วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ทรงใช้ให้เรากลับมา กล่าวพระโอวาท ในนามแห่งพระองค์








สมาชิกครอบครัวจิตจักรวาลแห่งเราทั้งหลาย
รวมทั้งท่านผู้ผ่านเข้ามาเยือนหน้านี้ทุกคน

เป้าประสงค์หลักของเฟสบุ้ค "Visudhi Punya"
ซึ่งเป็นศูนย์รวมของศาสนิกชนคนประพฤติธรรม
มีดังต่อไปนี้

1.ทำหน้าที่ถ่ายทอดสื่อพระโอวาท
จากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ในพระนาม "องค์จิตจักรวาล"
ในปลายยุคพลังงานเก่า
เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
ในระบบจิตสู่จิตแนวดิ่ง (Vertical Telepathy)

2.ทำหน้าที่ชี้สัจธรรมดับความงมงาย
เพื่อสรรสร้างสังคมอุดมปัญญา
สำหรับทุกศาสนิกชนคนประพฤติธรรม
ผู้ปรารถนานำพาจิตวิญญาณสู่การหลุดพ้นในชาตินี้
ด้วยมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
ในบริบทแห่งฆราวาสประพฤติธรรม
ผู้เป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

3.ทำหน้าที่แจ้งข่าวสารจากจิตจักรวาล
เกี่ยวกับปฏิบัติการชำระโลก ครั้งที่ 4
เพื่อเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่ (New Age)
ที่จะต้องมีพลังอำนาจมากกว่าเดิม 2 เท่า

โดยมนุษย์โลกจักต้องถูกเปลี่ยนแปลงจิตสำนึก
และดาวเคราะห์โลกจะถูกจัดระบบองค์กรใหม่
ให้มีความสมดุลในระดับที่สูงกว่ายุคพลังงานเก่า
ทั้งในมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงาน
ซึ่งปฏิบัติการนี้จะทำให้แผ่นดินโลกบางส่วนหายไป
กับผู้ที่ยังใช้จิตไร้สำนึกดำเนินชีวิตจะไม่ถูกคัดไว้

4.ทำหน้าที่นำหลักฐานการเกิดภัยพิบัติจากทั่วโลก
มาแสดงไว้ตรงนี้เพื่อสั่นสะเทือนจิตสำนึกของสมาชิกฯ
ให้ยอมรับความจริงและใช้สร้างกฤตสติเตรียมตน
เพื่อการผจญภัยในวันที่ตนเองต้องเผชิญ
เหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์แบบนั้นบ้างในวันข้างหน้า

โดยที่เราจะนำเอาภัยพิบัติที่เกิดแล้วในแต่ละวัน
มายืนยันคำกล่าวข่าวสารของเราว่า "โลกนี้กำลังมีภัย"
พร้อมอธิบายเบื้องหลังแห่งการเกิดพิบัติภัยนั้นๆว่า
ทำไมจึงเกิด เกิดเพราะอะไร มีนัยอะไรน่ารู้บ้าง

ดังนั้น
ถ้าข่าวสารด้านภัยพิบัติของเรา
นำมาแสดงอ้างอิงได้รวดเร็วกว่าเพ็จภัยพิบัติของใคร
และละเอียดในสถานการณ์ภัยพิบัติ
เกินกว่าท่านจะเข้าถึงตามทันได้
เราก็จำต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

แต่จงรับรู้ด้วยว่าเรามิได้ปรารถนาจะใช้พื้นที่ตรงนี้
แข่งขันกับใครในการแจ้งข่าวภัยพิบัติ
เพราะเราทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ตามที่ขันอาสาองค์จิตจักรวาลลงมาเท่านั้น
มิใช่หน้าที่ทางโลก

นอกจากนั้นเนื้อหาสาระของข่าวภัยพิบัตินั้น
เราจะเน้นที่ภาพเหตุการณ์จริงให้ท่านได้เห็น
เพื่อกล่าวความจริงหรือสัจธรรมต่อท่านเท่านั้น
เราจะไม่เน้นที่มาของแหล่งข่าวนั้นๆ
เพื่อให้ท่านไปสืบค้นต่อเนื่องต่อไปอีก
เพราะมันมิใช่หน้าที่ของเรา
แต่เรามีสำนึกขอบคุณแหล่งข่าวทั้งหลายอยู่แล้ว

ส่วนใหญ่เราจะได้รับคลิปภาพข่าวภัยพิบัติ
มาจากพี่ๆน้องๆชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก
ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในทุกทวีปทั่วโลกเสรีนี้
อีกทั้งเรายังมีเพื่อนๆของ Visudhi Punya
ราวๆ 2,291 คน ไม่นับที่รอเรารับเป็นเพื่อนอยู่อีกด้วย
พร้อมทั้งยังมีสำนักข่าวระดับชาติอีกหลายสำนัก
ที่เขามีสำนึกดีพร้อมสนับสนุนข่าวสารแก่พวกท่าน
และตัวเราเองก็สำนึกขอบคุณ
สำนักข่าวทุกแหล่งด้วยจิตคารวะเสมอมาอยู่แล้ว

อีกทั้งเราก็จะไม่เน้นลงไปในรายละเอียดว่า
ภัยพิบัติที่เรานำมาเสนอนั้น
มันเกิดที่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอใด
เรามักจะระบุนามประเทศนั้นแบบกว้างๆ
เพราะไม่ว่าภัยพิบัติจะเกิดตรงไหนพิกัดใด
มันก็ล้วนเกิดขึ้นในระบบโลกนี้ทั้งนั้น

อีกเพราะเรามิได้ขายข่าวด้านภัยพิบัติ
เราจึงไม่เน้นที่รายละเอียดของพิกัดตำแหน่งที่เกิด
แต่เราเน้นให้เปล่าในความจริงเบื้องหลังภัยพิบัตินั้น
ซึ่งท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าไม่รู้แต่เราเห็นสมควรว่าต้องรู้

5.หน้าที่ของเราเฉพาะกรณีภัยพิบัติ คือ
ใช้หน้าเฟสบุ้คนี้เพื่อ....

