วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"สติ" มิได้ช่วยให้ท่านดับทุกข์




เราจะกล่าวความจริงให้พวกท่านรู้ไว้อีกว่า.....
"สติ" มิได้ช่วยให้ท่านดับทุกข์
อันเกิดจากจิตท่านกระทบกับ
สิ่งเร้าภายนอกภายในดอกท่าน
แต่สติช่วยให้ท่านเกิดดวงปัญญา
ต่างหาก....
เมื่อเกิดปัญญาแล้ว
ท่านยังต้องฝึกคิดให้เป็นอีกด้วย
การมีสติปัญญาแต่โง่เพราะคิดไม่เป็น
ท่านก็จัดการสิ่งที่เรียกว่าทุกข์
ไม่ได้หรอก...
พอเข้าใจว่ามีสติแล้วดับทุกข์ได้
พวกท่านเลยฝึกสติกันยกใหญ่
สติที่ได้จึงเกิดจากการกดทับ
ตัวทุกข์นั้นไว้ เขาเรียกว่า
"ข่มใจ" ไงล่ะ...พอหลุดจากสติ
ที่ข่มไว้ ทุกข์นั้นมันก็โผล่ขึ้นมาอีก
ถามตัวเองสิ...ใช่มั้ย?
เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
29-11-2015

การรับรู้ไม่รับเอา



การรับรู้ไม่รับเอา
ใช้ได้กับบางเงื่อนไขเท่านั้น
เช่น สุนัขกัดกันเสียงดังหนวกหู
ท่านตกใจตื่นกลางดึก
อย่างนี้ต้องวางแน่นอน
เอามา "ถือสา"
หรือเก็บมาทุกข์ก็โง่แล้ว
เพราะมันไร้สาระสิ้นดี
เรื่องของหมา เราไม่เกี่ยว
หน้าที่เราคือหลับต่อไปดีกว่าโกรธหมา
ไปกัดกับหมา...ว่ามั้ย?
นักบวชนั่งหลับตาอยู่คนเดียว
พอจิตสั่นไหวเขาจึงทำแบบนี้
พวกท่านเป็นคนมีสังคม
ผัวมี เมียมี ลูกมี เพื่อนมี
เมื่อเกิดทุกข์เพราะเกิดปัญหา
ท่านจึงต้องแยกอารมณ์ไม่สมดุล
ซึ่งเป็นขยะออกจากสาระหรือตัวปัญหา
นั้นให้ได้ก่อน
ท่านจึงต้องใช้สติจากจิต
ทำงานร่วมกับปัญญาคือสมอง
จัดการสิ่งที่ทุกข์นั่นให้ลุล่วง
จะมัวนั่งข่มใจไว้
ปัญหาทางจิตอาจคลี่คลาย
แต่ปัญหาทางโลกจะยังอยู่
พระหยุดที่จิต...ดับปัญหาภายใน
จบแล้วก็จบ
แต่ชาวบ้านยังมีปัญหาทางโลก
ตัวการเกิดปัญหาทางจิตให้ขบคิด
ต่อไปอีก...
จึงสอนให้ใช้แต่สติแบบนักบวช
แต่ไม่สอนให้ฉลาดคิด
เพื่อหาทางออกจากปัญหานั้นๆ
ในชีวิตประจำวัน....
บางคนจึงกลายเป็นคนไม่ทุกข์ไม่ทำ
มีชีวิตที่อืดอาดเซื่องซึม
ยามว่างๆเผลอเมื่อไหร่เป็นวูบหลับทุกที
มีชีวิตแบบนี้...จะดีหรือ
เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
29-11-2015

ธรรมมะ มีไว้ใช่แค่ท่อง



บางคนท่องธรรมะเสียจนขึ้นใจ
ต้องมีสตินะ
ต้องไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรานะ
ต้องอยู่กับปัจจุบันนะ
ต้องวางทุกข์และสุขนะ
ต้องละกิเลสตัณหานะ
ฯลฯ
มันล้วนคำพูดหรูๆ ฟังแล้วดูดีจัง
ซึ่งใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้น
แต่ปัญหา คือ รู้มาก...บวชนาน...
แล้วยังนิพพานกันไม่ได้
นี่แน่ะ....เราจะบอกให้
1.เพราะรู้แค่ว่าต้องทำอะไรบ้าง
จึงจะสร้างทางถึงนิพพานได้
2.ได้แค่รู้ว่าต้องทำอะไรตามข้อ 1.นั่น
แต่ไม่คิดต่อว่า...ตนต้องทำอะไรๆที่รู้นั้น
ให้มันสำเร็จเป็นรูปธรรมได้อย่างไร
ผลลัพธ์จึงไม่เกิด
จิตปัญญาจึงมิได้ยกระดับ
จึงทำได้เพียงสะสมเสบียงความรู้ไว้มากมาย
แต่ก้าวหน้าทางจิตวิญญาณไม่ได้
(ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด)
จึงดีแต่พูด ได้แต่คุย
3.บางเรื่องที่รู้ก็รู้ผิด
เพราะคิดเองเออเองบ้าง
เพราะเชื่อตามที่เขาเชื่อกันมาบ้าง
พอรู้ผิดก็เลยติดขัด ก็เลยสะดุด
มีชีวิตที่สับสน
ไปต่อข้างหน้าไม่ได้
เช่น งงๆกับตนเองว่า
เกิดมาเป็นมนุษย์ทำไม...
บ้างก็คิดว่า
ตนเกิดมาเพื่อ....
ละวางกิเลสตัณหา
เกิดมาเพื่อนิพพาน
โดยเอาพันธะสัญญาข้อ๖
มาเพียรทำอยู่เรื่องเดียว
แถมเอาวิธีนักบวช คือ ถนัดทำอยู่คนเดียว
ถนัดนั่งหลับตาอยู่คนเดียว
อีกต่างหากด้วย
นี่แหละเหตุแท้ที่ปฏิบัติธรรมมานาน
คุยธรรมะเก่ง...แต่ทำไมนิพพานไม่ได้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-11-2015