินใจผิดพลาดบ่อยๆ จะลืมง่าย
จะพบเจออุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆบ่อยมากขึ้น
8.ท่านจะขาดคนจริงใจ
มักจะพบเจอแต่คนไม่ดี ไว้วางใจใครไม่ได้
บางวันท่านอาจรำพึงกับตนเองว่า
อยากเจอคนจริงใจมีมั้ยแถวนี้...กันเลยทีเดียว
9.ท่านจะนอนไม่ค่อยจะหลับ
ยามหลับได้ก็มักฝันร้ายบ่อยๆ
มีอาการเซื่องซึมแม้ผ่านการนอนมายาวนาน
เหมือนกับว่านอนไม่พอ หลับไม่อิ่มนั่นล่ะ
**นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย.....
ทั้ง 9 ประการข้างต้นนั้น
เป็น "ข้อสังเกต" บางประการ
ที่นักเรียนควรรู้แม้ว่าท่านจะไม่อยากรู้ก็ตาม
เพราะท่านจะไม่ใส่ใจ
ในพลังทางจิตวิญญาณไม่ได้แน่
ถ้าหากท่านปรารถนาการหลุดพ้น
เพื่อกลับคืนสู่แดนสุญตาที่ท่านจากมา
ซึ่งพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
คือ องค์จิตจักรวาลทรงรอคอยพวกท่านอยู่
ท่านจักต้องรู้ว่า....
พลังจิตใต้สำนึกขณะท่านมีชีวิตอยู่นี่แหละ
จะเปลี่ยนไปเป็นพลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์
ซึ่งทำหน้าที่เป็นพาหนะขับเคลื่อนจิตวิญญาณ
เมื่อท่านทิ้งกายสังขารไปจากการเป็นมนุษย์
ท่านจะหลุดหล่น หลุดลอย หลุดลง
หรือว่า "หลุดพ้น" แบบใดแบบหนึ่งได้
ก็ล้วนขึ้นกับพลังอำนาจทางจิตวิญญาณที่ว่านี้
ประการหนึ่งด้วย.....
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-05-2015

นี่คือ....กฎแห่งกำ



นี่คือ....กฎแห่งกำ

1.กรรมใคร ใครกำ
2.กำแทนใคร ไม่ได้
3.กรรมดี กำได้
4.กรรมชั่ว อย่ากำ
5.ไร้กรรม ไม่ต้องกำ

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-05-2015

วิธีการเข้าถึงการใช้ "แรงบันดาลใจ"



นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ทรงมีพระเมตตาให้เรา
มากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

วิธีการเข้าถึงการใช้พลังจิตใต้สำนึก
ที่เรียกว่า "แรงบันดาลใจ" จากจิตวิญญาณ
ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน
หรือการดำเนินชีวิตประจำวันของท่านนั้น

ท่านทั้งหลายสามารถจะกระทำ
ผ่านจิตสำนึก (Consciousness) ของตัวเองได้
ตามลำดับขั้นตอนที่จัดไว้ให้แล้วดังต่อไปนี้

1.ท่านต้องคิดหรือทำสิ่งใด
โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์เท่านั้น

ผลสัมฤทธิ์ หมายถึง ผลสำเร็จอันสูงสุด
ที่ตัวท่านเองขณะปัจจุบันนั้น
สามารถที่จะเข้าถึงมันได้จริง
มิใช่เพ้อฝัน...มิใช่การหลอกตัวเอง

แต่จะเข้าถึงมันให้ได้
ด้วยความพร้อมด้านต่างๆที่ท่านมีอยู่แล้ว

เช่น ความรอบรู้ ความสามารถ ความชำนาญ
ความกล้าหาญ ความฉลาดทางปัญญา
ความฉลาดทางอารมณ์
ความฉลาดทางสังคม
ที่จะสร้างความสำเร็จร่วมกับผู้อื่น
และความรักที่จะคิดจะทำสิ่งนั้นอย่างแท้จริง

2.จงคิดหรือทำสิ่งใดเพื่อการ "ให้" เท่านั้น
เพราะการให้เป็นคุณสมบัติหรือบุคลิก
ของจิตวิญญาณของท่านนั่นเอง

การคิดหรือทำเพื่อมุ่งที่จะ "เอา"
เป็นพลังของจิตหยาบหรือจิตไร้สำนึก
ที่ขับเคลื่อนด้วยกิเลสตัณหา
ซึ่งเข้ากันกับจิตวิญญาณไม่ได้

3.จงมองปัญหาทุกปัญหา
ที่ท่านต้องคิดอ่านแก้ไขให้เป็นสิ่งน่าท้าทาย
แทนที่ความท้อแท้และท้อถอยให้ได้

ความรู้สึกท้าทาย (Challenge) ที่ในจิตใจท่าน
มันจะช่วยกระตุ้นให้จิตของท่านนั้น
เกิดการสั่นสะเทือนทางด้านบวกสูงสุด
เพื่อยกระดับสูงขึ้นจนเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณของท่านได้
ในรูปของความปรารถนาอย่างแรงกล้า
ที่จะประสบผลสำเร็จในสิ่งที่คิดหรือทำนั้นนั่นเอง

4.จงเชื่อมั่นในความพร้อมของตนเอง
ที่จะคิดหรือทำสิ่งนั้นได้สำเร็จโดยไม่ลังเล
หรือไม่เกิดอาการกลัวๆกล้าๆ
หรือไม่เกิดความรู้สึกว่า "เสียวๆ"
จะผิดพลาดจะล้มเหลวเพราะความเสี่ยง

ความพร้อมของท่าน
เราได้กล่าวไว้ในข้อ 1 แล้ว

เมื่อท่านเชื่อมั่นในตนเองแล้ว
การกล้าริเริ่ม กล้าลงมือทำ กล้ารับผิดชอบ
กล้าเปลี่ยนแปลง และสาระพัดกล้า
ที่จะนำพาความสำเร็จอย่างสง่างามมาให้
มันก็จะเกิดขึ้นเองตามมาดั่งอัตโนมัติแล้ว

5.จงคิดหรือทำสิ่งนั้นด้วยความมุ่งมั่น
มิเช่นนั้นแล้วเมื่อท่านต้องเผชิญกับอุปสรรคใดๆ
ท่านก็จะเกิดความท้อแท้ สิ้นหวัง
หมดความมานะ ละความอดทน
จนเลิกล้มความตั้งใจเสียกลางคัน
ซึ่งพวกท่านเรียกว่า "ความท้อแท้" นั่นล่ะ

นักเรียนจักต้องรู้ว่า....
อุปสรรคปัญหาใดๆที่เกิดขึ้น
บนเส้นทางของการคิดและการกระทำใดๆนั้น
เปรียบได้ดั่ง "บททดสอบความมุ่งมั่น" ของท่าน
เพื่อให้ท่านเกิดการเรียนรู้ว่า
สิ่งที่ท่านคิดหรือกระทำมันอยู่นั้น
ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า
มีความปรารถนาอย่างแท้จริง
ที่จะคิดจะทำมันให้สำเร็จจริงหรือเปล่า

เพราะถ้าท่านปรารถนาจะเข้าถึงผลสำเร็จจริง
ท่านก็จะพยายามข้ามผ่านหรือฟันฝ่า
อุปสรรคปัญหาใดๆที่ได้เผชิญหรือผจญ
อย่างไม่ท้อแท้และท้อถอยแน่นอน
ถ้าไม่จริง...
เมื่อพบเจออุปสรรคปัญหาเข้าหน่อย
ท่านย่อมถอยหรือเลิกคิดเลิกทำทันที

จงจำไว้ว่า....จิตสำนึกของท่าน
ต้องการความมุ่งมั่นเป็นกุญแจ
ไขสู่ประตูมิติแห่งจิตวิญญาณอยู่ดอกหนึ่งด้วยนะ

6.จงมีศรัทธามั่นในสิ่งที่คิดหรือทำอยู่นั้น
เพราะพลังความศรัทธา
จะช่วยค้ำจุนแรงสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด
ของจิตสำนึกของท่านในขณะนั้นเอาไว้
เพื่อให้สามารถสั่นสะเทือนร่วมกัน
กับจิตวิญญาณของท่านได้อย่างต่อเนื่อง
เพื่อจะรับถ่ายทอดเอาพลังจิตใต้สำนึก
ในรูปของแรงบันดาลใจ (Inspiration)
ให้หลั่งไหลอย่างไม่ขาดสาย
สู่พลังจิต พลังสมอง และพลังกายของท่าน
เพื่อการใช้งานได้อย่างเหลือเฟือ
โดยไม่มีหมด...มอด.....