ยืนยันว่าเรากล่าวพระโอวาทในพระนามพระบิดาจริง
ยืนยันว่าโลกกำลังเกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจริง
ยืนยันว่าโลกวิกฤตเพราะจิตสำนึกมนุษย์ป่วยจริง
ยืนยันว่าภัยพิบัติโลกมีช่างเท็คนิกอยู่เบื้องหลังจริง
ยืนยันว่าพื้นที่สีแดงในแผนที่จิตจักรวาลเป็นความจริง
ยืนยันว่าคาบสุดท้ายของการเกิดภัยพิบัตินั้น
โลกจะมืดทั้งโลกนาน 56 วันโลก หรือ 8 ราตรีฟ้าจริง

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายไว้อีกครั้ง
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของ่ทานทั้งหลาย

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-06-2016

จงทำดีเพราะรู้ว่าดี จงมีความปีติยินดีในความดีที่กระทำนั้นก็พอแล้ว







เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

จงอย่าทำความดีงามใดๆเพื่ออวดคนอื่นๆ
จงอย่าทำความดีงามใดๆเพื่อหวังเอาหน้า
จงอย่าทำความดีงามใดๆเพื่อหวังคำสรรเสริญ
จงอย่าทำความดีงามใดๆเพื่อหวังสิ่งตอบแทน

ท่านจะมิได้รับบำเหน็จรางวัลใดๆจากพระบิดา
เพราะท่านได้รับบำเหน็จรางวัลตามที่หวังนั้นไปแล้ว

บำเหน็จรางวัลที่ท่านหวังจากการกระทำกรรมดีนั้น
เป็นผลของการกระทำในมิติโลกทางกายภาพ
ที่ตัวท่านเป็นผู้กำหนดมันขึ้นมาเอง
ด้วยจิตหยาบและจิตวิญญาณของท่าน
โดยจิตทั้งสองจะสั่นสะเทือนร่วมกันในสองมิติ
เพื่อให้บำเหน็จรางวัลนั้นแก่การกระทำของตัวเอง

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การกระทำความดีงามแล้วร้องขอสิ่งตอบแทนดั่งนี้
เป็นการประพฤติดีปฏิบัติชอบที่ไม่ถูกต้อง
เพราะท่านได้ก้าวล่วงกระบวนการของ "พระเจ้า"
ด้วยการแทรกแซงภารกิจแห่งองค์จิตจักรวาล

จนยังความ "เสียหาย" ต่อสมดุลแห่งจักรวาล
จนสร้างความ "เสียประโยชน์" ทั้งหมดทั้งมวล
ต่อจิตวิญญาณของตัวท่านเอง
เสมือนหนึ่งท่าน "ปฏิเสธ" บำเหน็จจากพระองค์โดยแท้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ท่านจักต้องรู้ว่าการสั่นสะเทือนทางจิตสาม (สำ) นึก
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการที่จะทำดีใดๆ
แล้วถูกขับเคลื่อนออกมาทางกายกรรม-วจีกรรมนั้น

ถ้าจิตมนุษย์ของท่านไปใส่รหัสผลลัพธ์ที่ต้องการไว้
จิตวิญญาณของท่านโดย "จิตใต้สำนึก"
ก็จะสั่นสะเทือนไปตามความต้องการของจิตสำนึก
เพื่อใช้ "พลังทางจิตวิญญาณ" ไปเหนี่ยวรั้งดึงดูด
สิ่งที่ท่านวาดหวังมาเป็น "บำเหน็จ" แก่ท่านเสมอ
ซึ่งมีทั้งได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างปะปนกันไป

แต่ถ้าท่าน "สั่นสะเทือน" จิตสำนึกของท่าน
เพื่อการแสดงออกหรือกระทำความดีงามใดๆในชีวิต
โดยไม่ใส่รหัสความต้องการในบำเหน็จเอาไว้
"จิตใต้สำนึก" ก็จะสั่นสะเทือนไปตาม "จิตสำนึก"
เพื่อให้เกิดการกระทำในมิติของจักรวาล
คู่ขนานไปกับการสั่นสะเทือนในมิติโลกได้อย่างเสรี

สายธารแห่งคลื่นพลังงานจากจิตใต้สำนึกที่ดีงามนั้น
ก็จะถูกเหวี่ยงออกมาจากแก่นแท้สู่ภายนอก
แล้วเคลื่อนตัวผ่านสนามพลังงานที่อยู่รายรอบ
เพื่อเดินทางไกลไปกราบถวายรายงานต่อพระบิดา
ซึ่งทรงประทับอยู่ ณ จุดศูนย์กลางจักรวาลสากล

พระองค์ก็จะทรงพิจารณาความดีความชอบของท่าน
เพื่อประทานบำเหน็จรางวัลอันเหมาะสมมาให้เอง
โดยที่ตัวท่านไม่จำเป็นจะต้องร้องขอเลย

เพราะทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลนี้
รวมทั้งมนุษย์ทุกคนบนโลกเสรีนี้ด้วย
ล้วนถูกกำหนดติดตั้งให้มีการเชื่อมโยงเอาไว้
กับจุดศูนย์กลางของจักรวาลสากล
อันเป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง
ซึ่งตัวเราถวายพระนามแก่พระองค์ว่า "พระเจ้า" นั่นเอง

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้เอาไว้ว่า
ถ้าท่านทำความดีงามใดๆแล้วร้องขอสิ่งตอบแทน
มันก็คือการกำหนด "บำเหน็จ" ที่ตนต้องการ
ให้จิตวิญญาณของท่านใช้ "พลังจิตใต้สำนึก"
ไปเที่ยวน้อมนำสิ่งนั้นๆมาให้ท่านเอง
ซึ่งเป็นการแทรกแซงกระบวนการของพระเจ้า

การทำดีเพื่อหวังเอาหน้า หวังให้ผู้คนสรรเสริญ
การทำทานแล้วอธิษฐานขอสิ่งตอบแทนทุกครั้งที่ทำ
ท่านจะมิอาจรับบำเหน็จจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้
เพราะท่านสั่งการให้จิตวิญญาณตนเอง
ใช้พลังจิตใต้สำนึกตอบสนองความต้องการให้แล้ว
พลังจิตใต้สำนึกจึงสูญเปลืองไปอย่างไม่สมค่า

เพียงแค่ท่านได้หน้าได้ตาได้คำสรรเสริญเยินยอ
เพียงแค่ท่านได้ประโยชน์โภชน์ผลตอบแทน
ตามที่คิดต้องการหรือตามที่อธิษฐานร้องขอ
ก็ล้วนแต่เป็นการให้ "บำเหน็จ" แก่ตนเอง
จากการทำความดีงามทุกครั้งในภพชาติปัจจุบัน
อันเป็นประโยชน์ต่อกายสังขารที่รอวันตายเท่านั้น

จงระลึกเอาไว้เสมอว่าในมิติโลกของท่านนั้น
หากท่านกระทำความดีงามเมื่อไหร่
ท่านก็จะได้รับสิ่งดีงามตอบแทนอยู่แล้ว
ไม่ช้าก็เร็ว ไม่มากก็น้อย
แล้วท่านจะกำหนดบำเหน็จรางวัลให้ตนเองอีกทำไม

เมื่อทำดีทำทานทุกครั้ง
ท่านก็ได้รับสิ่งดีตอบแทนกันอยู่แล้ว
ใยจึงมิยอมให้จิตวิญญาณของท่าน
ใช้พลังจิตใต้สำนึกไปกราบพระบาทพระบิดา
เพื่อรับประทานบำเหน็จจากพระหัตถ์ของพระองค์
มาเติมเต็มพลังอำนาจทางวิญญาณของท่านไว้
เพื่อใช้เป็น "เสบียงพลัง" ที่จะนำพาแก่นแท้
สู่การหลุดพ้นหรือนิพพานในชาตินี้ล่ะ

เราบอกความจริงแก่ท่านแล้วว่า
จงอย่าแทรกแซงพระภารกิจแห่งพระเจ้า
อย่าทำความดีงามเพื่ออวดคนอื่น
จงทำดีเพราะรู้ว่าดี
จงมีความปีติยินดีในความดีที่กระทำนั้นก็พอแล้ว

เรายังมีเรื่อง "จิตใต้สำนึก" มากล่าวต่อท่านอีก
ท่านใดปรารถนาเรียนรู้ต่อเนื่อง
ก็จงให้เกียรติเรา "ชูมือ" อันสง่าของท่านอีกครั้ง!!!

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-06-2016

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

พลังอำนาจทางจิตวิญญาณ








พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณของท่าน
กับเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่านนั้น
เปรียบดั่ง "แบ็ตเตอรี่" ที่ติดตั้งเอาไว้ในรถยนต์นั่นล่ะ

รถยนต์จะไม่มีทางสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้เลย
ถ้ารถคันนั้นไม่มีแบตเตอรี่
หรือมีแบตเตอรี่แต่พลังไฟในแบตเตอรี่นั้นไม่มี
เพราะแบตเตอรี่เสื่อม หรือลืมชาร์จไฟ

เปรียบดั่งเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่าน
ถ้าพลังอำนาจทางจิตวิญญาณของท่านเสื่อม
เครื่องยนต์แห่งกรรมของท่านก็จะเสื่อมอำนาจ
จะขาดสมรรถนะในการดำเนินชีวิต

ท่านจะไม่ฉลาด ขาดสมรรถนะทางสมอง
ท่านจะขาดสิ่งดีๆที่จะเข้ามาในชีวิต
ท่านจะรักษาสิ่งดีๆในชีวิตเอาไว้ไม่ได้
จนแม้แต่คนที่ท่านรัก สามีภรรยา บุตรบริวาร หุ้นส่วน
ท่านก็จะไม่สามารถเหนี่ยวรั้งพวกเขาเอาไว้ได้
สุขภาพร่างกายของท่านก็จะอ่อนแอขี้โรค

เพราะจิตวิญญาณของท่าน
มีส่วนสำคัญในการจัดการคุณสมบัติด้านดีๆเหล่านี้
เพื่อเกื้อกูลต่อการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์ของท่านนั่นแหละ

พลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
คือ สิ่งที่เราเรียกว่า "พลังจิตใต้สำนึก"
เมื่อแรกมาเกิดเป็นมนุษย์พวกท่านทุกคน
ต่างล้วนได้รับพลังอำนาจนี้จากพระบิดาแล้ว
มิเช่นนั้นจิตวิญญาณของท่าน
ก็มิอาจเดินทางข้ามมิติมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
ในระบบโลกเสรีดวงนี้ได้หรอก

