วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทุกศาสนาล้วนเป็นสากล




พี่ๆน้องๆแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระพุทธองค์
มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้นำทางจิตวิญญาณ
ของชาวพุทธเท่านั้น
องค์เยซูคริสต์เจ้า
ก็มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้กล่าวพระโอวาท
ในพระนามแห่งพระบิดาต่อชาวคริสต์เท่านั้น
องค์นบีมูฮัมหมัดเจ้า
ก็มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้กล่าวพระโอวาท
ในพระนามแห่งพระบิดาต่อชาวมุสลิมเท่านั้น
แท้จริงแล้ว
พระศาสดาทุกๆพระองค์ทรงเป็นพระศาสดาแห่งโลก
พระศาสดาทุกๆพระองค์จึงทรงเป็น
เอกองค์มหาคุรุในต่างยุคสมัยกัน
โดยเป็นผู้ทรงมีพระปรีชาญาณพิเศษ
และพระปรีชาชาญพิเศษ
ในบทบาทของครูผู้ทรงรอบรู้ในเรื่องของความรัก
สำหรับชาวโลกต่างหาก
มิได้จำกัดว่าทรงเป็นผู้นำของใคร
หรือของพวกใดพวกหนึ่งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง....
เราจึงกล่าวเสมอว่า
ทุกศาสนาล้วนเป็นสากล
พระศาสดาทุกๆพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน
สัจธรรมที่ทุกพระองค์ทรงสื่อหรือสั่งสอนมนุษย์
ล้วนมาจากต้นธารเดียวกันทั้งสิ้น
จงอย่านำศาสนามาสร้างเป็นลัทธิ
และจงอย่าลบหลู่พระศาสดา
ด้วยการดึงพระองค์ลงมาเสมอเพียงเป็นเจ้าลัทธิ
ป.วิสุทธิปัญญา
16-03-2015

เพราะหลงมิติมายา จึงหลุดพ้นไม่ได้



เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายอีกว่า
เมื่อแก่นแท้ของท่าน
ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีแล้ว
นานวันเข้าจิตหยาบหรือจิตปัจจุบันของท่าน
ก็ไม่สามารถนำพาแก่นแท้ของตนเอง
หลุดพ้นออกไปจากระบบเอกภพ
หรือสนามพลังงานจักรวาลอันไพศาลนี้ได้
สาเหตุที่หลุดพ้นออกไปไม่ได้
มีด้วยกัน 3 ประการ คือ
1.น้ำหนักมวลของจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้
เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่เข้ามาในภพชาติแรก
ซึ่งเดิมมีน้ำหนักมวลเพียง 30 มิลลิกรัมเท่านั้น
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
เกิดจากอนุภาคประจุไฟฟ้าบวกลบ
ที่เป็นมวลของพลังงานกรรมที่ท่านสร้างมันขึ้นมา
ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาในชีวิตประจำวันนั่นเอง
เมื่อน้ำหนักมวลมากกว่า 30 มิลลิกรัม
จิตวิญญาณของท่านก็จะถูกโลก
ดึงดูดเหนี่ยวรั้งเอาไว้
จนไม่สามารถดีดตัวออกไปจากระบบโลกได้
การย้อนกลับสู่การเกิดใหม่
เพื่อทำการลดน้ำหนักมวลของแก่นแท้จึงต้องเกิดขึ้น
2.มีพลังดีดตัวเองหนีแรงดึงดูดของโลกไม่มากพอ
เพราะไม่สามารถสั่นสะเทือนจิตสำนึกตนเอง
ให้สูงสุดทางด้านบวกในขณะมีชีวิตอยู่ได้
ที่สั่นสะเทือนจนสูงสุดไม่ได้
เพราะจิตหยาบถูกครอบงำไว้ด้วยกิเลสตัณหา
จิตหยาบตกเป็นทาสของอารมณ์หยาบๆรายวัน
จิตหยาบนั้นขาดการพัฒนา
จนไม่อาจเข้าถึงซึ่งความรักได้
สำคัญคือจิตหยาบ "หลงมิติ"
นี่จึงเป็นความเหลวไหลของมนุษย์ส่วนใหญ่
จนยังผลให้จิตวิญญาณตนเองเดือดร้อน
เพราะเมื่อตายแล้วจิตวิญญาณของตนต้องไร้อิสรภาพ
จะเคลื่อนที่เดินทางไปไหนๆอย่างเสรีไม่ได้
3.มิได้ทำสามเหลี่ยมกับองค์จิตจักรวาล
ที่ทรงเป็นพระบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตนเอง
ด้วยการลืมพระองค์ไปจาก
ความทรงจำของจิตวิญญาณ
เพียงแค่จดจำได้ว่าท่านเป็นใคร
ใครอนุญาตให้ท่านมาเกิดเป็นมนุษย์
มาเกิดแล้วท่านต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง
เมื่อทำสำเร็จแล้วท่านต้องกลับบ้านทางไหน
กลับบ้านทำไม...ใครรอท่านอยู่
เพียงแค่สำนึกดีๆง่ายๆแบบนี้แหละ
เท่ากับว่าท่านกำลังทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาแล้ว
จิตวิญญาณของท่าน
ต้องการสำนึกชอบอันเกิดจากการทำสามเหลี่ยมนี้
เพื่อกำหนดหมายปลายทางที่จะดีดตนเองออกไป
ให้ถึงยอดสามเหลี่ยม คือ พระบิดา นั่นเอง
ไม่ว่าตรงยอดสามเหลี่ยมสมมติ
ที่พระบิดาทรงประทับอยู่นั้นจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน
ไม่ว่าพระองค์จะทรงประทับอยู่ ณ แห่งใด
จิตวิญญาณของท่านที่มีน้ำหนักมวลไม่เกินพิกัด
และมีพลังอำนาจในการเหวี่ยงตนเอง
สูงพอที่จะหนีแรงดึงดูดของเอกภพออกไปได้
ก็จักเคลื่อนที่เดินทางไปถึงพระองค์
เพื่อกราบพระบาทพระองค์ที่ทรงรอคอยอยู่ได้ทันที
ภายในชั่วพริบตาเดียว...
มันเป็นการกำหนดเป้าหมายของจิตหยาบ
เพื่อช่วยดีดหรือเหวี่ยงให้จิตวิญญาณของตน
ข้ามมิติออกไปจากระบบเอกภพ
เพื่อคืนสู่เหย้า...ของจิตวิญญาณโดยแท้
ดังนั้น...
ถ้าท่านยังหลงมิติมายา คือ
หลงทุกข์...
ด้วยการหนีทุกข์แสวงสุขอยู่อย่างนั้น
หลงทาง...
ด้วยการเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใสใจสวยไม่เป็น
ด้วยการหลงผิดคิดว่าสวรรค์มายาชั้นเทพเทวดา
เป็นดินแดนของผู้หลุดพ้น
หลงทอง...
ด้วยการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา
เพื่อให้ได้มาซึ่งการสั่งสมทรัพย์สิน ลาภ ยศ สรรเสริญ
เราขอบอกตามตรงว่า
ตอนจบในภพชาตินั้นๆ คือ
ท่านจะหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ
หรือนิพพานไม่ได้แน่นอน!!!
เอเมน....
ป.วิสุทธิปัญญา
16-03-2015

