วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โลกนี้จึงจำเป็นต้องมี "พระศาสดา"






พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เรื่องของ #จิตสามนึก (จิตสำนึก) มันลึกล้ำ
เรื่องของพฤติกรรมมนุษย์สุดลึกซึ้ง
โลกนี้จึงจำเป็นต้องมี "พระศาสดา"
เพราะ "ครูธรรมดา"
มิอาจหยั่งถึงจิตมนุษย์กับจักรวาลได้

"พระศาสดา"
ต่างจาก "ครูธรรมดา" ที่ตรงนี้

1.พระศาสดาเข้าถึง #โลกิยะธรรม ได้
ด้วยความฉลาดทางปัญญา
จากสมองซีกซ้ายนำซีกขวาที่ในตน

โดยฉลาดมอง ฉลาดฟัง
ฉลาดคิดพิจารณา ฉลาดวิเคราะห์

ฉลาดศึกษาเรียนรู้จนรอบรู้จบแจ้ง
จนเข้าถึงความเป็นเลิศในการใช้สมองซีกซ้าย
ที่เรียกว่าสติปัญญาขั้น #อัจฉริยญาณ
ได้อย่างแท้จริง

*เราเรียกคนที่ฉลาดสูงสุดในระดับนี้ว่า
#อัจฉริยบุคคล

2.พระศาสดาเข้าถึง #โลกุตรธรรม ได้
ด้วยความฉลาดทางปัญญา
จากสมองซีกขวานำซีกซ้ายที่ในตน
ซึ่งเป็นสัจธรรมที่สัมผัสรู้ดูเห็น
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าไม่ได้

โดยฉลาดที่จะสร้างความคิดรวบยอด
จากองค์ความรู้ที่ถูกต้องถ่องแท้
ซึ่งเป็นผลิตผลจากการคิดรู้และเรียนรู้
ของสมองซีกซ้ายมาแล้ว
ด้วยภูมิปัญญาที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ที่เรียกว่าปัญญาญาณขั้น #อริยญาณ

เพื่อสังเคราะห์เอาองค์ความรู้นั้นๆ
มาปรับใช้กับชีวิตจริงของตนเองได้
นำเอามาแบ่งปันเพื่อนมนุษย์คนอื่นก็ได้

*เราเรียกผู้ฉลาดสูงสุดในระดับนี้ว่า
#อริยบุคคล

3.พระศาสดาเข้าถึง #อนุตรธรรม ได้
ด้วยความฉลาดทางปัญญา
จากสมองส่วนกลางนำสมองทั้งระบบ
เพื่อการคิดรู้ เรียนรู้ และรับสารจาก "มหาคุรุ"
ผู้เป็นต้นธารแห่งสัจธรรมทั้งปวง
อันเป็นปัญญาญาณขั้น #อนุตรญาณ
ที่พระพุทธองค์ทรงเรียก "โพธิญาณ"

เพื่อเปิดรับสารจาก "มหาคุรุ"
ผู้เป็นจุดกำเนิดแห่งจักรวาลสากล
ที่ทรงเป็นทั้งพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
และเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณมนุษย์
จึงทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง

ด้วยกระบวนการสื่อสารทางจิตในแนวดิ่ง
ระหว่างตนเองกับพระองค์นี้ได้
ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Vertical Telepathy

*พระองค์ทรงเรียกมนุษย์ที่ฉลาดสูงสุด
เพราะใช้ "อนุตรญาณ" นี้ได้ว่า
#บุตรเอกแห่งบิดา

เรื่องราวของจิตมนุษย์
เรื่องราวของจิตวิญญาณมนุษย์
เรื่องราวของจิตสามนึกมนุษย์
เรื่องราวของเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์
เรื่องราวของพฤติกรรมมนุษย์
เรื่องราวของมนุษย์ โลก และจักรวาล

เรื่องราวหลักๆทั้ง 6 เหล่านี้
ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถรู้เองได้
นอกจากจะคาดเดาเหมาเอง
หรือแค่สังเกตแล้วตั้งสมมติฐานเท่านั้น
ผิดถูกอย่างไรมิอาจมีใครตัดสินได้

ด้วยเหตุนี้เอง
ในอดีตกาลที่ผ่านมา
ดาวโลกเสรีดวงนี้จึงต้องมีพระศาสดา
เข้ามาทำหน้าที่เป็น "คุรุ"
ด้วยการสื่อพระโอวาทจาก "มหาคุรุ"
มากล่าวต่อมนุษย์แห่งโลกเสรี
เพื่อการสื่อสอนและสร้างสติทางวิญญาณ
เนื่องจากบุคคลทั่วไปมิอาจสอนได้
เพราะขาดคุณสมบัติ

ทำไมต้อง #ไซโคโชว์ (Psycho Show)
ทำไมต้อง "บุตรเอก" แห่งพระบิดา
ทำไมต้อง อาจารย์ปริญญา ตันสกุล
จึงจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์
ด้วยการกระทำผ่านจิตสามนึกได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั้น คือ คำตอบ
ที่คนทั้งโลกไม่รู้ว่าตนต้องรู้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-02-2017

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ความเชื่อ ความคิด ความรุ้สึก





ยุวจิตจักรวาลทายาทท่านหนึ่งกล่าวต่อเราว่า
เธอได้ยินได้ฟังคำสอนของกูรูท่านหนึ่งมา
เมื่อได้ฟังแล้วเธอพบว่าคำสอนบางท่อน
ไม่แน่ใจว่าเป็นคำกล่าวสอนที่ถูกต้องหรือไม่
จึงได้นำคำกล่าวนั้นมาถามเรา

ประโยคที่เธอนำมาถามเรามีความว่าดั่งนี้

"ความเชื่อ ทำให้เกิดความคิด
ความคิด ทำให้เกิดความรู้สึก
ความรู้สึก ทำให้เกิดพฤติกรรม"

พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.ไม่ว่ากูรู หรือ "กูรู้" ท่านใดจะเป็นผู้กล่าวสอน
ความในเครื่องหมายคำพูดทั้งหมดนั้น
มันเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง
มันมิใช่ความจริงที่จริงแท้
มันมิใช่สัจธรรม
มันเป็นคำกล่าวคำสอนที่เชื่อถือไม่ได้

2.เรื่องของ "ความเชื่อ ความรู้สึก ความคิด"
มันเป็นศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ทางจิตเบื้องต้น
ซึ่งมีผลเป็น "วิทยาศาสตร์พฤติกรรม" ต่อเนื่อง
ทั้งเป็นเรื่องของ Meta-physics(อภิปริชญาบริสุทธิ์)
ที่มนุษย์จะใช้วิธีคาดเดาเอาเอง สรุปเอาเอง
ดั่งการคิดแบบจิตมนุษย์ไม่ได้

3.เราจะกล่าวแย้งให้รู้ว่า
ประโยคที่กูรูคนนั้นกล่าวให้เธอได้ยินว่า
"ความเชื่อ ทำให้เกิดความคิด"
มันเป็นการกล่าวผิดอย่างมหันต์
มันเป็น "อวิชชา"
เธอจงอย่าเชื่อตามเช่นนั้นเด็ดขาด
เธอจะเข้าข่าย "งมงาย" ไปทันทีที่เชื่อตาม

ความจริงที่จริงแท้ก็คือ
#ความเชื่อมันจะทำให้เธอปิดกั้นการใช้ปัญญา

ถ้าเธอเชื่อใครคนนั้น
เธอก็จะยอมตามอย่างว่าง่าย
ถ้าเธอไม่เชื่อใครคนนั้น
เธอก็จะปฏิเสธทันที

