วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ถ้าท่านครอง มหาสติ





พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ในมรรควิถีจิตจักรวาล
อันเป็นเส้นทางแห่งการหลุดพ้น
สำหรับฆราวาส
ผู้เลือกครองตนเป็น #นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง นี้
หากเอ่ยคำว่า #มหาสติ แล้ว
ย่อมหมายถึงการครอง "สติ" รวม 3 ประการ
คือ รู้สติ มีสติ และใช้สติ

เพราะฆราวาสต้องอยู่ในสังคม
ต้องปฏิบัติธรรมร่วมกันกับผู้อื่นตลอดวันเวลา
จะนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมคนเดียว
หรือจะปลีกวิเวกอยู่คนเดียวไม่ได้
ฆราวาสจึงมีบริบทในการดำเนินชีวิต
กับบริบทในการทำงาน
ล้วนเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น
จะไปแอบนั่งหลับตาปลีกวิเวก
เพื่อทำกายกับจิตให้สงบ
ในลักษณะจะไปสวรรค์คนเดียวน่ะไม่ได้
หากจะไปสวรรค์ก็ต้องชักพาผู้อื่นไปด้วย
มีสุขก็ต้องแบ่งปันความสุข
มีความสำเร็จก็ต้องแบ่งปันความสำเร็จ
มีทุกข์ก็จะต้องร่วมต้านทุกข์นั้น
หรือขจัดทุกข์นั้นด้วยกัน
เพราะในความจริงเบื้องหลังมิติโลกนั้น
มนุษย์ทุกคนจักต้องร่วมสร้างสมการซัมเบต้า
ด้วยการสั่นสะเทือนจิตตปัญญาด้านบวก
โดยมีความรักแบบต่างๆเป็นแกนกลาง
ใครจะสั่นสะเทือนคนเดียวไม่ได้
เพราะสมการพลังงานด้านบวกนี้
จะเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยจิตใครเพียงลำพัง
แต่เนื่องจากมนุษย์ทุกคน
มีนิสัยและสันดานแตกต่างกัน
การจะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ด้วยการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างลงตัว
ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว
มันเป็นสิ่งที่ยากมากในทางปฏิบัติ
พระบิดาจึงทรงมีเมตตาสื่อสอนไว้ว่า
ให้ท่านทั้งหลายใช้ #มหาสติ เป็นเครื่องมือ
เพื่อจัดการลักษณะนิสัยสันดานที่แตกต่าง
ของพวกท่านทั้งหลายมิให้เป็นเงื่อนไข
จนนำไปสู่ความแตกแยก
แต่ให้สามารถนำความแตกต่าง
มาสร้างสิ่งใหม่
ที่ยิ่งใหญ่และมีประโยชน์มากกว่าแทนเสีย
โดยมหาสตินี่แหละจะช่วยให้ท่านรู้ว่า
เอาสีแดงมาร่วมหรือรวมกับสีขาวแล้ว
มันจะได้สีใหม่เป็นสีชมพูสวยหวานเลยเชียว
ดีกว่าคิดจะเล่นพวกโดยเอาแต่แดงรวมแดง
แล้วเขวี้ยงขาวทิ้งไปเพราะเห็นว่าสีมันต่าง
ชาตินี้ชีวิตพวกท่านจึงไม่มีอะไรใหม่
พวกท่านบนโลกนี้แม้มีจำนวนมากมาย
แต่ก็ทำประโยชน์อะไรให้กับโลกไม่ได้
สร้างประโยชน์ให้กับสังคมก็ไม่ได้
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
นัยความหมายของ #มหาสติ ก็คือ
1.#มีสติ
หมายถึง มีความสามารถที่จะควบคุมอารมณ์
และพฤติกรรมขยะ (Un-acceptable Behavior)
ของตนได้ ไม่น้อตหลุด ไม่สติแตก
2.#รู้สติ
หมายถึง รู้เท่าทันอารมณ์รู้สึก
และการนึกคิดของตนเองได้
3.#ใช้สติ
หมายถึง มีความสามารถในการแสดงออก
ทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวก
และแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผู้อื่นได้
โดยใช้ความฉลาดทางสมอง 3 ระดับ
ขับเคลื่อนเพื่อการดำเนินชีวิตหรือทำงาน
ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้ดี
ดังนั้น
ถ้าท่านสามารถครองมหาสตินี้ได้
ท่านก็จะไม่สร้างทุกข์ให้ตนเองและใครเลย
ท่านก็จะเป็นคนพ้นกรรม เป็นผู้อยู่เหนือกรรม
ท่านก็จะเป็นมนุษย์ที่สมดุลได้ในชาตินี้
ประตูด่านนภาลัยก็จะเปิดแง้มออก
ในเวลาเดียวกันกับตาที่สามของท่านเปิด
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-11-2016