เพราะลืมมิติแก่นแท้ จึงหลุดพ้นไม่ได้

เรายังมีความจริง...
ที่จำต้องกล่าวต่อท่านทั้งหลายถึงสาเหตุที่
ท่านกลับบ้านหรือนิพพานไม่ได้อยู่อีกว่า
เป็นเพราะท่านน่ะลืมมิติของแก่นแท้นั่นเอง

หากท่านลืมใน 3 ลืม ต่อไปนี้แล้ว
นั่นเท่ากับว่าท่านได้สร้างปัญหาหรืออุปสรรค
ให้แก่จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านเองแล้ว

1.ลืมตัว:
หมายถึง การเป็นผู้ขาดสติสัมปชัญญะ
ในการดำเนินชีวิต...
จนไม่อาจเข้าถึงการใช้สติปัญญาและปัญญาญาณได้
เพราะถูกกิเลสตัณหาครอบงำ

นานปีเข้า
หลายภพชาติเข้า
ท่านก็จะเป็นคนหนึ่งที่ประมาทและขาดสติ
จนก่อกรรมทำชั่วได้โดยง่ายดาย

ที่จะหนักหนามากไปกว่านั้นก็คือ
ท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ก่อกรรมทำชั่วได้
โดยไม่รู้ตัวว่าชั่วเลยสักนิดเดียว

2.ลืมตน:
หมายถึง ท่านลืมไปว่าตนเองหรือจิตหยาบนั้น
ยังมีจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
แฝงเร้นอยู่ข้างใน
ซึ่งแฝงอยู่ตรงพิกัดที่เราเคยเปิดเผยให้แล้วนั่นแหละ



การลืมแก่นแท้ตนเองของท่านนั้น
จะอยู่ในลักษณะของการแสดงออก
หรือการกระทำใดๆในชีวิตประจำวัน
โดยขาดการยั้งคิด หรือ
โดยการกระทำตามอำเภอใจ เป็นต้น

3.ลืมตื่น:
หมายถึง การที่ท่านบางคนไม่ยอมหันหน้า
เพื่อพาหูทั้งสองข้างมารับฟังเรา
ที่กำลังกล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งพระบิดา
ต่อท่านทั้งหลายในปลายยุคพลังงานเก่านี้
เสมือนคนนอนหลับมิยอมตื่น
แม้จะมีสำเนียงร้องปลุกให้ลุกตื่น

หรือการรับฟังแล้วปฏิเสธทันทีที่ได้ฟัง
หรือเมื่อมีการรับรู้แล้วต่อต้าน
โดยไม่ยอมสั่นสะเทือนจิตตปัญญาเพื่อการเรียนรู้ใดๆ

การลืมในสามประการที่กล่าวนี้
เป็นการลืมที่มีผลต่อแก่นแท้ในทางเสื่อมทั้งสิ้น
เมื่อแก่นแท้เสื่อมพลังอำนาจลง
การหลุดพ้นจึงเป็นจริงไม่ได้ในภพชาตินั้นๆ

เอเมน.....
ป.วิสุทธิปัญญา
16-03-2015