วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"ปลากับ 56 วัน 8 ราตรี"

เราจะกล่าวความจริง
ต่อฝูงปลาทั้งหลาย ที่จะ "ถูกคัดไว้"
ในนิทานเรื่อง "ปลากับ 56 วัน 8 ราตรี" ว่า

แม้ท่านจะเป็นปลาตัวที่อยู่ในข่ายที่จะถูกคัดไว้ก็ตาม
แต่ท่านก็อาจมีชีวิตรอดอย่างบอบช้ำได้
ถ้าหากท่านเป็นปลาที่ยังไร้ "กฤติสติ"
และเป็นปลาที่ไม่อยู่ใน "ธรรมชาติสมาธิ"
ตามวิถีแห่งจิตจักรวาล

การมีชีวิตรอดอย่างบอบช้ำดังว่านี้
มันจะเกิดได้เผชิญได้หลายรูปแบบด้วยกัน
เป็นต้นว่า.....

1.ปลาบางตัวที่จะถูกคัดไว้
อาจต้องถูกกลบฝังอยู่
ภายใต้ทรากปรักหักพังนานหลายวัน

2.ปลาบางตัวที่จะถูกคัดไว้
อาจต้องลอยคอท่ามกลางคลื่นลม
อย่างเดียวดายอยู่หลายวัน

3.ปลาบางตัวที่จะถูกคัดไว้
อาจตื่นตกใจกลัวสุดขีดหรือช็อคจนสติแตก...ไม่รู้สติ
ยาวนานร่วม 6 ปี กว่าสติดีจะกลับคืนมา

4.ปลาบางตัวที่จะถูกคัดไว้
อาจได้รับอันตรายจากสายฟ้าฟาด
อาจได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติภัยร้ายๆ
เพราะไปอยู่ผิดที่ ผิดทาง ผิดเวลา
เนื่องจากสัญชาตญาณใช้การไม่ได้

ตัวอย่างของปลาทั้ง 4 ประเภทนี้
มันจะเกิดขึ้นกับปลาดีๆที่จะถูกคัดไว้
ด้วยสองสาเหตุดังต่อไปนี้

1.ไม่มีกฤติสติ....
คือ ไม่เรียนรู้และไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสาร
ที่เกี่ยวกับปฏิบัติการชำระโลก
เพื่อเตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
สำหรับการผจญภัยเอาไว้ล่วงหน้าแต่เนิ่นๆว่า

มันจะเกิดพิบัติภัยอะไรขึ้นบ้าง
มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ทำไมมันจึงต้องเกิด
ห้ามมันไม่ให้เกิดจะได้ไหม

เมื่อถึงคราวเผชิญหน้ามหาวิกฤติแล้ว
ปลาอย่างท่านจักต้องทำตนอย่างไรจึงจะรอด

ถ้าปลาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่า
ที่มาที่ไปมันเป็นอย่างไร
เช่น ไม่รู้ว่าโลกจะมืดนาน 8 ราตรีของฟ้า
หรือว่า 56 วันของโลกมนุษย์
เมื่อต้องเผชิญกับความมืดมิดแค่ข้ามวันผ่านคืน
ปลาทั้งหลายก็ควรเตรียมตัวสติแตก
เพราะความไม่รู้กันได้แล้ว

แต่คงจะมีเพียงปลาที่มีกฤติสติเท่านั้น
ที่จะสามารถเผชิญสถานการณ์เลวร้ายนั้น
ด้วยการข้ามผ่านฟันฝ่ามันไปอย่างสงบใจได้

เพราะรู้ล่วงหน้ามาแล้วว่ามันมืดมิดเพราะอะไร
และรู้ก่อนแล้วว่ามันจะมืดนานเท่าใด

เมื่อปลาเหล่านี้ขาดกฤติสติ
โอกาสที่ปลาเหล่านี้จะขาดสติจึงมีสูงยิ่ง

เพราะเสียงลมซึ่งหวีดหวิวจนแสบแก้วหู
โดยมิอาจรู้ทิศทางที่มาแต่ไกลๆ
เพราะเสียงคลื่นเททะเลคลั่งซึ่งดังสะท้าน
เพราะแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นของพสุธา
เพราะเสียงฟ้าระเบิดลั่นนานเป็นนาที