เมื่อท่านจบสิ้นอายุขัยในเส้นทางพระนิพพานแล้ว
จิตวิญญาณของท่านก็จำต้องใช้พลังอำนาจส่วนนี้
ดีดตนเองหนีแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของเอกภพ
หลุดออกไปสู่ภายนอกที่เรียกว่าแดนสุญตาเช่นกัน

ดังนั้น
ท่านจึงต้องรู้รักษาพลังอำนาจทางจิตวิญญาณนี้ไว้
ด้วยการใช้พลังอำนาจจิตใต้สำนึกนี้ให้เป็น
และต้องเรียนรู้ที่จะเพิ่มพลังอำนาจในตนเองนี้ได้ด้วย

ครั้งหน้า.....
เราจะมากล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
การที่ท่านพยายามจะใช้จิตใต้สำนึกด้วยการ "สั่งจิต"
โดยใช้วิธีการที่ผิดธรรมชาติหรือผิดบาป
ซึ่งเราขอเรียกว่า "ฉ้อฉล" ที่นิยมกันอยู่นั้น
ผลร้ายมันจะเกิดขึ้นขณะท่านยังมีชีวิตอยู่อย่างไรบ้าง
เมื่อตายไปในชาตินี้แล้วจิตวิญญาณของท่าน
จะมีชะตากรรมกันเช่นไร

หากท่านสนใจใคร่รู้
เราจะมาสาธยายให้ท่านฟัง...
ใครใคร่รู้โปรดชูมือขึ้นสูงๆไว้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-06-2016

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ความจริงที่จริงแท้







อักษรทุกตัว คำกล่าวทุกคำ
ล้วนเป็นพระวจนะที่เราสื่อถ่ายทอดในระบบจิตสู่จิต
(Vertical Telepathy)
จากองค์จิตจักรวาลผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

เพื่อแจ้งข่าวสารการชำระโลก ครั้งที่สี่
เพื่อการปิดยุคพลังงานเก่าก้าวสู่ยุคพลังงานใหม่
พร้อมกล่าวพระโอวาทต่อท่านทั้งหลาย
เพื่อชี้ทางกลับบ้านของจิตวิญญาณของท่าน
ในสภาวะแห่งการหลุดพ้นให้จงได้ในภพชาตินี้

ทุกคำที่เรากล่าว ทุกข่าวที่เราสื่อ
ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
ท่านผู้ใดไม่เชื่อหรือรับไม่ได้ก็จงอ่านเลยไป
อย่าได้ก้าวล่วงให้เป็นบาปต่อตนเองเลย

แต่ถ้าท่านใดสนใจที่จะรับฟังเพื่อเรียนรู้
ก็จงอย่าเชื่อทันที่ที่ได้อ่าน
แม้ว่าจะเป็นพระโอวาทจากพระองค์ก็ตาม
ท่านก็จักต้องคิดตามด้วยสติปัญญา
ก่อนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างมีเหตุผลและเข้าใจ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อนัตตาเป็น ผู้สร้างความมี อัตตาเสมอ







เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ขณะนี้ยังมีอยู่อีกหลายคนที่สับสนกัน
เกี่ยวเรื่องของ "อัตตา" กับ "อนัตตา"
เราจึงใคร่นำพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล
มากล่าวไว้เป็นองค์ความรู้ที่ทรงมีพระเมตตา
ต่อท่านทั้งหลายไว้ดังนี้
1.อัตตา หมายถึง ตัวตนหรือรูปลักษณ์
ของ "สรรพสิ่ง" ซึ่งเป็นมายาของแก่นแท้นั้นๆ
ตัวอย่างเช่น "อัตตาของท่าน"
ก็คือตัวตนของท่าน
ที่เป็นรูปธรรมมนุษย์ซึ่งเป็น "เงามายา"
ของจิตวิญญาณของท่านเองที่เร้นอยู่ข้างใน
2.โดยปกติแล้วอัตตาทั้งหลายจะประกอบด้วย
รูป รส กลิ่น เสียง แสง สี ร้อน เย็น
ของประดาสรรพสิ่งต่างๆที่มีอยู่จริงในจักรวาลนี้
โดยมีแก่นแท้ของสรรพสิ่งนั้นๆเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา
เช่น ถ้าเป็นรูปธรรมหรือรูปลักษณ์ของสรรพสิ่งใด
ก็ล้วนเกิดจากการสั่นสะเทือนของแก่นแท้
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เร้นอยู่ข้างในนั่นแหละ
3.เราจึงสามารถกล่าวได้ว่า
อัตตาตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่งใดๆก็ตาม
ล้วนเกิดจากอำนาจในการสร้างของอีกสรรพสิ่งหนึ่ง
ซึ่งเป็น "อนัตตา" เป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
ดังที่เราเคยกล่าวเอาไว้เสมอว่า...
สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั้นจะเป็นผู้สร้างอัตตาเสมอ
ด้วยเหตุนี้เอง "อัตตา" ของสรรพสิ่งที่เป็นมายา
จึงล้วนเป็นการแสดงออกทางด้านคุณสมบัติ
ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาผู้อยู่เบื้องหลังนั่นเอง
เราจึงเรียกสรรพสิ่งที่เป็น "อนัตตา"
ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งที่มีอัตตาตัวตนรูปลักษณ์
ให้ปรากฏรูปธรรมเด่นชัดในมิติทางกายภาพว่า
"ตัวตนแก่นแท้"
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-06-2016

