วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

#เฉลยธรรมบัญญัติ 25 ทำไมต้องตัดมือของนางทิ้ง ทำไมต้องไม่สงสารนาง





คำถามจาก: คุณสมกิจ รวยเต็มหัตถ์ 
ถามพระอาจารย์สักข้อครับ
***************************
#เฉลยธรรมบัญญัติ 25 

11.-12. "ถ้าชายสองคนวิวาททุบตีกัน 
และภรรยาของชายคนหนึ่งเข้ามาใกล้
จะช่วยสามีของตนให้พ้นจากมือของผู้ที่ตี 
และนางยื่นมือออกมา
เค้นของลับของผู้ชายคนนั้น 
ท่านจะต้องตัดมือของนางทิ้ง 
อย่าสงสารนางเลย"

คำกล่าวเหล่านี้
พระองค์ทรงหมายความว่า

1.ถ้าท่านพบเห็น
คนสองคนกำลังทะเลาะวิวาททุบตีกัน
กำลังมีปากเสียงกันด้วยเรื่องอันใดก็ตาม
แล้วมีภรรยาหรือญาติพี่น้องของฝ่ายหนึ่ง
เข้าไปช่วยเหลือสามีที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ

2.ท่านจักต้องทำเป็นมองไม่เห็นนาง
ท่านจงอย่าจิตตกเพราะสงสารนาง
จากการที่ท่านเห็นสามีของนา
กำลังสู้อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้
จนนางต้องยื่นมือเข้าช่วยเด็ดขาด

3.เพราะการที่ภรรยาคนนั้น
ยื่นมือเข้าช่วยเหลือสามีที่ถูกตีน่ะ
มันเป็นการยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว
กับ "ความลับ" ของชายคนที่เป็นฝ่ายตี
ซึ่งนางคนนี้มิอาจล่วงรูั้

4.อัน "ความลับ" หรือ "ของลับ"
ของชายคนที่เป็นฝ่ายตีสามีของนาง
ซึ่งนางผู้เป็นภรรยาไม่รู้ก็คือ 
"ความอาฆาตแค้น" 
ที่เขาถือติดตัวมาจากภพอดีต
เพื่อมาแก้แค้นเอาคืนในภพชาตินี้
จึงยังผลให้ผู้ชายทั้งสองคนนี้
ต้องมาทะเลาะทุบตีกันอย่างที่เห็นนั่นเอง

5.ดังนั้น
การที่ภรรยาในชาตินี้
เห็นสามีกำลังเพลี่ยงพล้ำจนต้องยื่นมือเข้าช่วย
จึงไม่ต่างไปจากการยื่นมือเข้าไป
"บีบของลับ" ของชายผู้ที่กำลังตีสามีนาง
ด้วยความไม่รู้ที่มาที่ไปนั่นเอง

6.ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงเตือนท่านทั้งหลายว่า

การที่ท่านเห็นเหตุการณ์ลักษณะนี้แล้ว
จิตตกเพราะไปเกิดความสงสารนางเข้า
เพราะเห็นเป็นผู้หญิง เห็นเป็นภรรยา
เห็นว่าสามีของนางถูกรังแก ถูกทำร้าย

นั่นเท่ากับว่าท่านไปเข้าข้างฝ่ายที่ถูกตี
ซึ่งในภพอดีตอาจเป็นฝ่ายตีฝ่ายก่อเรื่อง
หรือเป็นผู้ทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งมาก่อนก็ได้

พระองค์ทรงห้ามไว้เพราะมิปรารถนา
จะให้ท่านเข้าไป "เกี่ยวกรรม" หรือ "เจือก"
เรื่องราวที่เป็น "กรรมสัมพันธ์" ของใครอื่น
ด้วยการแสดงความรักความเมตตาสงสาร
ผิดคน ผิดเวลา แบบพร่ำเพรื่อโดยใช่เหตุ
เพราะมันจะนำพาพวกท่าน
เข้าไปเกี่ยวกรรมกับพวกเขาด้วย
โดยไม่รู้สติไงล่ะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-03-2017

พุทธะ อริยะ ปราชญ์เมธี







#ตอบคำถาม
คุณAnothai Bunjong

Question:
ถ้ามนุษย์ทุกคนล้วนมีพันธะสัญญา 6 มาดั้งเดิม 
แต่ทำไมตอนบรรลุผล 
จึงมีทั้งพุทธะ อริยะ ปราชญ์เมธี มากมาย 
แท้จริงแล้วการลุล่วงพันธะสัญญา 6 อย่างแท้จริง 
คือการบรรลุอะไรค่ะ?