สถานการณ์เยี่ยงนี้
ปลาที่ไม่มีกฤติสติเป็นเกราะป้อง
ล้วนจักต้องสติแตกเป็นแม่นมั่น
แม้ว่าปลาตัวนั้นอยู่ในข่ายถูกคัดไว้แล้วก็ตาม

2.ไม่มีธรรมชาติสมาธิ...
คือ เป็นจำพวกปลาที่ดีแต่ไม่มีธรรมวิถีจิตจักรวาล

เพราะวันๆเอาแต่นั่งหลับตาอยู่ในวิเวก
คงได้แต่เสกจิตให้สงบ
ท่ามกลางความเงียบอยู่คนเดียว

เพราะตราบอดีตจนปัจจุบัน
ปลาพวกนี้หมั่นเดินถ่างขากันมาโดยตลอด
ด้วยการหยิบวิธีนักบวชมาใช้ปฏิบัติ
ทั้งๆที่ตนเองเป็นปลาแบบฆราวาส

เมื่อถึงคราต้องผจญภัย
ก็จะได้รู้ว่าการนั่งหลับตาฝ่าวิกฤติร้ายๆในข้อ 1
ตามวิธีที่ตนฝึกฝนกันมานานจนเชี่ยวชาญแล้วนั้น
มันไม่สามารถที่จะช่วยหยุดอาการสติแตก
เพราะความตื่นตกใจกลัวภัยร้าย
ที่ตนไม่เคยเจอมาก่อนนั้น...ได้เลย

แต่ปลาตัวที่ฝึก "มหาสติ"
อันเป็นธรรมชาติสมาธิในชีวิตประจำวัน
ตามวิถีแห่งจิตจักรวาลกันล่วงหน้ามานานปี
จะเป็นปลาจำพวกที่ไม่หวั่นไหว
ไปกับภัยร้ายเหล่านี้เลย....

นิทานของเราและคำกล่าวเรื่องปลาทั้งหมดนี้
มิได้ต้องการจูงใจให้ปลาตัวไหนเชื่อ
มิได้ต้องการสร้างเงื่อนไขให้ปลาตัวไหนไม่เชื่อ

เพราะบัดนี้...
พระบิดาได้ทรงพิพากษา
ด้วยการให้ชาวประมงลงมือ "คัดปลา" กันอย่างเข้มแข็งแล้ว
ปลาตัวไหนจะเชื่อไม่เชื่อนิทานของเราที่เล่ามา
ปลาตัวนั้นก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลง
สาระสำคัญใดในนิทานของเราได้หรอก

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
19-02-2015




นิทานเรื่องปลา กับ 56 วัน 8 ราตรี







นิทานเรื่องปลา กับ 56 วัน 8 ราตรี
................................................

1.จำนวน 56 วัน 8 ราตรี หมายถึง
วันเวลาที่ดาวเคราะห์โลก
จะตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
เพราะดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
และดวงดาวทั้งหลายบนฟากฟ้า
พากันมืดดับพร้อมๆกันนาน
56 วัน หรือ เท่ากับ 8 ราตรีของจักรวาล

โดย 1 ราตรีของจักรวาลสากล
จะนานเท่ากับ 7 วัน 7 คืน
บนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้

2.ตลอดช่วงวันเวลาอันมืดมิดที่ยาวนานนั้น
มันจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
โดยไม่มีผู้ใดสามารถที่จะ
หยั่งรู้ล่วงหน้าได้ว่าเมื่อใดแน่
เพราะมันเป็นความลับของฟ้าที่ฝูงปลามิอาจรู้

3.ตลอดคาบเวลาแห่งความมืดมิดทั้ง 8 ราตรีนั้น
ดาวเคราะห์โลกทั้งระบบ
จะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นับตั้งแต่มีฝูงปลาเข้ามาดำรงอยู่บนดาวดวงนี้

แกนหมุนของโลกจะแกว่ง
แรงเหวี่ยงหมุนของโลกจะอ่อนล้า
เมื่อแขกไม่ได้รับเชิญจากฟากฟ้า
หลุดลอดเข้ามาในระบบได้
ครานั้น....โลกถึงกับต้องกลับขั้ว
นานสามสิบวันกว่าจะปรับตัวคืนสู่พิกัดเดิม