กระบวนการใช้แรงบันดาลใจ
ใน 6 ประการที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นวิธีเข้าถึงการดำเนินชีวิตด้วยจิตวิญญาณ
ในแบบที่เป็นธรรมชาติ
ไม่ผิดบาปเพราะมิได้หลอกตัวเอง
ใช้พลังไปเท่าใดก็ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหมดสิ้น

เมื่อใดที่จิตวิญญาณท่านทิ้งกายสังขารไป
พลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์หรือจิตใต้สำนึกแต่เดิม
ก็จะยังทรงพลังอยู่โดยสามารถจะนำพาแก่นแท้ของท่าน
เดินทางไปสู่สุคติภพหรือไปไหนๆ หรือหลุดพ้น
ตามคุณสมบัติทางจิตวิญญาณนั้นๆได้ดังประสงค์

เรากล่าวความจริงเพิ่มเติมต่อท่านทั้งหลายแล้ว
จงศึกษาความจริงนี้อย่างรอบคอบ
เพื่อยังประโยชน์ต่อตนเองและจิตวิญญาณ
ของท่านทั้งหลายตามอัธยาศัยเถิดนะ...

เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-05-2015

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การใช้อริยสัจ 4 สำหรับฆราวาส



การใช้อริยสัจ 4 สำหรับฆราวาส:
................................................
1.อริยสัจ 4 คือ สูตร หรือ ข้อกำหนด หรือ แนวทางซึ่งเป็นความจริงอันประเสริฐที่จะใช้จัดการกับสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายเรียกว่า "ความทุกข์" ได้แบบเบ็ดเสร็จ

2.ถ้าเป็นความทุกข์ในมิติแห่งจิตวิญญาณของพวกเธอ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการมีสังสารวัฏ หรือ การเวียนว่ายตายเกิดอันมิรู้สิ้นสุดหลุดพ้นกันได้เมื่อไหร่ ต่อกรณีนี้พระพุทธองค์ได้ทรสอนสั่งพวกเธอเอาไว้นานแล้ว

3.แต่ถ้าเป็นความทุกข์ในมิติโลกทางกายภาพ ก็คือ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นฆราวาสโดยเลือกจะมีครอบครัว หรือเลือกดำเนินชีวิตในบทบาทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง มักจะหนีไม่พ้นกับการต้องเผชิญสิ่งที่ตนเรียกว่าทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น

4.สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ก็คือ สิ่งที่เธอรู้สึกว่าทนได้ยาก ทนไม่ไหว ทนไม่ได้ จนอยากเอามันออกไปให้พ้นจากตัวเธอ หรือไม่ก็อยากจะเอาตัวเธอเองออกไปให้พ้นจากสิ่งนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่พวกเธอจะใช้คำรวมสั้นๆว่า "ปัญหา" นั่นเอง

หลักการใช้อริยสัจ 4 เพื่อจัดการกับปัญหาในชีวิต:
.......................................................................
1.เมื่อเกิดทุกข์ เธอต้องสำนึกรู้ทันทีว่า เธอได้พบเผชิญกับปัญหาเข้าให้แล้ว หน้าที่ของเธอก็คือ จักต้องเรียนรู้ด้วยการวิเคราะห์ให้ได้ ค้นให้พบว่า "ปัญหานั้น" คือ อะไรกันแน่ ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ว่า "ทุกข์" ของตนคืออะไรตามหลักแห่งอริยสัจนั่นเอง

2.เมื่อค้นพบว่าปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์ของเธอ คือ อะไรแน่แล้ว หน้าที่ของเธอก็จักต้องทำการสืบค้นต่อไปว่า ต้นตอหรือบ่อเกิดแห่งปัญหาที่แท้จริงที่เธอพบนั้นมัน คือ อะไรแน่

นี่ก็หมายถึง การเรียนรู้สาเหตุแห่งปัญหาอันนำมาซึ่งความทุกข์ที่เธอเผชิญอยู่ ที่หลักแห่งอริยสัจ หมายถึง "สมุทัย" คือ การเรียนรู้ถึงสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์นั้นนั่นเอง

3.เมื่อค้นพบว่า ตัวต้นต่อบ่อเกิดแห่งปัญหาที่นำมาซึ่งความทุกข์ทั้งหลายของเธอนั้น มันคืออะไรแน่แล้ว เธอก็ต้องเรียนรู้ต่อไปว่าจะแก้ปัญหาตรงสาเหตุแห่งปัญหานั้น ด้วยวิธีการใดได้บ้าง คิดหาวิธีให้ได้หลายๆวิธี แล้วก็ตัดสินใจเลือกเอาวิธีที่ดีที่สุดที่เธอพร้อมและสามารถจะทำได้จริงเพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหานั้นต่อไป

นี่ก็หมายถึง การเรียนรู้ที่จะค้นหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดและมั่นใจว่านำมาใช้แก้ไขปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์ของเธอได้แน่ๆ ด้วยวิธีการตัดสินใจเลือกที่ฉลาดที่สุด ซึ่งหลักแห่งอริยสัจ หมายถึง "นิโรธ" อันหมายถึง ความดับทุกข์นั้นได้สำเร็จโดยแท้

4.เมื่อเธอจัดการกับปัญหาดังกล่าวที่เผชิญอยู่เป็นผลสำเร็จ นั่นเท่ากับว่า เธอจัดการดับทุกข์ทั้งกายและใจของเธอได้แล้ว หน้าที่ของเธอยังจักต้องเรียนรู้ต่อไปให้สุดทางอีกด้วยว่า....เมื่อเธอมีประสบการณ์แห่งทุกข์นั้นแล้ว เธอจะป้องกันตนเองอย่างไรเพื่อมิให้เกิดทุกข์แบบเดียวกันนี้อีกในวันข้างหน้า....

นี่คือ ปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ใช่หรือไม่ล่ะ?

ถ้าเธอใช้ประสบการณ์นี้เป็นบทเรียน แล้วเตรียมตัวเตรียมใจป้องกันไว้มิให้มันเกิดปัญหาที่จะนำพาความทุกข์มาให้เธออีกในวันข้างหน้าได้นั้น ตามหลักแห่งอริยสัจ 4 ก็หมายถึง "มรรค" นั่นคือ การรู้วิถีทางดำเนินชีวิตที่ชาญฉลาด (Smart) โดยไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตตามแบบเดิมๆอีกตลอดไป

5.ตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา ในแต่ละวันถ้าเธอใช้หลักแห่งอริยสัจ 4 ที่เรากล่าวมาทั้งหมดพอสังเขปนี้ จัดการกับอุปสรรคปัญหาใดๆในชีวิต เธอก็จะสามารถผ่านบททดสอบและได้รับบทเรียนกันอย่างมากมายมหาศาล ขณะที่จิตปัญญาของเธอก็จะทรงพลังอำนาจเหลือคณานับ มิมีงมงาย มิใช่แก่แล้วแก่เลย ตามอายุขัยที่ผ่านมาเป็นแน่แท้....