ถ้าเธอเชื่อถือในคำพูดของใคร
เธอก็จะคล้อยตามโดยไม่ระแวงสงสัย

เมื่อความจริงมันเป็นดั่งนี้แล้ว
เธอก็จะพบว่า "ความเชื่อ" นั้น
มันมีแต่จะนำความโง่งมมาสู่ตนเองเสียมากกว่า
เพราะเมื่อเชื่อในตัวตนคนที่พูดเสียแล้ว
การระแวงสงสัยย่อมไม่มี
หรือเมื่อเชื่อในสิ่งที่เขาพูดเสียแล้ว
ข้อสงสัยใดๆก็ย่อมไม่มี

เมื่อไม่มีข้อสงสัย
ไม่มีจิตใจหวาดระแวงแล้ว
เธอจะเอาอะไรมา "กระตุกต่อมคิด" ของเธอได้

นี่ไง...ที่เราเคยกล่าวไว้ว่า
ความเชื่อคือ "ความหลง" ชนิดหนึ่ง
เพราะความเชื่อทำให้คนดีๆกลายเป็นคนโง่ได้
เพราะความเชื่อมันทำให้คนคล้อยตาม
มิได้กระตุ้นให้เธอ "คิด"

เราจึงกล่าวไว้เสมอมาว่า
การฝึกอบรมด้วยกระบวนการ "#ไซโคโชว์"
เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์
โดยอาจารย์ปริญญา ตันสกุล นั้น

จะเน้นการสั่นสะเทือนที่ #จิตสามนึก
ด้วยการ #สร้างกระบวนการกระตุ้นที่จิต
#และติดอาวุธทางปัญญาที่สมอง
ให้แก่ผู้เข้าอบรมทุกคน
ซึ่งเป็นกลยุทธการเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก

4.เราจะกล่าวแย้งเป็นเรื่องที่สองให้รู้ว่า
ประโยคที่กูรูผู้นั้นกล่าวให้เธอได้ยินอีกว่า
"ความคิด ทำให้เกิดความรู้สึก" นั้น
มันเป็นการกล่าวผิดอย่างมหันต์
มันเป็น "อวิชชา" อีกเช่นเดียวกัน

เพราะความรู้สึกมันเป็นกิเลส
มันเกิดทันทีที่จิตรับรู้ผัสสะ
มาจากอายตนะภายนอกทั้งห้า
ซึ่งเราเรียกว่า "รับรู้แล้วรับเอา" นั่นแหละ

จิตมันทำงานของมันเอง สมองไม่เกี่ยว
พอกิเลสเกิดขึ้นมาตัณหาคือความอยาก
มันก็จะเกิดขึ้นตามมาทันทีเช่นกัน
ชนิดที่ห้ามไม่ทันกดดันมันไว้ก็ยากยิ่ง

พอเธอเกิดความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ
ความอยากกับความไม่อยากก็เกิดขึ้นตามมา
เมื่อเกิดอยากหรือไม่อยากแล้ว
จิตมันก็จะนึกเองทันทีว่า
จะต้องสนองความอยากไม่อยากนั้นให้ได้
พอนึกได้แล้วสมองก็จะคิดไปตามที่นึกว่า
จะตอบสนองความอยากไม่อยากอย่างไร
นี่ไง...กระบวนการของจิตที่ถูกต้อง
มิใช่ "ความคิด" ทำให้พวกเธอเกิดความรู้สึก
ตามที่ "กูรู" คนนั้นกล่าวเลยสักนิด

ด้วยเหตุนี้เองจึงมีคำตอบว่า
ทำไมการชำระจิตให้ว่างจากกิเลสตัณหาทำยาก
ก็เพราะ "กูรู" แกเข้าใจผิด รู้ผิดอย่างนี้เอง
อีกทั้งเพราะกิเลสเกิดง่ายและดับยาก
ถ้าจะดับมันได้ต้องใช้ปัญญา
ของสมองสองซีกให้เป็นเท่านั้น

คนที่ใช้ปัญญาของสมองได้และใช้เป็น
นี่แหละจึงจะได้ชื่อว่าเป็น "พุทธะ" ของแท้

5.ส่วนที่กล่าวว่าความรู้สึก
ก่อให้เกิดพฤติกรรมนั้น
เป็นการกล่าวแบบรวบรัดเกินไป

แท้แล้วความรู้สึก
ก่อให้เกิดความอยากไม่อยาก

ความอยากไม่อยาก
ก่อให้เกิดการนึกของจิต
ซึ่งประกอบด้วย 3 นึก คือ
นึกได้ นึกเอา และนึกเอง
รวมเรียกว่า #จิตสามนึก หรือจิตสำนึกนั่นแหละ

เมื่อเกิดจิตสามนึกแล้ว
มันจะนำไปสู่การแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรม
ไปตามการสั่นสะเทือนของจิตที่นึกนั้นเสมอ

6.ถ้าไม่รู้ว่ากระบวนการทางจิตเป็นเช่นไร
ถ้าไม่รู้ว่าจิตสามนึก คือ อะไร
ไม่รู้ว่าจิตสามนึกขับเคลื่อนพฤติกรรมอย่างไร
ถ้าจะสอนพฤติกรรมใครเห็นทีจะไร้ผล

เพราะวิทยาศาสตร์ทางจิตเป็นศาสตร์ชั้นสูง
เป็นความรู้ที่ละเอียดอ่อนละเมียดละมัย
ต้องใช้ปัญญาญาณแทนสติปัญญาเท่านั้น
เธอจึงจะเข้าใจและเข้าถึงได้
ซึ่งเราได้พยายามช่วยเหลือท่านทั้งหลาย
ให้เข้าถึงกันได้ง่ายๆตลอดมา

เพราะเรื่องของจิต เรื่องของปัญญา
เรื่องของจิตสำนึก
เรื่องของพฤติกรรมมนุษย์
มันไม่ง่ายอย่างที่คิด
มนุษย์โลกจึงจำต้องมีพระศาสดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-02-2017

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

จงอย่าเพ่งโทษพระเจ้า





เธอต้องการสนทนากับพระเจ้า
เพื่อเพียงจะบอกกับพระเจ้าว่า

1.จุดมุ่งหมายของเธอ
คือ การวิวัฒน์ มิใช่การลงทัณฑ์
2.จุดมุ่งหมายของเธอ
คือ การเติบโต ไม่ใช่การตาย
3.จุดมุ่งหมายของเธอ
คือ การมีประสบการณ์ ไม่ใช่พลาดมัน
4.จุดมุ่งหมายของเธอ
คือ การเป็นบางสิ่ง ไม่ใช่หยุดเป็น

เราจะกล่าวต่อเธอในพระนามแห่งพระเจ้า
เพื่อสอนให้เธอฉลาดคิดรู้แท้จริงบ้างว่า

1.ไม่ว่าจะเป็นจุดมุ่งหมาย 4 ข้อนี้
หรือจะมีอีกสักกี่ร้อยพันข้อก็ตาม
เธอจงรู้เอาไว้ว่า "พระเจ้า" มิได้เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในแผนการดำเนินชีวิตของเธอแต่อย่างใด

จุดมุ่งหมายใดจะบรรลุผลสมดั่งใจหรือไม่
มันจึงมิใช่แผนการของพระเจ้า
แม้ปากเธอจะร่ำร้องขอพรจากพระเจ้า
พระองค์ก็มิอาจประทานให้ตามที่เธอต้องการได้

เพราะอะไรรู้มั้ยเธอ....
เพราะมันมิใช่ภารกิจหรือกงการของพระเจ้าไงล่ะ

2.เธอต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า
พระบิดาทรงกำหนดสร้างให้โลกนี้
เป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีมาตั้งแต่เมื่อแรกสร้าง

เธอต้องการสิ่งใดในชีวิตทั้งดีชั่ว
เธอก็สามารถใช้อำนาจในตนเองไขว่คว้ามันมาได้
เพียงแต่เธอต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของพระองค์
คือกฎแห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่งเท่านั้น

อำนาจในตนเองของเธอก็เป็นอำนาจแห่งพระเจ้า
เธอจึงมีพระเจ้าในตนเอง
ซึ่งเธอสามารถฉลาดใช้เพื่อให้ได้มา
ในจุดมุ่งหมายทั้ง 4 หรือมากกว่า
ในแบบที่เธอต้องการได้อย่างเสรีเสมอ

