วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อนัตตาเป็น ผู้สร้างความมี อัตตาเสมอ







เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ขณะนี้ยังมีอยู่อีกหลายคนที่สับสนกัน
เกี่ยวเรื่องของ "อัตตา" กับ "อนัตตา"
เราจึงใคร่นำพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล
มากล่าวไว้เป็นองค์ความรู้ที่ทรงมีพระเมตตา
ต่อท่านทั้งหลายไว้ดังนี้
1.อัตตา หมายถึง ตัวตนหรือรูปลักษณ์
ของ "สรรพสิ่ง" ซึ่งเป็นมายาของแก่นแท้นั้นๆ
ตัวอย่างเช่น "อัตตาของท่าน"
ก็คือตัวตนของท่าน
ที่เป็นรูปธรรมมนุษย์ซึ่งเป็น "เงามายา"
ของจิตวิญญาณของท่านเองที่เร้นอยู่ข้างใน
2.โดยปกติแล้วอัตตาทั้งหลายจะประกอบด้วย
รูป รส กลิ่น เสียง แสง สี ร้อน เย็น
ของประดาสรรพสิ่งต่างๆที่มีอยู่จริงในจักรวาลนี้
โดยมีแก่นแท้ของสรรพสิ่งนั้นๆเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา
เช่น ถ้าเป็นรูปธรรมหรือรูปลักษณ์ของสรรพสิ่งใด
ก็ล้วนเกิดจากการสั่นสะเทือนของแก่นแท้
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เร้นอยู่ข้างในนั่นแหละ
3.เราจึงสามารถกล่าวได้ว่า
อัตตาตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่งใดๆก็ตาม
ล้วนเกิดจากอำนาจในการสร้างของอีกสรรพสิ่งหนึ่ง
ซึ่งเป็น "อนัตตา" เป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
ดังที่เราเคยกล่าวเอาไว้เสมอว่า...
สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั้นจะเป็นผู้สร้างอัตตาเสมอ
ด้วยเหตุนี้เอง "อัตตา" ของสรรพสิ่งที่เป็นมายา
จึงล้วนเป็นการแสดงออกทางด้านคุณสมบัติ
ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาผู้อยู่เบื้องหลังนั่นเอง
เราจึงเรียกสรรพสิ่งที่เป็น "อนัตตา"
ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งที่มีอัตตาตัวตนรูปลักษณ์
ให้ปรากฏรูปธรรมเด่นชัดในมิติทางกายภาพว่า
"ตัวตนแก่นแท้"
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-06-2016

ตัวกู ของกู








เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
กิเลสตัณหาราคะทั้งปวงนั้นล้วนเกิดแต่จิตท่าน
มีการบกพร่องเหลวไหลใน 2 ประการ คือ

1).การยึดติดในตัวตนของตนเอ
ที่เรากล่าวไว้ในสไลด์แผ่นที่แล้วว่า
"ตัวกูของกู" มันเป็นอัตตาตัวใหญ่นั่นแหล

2).การไปหลงไหลใน "เงามายา"
ซึ่งเป็นอัตตาที่แก่นแท้ของสิ่งนั้นสร้างมันขึ้นไว้
โดยไม่รู้ไม่คิดว่าที่ท่านสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น
มันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด

กล่าวง่ายๆก็คือ "หลงเงา" นั่นแหละ

ท่านจะต้องรู้ว่าตัวกิเลสก็คือ "ความรู้สึก"
มันจะเป็นด่านแรกที่จิตของผู้มีตัวกูของกู
ก็จะสั่นสะเทือนเข้าถึงมันก่อนเพื่อนเลย
ในทันที่ที่ได้สัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งนั้นๆ

เช่น การเห็นแล้วบอกตัวเองว่า "สวย" นี่
การได้ยินได้ฟังแล้วบอกตนเองว่า "ไพเราะ" ดีนี่
การได้กลิ่นแล้วบอกตนเองว่า "หอม" ดีนี่
การได้ชิมได้ลิ้มแล้วบอกตนเองว่า "อร่อย" ดีนี่