หมายเหตุ:

สำหรับคำขยายของ "มรรค ที่มีองค์ประกอบ 8 ประการ" นั้น
เป็นคำเฉลยที่พระพุทธองค์ทรงรวบรวมเอาไว้ให้พวกเธอได้ระวังตนกันให้มากๆว่า มันล้วนเป็นที่มาแห่งการเกิดทุกข์กาย ทุกข์ใจ ในชีวิตประจำวันด้วยกันทั้งสิ้น

พระพุทธองค์ ทรงหมายความว่า
ถ้าเธอประพฤติมิชอบใน 8 กรณีนี้
เธอย่อมเกิดทุกข์แน่ๆ ทั้งกายและใจ กล่าวคือ....

1.การเข้าใจผิด
2.การคิดผิด
3.การพูดผิด
4.การทำผิด
5.การยังชีพผิด
6.การเกียจคร้าน
7.การขาดสติ
8.การขาดสมาธิ

รวมแล้วพวกเธอกล่าวขานกันว่า "มรรค 8" นั่นแหละนะ....

พระศาสดาท่านทรงตรัสสอนเอาไว้ดีแล้ว
หากว่าเธอมีธรรมะดีๆแต่ไม่เข้าใจ
หรือว่าเข้าใจไปเสียผิดๆ ก็หาประโยชน์อันใดมิได้ทั้งนั้น

อีโมติคอน heart คราวนี้หยิบฉวยเอา "อริยสัจ 4"
มาใช้ในชีวิตกันอย่างเป็นรูปธรรมได้รึยังล่ะ
ท่านนักเรียนผู้อุทิศตนเป็นฆราวาสแห่งเราทั้งหลาย.....

ป.วิสุทธิปัญญา
ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก UCSA
17-07-2014

เส้นทางสู่ความสำเร็จ



เส้นทางสู่ความสำเร็จสำหรับท่านทั้งหลายนั้น
มันขึ้นอยู่กับว่าท่านกล้าที่จะออกเดินก้าวแรกหรือไม่
เมื่อเดินก้าวแรกแล้ว...
ท่านพร้อมที่จะย่างเดินก้าวใหม่ต่อๆไปอีกหรือเปล่า

อุปสรรคขวากหนามที่รออยู่ข้างหน้า
เป็นเครื่องมือช่วยท่านในการสั่นสะเทือนทางปัญญา
มิใช่ตัวปัญหาที่จะนำพาความท้อถอยมาสู่ใจท่านเลย

ลูกท้อ...จึงมีไว้ให้ลิงถือเท่านั้น
จงอย่าชิงถือลูกท้อแทนลิงก็แล้วกัน

บันไดสู่ความสำเร็จนั้นมีหลายขั้น
จงหมั่นเรียนรู้ที่จะก้าวเดินแม้สูงชัน
เพราะรางวัลที่ท่านจะได้รับนั้นเลอค่ายิ่งนัก

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
21-05-2015


ทุกข์สุขอยู่ที่ใจใช่ใครอื่น 

ทุกข์ได้แต่ไม่ท้อพอหยัดยืน

พลันยิ้มชื่นจิตว่างถ้าวางเป็น

               ป.วิสุทธิปัญญา



ความเชื่อของท่าน - กับความจริงของเรา



เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายเสมอ

ท่านจะรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้น
ท่านจะเข้าใจ....
เพราะท่านได้ศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้น

ท่านจะศรัทธาในความรู้ใหม่ของครู
เพราะท่านเองไม่เคยรู้ในความรู้ใหม่ที่ครูสอนนั้น

แต่...ท่านไม่รู้ในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นนั้น
ท่านจึงไม่เข้าใจมัน....
เพราะไม่มีประวัติศาสตร์ให้ท่านได้ศึกษาเรียนรู้
ในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยนั้น

ท่านจึงต้องไม่รีบปฏิเสธความรู้ใหม่ของครูคนไหน
ถ้าความรู้ใหม่ที่ครูกล่าวให้ท่านฟังนั้น
มันเป็นเรื่องราวของอนาคต
มันเป็นเรื่องจริงที่ยังมาไม่ถึง
มันเป็นความจริงที่สามารถจะรอพิสูจน์ได้

อย่าสรุปง่ายๆว่า....
สิ่งใดไม่เคยเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมไม่เกิดตลอดกาล
ตัวอย่างเช่น....
ถ้าก้นของเด็กน้อยคนหนึ่งไม่เคยเป็นฝีมาก่อนเลย
พ่อแม่ของเด็กคนนี้จะบ่งชี้อย่างมั่นใจได้หรือว่า
เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก้นของเด็กคนนี้
จะไม่มีวันเป็นฝีไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน

เราจึงจะกล่าวความจริงไว้ตรงนี้อีกครั้งว่า
อันภัยพิบัติธรรมชาติที่ผิดธรรมชาตินั้น
แม้เคยเกิดขึ้นที่ใดแล้ว มันก็จักเกิดขึ้นซ้ำได้อีก
แม้ที่ใดที่มันไม่เคยเกิดขึ้น
ณ ที่แห่งนั้นมันก็จะเกิดภัยขึ้นมาเป็นครั้งแรกได้เช่นกั

นี่คือ...ความจิงของเรา
ซึ่งมันจะต่างกันกับ "ความเชื่อ" ของท่าน
พันเปอร์เซ็นต์...

ป.วิสุทธิปัญญา
21-05-2015

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

"เท็คนิกสมาธิ" กับ "ธรรมชาติสมาธิ"




เราขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าประดานักรบแห่งแสงสว่างเขามีศาสตร์และศิลป์
ในการพัฒนาจิตตปัญญา ด้วยวิธีเท็คนิกสมาธิ
ผ่านปฏิบัติการสมถะกรรมฐานและวิปัสนากรรมฐาน
ซึ่งเราขอเรียกว่า "เท็คนิกสมาธิ"
อย่างจริงจังตั้งใจและเป็นอาชีวะแล้ว

ประดาชาวบ้านเช่นท่านทั้งหลาย
ผู้เลือกเดินสู่การหลุดพ้นบนเส้นทางของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ก็มีศาสตร์และศิลป์เพื่อการยกระดับจิตตปัญญา
ในอันที่จะพัฒนาจิตสำนึกของท่านในชีวิตประจำวันด้วย
ซึ่งเราจะขอเรียกวิธีการนี้ว่า "ธรรมชาติสมาธิ"
โดยธรรมชาติสมาธิ ก็คือ "มหาสติ" นั่นเอง

มหาสติ คือ สติอันยิ่งใหญ่
หากใครสามารถครองได้
ก็จะเข้าถึงอำนาจสูงสุดของจิตและปัญญาของตนได้
ในทุกมิติเลยทีเดียว ซึ่งชาวบ้านทั้งหลาย
ชายหญิงทุกคนก็สามารถเรียนรู้ที่จะฝึกฝนตนเอง
ในการครองมหาสติ หรือ ปฏิบัติธรรมชาติสมาธินี้ได้ทุกเมื่อ

มหาสติ ประกอบด้วยสติ 3 ประการ คือ

1.รู้สติ:
โดยรู้ว่า ปัจจุบันขณะทำอะไรอยู่
โดยรู้ว่า เมื่อครู่เพิ่งทำอะไรมา
โดยรู้ว่า ต่อไปข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนบ้าง