3.การที่เธอไม่บรรลุเป้าหมายแห่งการวิวัฒน์
เพราะเธอล้มเหลวในสิ่งที่เธอทำในสิ่งที่เธอหวัง
แล้วต้องรับผลกรรมเลวร้ายจากความล้มเหลว
จนเธอทึกทักเอาเองว่า "พระเจ้า" เป็นผู้ลงทัณฑ์นั้น

เธอต้องรู้สำนึกเอาไว้ด้วยว่า
เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่าง
จากคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ตรงที่
ไม่ยอมรับความล้มเหลวใดๆ
อันเกิดจากความไม่เอาไหนของตัวเอง
แล้วเที่ยวโยนความผิดบาปให้คนอื่นแทน

เช่นล้มเหลวในเรื่องงมงายก็ไปโทษผี
ล้มเหลวในเรื่องอยากได้ใคร่มีก็มาโทษ "พระเจ้า"

เธอไม่รู้หรอกหรือว่า...
ความฉลาด ความโง่ ความยโส โอหัง
ความประมาท ขาดสติ ความหลงตัวเอง
ความมีวิริยะ อุตสาหะ ความอดทน ความขยัน
ความมุ่งมั่น ความเชื่อมั่น ความรัก ฯลฯ

ทั้งหมดนี้ คือ ตัวแทนของพระเจ้า
ซึ่งเป็นคุณสมบัติทั้งด้านดีและเลวของเธอ
ที่พระเจ้าประทานเอาไว้ให้เธอ
เรียนรู้ที่จะเลือกใช้มันได้อยู่แล้ว

ถ้าเธอเข้าถึงพระเจ้าในตนเองเหล่านี้ไม่ได้
จนต้องพบกับความปราชัยย่อยยับอับเฉา
แล้วเธอจะมาร้องแรกแหกกะเฌอหาพระเจ้า
เสมือนตำหนิติเตียนพระเจ้าได้อย่างไรกัน

4.การที่เธอไม่บรรลุเป้าหมายของการเติบโต
แต่เธอทุกคนต้อง "เติบตาย" คือ โตเพื่อตายนั้น

เธอต้องเอาความโง่ออกจากตา
แล้วฉลาดคิดรู้ฉลาดพิจารณาบ้างว่า
ความจริงแล้ว......
พระเจ้าน่ะได้ทรงสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมให้เธอ
ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านวัตกรรมใดๆของพวกเธอเสียอีก
เพราะมันเจริญเติบโตได้เรื่อยๆ
พอโตเต็มที่แล้ว
ก็สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเองได้ด้วย
พระองค์ทรงให้ชีวิตที่จีรังแก่เธอแล้วมิใช่หรือ
เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของเธอ
มันไม่มีวันตาย...ไม่มีวันตาย.....

เพราะเธอเลี้ยงดูมันไม่เป็น
ปฏิบัติกับมันอย่างไม่ถูกต้อง
เอาแต่ใช้งานแต่ขาดการใส่ใจดูแล
จนมันต้องตาย...
มิใช่เพราะตัวเธอทำร้ายตัวเองดอกหรือ

เธอไม่รู้หรอกหรือว่า
ความโง่กับความหลงตัวเองของเธอ
มันทำให้เธอขาดสติไร้สำรวม
จนกล้าตำหนิ "พระเจ้า" ผู้ให้กำเนิดเธอนั้น
มันยากแก่การให้อภัย

5.การที่เธอไม่บรรลุเป้าหมาย
ของการหาประสบการณ์เพราะเธอพลาดมัน
นี่ก็เป็นความผิดพลาดล้มเหลวของเธอเอง
มิใช่ผิดพลาดตามพระบัญชาของพระเจ้า

ถ้าเธอเอาแต่นั่งกินนอนกินทั้งวี่วันดั่งคนพิการ
เธอย่อมพลาดประสบการณ์ชีวิตในโลกกว้าง
พระเจ้าจะบังคับให้เธอออกจากบ้าน
เพื่อไปหาประสบการณ์ในโลกกว้างได้หรือ
ถ้าเท้าสองข้างของเธอไม่ยอมก้าวย่าง
สองตาเธอไม่ยอมเบิ่งถ่างกว้างออกเพื่อแสวงหา
และสติปัญญาของเธอมิอาจใช้การได้
เพราะสมองทั้งสองซีกมันไม่ทำงาน

6.การที่เธอไม่บรรลุเป้าหมายในการเป็นบางสิ่ง
แต่กลับหยุดที่จะเป็นในบางสิ่งนั่นแทน

เธอหมายถึง เธออยากรวยเป็นเศรษฐี
แต่ไม่อาจมีความร่ำรวยตามต้องการได้

เธอหมายถึง เธออยากเป็นคนดี
แต่ไม่อาจเป็นคนดีกับใครเขาได้

เธอหมายถึง เธออยากรวยสนมรวยเมีย
แต่เธอไม่อาจทำตนตามตัณหานั้นได้

หรืออื่นๆ...เช่นนั้นหรือ

เราขอถามเธอว่าใครจะรวยได้ไม่ได้
มันเป็นสิทธิของใครคนนั้นมิใช่หรือ
เพียงขยันทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้
ฉลาดใช้ปัญญาในการประกอบสัมมาอาชีวะ
ฉลาดใช้เงิน และฉลาดอดออม
กฎเกณฑ์ง่ายๆเหล่านี้ก็ช่วยให้ไม่จนได้แล้ว

อยากเป็นคนดี แต่เป็นไม่ได้
ก็ลองใช้ปัญญาตรึกตรองสิว่า
ใครห้ามไม่ให้เธอเป็นคนดีล่ะ
พระเจ้า...อีกแล้วหรือ?

อยากรวยสนมรวยเมีย
แต่เธอเป็นอย่างที่ต้องการไม่ได้

เพราะไม่มีปัญญาเลี้ยงดู
เพราะที่จะเลือกเอามานั้นดันเป็นเมียเขาอื่น
เพราะลูกเมียเราเขายอมรับไม่ได้
เพราะสังคมไม่ยอมรับ
ก็ถามตนเองสิว่าเพราะอะไร
ไหงจึงโทษ "พระเจ้า"

7.เราจะกล่าวความจริงให้เธอรู้ว่า
ความคิดของเธอที่กล่าวไว้ในหน้ากระดาษนั่น
มันอาจฟังดูดีมีสำบัดสำนวนชวนชื่นชม
แต่เราเห็นว่ามันเป็นแค่เพียงบทกวีนิพนธ์เท่านั้น
หาใช่ผลผลึกแห่งการคิดเชิงสัจธรรมไม่

ถ้าเป็นอย่างที่ต้องการไม่ได้
ถ้าทำอย่างที่ต้องการไม่ได้
ถ้ามีอย่างที่ต้องการไม่ได้

ก็จงอย่าโทษพระเจ้า
อย่าบ่นกับพระเจ้า
อย่าร้องขอต่อพระเจ้า

จงรีบพิจารณาตนเอง
เพื่อหาข้อบกพร่องผิดพลาดแล้วเริ่มใหม่

จงบ่นกับตนเอง
อย่าไปบ่นกับใครให้เขารำคาญ
เพราะมันไร้ประโยชน์

จงร้องขอต่อตนเอง
อยากสำเร็จเร็วก็เร่งลงมือทำอย่างไม่รั้งรอ
อยากก้าวหน้าอย่างราบรืนก็จงอย่าประมาท
และจะต้องทำด้วยความมุ่งมั่น เป็นต้น

ด้วยรักและปรารถนาดี
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-02-201

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วิทยาศาสตร์ทางจิต กับ วิทยาศาสตร์กายภาพ