ตัวกู ของกู








เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
กิเลสตัณหาราคะทั้งปวงนั้นล้วนเกิดแต่จิตท่าน
มีการบกพร่องเหลวไหลใน 2 ประการ คือ

1).การยึดติดในตัวตนของตนเอ
ที่เรากล่าวไว้ในสไลด์แผ่นที่แล้วว่า
"ตัวกูของกู" มันเป็นอัตตาตัวใหญ่นั่นแหล

2).การไปหลงไหลใน "เงามายา"
ซึ่งเป็นอัตตาที่แก่นแท้ของสิ่งนั้นสร้างมันขึ้นไว้
โดยไม่รู้ไม่คิดว่าที่ท่านสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น
มันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด

กล่าวง่ายๆก็คือ "หลงเงา" นั่นแหละ

ท่านจะต้องรู้ว่าตัวกิเลสก็คือ "ความรู้สึก"
มันจะเป็นด่านแรกที่จิตของผู้มีตัวกูของกู
ก็จะสั่นสะเทือนเข้าถึงมันก่อนเพื่อนเลย
ในทันที่ที่ได้สัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งนั้นๆ

เช่น การเห็นแล้วบอกตัวเองว่า "สวย" นี่
การได้ยินได้ฟังแล้วบอกตนเองว่า "ไพเราะ" ดีนี่
การได้กลิ่นแล้วบอกตนเองว่า "หอม" ดีนี่
การได้ชิมได้ลิ้มแล้วบอกตนเองว่า "อร่อย" ดีนี่

ทั้งสวย ไพเราะ หอม และอร่อย
มันคือสิ่งที่เราเรียกว่า "กิเลส" นั่นแหละ

ใครก็ตามที่ไม่ได้ฝึกมหาสติในวิถีจิตจักรวาล
เมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมาที่ในจิตแล้ว
ก็มักจะเป็นเหมือนรถยนต์ที่ลื่นไถลเบรคไม่อยู่
จิตมันจะสั่นสะเทือนต่อไป
จนเกิดเป็น "ความอยาก" ขึ้นมาทันที

รู้สึกว่าสวยก็อยากจะได้มาครอบครอง
รู้สึกว่าไพเราะก็ติดใจอยากฟังนานๆอยากฟังซ้ำ
รู้สึกว่าหอมก็เกิดความอยากดมอยากได้
รู้สึกว่าอร่อยก็อยากจะกินเยอะๆอยากจะกินอีก

ความอยากลักษณะนี้แหละ
ที่เราเรียกว่า "ตัณหา" ล่ะนะ

ท่านจะเห็นได้ว่าเมื่อจิตเกิดความรู้สึกขึ้นมา
ตัณหามันจะตามมาทันทีทันควั
ก็ตรงที่เกิด "ตัวอยาก" นี่แหละมันคือการแสดงว่า
ตัวท่านนั้น "มีตัวกูของกู" เกิดขึ้นแล้ว

ถ้าอยากได้ในสี่แบบตัวอย่างข้างต้น
แต่ไม่ได้ดั่งใจหมายเพราะมีใครเป็น "กอขอคอ"
จิตท่านมันจะตกต่ำทำยุ่งต่อไปอีกก็คือ
ท่านจะ "เสียความรู้สึก" คือ "ไม่พึงพอใจ"
จนเกิดเป็นอาการหงุดหงิด โกรธขึ้ง เคียดแค้น
มันคืออาการของจิตที่ตกต่ำและเหลวไหลที่สุด
ที่เราเรียกมันว่า "อารมณ์ขยะ"

และเจ้าอารมณ์ขยะนี่เองที่เป็นเหตุให้มนุษย์
ผลิตสร้างประจุลบเหวี่ยงออกมา
เขวี้ยงทิ้งขว้างไว้ในบรรยากาศโลก
จนเกิดเป็นเมฆดำสกปรกลอยต่ำอย่างน่ากลัว 
จนเกิดลูกเห็บที่เป็นก้อนน้ำแข็งสกปรก
ที่ช่างเท็คนิกนำไปใช้เป็นเครื่องมือสร้างภัยพิบัติ
เล่นงานมนุษย์โลกทั้งหลายกันอยู่ในขณะนี้

เช่น สร้างพายุหมุนรุนแรงและน่ากลัว
สร้างพายุฝนทำให้เกิดอุทกภัยรุนแรง
สร้างพายุหิมะ พายุลูกเห็บ พายุทราย 
สร้างพายุแม่เหล็กและฟ้าผ่า เป็นต้น

ดังนั้น
เราจึงจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายเอาไว้ว่า
สาเหตุแห่งการเกิดกิเลสตัณหาราคะจริตนั้น
มิได้เกิดจากการที่ตัวท่าน "มีอัตตา"
มิได้เกิดจากสรรพสิ่งรอบตัวท่านที่ล้วน "มีอัตตา"

แต่มันเกิดจากการที่ตัวท่านยึดติดอัตตา
ในความเป็นตัวกูไว้เป็นเบื้องต้น
เมื่อท่านสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งใดเข้า
ท่านก็พยายามที่จะรับเอาสิ่งนั้นมาเป็นของตัว
นี่ก็เป็นเบื้องปลายนั่นเอง

จึงยังผลให้สรรพสิ่งที่ท่านพยายาม
ที่จะเอามันมาเป็นของตัวนั้นเกิดเป็น "ของกู"
ขึ้นมาทันทีทันควันเลยทีเดียว