2.มีสติ:
โดยรู้ว่า สิ่งใดควรรับรู้แล้วควรรับเอา
โดยรู้ว่า สิ่งใดควรรับรู้แต่ไม่ควรรับเอา
โดยรู้ว่า สิ่งใดไม่ควรรับรู้และไม่ควรรับเอา

3.ใช้สติ:
โดยเรียนรู้ที่จะฉลาดแสดงออกหรือกระทำตอบต่อผู้อื่น
ด้วยกฎแห่ง 6 ถูก ของ "ปริญญา/Parinya Model" คือ
การคิดก่อนพูด และคิดก่อนทำภายใต้เงื่อนไขสำคัญ
รวม 6 อย่าง กล่าวคือ

3.1 ถูกคนหรือไม่
3.2 ถูกวิธีหรือไม่
3.3 ถูกที่หรือไม่
3.4 ถูกเวลาหรือไม่
3.5 ถูกต้องหรือไม่
3.6 ถูกใจหรือไม่

ถ้าผิดในข้อใดแม้เพียงข้อเดียว
ท่านก็จะต้องไม่แสดงออกหรือไม่กระทำโดยเด็ดขาด
หากถูกทั้ง 6 ข้อ ก็จัดว่าปลอดภัย 100%

ถ้าท่านทั้งหลายฝึกฝนตนเองในการครองมหาสติ
ในชีวิตประจำวันกันให้ได้
ท่านจะสามารถเป็นคนพ้นกรรม คือ อยู่เหนือกรรมได้
เพราะไม่ก่อกรรมใหม่-แก้ไขกรรมเก่าได้อย่างสิ้นเชิง
มรรคผลสูงสุดบนเส้นทางสายวิมุติคือการหลุดพ้น
ภายในภพชาตินี้ คือ รางวัลอันยิ่งใหญ่ของท่าน
ที่จะหยิบยื่นให้แก่นแท้ของตนเอง
กับเพื่อนพ้องน้องพี่ซึ่งเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีได้
โดยจะมิใช่เป็นแค่เรื่องเพ้อฝันกันอีกต่อไป

ป.วิสุทธิปัญญา
17-09-2014

ลูกแกะหลงฝูง




ลูกแกะน้อยหลับไหลอยู่ไหนหนอ
บิดารอเจ้าอยู่เจ้ารู้ไหม
รีบกลับฝูงมุ่งหน้ามาเร็วไว
เจ้าจะได้กลับบ้าน "นิพพาน" กัน

หาก "พลัดฝูง" หลงทางอยู่กลางป่า
ยังปรารถนาลอยลับกลับสวรรค์
จงก้าวตามเรามาอย่าช้าพลัน
ก่อนโลกลั่นสั่นไหวนำภัยมา

แต่ถ้าเจ้า "หลงฝูง" ก็ยุ่งหนัก
แกะไม่รักฝูงแกะนี่แหละหนา
ไปหลงแพะลืมพันธะสัญญา
แกะไม่รู้หรอกว่า "เรามาตาม"

ป.วิสุทธิปัญญา
21-09-2014

การจัดการ "ผลกรรม"





มาเร่งจัดการ "ผลกรรม" จากภพชาติอดีตและปัจจุบัน
ที่ท่านทั้งหลายเคยก่อกระทำไว้
ให้มันเป็นกลางให้หมดสิ้น ให้เร็วที่สุดกันเถิด

ถ้าท่านไม่ถนัดวิธีนี้
เรายังมีอีกสองวิธีให้เลือกทำ
เอาไว้ติดตามเรียนรู้กันต่อไป.....

ป.วิสุทธิปัญญา
22-09-2014

วิธี "การจัดการผลกรรมแต่อดีตชาติ"



พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า

วิธี "จัดการผลกรรมแต่อดีตชาติ" ให้เป็นกลาง
เพื่อสะสางมวลขยะทางพลังงานในระบบโลก
ที่ตนเองได้ก่อไว้ให้หมดสิ้นไปในแต่ละกรณีกรรม
ดั่งพวกท่านเรียกว่า "สิ้นกรรม" นั้น

ในวิธีที่สองนี้.....
มีเงื่อนไขการใช้ก็ต่อเมื่อรู้ว่า....หรือ เมื่อไม่มั่นใจว่า
คู่กรณีกรรมของท่านรูปธรรมนั้นๆ
เขายอมรับความมีสำนึกของท่านในวิธีการที่หนึ่ง (ให้อภัย)
จากการร้องขออโหสิกรรม (ขออภัย) ของท่านหรือไม่

เพราะคู่กรณีกรรมของท่านรายนั้น
เขายังไม่หายโกรธเคืองขุ่นแค้น
เขายังแสดงอาการที่บ่งชี้ว่าตัวท่านเป็นปรปักษ์
หรือยังเป็นคนที่ไม่น่ารักสำหรับตัวเขาอยู่
นี่ย่อมแปลได้ว่า.....
พันธะกรรมของพวกท่านที่เกี่ยวเนื่องกันมา
มันยังคงค้างคาอยู่ดังเดิม

เพราะการสิ้นสุดยุติกรรมใดๆนั้น
ฝ่ายใดฝ่ายเดียวจะ "ยอม" อีกฝ่ายหนึ่ง
เพื่อเลิกแล้วต่อกันดื้อๆไม่ได้

ฝ่ายผู้กระทำผิดบาป
จักต้องยอมสำนึกผิดเพื่อขออภัย

ส่วนฝ่ายผู้ถูกกระทำผิดบาป
ก็จักต้องยอมสำนึกด้วยยินดีที่จะให้อภัย
โดยการหยิบยื่นความรักออกมาให้
เพื่อใช้พลังงานความรักในรูปของคลื่นแม่เหล็ก
ที่จิตของผู้จะให้อภัยนั้นผลิตมันออกมา
เพื่อจัดการชำระมวลขยะพลังงานกรรม
ซึ่งสั่งสมตกค้างอยู่ในสนามพลังงานของระบบโลก
ให้มันเป็นกลางเสียให้สิ้นนั่นเอง

ดังนั้น....
การที่จะช่วยให้คู่กรณีกรรม
มีสำนึกที่จะให้อภัยหรือให้อโหสิในกรรมนั้นๆได้
ท่านจะยังคงสั่นสะเทือนมัน
ด้วยการมีสำนึกแต่ที่ในจิตใจตนเอง
ตามวิธีที่หนึ่งอยู่อย่างนั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

แต่ท่านจักต้องให้ความร่วมมือช่วยเหลือเขา
เพื่อเสมือนเป็นการตอบแทนเขา
ด้วยการช่วยลดหย่อนผ่อนบรรเทา
ความทรงจำทางอารมณ์ขยะ
ที่มันยังคงบันทึกอยู่ในเบื้องลึกแห่งจิต
ติดต่อกันมายาวนานนับแต่ครั้งเกิดเหตุกันไว้ในอดีตนั่น
ถ้าเขาเลิกโกรธแค้นอาฆาตท่านได้
ความทรงจำทางอารมณ์ด้านลบ
ต่อกรณีกรรมนั้นๆภายในจิตวิญญาณของเขา
ก็จักสลายคลายไปในขณะเดียวกัน

การไม่เอาความหรือเลิกแล้วต่อกัน
ในพันธะกรรมนั้นจะเป็นอันยุติอย่างสิ้นเชิงได้

สันดานมนุษย์โลกเสรีที่คล้ายคลึงกัน
คือ มีทุกข์ต้องปลดทุกข์
ปวดท้องหนักก็ต้องถ่าย ถ่ายไม่ออกก็มีปัญหา
ปวดท้องเบาก็ต้องถ่าย ถ้าไม่ถ่ายออกมาปัญหาก็จะเกิด