นักเรียนที่รักทั้งหลายและท่านผู้พเนจร
***************************************
เรามีความจริงที่จะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ความคิดที่พัฒนาแล้ว
กับความเชื่อตามที่เขาเล่าว่านั้น
มันยังมีเส้นแบ่งให้รู้แยกแยะกันอยู่
ทั้งความรู้และความจริง
มันจึงต้องใช้สติปัญญาของผู้เรียนรู้พิจารณา
มิใช่ใช้ความเชื่อตามเพราะเห็นว่าน่าเชื่อ
มิใช่โต้แย้งเพราะเห็นว่าขัดกับความเชื่อเดิมของตัวเอง
เราจึงสอนให้ศิษย์ในห้องเรียนนี้ให้ได้รู้ความรู้ใหม่
และสอนให้ศิษย์ "คิดตามครู" ตลอดมา
ไม่ได้สอนให้ "เชื่อตาม" เรา หรือเชื่อคนอื่น
แต่ให้เชื่อตนเอง เคารพความคิดของตนเอง
ที่นี่ไม่ได้สอนให้ใครงมงาย
การรู้มากเพราะอ่านมากแต่ถูกผิดไม่รู้
มันแค่ทำให้เธอแลดูเป็นคนเก่ง
เพราะเหมือนว่าจะรอบรู้เท่านั้น
ถ้าฉลาดจริงเก่งจริง
นักเรียนจักต้องค้นพบ
สัจธรรมความจริงในจักรวาลนี้
เพื่อสร้างองค์ความรู้นั้นๆได้ด้วยตนเอง
ที่คนอื่นเขาก็ยอมรับได้ต่างหากล่ะ
วิทยาศาสตร์กายภาพ
เก่งแต่ใช้สมองซีกซ้ายวิเคราะห์วิจัยไปตามที่รู้เห็น
โดยใช้หลักของเหตุและผลเป็นที่ยึดเหนี่ยวความเชื่อ
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความสามารถของกลไกอายตนะ
ก็จะใช้ "การคาดเดา/ตั้งสมมติฐาน" แทน
ทั้งๆที่มีสมองอีกซีกหนึ่งให้ใช้แต่ใช้ไม่เป็น
กล่าวง่ายๆคือ มีดทำครัวมีสองเล่ม
เล่มหนึ่งใช้หั่นผักเพราะเป็นมีดเล็กๆหรือมีดบาง
อีกเล่มหนึ่งเป็นอีโต้ใช้สับของแข็งๆ
ถ้าเธอใช้เป็นแต่มีดเล่มใดเล่มหนึ่ง
ไม่ว่าจะหั่นหรือจะสับเธอใช้มีดเล่มเดียวกัน
เพราะเธอเชื่อว่ามันคมเหมือนกัน
เพียงเท่านี้เธอก็ทำผิดพลาดไปมากแล้ว
เราสอนศิษย์ของเราให้ฉลาดคิดเสมอมา
เราไม่สอนศิษย์เราให้เชื่อใครง่ายๆแบบงมงาย
เพียงเพราะเห็นว่า "น่าเชื่อตาม" หรอกนะ
วิธีคิดของพวกเราในห้องเรียนนี้จึงต่างกับใครอื่น
เพราะพวกเรารู้จักคิดตาม รู้จักคิดเอง
การคิดตามพวกเราใช้วิธีวิเคราะห์
การคิดเองพวกเราใช้วิธีสังเคราะห์ความรู้ใหม่ที่ถูกต้องนั้น
เพื่อประโยชน์ของการนำมาใช้ในชีวิตจริงต่างหาก
ไม่ใช่รู้แล้วเพียงแค่ช่วยให้ตนเองรู้มากขึ้น
ทำให้ตนเองดูดีขึ้นเท่านั้นเอง
มิน่าล่ะ...
ช่างเท็คนิกสร้างเมฆมายาขึ้นไว้บนฝั่งฟ้า
ตั้งมากมายหลายรูปแบบหลายแห่งทั่วโลก
เพื่อสร้างสติทางวิญญาณให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย
ให้หยุดก่อกรรมทำชั่ว
ให้เตรียมตัวผจญภัยพิบัติ
แต่คนส่วนใหญ่กลับมิได้ใส่ใจ
เพราะบอกตัวเองว่า...มันเป็นมายาที่ไร้สาระ
ทั้งๆที่มันเป็น Pure-metaphysics
สำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่!
ที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางจิต
ซึ่งช่ำชองในการใช้สมองทั้งสองซีกโดยแท้
เราสอนศิษย์ให้ฉลาดคิดตามเรา
เราไม่สอนให้ศิษย์เราอวดฉลาดข่มคนอื่น
เพราะความฉลาดหรือโง่เป็นคุณสมบัติของตัวเอง
การเที่ยวพเนจรไปเพื่อดูหมิ่นคนอื่นว่าโง่กว่า
มันก็ไม่สามารถทำให้ตนเองฉลาดกว่าขึ้นมาได้
การถูกดูหมิ่นว่าเราโง่งมงายกว่าฝรั่งต่างชาติ
มันก็มิได้ทำให้ความฉลาดที่เรามีมันตกต่ำลงแต่อย่างใด
ทั้งหมดที่เราสื่อสอนไว้ในที่นี้
จึงเป็นเพียงการทำหน้าที่ของ "คุรุ"
ซึ่งพระบิดาทรงใช้ให้เรามาทำหน้าที่นี้เท่านั้น
ใครพเนจรเข้ามาแล้วรับวิธีการสื่อสอนของเราไม่ได้
รับความรักเมตตาปรารถนาดีจากเราไม่ได้
ก็ไปตามทางของท่านเถิดนะ
คำพิพากษาในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลน่ะ
มิอาจแก้ไขให้เป็นอื่นได้หรอก
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-2-2017

ความมืดบอดทางจิตตปัญญา






เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อใดที่จิตมืดด้วยกิเลสตัณหาราคะ
ปัญญาของคนนั้นก็จักบอด หรือ ไม่สว่าง
เมื่อจิตมืดปัญญาบอดเสียแล้ว
ท่านจะนำความฉลาดแม้เพียงน้อยนิด
สักแค่แสงหิ่งห้อยมาใช้เพื่อ "ฉุกคิด"
ให้เกิดการ "ตื่นรู้" ในชีวิตกันได้อย่างไร
เพราะชาวโลกเสรี
มีความบกพร่องในการใช้จิตตปัญญา
จึงค้นหาแสงสว่างบนเส้นทางหลุดพ้นไม่พบ
ยิ่งเวียนว่ายตายเกิดมากภพชาติเท่าใด
ก็ยิ่งเหวี่ยงหมุนตนเองห่างออกไป
จากจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดคือหลุดพ้น
การหลงทางดั่งลูกแกะที่พลัดหลงฝูง
กับการเป็นเจ้าสาวที่ยืนหลับใหล
ขณะถือตะเกียงที่ไร้น้ำมัน
เพื่อรอคอยเจ้าบ่าวที่จะย้อนกลับมา
ช่วยนำพาเข้าเรือนหอ ณ ด่านนภาลัย
จึงเป็นเหตุการณ์ที่ยังดำเนินอยู่
นี่ไงล่ะ...เหตุผลที่ว่า
ทำไมพระบิดาจึงทรงเมตตา
เลื่อนกำหนดการชำระโลกคาบสุดท้ายออกมา
กว่า 800 ปีโลกถึงบัดนี้แล้ว
เพราะทรงเห็นว่า
การแก้ไขความมืดบอดทางจิตตปัญญามนุษย์
เพียงเวลาสั้นๆนั้นมันเป็นไปไม่ได้
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ยิ่งอัตตาสูงเพราะเรียนมากรู้มาก
ยิ่งผ่านการเกิดมาแล้วมากภพชาติ
ก็จะยิ่งยากแก่การแก้ไขเยียวยา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-2-2017