4.ท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยลูกไฟและสายฟ้า
พสุธาจะปริแยกแตกยุบเพราะแผ่นดินไหว
และภูเขาไฟจะระเบิดพร้อมกันทั่วหล้า
ภูเขามากมายจะพังถล่มทลายลงมา

5.ทะเลนอกทะเลในจะคลุ้มคลั่ง
แม่น้ำสายใหม่จะบังเกิด
แผ่นดินบางทวีปจะกลายเป็นหมู่เกาะ
พายุใหญ่จะพัดโหมโถมกระหน่ำ
จนแผ่นดินโลกส่วนใหญ่
และเกาะแก่งทั้งหลายจักจมหายอยู่ใต้น้ำ

6.วัตถุเท็คโนโลยีขยะจะจมอยู่ในทะเลเพลิง
ป่าคอนกรีตของเมืองใหญ่ๆจะถูกหักโค่นทำลาย
ให้หล่นลงมาทาบทับกับปฐพี

7.อากาศออกซิเจนที่ปลาเคยใช้หายใจ
มันจะเกิดภาวะขาดแคลนกระทันหัน
ปลาตัวใดที่ตื่นตกใจเพราะไร้มหาสติ
ก็จะใช้ออกซิเจนเปลืองกว่าปลาตัวอื่นๆ

8.ปริมาณออกซิเจนทั้งโลก
จะมีไม่มากพอแม้แต่เพียงแค่ใช้จุดเทียนก็จุดไม่ติด
เพราะเหตุที่ปลารักกันไม่ได้ รักกันไม่เป็น
ได้แต่จับอาวุธเข่นฆ่ากันด้วยใจทมิฬ
เป็นปลาที่เห็นแก่ตัวและพวกตัว
เป็นปลาที่ไม่รักน้ำ
เป็นปลาที่งมงาย
ปลาเหล่านี้จะถูก "คัดทิ้ง"

9.หมู่ปลามากมายจะสำลักน้ำ
หมู่ปลาบางเหล่าก็จะถูกนำขึ้นปิ้งย่างบนกองเพลิง
ขณะที่หมู่ปลาอีกมากมายจะถูกฝังอยู่ใต้กองขยะ
ปลาบางตัวที่แม้จะแคล้วคลาดไปได้
ก็จะตื่นตกใจจนเสียสติ

10..ทุกสิ่งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมันก็จะเกิด
ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วก็จะเกิดซ้ำอีก
ไม่มีสถานที่ใดบนโลกใบนี้ที่จะไม่รับรู้แรงสั่นสะเทือน

แผ่นดินเก่ามากมายจะหายไป
แผ่นดินใหม่จะปรากฏขึ้นมาแทน
แผ่นน้ำจะเพิ่มมากขึ้น

11.ฝูงปลาจำนวนมากมายจักสูญหายตายเป็นแพ
เฉพาะปลาผู้ฝักใฝ่การหลุดพ้น
มุ่งบำเพ็ญตนอยู่ในกฎสากลจักรวาลเท่านั้น
ที่จะเป็นฝูงปลาซึ่งถูก "คัดไว้" ให้อยู่รอดปลอดภัย
ไม่ว่าจะไปติดเกาะแก่งอยู่แห่งใดก็ตาม

หมายเหตุ:

นิทานเรื่องนี้
เอาไว้ให้นักเรียนเล่าให้ลูกหลานฟัง

ป.วิสุทธิปัญญา
19-02-2015

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558






1.เสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

การระเบิดบนดวงอาทิตย์
จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่พวกท่านเรียกว่า
"โซล่าร์แฟลร์"
คือ การขับเคลื่อนกลุ่มพลังงานมหาศาล
ออกมาจากดวงอาทิตย์ที่เรียกกันว่าพายุสุริยะ
เพื่อใช้เป็นเครื่องกระตุ้น
ให้เกิดพลังชีวิตแก่ทุกสรรพสิ่ง
ในทุกพิกัดของดวงดาวทุกดวงในระบบสุริยะนี้
พลังงานความรักจากพายุสุริยะ
จะทะยอยส่งตรงมายังดวงจันทร์และโลกเป็นระยะๆ
พร้อมรหัสสำคัญที่จะใช้ในปฏิบัติการชำระระบบโลก
เพื่อการเปลี่ยนจากยุคพลังงานเก่าสู่ยุคพลังงานใหม่
ที่กำลังดำเนินรุดหน้าไปเรื่อยๆแล้วในขณะนี้
พายุสุริยะที่ถูกส่งเข้ามา
จะทำการเปลี่ยนแปลงรหัสบุรพกรรมแม่เหล็ก
ที่ติดตั้งอยู่ในเซลอวัยวะร่างกายมนุษย์ทุกๆเซล
เพื่อการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอ
ให้พร้อมต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
ที่ดาวเคราะห์โลกจะมีพลังอำนาจสูงขึ้นจากเดิม
คือ ยกระดับจากสมการพลังงานสามมิติ 3-3-3
ไปเป็น 6-6-6 ซึ่งสูงกว่าเดิม 2 เท่าในทุกมิติ
ดังนั้น
พายุสุริยะ...จึงแทบจะไม่มีผลอันใด
กับการระเบิดผิดปกติในแกนโลก
จนก่อให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง
อย่างที่คิดเดากันเสมอมาหรอกนะ
เพราะแท้แล้ว....
แผ่นดินไหวถี่ๆบ่อยๆเบาๆแรงๆ
มันคือการสั่นสะเทือนของแผ่นเปลือกโลก
ที่เกิดจากการเสียสมดุลของแรงดันในแกนโลก
การเสียสมดุลของแรงดันในแกนโลก
ก็เกิดจากการระเบิดที่ไม่สม่ำเสมอ
ของก้อนธาตุออกซิเจนเหลวบริสุทธิ์ 100%
ที่เหนียวหนืดคล้ายตังเมดังทราบกันแล้วนั้น
และสาเหตุของการระเบิดที่แกนโลก...ไม่สม่ำเสมอ
ก็เพราะว่าขณะนี้มนุษย์โลก
มีจิตสำนึกตกต่ำอย่างุรนแรง
จนไม่สามารถสั่นสะเทือนจิตสำนึก
เป็นความรักบริสุทธิ์ต่อกัน
แล้วแบ่งปันพลังงานจิตด้านบวก
ในรูปของคลื่นความถี่ไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกนั้น
ให้แก่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ในระดับที่เหมาะสมได้
เมื่อแกนโลกมีการระเบิดอย่างไม่สม่ำเสมอ
จึงยังผลให้แรงดันจากภายในแกนโลก
ที่จะช่วยยกยันแผ่นเปลือกโลก
ซึ่งลอยอยู่บนแผ่นน้ำใต้โลกให้สมดุลไว้แต่เดิม
ขาดความสม่ำเสมอไปจากปกติ
อาการที่มนุษย์เรียกว่า "แผ่นดินไหว" มันจึงเกิดขึ้น
ถ้าในแกนโลกด้านใด
มีแรงดันหรือแรงยกตัวต่ำลงชั่วขณะดังกล่าวนี้
แผ่นเปลือกที่ตรงกับพิกัดนั้นๆ
ก็จะทรุดตัวลงไปจากปกติชั่วขณะเช่นกัน
แผ่นดินไหวก็จะเกิดขึ้น
ตรงบริเวณรอยแยกของแผ่นเปลือกโลกตรงพิกัดนั้น
ท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ถึงปรากฎการณ์นี้
จากสถิติแผ่นดินไหวในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
สำหรับยุคปลายนี้
สาเหตุแห่งแผ่นดินไหวมันมิได้มีผลจากที่กล่าวมาเท่านั้น
แต่แผ่นดินไหวยังจะเกิดได้จากปฏิบัติการของช่างเท็คนิก
ที่ลงไปกระทำทางเท็คนิก
ต่อก้อนธาตุออกซิเจน
ที่แกนโลกโดยตรงเลยก็มี
ส่วนใหญ่จะเป็นแผ่นดินไหวในระดับ 5 R ขึ้นไป
ซึ่งเป็นระดับที่หวังผลไว้อย่างเป็นรูปธรรมนั่นเอง
เราจึงกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายเพื่อให้ได้รู้ไว้ว่า
พายุสุริยะน่ะมันมิได้เกี่ยวข้องโดยตรง
ต่อการเกิดแผ่นดินไหวบนดาวโลกดวงนี้
อย่างที่กล่าวโม้คุยโวกันอยู่แต่อย่างใด
เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-02-2015