ได้อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว
พบความจริงกันรึยังล่ะว่า
"อัตตา" ที่เป็นตัวกูของกูนี่แหละ
เป็นอัตตาตัวใหญ่ที่จะต้องละวางมันให้ได้
หากหมายจะฟันฝ่ากิเลสตัณหารายวัน
บนเส้นทางแห่งการหลุดพ้นไปได้อย่างราบรื่น
และถึงเป้าหมายปลายทางกันได้ในชาตินี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-06-2016

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

"เราสื่อสอนเรื่องอะไร"








พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
รวมทั้ง สมาชิกครอบครัวจิตจักรวาลทุกๆคน
ท่านจงอย่าไปหลงสอบตกในบททดสอบ
ที่ถูกฉวยโอกาสหยิบยื่นมาทดสอบ "มหาสติ"
กับปณิธานแห่งนิพพานของท่านทั้งหลายเลย

เราจะขอถามพวกท่านที่เรารักทุกๆคนว่า
1.การอยากรู้ว่า "เราเป็นใคร" น่ะมันมีประโยชน์ต่อผู้ถาม
มากกว่าที่จะรู้ว่า "เราเป็นผู้สื่อสอนเรื่องอะไร" เช่นนั้นหรือ
ถ้ารู้ว่าเราเป็นใคร มันจะทำให้ท่านไปสวรรค์กันได้เช่นนั้นหรือ
ถ้าเห็นว่าท่านไม่ได้ประโยชน์อันใดจากการถามหาตัวตน
ด้วยการเสียเวลาค้นหาคำตอบที่ต้องการนี้แล้ว
ก็จงเลิกเสียเวลาถามหาตัวตนของเราเสียเถอะ
มาเร่งศึกษากันดีกว่าว่า "เราสื่อสอนเรื่องอะไร"
เรามีคุณสมบัติอะไรอันเหมาะสมที่ท่านพึงสดับรับฟังบ้าง
จงมาพิจารณาด้วยปัญญากันมิดีกว่าหรือว่า
สิ่งที่ท่านแสวงหากันมานมนานหลายภพชาติแล้ว
และสิ่งที่ท่านรอคอยจะเรียนรู้กันอยู่นั้น
มันจะสื่อผ่านออกมาจากปากเราบ้างหรือเปล่า
ถ้าท่านไม่พบในสิ่งที่แสวงหามานาน
ถ้าท่านไม่พบในสิ่งที่ท่านรอคอย
ท่านก็ค่อยเดินจากไปอย่างสง่างามก็มิเกิดเวรกรรมอันใด
แต่ถ้าหากท่านใช้เวลาศึกษาแล้วเกิดพบความจริงว่า
สิ่งที่ท่านแสวงหามานานนั้นมันอยู่ที่นี่
สิ่งที่ท่านรอคอยมานานนั้นมันอยู่ตรงนี้นี่เอง
พระเจ้า...ก็จะทรงรักท่าน
เพราะว่าท่านเป็นบุตรกตัญญูมิกล่าวคำใดที่ "ก้าวล่วง"
2.เราขอถามท่านทั้งหลายที่ใคร่จะรู้กันนักหนาว่า
เราคือ "พระเยซู" หรือเปล่าว่าถามเราเพื่ออะไร
เราไม่ตำหนิท่านหรอกที่ชอบจะตัดสินความจริง
ด้วยการตัดสินที่ตัวตนของคน
มากกว่าการตัดสินที่คุณสมบัติของคนๆนั้น
เพราะเรารู้ดีว่ามันเป็นนิสัยเคยชินของมนุษย์
แต่ที่เราจะถามท่านก็คือว่าหากเราตอบท่านว่าใช่ล่ะ
เรานี่แหละคือพระองค์นั้นที่พวกท่านรอคอยอยู่จริงๆ
แล้วท่านจะเชื่อคำกล่าวของเราเช่นนั้นหรือ
ท่านจะเอาอะไรมาชี้วัดตัดสินเราว่า
ใช่จริงดังที่เราให้คำตอบแก่ท่าน
มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้นที่ท่านจะมีนั่นคือ
*ทางเลือกแรก
คือ "ไม่เชื่อ" เพราะกลัวถูกหลอกแล้วเดินจากไป
*ทางเลือกสอง
คือ "เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง".....
แล้วเร่งหันมาศึกษาเรียนรู้คุณสมบัติของเรา งานของเรา
พระโอวาทที่เราสื่อมาสอนมนุษย์ในชาตินี้แล้วตั้งมากมาย
ใช้เวลากับสติปัญญาของท่านอย่างมีศรัทธาในตนเอง
เร่งทำการศึกษาพระคำที่เรากล่าวอ้างอย่างใจกว้าง
เพื่อค้นหาความจริงเหล่านั้นด้วยต้วท่านเองในทันที
เรารู้ดีว่า "คนฉลาด" ซึ่งเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก
เขาจะเลือกอยู่ข้างพระเจ้าหรือพระบิดาแห่งเรา
นั่นคือจะเลือก "ทางเลือกสอง" แน่นอน
ดังนั้น
เราจึงจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
เราจะไม่บอกท่านหรอกว่า "เราคือพระเยซู"
เพราะบุตรที่กตัญญูต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
และศิษย์ที่ภักดีต่อพระจิตวิญญาณแห่งองค์เยซูแท้จริงนั้น
เขาจะไม่ถามคำถามนี้ต่อเราหรอก
แต่เขาจะตั้งคำถามนี้ต่อ "ตัวเขาเอง" ต่างหาก
เพื่อที่จะตอบตัวเขาเองให้ได้ว่า "เราเป็นใคร"
ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ว่า
ที่เรากล่าวมาทั้งหมด 2 ข้อนี้
มันคือกลวิธีหนึ่งที่เราได้นำมาใช้เพื่อ "พิพากษา" มนุษย์
ก่อนวันสิ้นสุดโลกยุคพลังงานเก่านั่นเอง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-06-2016