ท่านทราบรึไม่ว่า





เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.เมื่อ #จิตวิญญาณ ผู้เป็นแก่นแท้ของท่าน
เดินทางข้ามมิติมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
ด้วยการเข้าปฏิสนธิทางวิญญา
กับเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ถูกสร้างขึ้น
ภายในครรภ์ของมารดาแล้วนั้น

จิตวิญญาณของท่าน
จะแบ่งภาคทางพลังงานออกมาส่วนหนึ่ง
เพื่อให้ทำหน้าที่แทนตนเอง
ในการควบคุมดูแลและสั่งการ
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
กระทั่งคลอดออกมาตราบจนเติบใหญ่
ไปจนถึงวันจบสิ้นอายุขัย

2.ตัวแทนของแก่นแท้ผู้ได้รับมอบอำนาจนี้
พวกท่านทั้งหลายเรียกว่า #จิตหยาบ
ส่วนจิตวิญญาณเองนั้น
จะลดบทบาทตัวเองลงเหลือแค่เพียง
ทำหน้าที่เป็นเสมือน "แบตเตอรี่"
ที่จะคอยให้พลังงานไฟฟ้า
หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์แห่งกรรม
หรือกายหยาบเท่านั้น

ซึ่งหน้าที่ของจิตวิญญาณในส่วนนี้
ไม่ต่างจากแบตเตอรี่รถยนต์
ถ้ารถยนต์ไม่มีแบตเตอรี่ก็จะติดเครื่องไม่ได้
เมื่อติดเครื่องไม่ได้รถยนต์คันนั้น
ก็จะใช้งานไม่ได้ที่เรียกว่า "รถตาย"

พวกท่านก็เช่นกัน
ถ้าไม่มีจิตวิญญาณมาปฏิสนธิ
เครื่องยนต์แห่งกรรมก็มีชีวิตไม่ได้

ถ้ามีชีวิตอยู่ดีๆแล้วจิตวิญญาณดับ
คือละออกจากกายหยาบกระทันหั
เครื่องยนต์แห่งกรรมของท่านผู้นั้นก็ "ตาย"
มันไม่ต่างกันหรอก

3.ดังนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จึงทำหน้าที่เปรียบเสมือนเจ้าของรถยนต์
ที่มักจะนั่งเบาะหลังเสมอ
ส่วน "จิตหยาบ" จึงเสมือนเป็นคนขับรถ
ที่จะต้องดูแลเครื่องยนต์แห่งกรรม
หรือกายหยาบรูปธรรมมนุษย์อย่างดีที่สุด

อีกทั้งต้องขับรถคันนี้ไปไหนๆ
ตามที่เจ้าของรถหรือเจ้านายต้องการเท่านั้น
จะขับรถไปเฉี่ยวชนใคร
จะขับไปตกหลุมตกท่อเพราะประมาท
จะขับปรู๊ดปร๊าดทำหวาดเสียวไม่ได้ทั้งสิ้น

จิตหยาบจะต้องรู้ว่า
จิตวิญญาณของตนต้องการให้ทำอะไรบ้าง
ไม่ต้องการให้ทำสิ่งใดบ้างในชีวิตประจำวัน
ไม่ใช่ทำตัวลอยไปลอยมา
ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจตนเอง

มิหนำซ้ำยังปฏิเสธ
การมีจิตวิญญาณของตนอีกต่างหากด้วย

4.ด้วยเหตุนี้เอง
จิตหยาบจึงต้องรู้ว่าจิตวิญญาณมาเกิด
เพื่อมอบความรักหรือพลังงานด้านบวกให้โลก
จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหาไม่ได้
เพราะมันจะผลิตพลังลบออกมา
จนทำให้เมฆฟ้าสกปรกด้วยประจุลบ
ซึ่งเป็นพลังงานที่โลกไม่ต้องการ

แน่นอนว่าจิตหยาบนั้น
จะต้อง #หมุนธรรมจักร ในตนเองให้สำเร็จให้ได้
การมาเกิดของจิตวิญญาณของพวกท่านทุกคน
จึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ทางจิตวิญญาณ