ดังนั้น....
การเป็นทุกข์ทางใจ คือ
การปวดใจหรือการมีปัญหาทางอารมณ์นี่ก็เช่นกัน
มนุษย์จึงมักใช้วิธีเดียวกันคือถ่ายสิ่งที่ปวดอยู่ในใจนั้นออกมา
ซึ่งพวกท่านหมายถึง "การระบายอารมณ์" นั่นเอง

ต่อเมื่อท่านหรือเขาได้ระบายจนหายปวดแล้วนั่นล่ะ
ความสมดุลในจิตใจหรือความปกติในท้องไส้
จึงจะกลับคืนมาเป็นปกติ สบายใจสบายท้องดังเก่า

พวกท่านมีวิธีระบายกันหลายวิธีและหลายช่องทาง
หลายคนเรียกพฤติกรรมการระบายถ่ายทุกข์ทางจิต
ในทุกรูปแบบว่า "พฤติกรรมทางอารมณ์"
โดยถือว่าถ้าใครแสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ใส่ใคร
แสดงว่ารายการ "แก้แค้น" เพื่อระบายทุกข์ทางจิต
กำลังเกิดขึ้นแล้ว....

ถ้าท่านเป็นฝ่ายถูกกระทำแล้วไม่กระทำตอบ
เพราะท่านฉลาดพอที่จะรู้เท่าทันกระบวนการยุติกรรมนี้ได้
ทั้งเขาและท่านก็จักสามารถจัดการผลกรรมแต่อดีต
ให้มันเป็นกลางได้อย่างสิ้นเชิง....

แปลว่าเมื่อเขาได้ระบายแล้ว
เขาก็จบคือหายปวดใจแล้ว
ผู้ถูกกระทำในภพชาตินี้คือท่านเองไม่กระทำตอบด้านลบ
เพราะมีสำนึกแห่งการร้องขออโหสิกรรม
ต่อเขาอยู่แล้วตั้งแต่แรก
และเข้าใจในกระบวนการที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้น
ท่านจึงได้มอบพลังงานความรักก้อนใหญ่ให้เขาไป
แทนที่จะเป็นฝ่ายรอให้เขาหยิบยื่นพลังแห่งรัก
จากการอโหสิให้ท่านก่อน ตามขั้นตอนปกติที่มันควรจะเป็น

พลังงานจิตด้านบวก ต่อกรณีกรรมเดียวกันนี้
ไม่ว่ามันจะเป็นของใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
มันก็สามารถใช้สลายมวลพลังงานขยะแห่งผลกรรม
ที่ดำรงอยู่ในโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกมายาวนาน
เพื่อรอเจ้าของมันจัดการชำระ
ด้วยการทำให้มันมีคุณสมบัติเป็นกลางทางไฟฟ้า
จนแตกสลายกลายเป็นอีเล็คตรอนอิสระ
โดยไม่จับกลุ่มรวมกันเป็นมวลใหญ่
ให้เกิดเป็นขยะรกฟ้าอยู่อีกตลอดไปได้ทั้งนั้น

นี่เป็นความลับเบื้องหลังมิติโลก
เป็นศาสตร์ด้านอภิปรัชญาบริสุทธิ์
ซึ่งมนุษย์ไม่รู้ว่าตนยังไม่รู้
หากท่านต้องการหลุดพ้นในภพชาติเดียวนี้
จงทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้กระจ่างเถิด
ด้วยการย้อนกลับขึ้นไปอ่านทบทวนทำความเข้าใจใหม่
ก่อนที่จะปฏิบัติตามคำสอนของเราต่อไป
ด้วยการ.....

ไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อต้าน และไม่หลีกเลี่ยง
ต่อการกระทำใดๆที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม
ไม่ดีงาม ที่เขาคนนั้นกระทำต่อตัวท่าน
โดยท่านมีหน้าที่แต่เพียงว่า
ท่านจะทำอย่างไร ท่านจะช่วยเหลือเขาอย่างไร
เพื่อจะให้เขา ลด ละ หรือเลิก การกระทำด้านลบนั้นเสีย
ด้วยการใช้สติปัญญาของท่าน
จัดการกับปัญหานั้นๆ
แทนการใช้อารมณ์เข้าไปกระทำตอบ
ดังเช่นปกติทั่วไป

เพียงเท่านี้....ผลกรรมด้านลบ ที่ค้างคามาแต่อดีตชาติ
ก็ถึงจุดจบพบความเป็นกลางได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
เอเมน.....

ป.วิสุทธิปัญญา
22-09-2014

กฤติสติ สภาวะจิตที่พร้อมต่อการใช้ปัญญา





พี่น้องนักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
การเรียนรู้ที่จะใช้พลังอำนาจทางปัญญา
เพื่อให้มีอำนาจเหนือนำสภาวะจิตฝ่ายต่ำของท่าน
ในกรณีที่ถูกยั่วยุจนจิตตกหรือเสียสมดุลไปแล้วนั้น
มันเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่งนัก....

เพราะท่านไม่มีทางที่จะหยิบปัญญาขึ้นมา
ดับอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
ที่อยู่ในจิตของท่านได้เลย
ถ้าขณะนั้นสภาวะจิตของท่านมัน "ไม่ว่าง"

โดยที่มันไม่ว่างก็เพราะว่ามันยังสั่นสะเทือนเป็นลบ
แทนความ "สงบ" หรือนิ่งๆว่างๆ
ในสภาวะปกติอยู่ไงล่ะ
ที่สำคัญก็คือ ถ้าสภาวะจิตขณะนั้นมันสั่นเป็นลบ
มันก็จะมีผลต่อการคิดไปในด้านลบตามไปด้วย
จะให้ท่านเปลี่ยนเป็นคิดบวก
ในขณะที่สภาวะจิตยังเป็นลบอยู่ไม่ได้แน่นอน

ดังนั้น....
หน้าที่ของท่านคือการทำให้ตนเองมีสภาวะจิต
ที่พร้อมต่อการใช้ปัญญา
เพื่อจัดการกับปัญหาของท่าน
ที่กำลังเริ่มจะโรมรันพันตูกันอยู่กับคนอื่น
จนอาจลื่นไถลกลายไปเป็น
ก่อ "พันธะกรรม" กันขึ้นมาได้
ให้รวดเร็วทันใจว่องไวเป็นที่สุดนั่นเอง

แน่นอนว่า
สภาวะจิตที่พร้อมต่อการใช้ปัญญาก็คือ
การว่างไปจากอารมณ์ขยะรายวันนั้นในทันที

หากปล่อยชักช้าจนสภาวะจิต
เสียสมดุลด้านลบมากขึ้น
การทำให้สภาวะจิตนั้นมันว่าง
ก็จะยิ่งยุ่งยากมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยท่าน
มิให้ตกเป็นทาสทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
ของตนเองได้อย่างสิ้นเชิง คือ
ให้หันมาฝึกการใช้ "กฤติสติ" ให้เกิดทักษะด้วย

กฤติสติ หมายถึง ความรู้ตัวล่วงหน้า
ในสิ่งร้ายๆที่จะเกิดขึ้นต่อตนเอง

เช่นรู้ว่าเพื่อนมนุษย์ที่ตนคบหา
ไม่ว่าคนใกล้ตัวหรือไกลตัวนั้น
พวกเขาสามารถทำตนเป็นคนน่ารักของท่านได้
และสามารถที่จะทำตนเป็นคนไม่น่ารักได้เหมือนกัน
ในทุกวันทุกเวลา ในทุกโอกาส ทุกสถานที่