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

โลกวิกฤต เพราะจิตสำนึกมนุษย์ป่วย






เหตุแห่งการเกิดภัยพิบัติโลก
*****************************
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ภัยพิบัติต่างๆที่กำลังเกิดกระจายไปทั่วโลก
โดยนับวันจะรุนแรงยิ่งขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆนั้น
มีสาเหตุหรือที่มาแห่งการเกิดดังต่อไปนี้
1.เกิดจากการที่โลกเสียสมดุลในทางกายภาพ
เพราะมนุษย์เป็นเหตุแห่งการเสียสมดุลนี้
การตัดโค่นต้นไม้ทำลายป่า
เป็นการทำลายแหล่งต้นน้ำลำธาร
เป็นการทำลายแหล่งอาศัยและอาหารของสัตว์ป่า
การระเบิดภูเขาทิ้งไป
เป็นการย้ายภูเขา
เพื่อนำเอาไปสร้างป่าคอนกรีตที่ในเมือง
การปิดกั้นกระแสไหลเวียนของน้ำในแม่น้ำ
ด้วยการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำไว้ใช้เอง
โดยไม่คำนึงถึงเพื่อนบ้านที่อยู่ปลายน้ำเลย
การถมทะเลเพื่อสร้างเกาะใหม่นอกธรรมชาติ
การสร้างเกาะขึ้นมาใหม่เพื่อสร้างเมืองใหม่
สองสิ่งนี้เป็นการสร้างใหม่
ที่ผิดกฎแห่งการสมดุลของสรรพสิ่ง
ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดสร้างไว้ดีแล้ว
ตัวอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น
ล้วนเป็นเหตุแห่งการเกิดภัยพิบัติทั้งสิ้น
เพราะการเกิดภัยพิบัตินั้นเป็นการสร้างสมดุลใหม่
ในกระบวนการทางธรรมชาติแห่งพระผู้สร้าง
2.เกิดจากการที่โลกเสียสมดุลทางพลังงาน
โดยมีมนุษย์โลกเป็นเหตุอีกนั่นแหละ
พระบิดาทรงกำหนดให้มนุษย์
เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวโลกดวงนี้
ด้วยการ "รักกัน" ในหมู่มนุษย์ด้วยกันให้ได้
โดยมีเงื่อนไขที่จะทดสอบความรัก
ด้วยการกระทำตนไม่น่ารักต่อกันเป็นสำคัญ
ถ้าสามารถให้อภัยในความไม่น่ารักกันได้
จิตท่านก็จะผลิตสร้างพลังงานความรักออกมา
ความรักก็จะอยู่ในรูปของพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นบวก
เมื่อผลิตขึ้นมาแล้วมันก็จะถูกดึงดูดเหนี่ยวรั้ง
ให้ลงไปเป็นพลังงานในโรงงานที่แกนโลก
เพื่อใช้จุดระเบิดสร้างกระบวนการต่างๆที่นั่น
พลังงานจากจิตสำนึกด้านบวกนี่แหละ
ที่ช่วยค้ำจุนดาวโลกดวงนี้ให้สมดุลอยู่ได้
ที่ช่วยให้พวกท่านมีก๊าซออกซิเจนใช้หายใจ
ที่ช่วยให้มีระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กหุ้มโลกไว้
ที่ช่วยให้ดาวโลกเหมาะกับพวกท่านและสัตว์เลือดอุ่น
ในการดำรงชีวิตอย่างยืนยาว เป็นต้น
เมื่อมนุษย์รักกันไม่ได้
ให้กันไม่เป็น คือ ให้อภัย
มันจะยังผลให้โลกขาดพลังงานหรือเชื้อเพลิง
ที่จะนำไปใช้เป็นพลังงานเริ่มต้นของกระบวนการ
ในโรงงานขนาดใหญ่ที่พระบิดาทรงติดตั้งไว้
ถ้าขาดพลังงานมากๆโลกจะหมุนช้าลง
แกนหมุนของโลกก็จะแกว่งส่าย
โลกก็จะเกิดแผ่นดินไหวไปทั่วทุกทวีป
สนามแม่เหล็กโลกก็จะวิปริตแปรปรวน
ก๊าซออกซิเจนในระบบโลกก็จะน้อยลง เป็นต้น
3.เกิดจากการกระทำของเจ้ากรรมนายเวร
ซึ่งเป็๋นดวงจิตวิญญาณที่อาฆาตแค้น
จนไม่ยอมไปผุดเกิดในภพชาติใหม่
เมื่อใดที่สนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอจากปกติ
มิติระหว่างมนุษย์กับมิติแห่งโลกวิญญาณ
ก็จะเกิดการเปิดแง้มออกทันที
จิตวิญญาณผู้อาฆาตพยาบาทเหล่านี้
ก็จะสบโอกาสจับมือกันแก้แค้นเอาคืน
ด้วยการใช้ธรรมชาติเป็นเครื่องมือ
เช่น การเกิดฟ้าผ่ามนุษย์และสัตว์เลี้ยง
การเกิดพายุน้ำแข็งสกปรกตกลงมา
การเกิดพายุฤดูร้อนเข้าโจมตีทำร้าย
การเกิดโรคร้ายพันธุ์ใหม่ๆ เป็นต้น
4.เกิดจากปฏิบัติการของช่างเท็คนิก
ที่เดินทางข้ามมิติมาจากนอกระบบโลก
ตามแผนการชำระโลกเพื่อสร้างสมดุลใหม่
ในการนำโลกเปลี่ยนจากยุคพลังงานเก่า
เข้าสู่โลกยุคพลังงานใหม่โดยสมบูรณ์
ซึ่งจะใช้ธรรมชาติในระบบโลกเป็นเครื่องมือ
เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น
ซึ่งปฏิบัติการนี้จะสิ้นสุดยุติก็ต่อเมื่อ
ผ่านคาบเวลาแห่งการปิดยุคไปแล้ว
ด้วยการเกิดมหันตภัยพิบัติพร้อมกันทั่วโลก
ในทุกรูปแบบอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ภายในกำหนด 8 ราตรีของฟ้า
หรือเป็นเวลา 56 วันของมนุษย์
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-06-2016