เอเมน สาธุ
กราบพระบาทพระบิดา

ป.วิสุทธิปัญญา
29-10-2016

ท่านทราบหรือไม่ว่า


 
 
 
 
 
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
#สาเหตุแห่งทุกข์
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตท่านนั้น
ส่วนใหญ่แล้วเกิดจาก "ความเห็นแก่ตัว" ทั้งสิ้น

ไม่เป็นเพราะใครคนนั้นมีความเห็นแก่ตัว
ก็ตัวท่านเองด้วยนั่นแหละที่เห็นแก่ตัว
ซึ่งพฤติกรรมการเห็นแก่ตัวนี้ส่วนใหญ่แล้ว
มักจะแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะความเคยตัว

#ตัวอย่างการเห็นแก่ตัว
แล้วทำให้เกิดทุกข์...มีพอสังเขปดังนี้

1.มักคิดแต่จะ "หาประโยชน์" จากคนอื่น
แต่ไม่เคยคิดที่จะ "ให้ประโยชน์" แก่คนอื่น

2.มักคิดแต่จะให้คนอื่นทำดีกับตนเองก่อน
แต่ไม่เคยคิดที่จะทำดีกับคนอื่นก่อน

3.ต้องการให้คนอื่นไม่ถือโทษโกรธแค้น
ในความผิดบาปที่ตนเองกระทำ
แต่กลับไม่ยินยอมที่จะให้อภัยผู้อื่น
ที่กระทำผิดบาปต่อตนเอง

4.มักจดจำความผิดพลาด
หรือผิดบาปของคนอื่นไว้
ตราบนานแสนนาน

แต่ตนเองนั้นมักจะจดจำ
ความดีงามของคนอื่นไม่ได้

5.มักชอบมองคนอื่นในแง่ลบ
แต่กลับไม่ชอบให้ใครคิดลบต่อตนเอง

6.คนอื่นพูดผิดหูก็โกรธเพราะหาว่าล่วงเกิน
แต่ทีตนเองพูดล่วงเกินคนอื่นเขา
ก็กลับบอกว่า "มิได้ตั้งใจ"

เรายืนยันต่อท่านทั้งหลายว่
พฤติกรรมเหล่านี้
เป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งสิ้น
หากท่านปรารถนาความสงบสุข
ก็จงละเลิกพฤติกรรมเหล่านี้เสีย

ถ้าท่านเอาแต่แสวงหาประโยชน์จากคนอื่น
โอกาสที่ท่านจะเบียดเบียนผู้อื่นให้เกิดทุกข์
ก็จะมีสูงยิ่ง...สูงยิ่ง.....
โอกาสที่ท่านจะไม่สมหวังเพราะถูกปฏิเสธ
ทำให้ท่านเกิดทุกข์จะมีสูงยิ่ง...สูงยิ่ง

ถ้าท่านรอให้คนอื่นทำดีกับท่านก่อน
โอกาสที่ท่านจะผิดหวังจนเกิดทุกข์ก็มีสูงยิ่ง
เพราะพวกเขาก็รอให้ท่านทำดีกับเขาก่อนเช่นกัน

ถ้าท่านไม่ยอมให้อภัยคนอื่นท่านก็จะทุกข์
ถ้าท่านต้องการให้คนอื่นให้อภัยท่านบ้าง
ท่านก็จะมีโอกาสทุกข์สูงยิ่งเพราะไม่สมหวัง

ถ้าท่านเอาแต่จำความไม่ดีงามของคนอื่นไว้
ตัวท่านก็มีโอกาสทุกข์ สูงยิ่ง...สูงยิ่ง....
จึงไม่รู้ว่าจะไปจดจำมันทำไ

ถ้าท่านอยากให้คนอื่น
จำความดีงามของท่านไว้
แล้วลืมความไม่ดีของท่านไปให้หมด
โอกาสที่ท่านจะผิดหวังจนเกิดทุกข์ก็มีสูงยิ่ง
เพราะพวกเขาส่วนใหญ่
ใครๆก็มีนิสัยเคยตัวแบบเดียวกับท่านไงล่ะ

ดังนั้น
มิใช่แค่เพียงละวางความทุกข์ไม่ได้
ถ้าหากท่านยังละเลิกความเห็นแก่ตัว
ในลักษณะดังกล่าวเหล่านี้ไม่ได้
ท่านทั้งหลายก็จะยัง "นิพพานดิบ" ไม่ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-11-2016