เชิญอ่านตามสไลด์...เราหมายความไปตามนั้น
หากไม่เข้าใจให้ไต่ถาม

ทุกสิ่งอย่างจักเป็นไปตามที่กล่าวไว้นั้นทั้งสิ้น
มิมีแปรผันแปรเปลี่ยนไปเป็นอื่นแน่นอน

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
18-02-2015




วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558




ท่านเห็นชะนีตัวนี้มั้ย
เขาจะย้ายตนเองจากต้นไม้ต้นเดิมไปยังต้นใหม่
ที่มือข้างหนึ่งสู้อุตส่าห์ไขว่คว้าเอามาได้แล้วได้หรือไม่ล่ะ
ถ้าสองขาหลังกับหนึ่งหางของเขา
ยังคงยึดรั้งอยู่กับกิ่งเก่าต้นเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น

เขาคงต้องละล้าละลัง
เขาคงยังหยุดรั้งอย่างลังเลอยู่อย่างนั้น

เหตุผลของชะนีผู้มิกล้าเปลี่ยนแปลงตัวนี้อาจเป็นเพราะ

1.กลัวกิ่งใหม่ที่คว้ามาได้จะไม่แข็งแรง
ตนอาจพลัดตกลงมาให้บาดเจ็บได้
.......................................................
หมายถึง การมองว่า....
พระโอวาทพระบิดาที่ชี้ทางหลุดพ้น
ด้วยวิถีแห่งจิตจักรวาลที่ท่านพบเจออยู่นี้
ท่านกลัวว่าจะเป็นลัทธิใหม่
ท่านกลัวว่าจะเป็นธรรมะที่ไม่ถูกต้อง
ถ้าหันมารับเอาท่านอาจผิดพลาดเพราะถูกหลอกลวงได้
จึงมิกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงใดๆ

การคิดเข้าใจเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
พระโอวาทพระบิดาที่เราสื่อมาให้นั้น
เป้าหมายสำคัญ คือ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ "เรียนรู้"
มิได้หมายจะให้ท่าน "รับเอา" โดยไม่เรียนรู้ทันทีที่ได้รู้
ไม่ว่าการรับเอาของท่าน
จะเป็นการรับเอาไว้หรือไม่รับเอาโดยปฏิเสธทันที

2.เชื่อว่าต้นใหม่จะไม่เหมาะสมเท่าต้นเดิม
...........................................................
หมายถึง
เมื่อท่านได้พบเจอพระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาล
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาแล้ว
ก็ปฏิเสธทันทีด้วยเชื่อว่า
ธรรมะเดิมๆที่ตนรู้อยู่ ยึดอยู่ ถืออยู่ ปฏิบัติอยู่
ดียิ่งยวดแล้ว ชอบแล้ว ถูกต้องถ่องแท้เป็นที่สุดแล้ว
ทั้งๆที่เราติงเตือนว่า.....

จงให้เวลากับตัวเองแล้วรับฟังเรา
เพื่อนำเอาสิ่งที่เราสื่อสอนไปขบคิดพิจารณา
ในลักษณะของการเรียนรู้ "ความรู้ใหม่"
โดยไม่ปิดกั้นการเรียนรู้ของตัวเองเอาไว้กับสิ่งเดิมๆ
เพราะมันจะช่วยให้ท่านรู้มากขึ้นและฉลาดขึ้นกว่าเดิม
เนื่องจากธรรมะมิได้กล่าวไว้ให้ใครเชื่อ
แต่เรากล่าวไว้ให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้ต่างหาก