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

"จิตวิญญาณ"








เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ตัวตนที่แท้จริงในการเป็นมนุษย์ของท่านนั้น
เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เรียกว่า "จิตวิญญาณ"
ซึ่งเร้นอยู่ในเครื่องยนต์แห่งกรรมหรือกายสังขาร
โดยที่เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่าน
ก็เป็นโครงสร้างทางชีวภาพซึ่งประกอบด้วย
ระบบทางชีววิทยาที่สลับซับซ้อน

ดังนั้น
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์หรือกายสังขาร
จึงเป็นแค่เพียง "เงา" หรือ "มายา" ของท่านเท่านั้น

เงาหรือมายาที่ว่านี้
จึงเป็นเพียงแค่ "ตัวแทนในความเป็นเรา"
ที่แสดงให้เห็นในมิติทางกายภาพนั่นเอง

เพราะถ้าหากจะบ่งชี้ความเป็นตัวเราว่ามีอยู่
ในฐานะที่เป็นสรรพสิ่งหนึ่งในจักรวาลแล้ว
ท่านทั้งหลายต้องใช้การมองให้เห็นด้วยสายตา
พระบิดาจึงทรงกำหนดให้ท่านทั้งหลาย
มีมายาห่อหุ้มแก่นแท้เอาไว้ข้างใน
เมื่อแลเห็นมายาเมื่อไหร่ก็เท่ากับว่า
ท่านได้เห็นแก่นแท้เมื่อนั้

มีมนุษย์อยู่มากมายที่ไม่เชื่อว่า
จิตวิญญาณที่เป็นรูปธรรมทางพลังงานนั้นมีอยู่จริง
โดยเป็นเรื่องที่น่าขบขันมากเหลือเกิน
ที่พวกเขากลับใช้จิตวิญญาณของเขานี่แหละ
ปฏิเสธตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

มนุษย์บางคนไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ
เพราะอ้างว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์ 
บ้างก็อ้างว่าเป็นเรื่องงมงายแต่ตัวเองกลับกลัวผี

เวลามีศพคนตายพวกเขาก็พากันนิมนต์พระ
มาทำพิธีสวดเพื่อส่งวิญญาณคนตายสู่สุคติ

พวกเขาไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ
แต่เวลาคับขันหาที่พึ่งไม่ได้
กลับหันไปขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มนุษย์เหล่านี้ไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ
เพราะพวกเขาใช้ตาเนื้อที่ถูกปกปิดมิติไว้
มิให้แลเห็นสรรพสิ่งในมิติทางพลังงาน
เมื่อไม่เห็นจึงไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง
ทั้งๆที่พวกเขาก็รู้อยู่ว่ายังมีอีกหลายสิ่ง
ที่พวกเขามองไม่เห็นแต่มันก็มีตัวตนอยู่จริง
เช่น ลม กลิ่น เสียง เชื้อโรค เป็นต้น

เพียงเพราะพระบิดาทรงมีพระประสงค์จะให้มนุษย์
เข้าถึงการใช้ "ตาที่สาม" ซึ่งเป็นดวงตาแห่งปัญญา
จึงทรงปกปิดมิติของกลไกอายตนะเอาไว้

โดยเป้าหมายหลักที่สำคัญที่ทรงทำเช่นนี้
ก็เป็นเพราะว่าทรงปรารถนาจะให้ท่านทั้งหลาย
เข้าใจและเข้าถึงสภาวะธรรมให้ได้ด้วยการใช้ปัญญา
มิใช่เพียงแค่การอ่านโลกอ่านจักรวาลด้วยตาเนื้อ
หรือยึดหลักพิจารณากันแค่เพียงว่า

สิบปากว่าหรือรับฟังที่เขาเล่ามาไม่เท่าตาเห็นเอง
สิบตาเห็นก็ไม่เท่าเอามือคลำเองนั่นแหละนะ

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่าท่านเป็นคนสองมิติ
คือ มีตัวตนในมิติทางกายภาพที่เป็นเงามายา
กับมีตัวตนในมิติทางพลังงานที่เป็นแก่นแท้

ท่านมีหน้าที่จะต้องกระทำสิ่งใดๆที่สมควรทำ
และละเว้นไม่กระทำในสิ่งอันไม่สมควรจะทำ
ทั้งเพื่อเครื่องยนต์แห่งกรรมในมิติทางกายภาพ
และเพื่อจิตวิญญาณของท่านในมิติพลังงานด้วย

ท่านจึงจะละทิ้งการทำหน้าที่อันสมควรทำ
เพื่อจิตวิญญาณของท่านเองไม่ได้เด็ดขาด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-06-2016