ดังนั้น ท่านจึงเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงนี้
ด้วยการคบหาสมาคมกับใครแล้วไม่คาดหวังใคร
ให้ทำตนเป็นคนน่ารักเสมอ
โดยไม่ทำตนเป็นคนน่าชังอย่างเด็ดขาด

เมื่อท่านยอมรับความจริงดังว่านี้แล้ว
หากในวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อท่านต้องเผชิญกับ
ความไม่น่ารักของใครขึ้นมาจริงๆในชีวิต
ท่านก็จะไม่มีวัน "จิตตก" หรือเสียสมดุลใดๆ
เพราะเหตุว่าท่าน....
มีกฤติสติและใช้มันได้ในทันที คือ

1.ท่านรู้ตัวล่วงหน้ามาก่อนแล้ว
2.ท่านทำใจยอมรับความจริงนั้นไว้ก่อนแล้ว
3.ท่านมีสติล่วงหน้าตลอดเวลาอยู่แล้ว

ดังนั้น...
การมีกฤติสติ จึงหมายถึง
การสร้างสติเอาไว้ล่วงหน้านั่นเอง

ขอท่านทั้งหลายจงเร่งทำความเข้าใจ
แล้วหยิบนำไปใช้ในชีวิตของท่านเถิด
อาการสติแตก...และอะไรๆแตกมันจะไม่เกิดเหมือน
อดีตกาลที่ผ่านมาอีกต่อไป
เอเมน....

ป.วิสุทธิปัญญา
22-09-2014

หมายเหตุ:

ด้วยเดชะพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล
พระผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ของมนุษย์บนโลกเสรีนี้

เราขอประทาน "กริชสติ" อาวุธประจำกายอันศักดิ์สิทธิ์นี้
ในพระนามแห่งพระองค์ แก่พี่ๆน้องๆผู้ใดก็ตาม
ที่มีปณิธานแห่งนิพพานแท้จริง ไม่เหลาะแหละ
ไม่ล่องเล่น ไม่โลเล ไม่พาโล
ให้ใช้ข้ามผ่านหรือฟันฝ่า ทุกบททดสอบ
ทุกบทเรียนกรรม และทุกบทเรียนโลก
ตลอดเส้นทางสายวิมุติสู่การหลุดพ้นนับแต่บัดนี้

ขอความศักดิ์สิทธิ์ของ "กริชสติ" เล่มนี้
จงมีบังเกิดแก่ทุกท่านทุกคน.....เอเมน!

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เราแค่เตือนและชวนสังเกตไว้เท่านั้น




ยังไม่มีอะไร....
เราแค่เตือนและชวนสังเกตไว้เท่านั้น

ป.วิสุทธิปัญญา
9-05-2015

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

จงค้นหาสาระ ในสิ่งที่ไร้สาระ




เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
อันสิ่งแวดล้อมรายรอบตัวท่านนั้น
ล้วนเต็มไปด้วย "สิ่งไร้สาระ" สำหรับท่าน
มากกว่า "สิ่งที่มีสาระ" นับเท่าไม่ถ้วน
ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะ "สิ่งไร้สาระ"
จากสิ่งแวดล้อมรายรอบตัวท่านนี่แหละ
ที่มันทำให้ท่านทั้งหลาย
ต้องกลายเป็น "คนไร้สาระ" กันตลอดมา
สิ่งที่มีสาระสำหรับท่านนั้น
เราหมายถึงสิ่งใด เรื่องใด สถานการณ์ใดก็ตาม
ที่ท่านได้พบพานผ่านเผชิญแล้ว
มันให้คุณแก่ท่าน
มันให้ประโยชน์แก่ท่าน
มันให้ความสุขแก่ท่าน
เป็นต้นว่าถ้าท่านมีปฏิสัมพันธ์กันกับใครแล้ว
พฤติกรรมของเขาทำให้ท่านรู้สึกดี
พฤติกรรมของเขาทำให้ท่านมีความสุข
พฤติกรรมของเขาทำให้ท่านได้รับประโยชน์
นี่ย่อมเป็น "สิ่งที่มีสาระ" สำหรับท่านนั่นเอง
ส่วน "สิ่งที่ไร้สาระ" สำหรับตัวท่านนั้น
เราหมายถึงสิ่งใด เรื่องใด สถานการณ์ใดก็ตาม
เมื่อท่านได้พบพานผ่านเผชิญแล้ว
มันให้โทษแก่ท่าน
มันไร้ประโยชน์สำหรับท่าน
มันทำให้ท่านเกิดทุกข์หมดสุขไม่สนุก
นี่ย่อมเป็น "สิ่งที่ไร้สาระ" สำหรับท่านนั่นเอง
สำหรับผู้ที่ยังคนตนเองให้เป็นมนุษย์ไม่สำเร้จ
มักจะสับสนในบทบาทหน้าที่ของตนเอง
ทั้งสองประการ คือ ......
1.เผชิญใคร สิ่งใด เรื่องใด สถานการณ์ใด
จักต้องเรียนรู้คนนั้น สิ่งนั้น เรื่องนั้น สถานการณ์นั้น
เท่าที่ความสามารถตนเองมีอยู่ให้จงได้
แต่ผู้ที่คนยังไม่สำเร็จ
ก็มักไม่สามารถที่จะเรียนรู้อะไรๆ
ตามบทบาทหน้าที่ของตนเองได้
ที่เรียนรู้กันไม่ได้เพราะไม่รู้ว่า
ตนมีหน้าที่ต้องเรียนรู้
ที่เรียนรู้กันไม่ได้ก็เพราะว่า
คนส่วนใหญ่ยังคิดไม่เป็น
ที่คิดไม่เป็นเพราะได้แต่นึกด้วยจิต
โดยไม่ฝึกคิดด้วยสมองของตนเองเลย
2.เผชิญใคร สิ่งใด เรื่องใด สถานการณ์ใด
ก็จักต้องหยิบยื่นความรักบริสุทธิ์
ให้แก่คนนั้น สิ่งนั้น เรื่องนั้น สถานการณ์นั้น
อย่างเต็มความสามารถของตนเองให้จงได้
ผู้ที่คนยังไม่สำเร็จก็มักไม่สามารถที่จะ
รักใคร รักสิ่งใด รักเรื่องใด รักสถานการณ์ใด
ตามบทบาทหน้าที่ของตนเองได้
ดังนั้น....
พวกท่านที่เป็นคนส่วนใหญ่ทั้งหลาย
จึงมักชอบหยิบเอา "สิ่งที่ไร้สาระ" ของผู้อื่น
เช่น พฤติกรรมขยะของคนรอบข้าง
มาเป็นเงื่อนไขในการสั่นสะเทือน
อารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิตท่านเสมอ
แน่นอนว่า...
เพราะมันล้วนเป็นพฤติกรรมขยะของเขา
ซึ่งเป็น "สิ่งที่ไร้สาระ" ของท่านไงล่ะ
เมื่อท่านนำมันมาเป็นเงื่อนไขด้านลบ
โดยยอมให้มันกระทบจิตใจท่านเมื่อไหร่
พวกท่านก็จะพากันสอบตกบททดสอบเหล่านี้เสมอ
ด้วยการต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้าน หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไร้สาระ
ซึ่งท่านหยิบมันมาเป็นเงื่อนไขดังว่านี้โดยพลัน
เพราะพวกท่านเก็บกดอดกลั้นกันไม่ไหวนี่แหละ
มันจึงยังผลให้ท่านต้องกลายเป็น
คนที่ไร้สาระสำหรับคนอื่นๆไปทันทีเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้เอง
วันๆหนึ่งพวกท่านจึงสอบตกบททดสอบเช่นนี้เสมอ
เพราะมักหยิบเอาสิ่งที่ไร้สาระสำหรับท่านมาจากผู้อื่น
มาเป็นเงื่อนไขด้านลบของตนเอง
จนก่อชะตากรรมและวิบากกรรมใหม่ๆ
ให้แก่ตนเองกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เพราะไม่เข้าใจและไม่อาจรู้เท่าทันได้ว่า
ไหนคือสิ่งที่มีสาระ
ไหนคือสิ่งที่ไร้สาระสำหรับท่าน
อีกทั้งยังขาดปัญญาที่จะเรียนรู้ด้วยว่า
ท่านควรที่จะค้นหา......
สิ่งที่เป็นสาระสำหรับท่าน
จากสิ่งที่ไร้สาระของคนอื่นๆ
ในมุมมองของท่านนั้นให้พบ
เมื่อพบแล้วก็ให้นำเอาสิ่งดีๆที่มีสาระที่พบนั้น
มาเติมเต็ม "ความมีสาระ" ให้แก่ตัวท่านเองสืบไป
นี่เพียงแค่ท่านใด....
ปฏิเสธคำกล่าวของเราเหล่านี้
ในทันทีที่ได้อ่านได้รู้
โดยมองว่าทุกถ้อยวจีของเรา
ล้วนเป็นคำกล่าวที่ไร้สาระสำหรับท่านแล้ว
มันก็ยิ่งจะเป็นการปฏิเสธสิ่งที่มีสาระ
เพื่อชี้วัดความเป็นคนที่ไร้สาระของท่านด้วย
เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-05-2015