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

"ลูกคนเดียว"  ที่ทรงใช้ให้มาทำหน้าที่พิเศษ





พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
#เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำว่า "บุตรเอก" สำหรับพระบิดานั้น
ทรงหมายถึง "ลูกคนเดียว"
ที่ทรงใช้ให้มาทำหน้าที่พิเศษ
เพื่อกล่าวพระโอวาทแทนพระองค์บนโลกเสรี
เพื่อแจ้งข่าวสารการชำระโลก
ในวาระแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่นี้
เพื่อชี้ทางกลับบ้านแก่ท่านด้วยการหลุดพ้น
ในบทบาทของฆราวาสผู้รู้แจ้ง
โดยใช้มหาสติกับปณิธานแห่งการหลุดพ้น
เป็นเครื่องมือประจำจิตตปัญญา
ในชีวิตประจำวัน
โดยมิพักต้องเข้าป่า
โดยมิพักต้องหาที่ปลีกวิเวก
แต่ให้ปฏิบัติที่จิตตปัญญาในทุกขณะจิตแทน
ดังนั้น
เราจึงมิใช่บุตรคนเดียว หรือ "ลูกโทน"
ในพระองค์แต่อย่างใด
ท่านทั้งหลายผู้มีจิตวิญญาณมาเกิดเป็นคน
เพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์
บนดาวโลกเสรีนี้
ต่างล้วนเป็นบุตรในพระองค์
ต่างล้วนเป็นพี่ๆน้องๆกัน
ต่างล้วนมีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระนามว่า #จิตจักรวาล พระองค์เดียวกัน
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-2-201

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ทุกข์ได้แต่อย่าท้อ




ความทุกข์ คือ สิ่งที่เธอพบพานผ่านเผชิญแล้ว
ในใจรู้สึกว่าทนได้ยาก

เมื่อใดที่เธอ....ยอมรับในความทุกข์นั้นได้ เธอก็ไม่ต้องทน
เมื่อใดที่เธอ....คุ้นชินกับความทุกข์นั้นได้ เธอก็ไม่ต้องทน
เมื่อใดที่ใจเธอ....ไม่รู้สึกนึกคิดเอาว่ามันคือทุกข์ เธอก็ยิ่งไม่ต้องทน

ป.วิสุทธิปัญญา
16-06-2014

คืนกลับมาตามสัญญา





ATTN: 
อาชวารย นีรติ,สมกิจ รวยเต็มหัตถ์,Manassanant Porncharoenroj และนักเรียนห้อง Visudhi Punya ทุกคน

Question: ของคุณ อาชวารย นีรติ
.............................................
ขออนุญาตถามครับ.

ผมมีรุ่นน้องที่มีศรัทธาในพระคริสต์คัมภีร์มาก 
เขาเรียนเนื้อหาในนั้นอย่างหนัก
เพื่อจะเป็นศาสนาจารย์ในอนาคต 
แต่ผมเห็นว่าเขามีทิฏฐิและยึดตึดความหมายตามตัวอักษร 
เขาเห็นที่เราพูดกันถึงเรื่องพันธะสัญญา 6 แล้วเกิดจิตคัดค้าน 
ปรามาสว่าเป็นพระวจนเท็จไม่ควรรับฟังหรือทำตาม

ผมควรจะช่วยเหลือเขาอย่างไรดี

๑.เกรงจิตเขาจะปรามาสต่อพระบิดา ทั้งอาจารย์ และพระโอวาทจนเป็นบาปแก่เขา

๒.เราควรบอกเขาอย่างไรดีให้ยอมรับฟังและเข้าใจอย่างไม่มีทิฏฐิปิดกั้น

Answer:
......................................

1.สิ่งที่พวกเธอเผชิญนี่แหละ เป็นปัญหาของดาวเคราะห์โลก เป็นปัญหาของจักรวาล และเป็นที่รักห่วงใยของชาวฟ้าด้วยกันทั้งหมด เพราะหวั่นเกรงว่าปัญหาของชาวโลกที่เธอยกมาถามนี้ มันจะนำไปสู่การแตกสลายของจักรวาลระบบใหญ่ที่เรียกกันว่า "เอกภพ" ได้ในไม่ช้านาน ก่อนกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าเลยทีเดียว

2.สิ่งที่พวกเธอเผชิญนี่แหละ จึงเป็นแรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณแห่งเรา ที่เป็นเหตุให้เราต้องย้อนคืนกลับมา 

กลับมากอบกู้วิกฤติด้านจิตสำนึกทั้งของมวลมนุษย์แห่งโลกเสรีและจิตสำนึกแห่งดาวเคราะห์โลกดวงนี้อีกครั้ง เรากลับมาในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ เพื่อยกระดับจิตปัญญาที่ตกต่ำของมนุษย์ซึ่งกำลังดิ่งลงๆสู่ความเป็นผู้ใช้ได้แค่เพียงสัญชาตญาณเยี่ยงสัตว์ประจำโลก กับการใช้สันดานที่เคยตัวในการดำเนินชีวิต เช่น เห็นแก่กิน เห็นแก่กาม เห็นแก่เกียรติ เห็นแก่โกย เห็นแก่กาย เห็นแก่เกาะ เห็นแก่กู เห็นแก่กวน เห็นแก่โกง ฯลฯ 

เพราะจิตหยาบของผู้คนเหล่านี้ มีความผิดบาปต่อจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ในตนเอง ที่ขาดสำนึกทางวิญญาณกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ

< ได้แต่นึก ไม่ฝึกคิด
< คิดแบบอริยะหรือคิดแบบจิตจักรวาลไม่เป็น
< ยึดติดตัวตนของตน เช่น ความรู้สึกของตน ความชอบของตน ความเชื่อของตน ความลุ่มหลงงมงายของตน ครูของตน คัมภีร์ของตน ฯลฯ แล้วปฏิเสธความรู้ ความคิด ความจริงและไม่จริงของคนอื่นๆ
< ใช้ข้ออ้างแทนเหตุผล
< เหมือนจะมีเหตุผล แต่ก็ใช้เหตุผลไม่เป็น
< หลงตนเอง ข่มคนอื่น
< เกลียดกลัวการเปลี่ยนแปลง
< ดีแต่คิดบวกตามกระแส แต่คิดด้านบวกไม่เป็น
< ได้แต่คิดลบ แต่กลับคิดด้านลบไม่เป็น

คุณสมบัติด้านลบเหล่านี้ เธอสามารถพบเห็นได้จากคนเหล่านั้น และคนส่วนใหญ่ตามท้องถนนบนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้ ซึ่งเราเรียกพี่ๆน้องๆแห่งเราผู้เหลวไหลเหล่านี้ว่า "ผู้คนที่งมงาย เพราะสับสนในตนเอง"

3.เราจึงขันอาสาพระบิดาเพื่อลงมาฉุดช่วยมนุษย์แห่งโลกเสรี โดยเน้นสั่นสะเทือนกันแรงๆที่ประเทศไทย คล้ายดั่งแผ่นดินไหวที่มันจะกระจายคลื่นไปกระตุ้นให้ผู้คนได้รู้ตื่นคืนสติทางวิญญาณกันอีกครั้งจนทั่วทั้งโลก เพื่อแก้ไขปัญหาทั้ง 9 ประการดังกล่าวในแต่ละคนให้ลุล่วง

เราจึงกล่าวกับพวกเธอตลอดมาว่า ปฏิบัติการชำระโลกเพื่อการเปลี่ยนยุคของพระบิดาครั้งที่สี่นี้...มันจะมีจำนวนผู้เหลือรอดปลอดภัยน้อยกว่าที่ถูกเก็บชำระออกไปหลายร้อยเท่า....ซึ่งเรากำลังพยายามอยู่ทุกทิวาราตรีที่จะเก็บเกี่ยวเพิ่มเติมจากที่คิดคำนวณไว้ให้มากขึ้นอยู่เรื่อยๆ....อย่างไม่ย่อท้อ

จงปลดปล่อยพวกเขาไปเถอะ วางเสีย แล้วหันมาทำหน้าที่ดูแลจิตวิญญาณของเธอเองเถิดนะ เขาก่อกรรมแบบใดเขาสมควรต้องรับผิดชอบในผลกรรมนั้น...อย่าปล่อยให้ตนเองจิตตกเพราะยกเอาความทุกข์ของเขา ที่โง่งมงายเงิบๆอยู่มาเป็นทุกข์ของตนเองให้เป็นที่ลำบากทางจิตวิญญาณของเธอเลย 
วันข้างหน้า...เธอยังจะพบเจอคนพวกนี้อีกเยอะจนจะชินไปเอง

ที่สำคัญ คือ ผู้ใดต่อต้านเรา 
แสดงว่าพวกเขาได้ถูกพิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว....