ทั้งสวย ไพเราะ หอม และอร่อย
มันคือสิ่งที่เราเรียกว่า "กิเลส" นั่นแหละ

ใครก็ตามที่ไม่ได้ฝึกมหาสติในวิถีจิตจักรวาล
เมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมาที่ในจิตแล้ว
ก็มักจะเป็นเหมือนรถยนต์ที่ลื่นไถลเบรคไม่อยู่
จิตมันจะสั่นสะเทือนต่อไป
จนเกิดเป็น "ความอยาก" ขึ้นมาทันที

รู้สึกว่าสวยก็อยากจะได้มาครอบครอง
รู้สึกว่าไพเราะก็ติดใจอยากฟังนานๆอยากฟังซ้ำ
รู้สึกว่าหอมก็เกิดความอยากดมอยากได้
รู้สึกว่าอร่อยก็อยากจะกินเยอะๆอยากจะกินอีก

ความอยากลักษณะนี้แหละ
ที่เราเรียกว่า "ตัณหา" ล่ะนะ

ท่านจะเห็นได้ว่าเมื่อจิตเกิดความรู้สึกขึ้นมา
ตัณหามันจะตามมาทันทีทันควั
ก็ตรงที่เกิด "ตัวอยาก" นี่แหละมันคือการแสดงว่า
ตัวท่านนั้น "มีตัวกูของกู" เกิดขึ้นแล้ว

ถ้าอยากได้ในสี่แบบตัวอย่างข้างต้น
แต่ไม่ได้ดั่งใจหมายเพราะมีใครเป็น "กอขอคอ"
จิตท่านมันจะตกต่ำทำยุ่งต่อไปอีกก็คือ
ท่านจะ "เสียความรู้สึก" คือ "ไม่พึงพอใจ"
จนเกิดเป็นอาการหงุดหงิด โกรธขึ้ง เคียดแค้น
มันคืออาการของจิตที่ตกต่ำและเหลวไหลที่สุด
ที่เราเรียกมันว่า "อารมณ์ขยะ"

และเจ้าอารมณ์ขยะนี่เองที่เป็นเหตุให้มนุษย์
ผลิตสร้างประจุลบเหวี่ยงออกมา
เขวี้ยงทิ้งขว้างไว้ในบรรยากาศโลก
จนเกิดเป็นเมฆดำสกปรกลอยต่ำอย่างน่ากลัว 
จนเกิดลูกเห็บที่เป็นก้อนน้ำแข็งสกปรก
ที่ช่างเท็คนิกนำไปใช้เป็นเครื่องมือสร้างภัยพิบัติ
เล่นงานมนุษย์โลกทั้งหลายกันอยู่ในขณะนี้

เช่น สร้างพายุหมุนรุนแรงและน่ากลัว
สร้างพายุฝนทำให้เกิดอุทกภัยรุนแรง
สร้างพายุหิมะ พายุลูกเห็บ พายุทราย 
สร้างพายุแม่เหล็กและฟ้าผ่า เป็นต้น

ดังนั้น
เราจึงจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายเอาไว้ว่า
สาเหตุแห่งการเกิดกิเลสตัณหาราคะจริตนั้น
มิได้เกิดจากการที่ตัวท่าน "มีอัตตา"
มิได้เกิดจากสรรพสิ่งรอบตัวท่านที่ล้วน "มีอัตตา"

แต่มันเกิดจากการที่ตัวท่านยึดติดอัตตา
ในความเป็นตัวกูไว้เป็นเบื้องต้น
เมื่อท่านสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งใดเข้า
ท่านก็พยายามที่จะรับเอาสิ่งนั้นมาเป็นของตัว
นี่ก็เป็นเบื้องปลายนั่นเอง

จึงยังผลให้สรรพสิ่งที่ท่านพยายาม
ที่จะเอามันมาเป็นของตัวนั้นเกิดเป็น "ของกู"
ขึ้นมาทันทีทันควันเลยทีเดียว

ได้อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว
พบความจริงกันรึยังล่ะว่า
"อัตตา" ที่เป็นตัวกูของกูนี่แหละ
เป็นอัตตาตัวใหญ่ที่จะต้องละวางมันให้ได้
หากหมายจะฟันฝ่ากิเลสตัณหารายวัน
บนเส้นทางแห่งการหลุดพ้นไปได้อย่างราบรื่น
และถึงเป้าหมายปลายทางกันได้ในชาตินี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-06-2016