โลกมีภูเขาไฟไว้ทำไม




มนุษย์บางคนได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่อง
ภูเขาไฟบาร์เร็น Barren Volcano
ที่ยังคงคุกรุ่นและปะทุอยู่เรื่อยๆ ในมหาสมุทรอินเดีย
ในทำนองที่จะทำให้พี่ๆน้องๆเชื่อตาม
จนยังความประมาทให้เกิดขึ้น
อันอาจเกิดการสูญเสียมากมายในวันข้างหน้าได้
เขากล่าวกันว่าดั่งนี้......

"พลังงานของภูเขาไฟอยู่ในระดับต่ำ
โอกาสที่จะระเบิดรุนแรง
เกินไปกว่า VEI ขนาด 2 จึงมีน้อยมาก

แม้มีความเชื่อมโยงกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 9.1
ในสุมาตราปี 2004

หรือแผ่นดินไหว 7.8 ในเนปาล
ที่เพิ่งเกิดไปก็ตาม
โอกาสเกิดสึนามิจึงมีน้อยมากเช่นเดียวกัน"

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาทรงกำหนดสร้างภูเขาไฟขึ้นไว้
ในทวีปต่างๆทั่วทั้งโลก
ทั้งบนบกและใต้ทะเล
ทั้งที่พวกท่านพบแล้วและยังไม่พบ
ก็เพื่อวัตถุประสงค์สำคัญดังนี้

1.เพื่อให้มนุษย์โลกทั้งหลายได้รู้ว่า
ภายในของโลกทางกายภาพนั้น
มีความร้อนสูงอยู่
เนื่องจากทรงรู้ดีว่า
มนุษย์ไม่สามารถดำดิ่งลงไปในแกนโลก
เพื่อพิสูจน์ความจริงได้ง่ายๆ

2.เพื่อให้มนุษย์ฉุกคิดว่า
ทำไมภายในโลกจึงยังคงร้อนแรงอยู่
ทั้งๆที่ดาวโลกถูกสร้างขึ้นมานานนับล้านปีแล้ว
โลกมีอะไรเกิดขึ้นข้างในหรือ
จึงก่อให้เกิดความร้อนสูงอยู่ตลอดมา
โดยไม่มีทีท่าว่าจะเย็นลงตามกาลเวลาเลย

3.เพื่อให้มนุษย์เข้าใจในความจริง
ที่ทรงเมตตากล่าวผ่านมาทางเราได้ว่า

ความรักจากจิตมนุษย์
ทำปฏิกริยากับบางสิ่งที่ทรงติดตั้งไว้ในแกนโลก
จนเกิดการระเบิดขึ้นรุนแรงและต่อเนื่อง
อันยังผลให้โลกเกิดการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ได้อย่างต่อเนื่องมาจนตราบกระทั่งทุกวันนี้

ซึ่งตัวชี้วัดความรู้ใหม่นี้ว่าจริงแท้แน่นอนก็คือ
ลาว่าแดงฉานที่ร้อนแรงที่พ่นผ่านออกมา
จากปากท่อภูเขาไฟนั่นปะไร

4.เพื่อใช้เป็นช่องทางหรือปล่อง
ระบายความเครียด
หรือลด "ความดันในแกนโลก"
ด้วยการปรับให้สมดุลเอาไว้ตลอด

ในกรณีที่บางวันเวลา
เกิดแรงดันภายในสูงเกินพิกัด
จนอาจสามารถทำให้ดาวโลกแตกระเบิดได้
เหมือนดาวบางดวงในจักรวาลของพระองค์
ที่เคยแตกสลายจากการระเบิดจากข้างในมาแล้ว

ซึ่งหลักการใช้งานก็มิได้ต่างไปจากรถบัส
ที่ใช้ระบบถุงลมนั่นเอง

กล่าวคือ....
ถ้าภายในระบบเครื่องยนต์มีแรงดันสูงเกิน
วาล์วก็จะเปิดเพื่อเป็นช่องระบายลม
ที่ก่อให้เกิดแรงดันสูงนั้นออกมา
จนอยู่ในระดับปกติและปลอดภัย

สำหรับภูเขาไฟที่ปะทุ
จนพ่นเถ้าถ่านหรือลาว่าออกมาจากปล่องก็เช่นกัน
มันคือการระบายความเครียด
เพื่อลดความดันภายในแกนโลกนี่เอง

5.เมื่อภูเขาไฟถูกกำหนดขึ้นใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้
เราจึงขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
ไม่ว่าสำนักไหนที่วิจารณ์ว่าภูเขาไฟลูกไหน
ไม่ระเบิด ไม่ปะทุแรงๆ ก็อย่าได้วางใจเชื่อ
เพราะพวกเขาเอาแต่ประวัติศาสตร์มาอ้าง
เพราะไม่รู้ความจริงของพระบิดา

สำหรับปฏิบัติการชำระโลกครั้งที่สี่นี้
ภายในแกนโลกจะเกิดความเครียดสูงมาก
เพราะมีการระเบิดแบบ Nuclear Fission
ที่ไม่สม่ำเสมอ

เพราะห่วงโซ่ปฏิกริยาที่แกนโลก
เกิดการขาดตอนบ่อยครั้ง
เนื่องจากจิตสำนึกด้านบวกของมนุษย์
เกิดการบกพร่องเพราะตกต่ำรุนแรง
ทำให้แกนโลกขาดแคลนเชื้อเพลิง
ที่ใช้ในการจุดระเบิด

ความจำเป็นที่จะต้องใช้ปล่องภูเขาไฟ
ระบายความเครียดภายในแกนโลก
ในอนาคตอันใกล้นี้จึงมีโอกาสสูงยิ่ง

ต่อนี้ไปทั้งภูเขาไฟเก่าและใหม่
จะถูกช่างเท็คนิกจากนอกระบบ
เข้ามากระทำการเจาะทะลวงท่อเก่าให้โล่ง
ดังที่พวกท่านได้เห็นการปะทุมาแล้วพร้อมกัน
ของภูเขาไฟเก่า จำนวน 32 ลูกนั่นล่ะ