4.ในวันข้างหน้า คนส่วนใหญ่ผู้สับสนในตนเองเหล่านี้ จะได้รับบทเรียนบทสุดท้าย คือ บทเรียนแห่งความกลัวตายเพราะไร้"กฤติสติ" และจะได้รับบททดสอบจิตสำนึกครั้งสำคัญก่อนถูกพิพากษาว่า เจ้าบ่าวผู้ที่เขารอคอยได้ย้อนคืนกลับมาตามสัญญาตั้งนานแล้ว 

กลับมาเพื่อจะนำทางพวกเขาเข้าสู่ประตูห้องหอ คือ ด่านนภาลัย 

ถ้าพวกเขาไม่งมงายอยู่กับการยึดติดเสื้อผ้าหน้าผม หนวดเคราและรองเท้าคู่เก่าของเรา...แค่เพียงเขาหลับตาลง แล้วน้อมใจรับฟังพระโอวาทพระบิดาที่ทรงสื่อผ่านมาทางเรา...พระบิดาจะเมตตาพวกเขาให้ได้รำลึกถึงเราคนที่พวกเขารอในบัดดล....
Amen....

ป.วิสุทธิปัญญา
30-05-2014

ทุกศาสนาล้วนเป็นสากล





พระพุทธองค์ มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวพุทธเท่านั้น

องค์เยซูคริสต์เจ้า ก็มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้กล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งพระบิดาต่อชาวคริสต์เท่านั้น

องค์นบีมูฮัมหมัดเจ้า ก็มิได้ทรงเป็นแค่เพียงผู้กล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งพระบิดาต่อชาวมุสลิมเท่านั้น

แท้จริงแล้ว พระศาสดาทุกๆพระองค์ทรงเป็นพระศาสดาแห่งโลก

พระศาสดาทุกๆพระองค์จึงทรงเป็นเอกองค์มหาคุรุในต่างยุคสมัยกัน 
โดยเป็นผู้ทรงมีพระปรีชาญาณพิเศษและพระปรีชาชาญพิเศษในบทบาทของครูผู้ทรงรอบรู้ในเรื่องของความรักสำหรับชาวโลกต่างหาก มิได้จำกัดว่าทรงเป็นผู้นำของใครหรือของพวกใดพวกหนึ่งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง....
เราจึงกล่าวเสมอว่าทุกศาสนาล้วนเป็นสากล
พระศาสดาทุกๆพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน
สัจธรรมที่ทุกพระองค์ทรงสื่อหรือสั่งสอนมนุษย์ ล้วนมาจากต้นธารเดียวกันทั้งสิ้น

จงอย่านำศาสนามาสร้างเป็นลัทธิ
และจงอย่าลบหลู่พระศาสดาด้วยการดึงพระองค์ลงมาเสมอเพียงเป็นเจ้าลัทธิ

ป.วิสุทธิปัญญา
27-05-2014

คำสาบาน




คำสาบาน.....
มิได้มีพลังอำนาจใดที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความจริงที่จริงแท้ได้

ขณะเดียวกัน คำสาบานนั้น.....
ก็มิได้มีพลังอำนาจใดๆที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความเท็จให้เป็นจริงได้เช่นกัน
นอกจาก "หลอกให้ผู้อื่นเชื่อ" เท่านั้น

เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว....
เธอจะอ้างสัจจะด้วยการกล่าวคำสาบานให้เป็นที่ระคายเคือง
ต่อพระองค์ทำไมกัน

ป.วิสุทธิปัญญา
21-05-2014

วิธีดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข


บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง





กลับบ้านเถอะลูก....
องค์จิตจักรวาลทรงรอการหลุดพ้นของพวกเธออยู่...นอกระบบเอกภพ
ที่เป็นสวรรค์นิรันดร....

คำอธิบายว่า "ปัญญา" มีความหมายว่าอย่างไร ด้วยการยึดเอาหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มาท่องตามคำที่จำมานั้นมันเป็นวิธีที่พวกนั่งคิด นั่งมอง นั่งพิจารณาอยู่คนเดียวเขาใช้ปฏิบัติกัน...เพราะมันสร้างสติ รักษาสติ เพื่อการใช้ปัญญาคิดพิจารณาเรื่องนั้นๆได้อย่างต่อเนื่องที่เรียกว่า "อยู่ในสมาธิ" อย่างง่ายดาย

ลองนำมาใช้กับคนใกล้ตัว หรือคนข้างบ้านตอนที่พวกเขายื่นเงื่อนไขด้านลบให้เธอจนทำให้เธอไม่สบอารมณ์ดูสิ เธอจะควานหาไตรลักษณ์ที่นำมาอธิบายอย่างคล่องแคล่วนั้นได้จริงหรือเปล่า....

คำถามที่เป็นปัญหาของผู้ติดอยู่กับวิธีเดิมๆนี้ก็คือ...
1.เธอจะสร้างสติและรักษาจิตมิให้สติแตกได้อย่างไร เมื่อมีคนกวนสะทีนอยู่เบื้องหน้า ณ บัดนั้น

2.เธอจะทนต่อการยั่วยุนั้นได้ดีแค่ไหน โดยไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อต้าน และไม่คิดที่จะหลบเลี่ยงหรือหนีปัญหา แต่สามารถรักษาความสงบเย็นเอาไว้ได้อย่างมั่นคง

3.เธอจะเข้าถึงกฎไตรลักษณ์ที่ท่องมา แล้วหยิบฉวยมาใช้ได้ด้วยปัญญาที่ในตนได้ดีแค่ไหน

หมายเหตุ:
นั่งหลับตาใช้ปัญญาพิจารณากฎไตรลักษณ์นั้นมันไม่อยากหรอกนักเรียน เพราะสร้างสติและรักษาสติขณะอยู่คนเดียว นั่งนึกคิดอยู่คนเดียวนั้นมันเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ระวังจิตตนเองไม่ให้ว่อกแว่กเหมือนลิงที่อยู่ไม่สุขเท่านั้น

แต่ในชีวิตประจำวัน เธอยังมีคนรอบข้างที่จะสร้างเงื่อนไขรบกวนจิตใจเธอได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเงื่อนไขภายนอกที่เธอไม่อาจควบคุมได้ ไม่อาจคาดหมายล่วงหน้าได้....ถ้าไม่ฝึกฝนไปในชีวิตจริง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้จิตและปัญญาด้วยธรรมชาติสมาธิแบบลืมตา ไม่หนีหน้าผู้คน บำเพ็ญจิตตนให้มันแกร่งเข้าไว้ด้วยมหาสติแล้ว เธอไม่มีวันเข้าถึงสติ สัมปชัญญะ ปัญญา และสมาธิได้แน่นอน เพราะจิตใจเธอมันจะอ่อนไหวไปตามการยั่วยุของสิ่งเร้าทั้งภายนอกภายในได้เสมอ

อย่าคิดว่าห้ามจิตตนเองมิให้สั่นไหว กำกับมันไว้ให้สงบเย็นได้ ในยามอยู่เงียบๆคนเดียวได้แล้ว คือ ความเป็นเลิศ 

แต่การที่เธอสามารถอยู่ร่วมสังคมกับคนอื่นๆที่มีนิสัยและสันดานแตกต่างกันอย่างหลากหลายได้อย่างมีความสุข นี่ต่างหากคือยอดแห่งอริยะบุคคล....