จุดสิ้นสุดโดยสมบูรณ์อยู่ที่ไหน? 

ขออาจารย์ช่วยเปิดปัญญา...ด้วยค่ะ...
กราบขอบพระคุณค่ะ

Answer:

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1."พันธะสัญญา 6" เป็นข้อผูกพันซึ่ง
ดวงจิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์ทุกคน
ได้ให้เป็นสัจจะไว้กับองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้อนุญาตให้จิตวิญญาณทั้งหลาย
เดินทางข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
บนดาวโลกเสรีดวงนี้

โดยให้สัญญาต่อพระองค์ว่า
ตนจะเข้ามาทำหน้าที่ทั้ง 6 ประการ
ในบทบาทแห่งการเป็นมนุษย์
ซึ่งเป็นคน 2 มิติ
ให้สำเร็จลุล่วงให้จงได้
ภายใน 6 หมื่นปีโลก
ก่อนจบสิ้นยุคพลังงานเก่า
โดยจะไม่เหลวไหล ละเลย หรือหลงลืม

2.ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดที่ได้รับโอกาสให้มาเกิด
สามารถบรรลุภารกิจตามพันธะสัญญา 6 นี้ได้
ภายในเงื่อนเวลาไม่เกิน 6 หมื่นปีที่กำหนดไว้
แก่นแท้ของท่านผู้นั้นก็จักสามารถ "ย้อนคืน" 
กลับสู่บ้านเกิดทางจิตวิญญาณที่ตนจากมา
เพราะว่า "หมดภาระหน้าที่" ของตนแล้วได้ทันที

ดังนั้น
การลุล่วงพันธะสัญญา 6 อย่างแท้จริง
ที่ื่ท่านถามเราว่า คือ การบรรลุอะไร
คำตอบที่ถูกต้องก็คือ

ท่านจักต้องปฏิบัติตามสัจจะทั้ง 6 ข้อ
ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาให้เป็นผลสำเร็จให้จงได้
โดยไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไขเป็นอย่างอื่น

ซึ่งก็มีทางให้ท่านเลือกเดิน 2 ทาง คือ
#เส้นทางนักรบแห่งแสงสว่าง
อันเป็นเส้นทางของนักบวช นักพรต
กับผู้ทรงศีลทั้งหลายเส้นทางหนึ่ง

กับอีกทางเลือกหนึ่ง คือ
#เส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
อันเป็นเส้นทางของชาวบ้านหรือฆราวาส
ซึ่งเป็นผู้ครองเรือนทั้งหลาย

โดยไม่ว่าท่านจะเลือกเดินในเส้นทางใด
มรรคผลสุดท้ายที่แท้จริงก็คือ
จะต้องบรรลุผลในพันธะสัญญา 6 กันทั้งสิ้น

3.ท่านจักต้องรู้ว่า
การบรรลุในพันธะสัญญา 6 ที่ว่านี้
เป็นการทำหน้าที่ในมิติแห่งจิตวิญญาณ
เป็นการทำหน้าที่ในด้านของแก่นแท้
โดยจิตหยาบจักต้องรับผิดชอบปฏิบัติ
ให้ครบถ้วน สมบูรณ์ มิให้ขาดตกบกพร่อง

ซึ่งตัวชี้วัดความสำเร็จของมนุษย์โลก
ต่อภารกิจในพันธะสัญญา6 นี้ก็คือ

3.1 พวกท่านช่วยให้ดาวโลกดวงนี้
สามารถเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วของการเหวี่ยงหมุนคงที่
เพื่อสร้างสมดุลของระบบตนเองได้หรือไม่

เพราะพลังจิตด้านบวกของพวกท่าน
เป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กบริสุทธิ์
ที่ท่านช่วยกันผลิตออกมามอบให้โลกทุกนาที
จากการปฏิบัติตามพันธะสัญญาทั้ง 6 นั่นเอง

ถ้าในสัปดาห์เดียวกัน
ระยะเวลาของกลางวันกับกลางคืนไม่เท่ากัน
บางวันมืดช้า บางวันมืดเร็ว
บางวันร้อนมาก บางวันร้อนน้อยกว่า

บางวันวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ใจสั่น
หรือเกิดอาการเครียดทางประสาท
โดยไม่ทราบสาเหตุ

อาการเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดว่า
แกนหมุนของโลกแกว่งหรือส่าย
เพราะพลังการบิดตัวของแกนแม่เหล็กโลก
เกิดอาการไม่คงที่เพราะมีแรงบิดน้อยลง

3.2 พวกท่านช่วยให้ดาวโลกดวงนี้
มีขั้วเหนือใต้ของเข็มทิศแม่เหล็กคงที่หรือไม่
เพราะพลังจิตด้านบวกของพวกท่าน
ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กบริสุทธิ์
ที่ท่านช่วยกันผลิตออกมาให้โลกทุกนาทีนั้น
มันจะช่วยให้ #โครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
มีความสมดุลหรือคงที่ได้ตลอ

แต่ถ้าพวกท่านล้มเหลวในพันธะสัญญา 6
ก็จะมีปรากฏการณ์ "นกหลงฟ้า-ปลาหลงน้ำ"
ปรากฏเป็นข่าวให้ท่านได้ยินได้ฟังเป็นประจำ
เพราะทั้งฝูงนกฝูงปลาจะเกิดการสับสนทิศ

ที่เห็นบ่อยที่สุด คือ ฝูงปลาโลมา-วาฬ
จะพากันมาเกยหาดตื้นๆตายอย่างน่าสงสาร
ขณะที่ฝูงนก ฝูงผึ้ง มันก็จะพากันกลับรังไม่ถูก

ทั้งนี้เป็นเพราะว่า
เส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกเกิดการแกว่ง-ส่าย
จึงยังผลให้ "เข็มทิศแม่เหล็ก" หรือ #ดิจิตัลลิส
ซึ่งติดตั้งอยู่ที่สมองของนกและปลาใหญ่น้ำลึก
มีการทำงานผิดพลาดเกิดขึ้น
เพราะเกิดอาการสับสนงุนงงจึงหลงทิศนั่นแหละ

3.3 พวกท่านช่วยให้ดาวโลกดวงนี้
สามารถผลิตก๊าซออกซิเจน
ออกมาจากโรงงานภายในแกนโลก
อย่างเพียงพอกับความต้องการของระบบหรือไม่

ถ้าพวกท่านล้มเหลวในพันธะสัญญา 6
มันก็จะมีปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งให้ท่านเห็น
นั่นคือปรากฏการณ์ที่ "นกตกลงมาตาย"
และ ฝูงปลานับหมื่นๆตัวในทะเล
จะพากันลอยมาเกยหาดตื้นๆตาย
ด้วยเหตุผลเดียวกันก็คือ 
พวกเขา "ขาดอากาศหายใจ" เฉียบพลัน!!!

4.ความรู้ใหม่สำหรับท่านทั้งหลายในข้อ 3.
จึงเป็น "คำตอบ" ในข้อที่ท่านถามเราว่า

"การลุล่วงพันธะสัญญา 6 อย่างแท้จริงนั้น
คือการบรรลุอะไรค่ะ?"

ซึ่งแท้แล้วเป็นการทำหน้าที
ทางจิตวิญญาณของมนุษย์
เพื่อให้มีผลปรากฏสูงสุด
ในมิติทางกายภาพของระบบโลกนั่นเอง

5.ดังนั้น
การเข้าถึงความเป็นพุทธะ อริยะ
หรือ ปราชญเมธีตามที่ท่านกล่าวนำคำถามไว้
มันจึงมิได้หมายความว่า "วิญญูชน" เหล่านี้
เป็นผู้บรรลุมรรคผลสูงสุดได้ถึงนิพพานแล้ว

แต่สภานภาพทั้ง 3 แบบดังกล่าว
มันเป็นเพียงแค่สิ่งสมมติที่ใช้เรียกขาน
วิญญูชนที่มีความสามารถในการใช้ปัญญา
ซึ่งมีความพิเศษกว่าปุถุชนทั่วไปเท่านั้น

สถานภาพเหล่านี้มันมิได้เป็นตัวชี้วัดว่า
พวกเขา "บรรลุมรรคผล" หลุดพ้นนิพพาน
อย่างที่ท่านคิดเข้าใจกันแต่อย่างใด
เพียงแต่พวกเขากำลังอยู่ในเส้นทาง
"หยิบปัญญามานิพพาน" กันเท่านั้น

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
ประทานคำตอบเหล่านี้แก่ลูกเพื่อโลก

เอเมน สาธุ
21-3-2017