พร้อมๆกับจะเจาะท่อใหม่ๆเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ที่พวกท่านจะตะลึงว่ามีภูเขาไฟใหม่เกิดขึ้น
ซึ่งเราเคยกล่าวเปิดเผยแผนการให้รู้กันไปแล้วว่า
ภูเขาไฟใหม่ในย่านนี้จะมีให้เห็น เช่น
ที่บริเวณภูเขาซึ่งต่อแดนราชบุรีกับพม่า
ที่บ้านกุดฉิม อ.ภูเรือ จ.ขอนแก่น เป็นอาทิ
แม้กระทั่งด้านท้องทะเลอ่าวไทยกับอันดามัน

ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งเชื่อเรา
เพราะเรากล่าวความจริงในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น
เรากล่าวถึงความจริงของอนาคต...รอพิสูจน์ได้

ท่านทั้งหลายก็อย่าเพิ่งเชื่อพวกเขา
เพราะพวกเขากล่าวความจริงในอดีต
เป็นอดีตที่มันยังไม่เคยปรากฏเกิดขึ้น
เพราะพวกเขากล่าวถึงอนาคต
โดยใช้อดีตเป็นบรรทัดฐาน
ซึ่งพวกเขาไม่เคยรู้ว่า

"วิทยาศาสตร์ทางจิต" เป็นจริตของแก่นแท้
"วิทยาศาสตร์ทางกายภาพ" เป็นจิตหยาบคาดคะเน

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
5-05-2015

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บทเรียนเรื่อง "กบ & ม้า"
































บทเรียนเรื่อง "กบ & ม้า"
..................................
1.จากสไลด์แผ่นเดียวกัน
คนหลายคนสามารถมองสิ่งเดียวกัน
แล้วเห็นแตกต่างกันได้เสมอ
2.การเห็นต่างกันในสิ่งเดียวกันนี้
หมายถึง การที่คนหนึ่งเห็น
ในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
การที่คนหนึ่งไม่เห็น
ในสิ่งที่คนอื่นๆเขาแลเห็นกัน
3.เป็นเพราะมนุษย์มีจิตใจคับแคบ
ยึดมั่นถือมั่นในความคิดความเชื่อ
จากมุมมองของตัว หัวใจไม่เปิดกว้าง
สังคมมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
อันเกิดจากความขัดแย้ง....
จนแม้แต่ครอบครัว
ในหมู่คนที่เคยบอกรักกันเอง
ก็มีอันต้องขาดความอบอุ่นไม่มีสันติสุข
4.นักเรียนจึงต้องรู้ว่า............
การเรียนรู้ด้วยการมองสรรพสิ่งใดก็ตาม
เพื่อการรู้จริงรู้แจ้ง
ในอันที่จะนำไปสู่การเห็นจริงเห็นแจ้งนั้น
ท่านทั้งหลายจักต้อง "ฉลาดมอง"
เพื่อการฉลาดเรียนรู้ในทุกสิ่งทุกเรื่องราว
โดยใช้คุณสมบัติดังต่อไปนี้
4.1 อย่ายึดติดมุมมองมุมคิดของตนเอง
อยู่เพียงด้านเดียว
โดยท่านต้องรู้ว่าทุกสรรพสิ่งทุกเรื่องราว
มันมีหลายมิติหรือหลายแง่มุม
หนำซ้ำยังมีเงามายาอยู่อีกด้วย
4.2 มองหน้ามองหลัง
ให้เหมือนมองลูกปลากระเบน
เพราะเขาคว่ำหน้าอยู่ใต้น้ำ
ถ้ามองแต่ด้านบนที่เป็นส่วนหลังด้านเดียว
ท่านก็จักไม่เห็นความน่ารักของเขาเลย
4.3 เมื่อลูกปลากระเบนสอนให้ท่าน
รู้จักมองหน้ามองหลังของเขา
เพื่้อค้นหาความจริงของเขาให้ครบด้านแล้ว
ทั้งกบทั้งม้าก็นำพาคำสอนใหม่
เพื่อสร้างคุณสมบัติของการเป็นคนฉลาดมอง
ฉลาดคิดต่างแง่มุมมาฝากท่าน
เป็นบทเรียนใหม่อีกด้วย
นั่นคือ....
หากท่านมองภาพสไลด์ตรงๆ ทื่อๆ
เขาวางภาพมาอย่างไรก็มองเห็นได้แค่นั้น
ท่านก็จะรู้จริงแค่เพียงบางด้าน
เสมือนการพบเจอสิ่งดีใดๆในชีวิต
แต่ท่านสามารถเข้าถึงสัจธรรมความจริงได้
แค่เพียงเศษเสี้ยวหรือบางส่วนนั่นเอง
5.การเป็นคนฉลาดเรียนรู้
เพื่อฉลาดที่จะรู้เท่าทันคนอื่นๆนั้น
ท่านจึงต้องมองให้เห็นในสิ่งที่คนอื่นเขาเห็น
ในขณะที่ท่านมองในมุมเดียวกันกับผู้อื่นอยู่
6.การเป็นคนฉลาดเรียนรู้
เพื่อฉลาดที่จะรู้ให้ลึกและกว้างกว่าคนอื่นนั้น
ท่านก็จะต้องมองให้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
ในขณะมองมุมเดียวกันอยู่
นอกจากนั้น...
ท่านก็จักต้องสามารถมองสิ่งใดๆ
ในแง่มุมที่คนอื่นๆเขามิได้มามองมาเห็น
เพราะพวกเขามองข้ามมันไปให้จงได้
ท่านจักต้องมองในแง่มุมที่
คนอื่นๆเขามองลึกเข้าไปไม่ถึง
คนอื่นๆเขามองได้ไม่กว้างไกลไปกว่าท่าน
ที่สำคัญคือ
ท่านจักต้องไม่ตีกรอบกักขังตนเองไว้
ด้วยการเคยมองมุมไหนก็ยึดติดอยู่กับมุมนั้น
ด้วยการมองต่างมุมให้เป็น
ด้วยการฉลาดพลิกแพลงมุมมอง
พระบิดาทรงกำหนดสร้างเจ้าค้างคาวขึ้นมา
ให้พวกเขาแสดงอิริยาบถห้อยหัวลงเสมอ
ในท่าปกติ สภาวะปกติ
ทั้งๆที่สัตว์ทุกตัวเวลานอนและเวลาปกตินั้น
ไม่มีพันธุ์ไหนที่ทรงกำหนดให้ห้อยหัวลงเลย
ทรงกำหนดสร้างค้างคาวให้ห้อยหัว
ก็เพื่อจะทรงทดลองให้เกิดการเรียนรู้ว่า
สัตว์ของพระองค์เวลาห้อยหัว
จะหลับได้มั้ย?
จะกินอาหารได้มั้ย?
นี่จึงเป็นการที่ทรงดำริอย่างมีมิติ
ทรงคิดอย่างมีมิติ
ทรงคิดนอกกรอบ
จึงทรงได้ความรู้และได้สัตว์พันธุ์ใหม่
ที่มีความแตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่น
เพราะทรงคิดต่าง คิดนอกกรอบ
และกล้าที่จะคิดอีกต่างหากด้วย
การมองหน้ามองหลัง
การมองหลายทิศทาง หลายๆแง่มุม
และการพลิกแพลงมุมมองดั่งเช่นภาพนี้
ท่านจึงเห็นว่า....
กบกับม้ามันอยู่ในภาพเดียวกันนั่นเอง

อ.ปริญญา ตันสกุล

ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการปรับพฤตินิสัยของมนุษย์
ด้วยกระบวนการ PsychoShow และ
นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์พฤติกรรม