เพราะอดทนต่อการกระทำไม่ถูกต้องของคนอื่นได้
เพราะอดกลั้นต่อการกระทำไม่ถูกต้องของคนอื่นไหว
เพราะให้อภัยต่อบุคคลที่ไม่สมควรจะให้อภัยได้........

นี่คือ ผลแห่งการปฏิบัติมหาสติ ในท่ามกลางสังคมเมืองโดยไม่ต้องปลีกวิเวก....ไม่ต้องเดินถ่างขาให้น่าเกลียด ไม่ต้องหลับตา-ปิดหู และไม่ต้องปลีกตัวเองไปอยู่คนเดียว....

มนุษย์จะไปสวรรค์คนเดียวไม่ได้หรอกนักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ป.วิสุทธิปัญญา
9-05-2014

กฎแห่งสัจจะ





กฎแห่งสัจจะ:

1.พระบิดาทรงกำหนดให้คลื่นการสั่นสะเทือนใดๆก็ตามที่เกิดขึ้น จากจุดเริ่มต้น จะคลี่คลายขยายตัวออกจากจุดศูนย์กลางหรือจากผู้สร้างการสั่นสะเทือนให้เกิดคลื่นนั้นออกไปโดยรอบ

2.คลื่นการสั่นสะเทือนแต่ละระลอกจะพาเหรดตามๆกันไปเรื่อยๆ จนคลื่นระลอกแรกเมื่อเดินทางถึงสุดขอบของสนามพลังงานของจักรวาล (ขอบของเอกภพ) ก็จะสะท้อนกลับทางเดิมเพื่อเคลื่อนตัวคืนสู่จุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือน หรือสั่นสะเทือนเคลื่อนไหลกลับคืนสู่ผู้สร้างการสั่นสะเทือนให้เกิดคลื่นนั้นเสมอ คลื่นระลอกต่อๆมาก็จะเกิดปรากฏการณ์แบบเดียวกัน

3.จุดใดเป็นจุดเริ่มต้นการสั่นสะเทือนของสิ่งใด จุดนั้นก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของการสั่นสะเทือนของสิ่งนั้นๆเสมอ

4.มนุษย์คนใด สร้างแรงสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิตตนเองให้เกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม แรงสั่นสะเทือนของจิตในขณะนั้น จะก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนของสนามพลังงานที่รายรอบตัวเธออยู่ด้วยอัตราความถี่และคุณสมบัติของคลื่นชนิดเดียวกันกับที่เธอผลิตสร้างมันขึ้นมานั่นเอง

คล้ายดั่งการเกิดระลอกคลื่นของน้ำ เมื่อเธอโยนก้อนหินลงไปนั่นแหละ
ถ้าหินก้อนใหญ่ และทุ่มลงไปแรงๆ คลื่นน้ำแต่ระลอกที่กระจายตัวออกไปจากจุดที่หินกระทบน้ำก็จะเป็นคลื่นระลอกใหญ่ เคลื่อนที่ออกไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว

5.ถ้าเธอสั่นสะเทือนจิตใจของเธอแรงๆด้วยคลื่นความถี่ต่ำๆ อันเป็นความถี่ด้านลบจำพวกกิเลสตัณหา คลื่นการสั่นสะเทือนด้วยคุณสมบัติที่ว่านี้ มันก็จะทำให้สนามพลังงานของจักรวาลหรือของเอกภพที่ห่อหุ้มอุ้มโอบตัวเธออยู่ สั่นสะเทือนแรงเป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่ๆกระจายตัวออกไปจนสุดขอบจักรวาล โดยแต่ระลอกคลื่นนั้นมันก็จะพากันสะท้อนย้อนกลับคืนมาสู่ตัวเธอในบั้นปลาย

ถ้าระลอกคลื่นนั้นเคลื่อนขยายกระจายตัวออกไปเร็ว
ระลอกคลื่นนั้นมันก็จะพากันสะท้อนย้อนกลับมาหาเธอเร็ว ในสัดส่วนที่แปรตามกันเสมอ....

นี่แปลความหมายว่า ถ้าเธอสั่นสะเทือนจิตใจเธอจนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดเพื่อการกระทำสิ่งใด เรื่องใด ต่อใครในมิติโลกทางกายภาพหรือในมิติแห่งเนื้อหนังแล้ว แรงสั่นสะเทือนทางจิตของเธอ มันจะยังผลให้เกิดการสั่นสะเทือนของสนามพลังงานจักรวาล นำพาคุณสมบัติของคลื่นที่เธอสั่นสะเทือนมันขึ้นมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี เรื่องเลว กระจายตัวออกไปจากจิตเธอเป็นวงรอบจนสุดขอบจักรวาลเลยทีเดียว

พวกเธอจึงได้เรียนรู้ความจริง ในรูปของ "กฎแห่งกรรม" กันมาตลอดว่า
"ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว"
แล้วยังอธิบายความว่า "ปลูกสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น"

6.มีข้อพึงสังเกตอยู่ว่า....เนื่องจากสนามพลังงานแห่งเอกภพที่พวกเธอเรียกว่าสนามพลังงานแห่งจักรวาลนั้น มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก จึงยังผลให้กรรมดีกรรมชั่วที่ตัวพวกเธอก่อขึ้นในความเป็นมนุษย์ของพวกเธอนั้น เมื่อก่อมันขึ้นมาแล้ว บางกรณีมันก็จะส่งผลกลับมาช้า บางกรณีมันก็จะสะท้อนกลับมาสนองเร็ว เอาแน่นอนในการคิดแบบจิตมนุษย์ไม่ได้

บางคนกว่าคลื่นการสั่นสะเทือนของตนจะสะท้อนกลับคืนมาให้รับผิดชอบ อาจเป็นภพชาติถัดไป เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมหมดอายุขัยใช้งานเสียก่อน ขณะที่บางคนกรรมหรือการสั่นสะเทือนของตนนั้นจะสะท้อนคืนกลับมาให้รับผิดชอบเร็วกว่าที่คิด

7.ดังนั้น เธอจึงต้องจดจำไว้ว่า....
"กฎแห่งกรรม ไม่ต้องมีใครควบคุมมัน"
"กฎหมายหนีได้ แต่กฎแห่งกรรมนั้นหนีไม่พ้นแน่ๆ"
"ใครก่อกรรมทำเวรไว้ เมื่อตายแล้วยังต้องรอรับผลกรรมนั้นอยู่ ตายแล้วมิได้จบสิ้นกันง่ายๆอย่างที่คิด"

8.พระบิดาทรงแฝงสัจจธรรมเรื่องนี้ไว้กับ การปลูกถั่วเขียว ที่ลูกๆทั้งหลายมักเพาะไว้ทานกันมาตั้งแต่โบราณ เนื่องจากเป็นธัญญพืชที่มีทั้งโปรตีนชนิดที่ร่างกายต้องการ รวมทั้งวิตามินเอที่ใช้บำรุงอายตนะภายนอกทั้งห้ากับสารอาหารที่มีคุณค่าอื่นๆอีกมากมาย จนพวกเธอสามารถเพาะเอาไว้รับประทานเป็นประจำทุกมื้อทุกวันก็ได้

โดยพวกเธอจะสังเกตได้ว่า ถั่วเขียวจะต้องแตกโตเป็นถั่วงอกก่อนกว่ามันจะเติบโตเป็นต้นถั่วเขียวเสมอ นั่นคือ เมื่อเธอก่อกรรมใดไว้ กว่ากรรมนั้นจะสนองเธอก็ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งนั่นเอง

ก่อนที่เมล็ดถั่วจะเติบโตเป็นต้นถั่วเขียวนั้น พระองค์ทรงกำหนดให้มันต้องแตกโตเป็นถั่วงอกก่อนและพร้อมให้เธอรับประทานมันได้ด้วย เพื่อให้เธอระลึกได้ว่า...

แม้เธอจะปลูกถั่วเขียว แต่เธอกลับได้ถั่วงอกก่อน แปลว่าผลกรรมในมิติแห่งจิตวิญญาณนั้นมันจะส่งผลต่อมนุษย์เช่นเธอช้า เนื่องจากต้องใช้เวลาดังอธิบายไว้ข้างต้นนั้นแล้ว

กับการที่เธอสามารถทานถั่วงอกนั้นได้ ก็เพื่อทรงสั่งสอนเธอว่า ถั่วงอกนั้นมันก็เป็นผลกรรมจากการเพาะปลูกของเธอนั่นแหละ ซึ่งเธอเป็นเจ้าของมัน เธอสามารถเก็บเกี่ยวมันมารับประทานได้หากต้องการ หากปล่อยให้มันเติบโต ยังไงๆมันก็จะเป็นต้นถั่วเขียวที่จะให้ผลเป็นเมล็ดถั่วเขียวในวันหน้าแน่นอน มันจะไม่กลายพันธุ์ไปเป็นต้นอื่นเด็ดขาด

พี่ๆน้องๆแห่งเราทั้งหลาย....
จงใส่ใจในอารมณ์รู้สึกนึกคิดของตน ทุกขณะในยามตื่นเถิด
หากพวกเธอปรารถนาจะกลับบ้าน นอกระบบเอกภพ โดยมิพักต้องย้อนคืนสู่การมีภพชาติใหม่อีก ไม่ต้องเป็นเทพ เป็นเทวดา หรือว่ามาเกิดเป็นมนุษย์
พวกเธอจงละเลิกความเชื่อที่ว่า.....

1).ทำบุญเบื้องล่าง เอาไปสร้างเบื้องบน ทำบุญหลายหน ได้กุศลหลายครั้งเสียเถิด
2).การได้เกิดเป็นเทพ พรหม หรือมนุษย์ ในภพชาติต่อไป ถือเป็นที่สุดของเธอแล้ว จึงฝันอยากไปสวรรค์และกลัวการตกนรกขึ้นสมอง
3).กฎแห่งกรรมไม่มีจริง ตายแล้วก็จบ และไม่เชื่อเรื่องนิพพานเพื่อกลับคืนสู่สวรรค์นิรันดรของจิตวิญญาณแก่นแท้ในตนเอง

สาธุ....เอเมน....

ด้วยรักและห่วงใย
ป.วิสุทธิปัญญา
10-05-2014

ทำดีที่จิตสำนึก





จงก้าวตามเรามาอย่าช้าชัก
สิ่งของหนักผลักทิ้งอย่านิ่งเฉย
ทั้งบุญทานลาภผลอย่าสนเลย
จงคุ้นเคยทำดีเพราะดีจริง

การทำดีได้ดีนั้นดีแน่
อย่าเล็งแลแต่ผลดีที่ทุกสิ่
การทำดีได้ดีนั้นดีจริง
ไม่ต้องอิงผลดีสิควรทำ

ป.วิสุทธิปัญญา
11-05-2014

ทำไมมนุษย์ทุกคนต้องตาย?

:




 ทำไมมนุษย์ทุกคนต้องตาย?
..............................................
1.เพราะรับประทานสิ่งบริโภคที่ไม่ถูกต้องเข้าไปในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์น่ะสิ

2.เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ หรือกายสังขารนั้น เปรียบเสมือนรถยนต์นั่นแหละ ถ้าผู้ผลิตกำหนดให้เติมเชื้อเพลิงหรืออาหารประเภทใด เจ้าของรถยนต์คันนั้นก็ต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทนั้น จะดันทุรังไปเติมน้ำมันชนิดอื่นไม่ได้ เดี๋ยวเครื่องยนต์จะพังเสียหายหมดเลย

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ ถูกกำหนดสร้างโดยองค์จิตจักรวาล และผู้ลงมือสร้างตามพระบัญชาก็คือ พี่พลียะเดี้ยนส์รับผิดชอบการผลิตสร้างในมิติทางกายภาพจากกลุ่มดาวลูกไก่ และพี่อาร์คทอเรี่ยนรับผิดชอบการผลิตสร้างในมิติทางจิตวิญญาณจากกลุ่มดาววัว ซึ่งพี่ๆเขากำหนดให้เติมเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบเข้าไปทางปากด้วยการกินและดื่ม อาหารจำพวกพืช ผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืช และน้ำบริสุทธิ์เท่านั้น

3.แต่ในความเป็นจริงปรากฏว่า พวกเธอเปลี่ยนไปกินอาหารจำพวกเลือดเนื้อของสัตว์เข้า โดยกินมากกว่าพืชผักผลไม้และธัญพืชเสียอีกด้วย จึงเท่ากับว่าเติมเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบไม่ตรงกับที่ผู้ผลิตเครื่องยนต์แห่งกรรมกำหนดไว้นั่นเอง

รถยนต์ที่เติมเชื้อเพลิงผิดประเภท จะวิ่งไม่เรียบ เครื่องยนต์จะเดินสะดุดหรือกระตุก วิ่งไปส่งเสียงระเบิดทางท่อไอเสียไป แถมยังมีกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก ทั้งยังไม่มีเรี่ยวแรงจะวิ่งเร็วๆอีกด้วยสิ....เธอว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกนี้ เขามีอาการแบบนี้ไหมกล่าวคือ หลังอาหารจะท้องอืด อาหารไม่ย่อย ผายลมมีกลิ่นเหม็น เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย เป็นต้น

4.พอทำร้ายตนเองด้วยการทานอาหารผิดๆเช่นว่านี้ติดต่อกันนานหลายปีเข้า รหัสพันธุกรรมกับโครงสร้างทางชีวภาพจึงถูกเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม โครงสร้างทางชีววิทยารูปธรรมมนุษย์จึงเริ่มมีอายุขัยใช้งานสั้นลงเรื่อยๆ จนยุคนี้เกิดมาได้ไม่กี่ปีก็พากันตายไปหนึ่งภพชาติเสียแล้ว

5.ร่างกายมนุษย์ทุกคนนั้น แท้แล้วผู้สร้างมิได้มีข้อกำหนดใดๆเลยว่า ต้องตาย ต้องจบสิ้นอายุขัยกัน เพราะพวกพี่ๆเขาได้กำหนดคุณสมบัติของเซลอวัยวะร่างกายให้มันไม่มีวันตายหรือเสื่อมลง กล่าวคือ กำหนดให้เจริญเติบโตได้ ดำรงอยู่ได้ และสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของตนเองก็ได้ ซึ่งนักเรียนจะเห็นได้ว่าทุกสิ่งที่กำหนดเป็นคุณสมบัติขึ้นไว้นี้ เกื้อกูลต่อการไม่มีวันตายอย่างสิ้นเชิง

6.ถ้าอยากมีอายุขัยยืนยาว ก็จงรับประทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วน งดกินเนื้อสัตว์เด็ดขาด การทานเนื้อสัตว์นั้น นอกจากจะเป็นการฆ่าพี่ๆน้องของเธอเองอย่างโหดร้ายแล้ว มันยังป็นการทำร้ายตนเองให้อายุสั้นลงอีกด้วย

ดังนั้น คำตอบที่ถามว่า ทำไมมนุษย์ทุกคนต้องตาย ก็เพราะกายสังขารเสื่อมสมรรถภาพ ด้วยสาเหตุแห่งการกินที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวนี้สาเหตุหนึ่งล่ะนะ

จงมาร่วมกันฟื้นฟูเครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกเธอ 
ให้แข็งแรง และมีอายุขัยยืนยาวกันดีกว่านะ....

ป.วิสุทธิปัญญา
15-05-2014