ทั้งเรายังติงเตือนอีกด้วยว่า
"อย่าเดินถ่างขา" ถ้าปรารถนาการหลุดพ้น
ด้วยการไปเอาวิถีนักบวชคือนักรบแห่งแสงสว่าง
มาผสมผสานปนเปกันกับวิถีแห่งฆราวาส
คือ นักสู้เพื่อการรู้แจ้งมาฝืนปฏิบัติ
จนท้ายที่สุดก็ยังความสับสนให้ตนเอง
ถึงขั้นปฏิบัติธรรมมานานก็ยังนิพพานไม่ได้
ไม่รู้จะดำเนินตนไปทางใดแน่

บางคนถึงกับต่อต้านคำสื่อสอนของพระบิดา
โดยเอาทานศีลภาวนามาเป็นเครื่องมือโต้แย้ง
ทั้งๆที่พระบิดามิได้ปฏิเสธสักนิดเลยว่า
ทานศีลภาวนานั้นไม่ดีหรือชี้ว่าไม่ถูกต้อง
แต่พระองค์ทรงย้ำว่าถ้าถือปฏิบัติเพียงเท่านั้น
แล้วแถมกรรมฐานให้อีกหนึ่งกรรม
ก็ยังมิอาจนำแก่นแท้ของท่าน
ผ่านประตูมิติออกไปได้เลย

จึงเป็นธรรมดาที่ชะนีจะยังคงยึดโยงอยู่กับต้นไม้ต้นเดิม
โดยไม่ยอมกระโจนไปสู่ต้นไม้ต้นใหม่
เพราะยังพอใจต้นเดิมอยู่นั่นเอง
จึงมิยอมเปลี่ยนแปลง

3.ขาดสัญชาตญาณแห่งการเรียนรู้
.................................................
อันที่จริงแล้วพระบิดาทรงกำหนดให้ทั้งสัตว์และคน
มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นคุณสมบัติหลักด้วยกันทั้งสิ้น
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เกิดพลังแห่งการเรียนรู้
ผ่านช่องทางอายตนะทั้งหกชั่วชีวิต
โดยมีบริบทแบบนี้....คือ

เห็นแล้วอยากเห็นอีก
อยากเห็นชัดเจนขึ้น

ได้ยินแล้วอยากฟังอีก
อยากฟังให้ชัดเจนขึ้น

ได้เรียนรู้แล้วอยากเรียนรู้อีก
อยากเรียนรู้ให้มากขึ้น

ดังนั้น
เมื่อชะนีพบเจอต้นไม้ต้นใหม่
ก็จะใช้สัญชาตญาณของมันเรียนรู้ทันทีว่า
ต้นใหม่สามารถเป็นที่พึ่งของมันได้ไหม
มีอาหารมากกว่าต้นเดิมที่เกาะกินอยู่นานแล้วบ้างไหม
โดยมันจะใช้สองตาและสองรูจมูกเรียนรู้อย่างเต็มที่
เมื่อค้นพบความจริงที่ตนต้องการ
ชะนีตัวนั้นก็จะกระโจนไปสู่ต้นใหม่อย่างไม่ลังเล

มนุษย์มีจิตสำนึกหรือจิตปัญญาเหนือกว่าชะนี
พอเห็นความรู้ใหม่ของพระบิดาเข้า
กลับพากันปฏิเสธทันที
โดยมิได้ใช้สัญชาตญาณเพื่อการเรียนรู้เลย

เพราะมัวเสียดายของเก่า
เพราะหลงยึดติดกับของเก่า
เพราะเกลียดกลัวการเปลี่ยนแปลง

เพราะเหตุเหล่านี้เอง
สิ่งใหม่ๆที่ยิ่งใหญ่กว่า
จึงมิอาจปรากฏผลใดๆได้ในชีวิตของคนส่วนใหญ๋

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
11=02=2015

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
และพวกผู้พเนจรที่หลงทางว่า
เส้นทางสายวิมุตติ์
เป็นเช่นว่านี้ต่างหาก....
ป.วิสุทธิปัญญา
11-02-2015



กลับบ้านดีกว่า

กลับบ้านกันเถอะ
พระองค์ทรงรอท่านอยู่นานแล้ว
โลกนี้มิใช่บ้านของท่าน
ป.วิสุทธิปัญญา
11-02-2015






























1.เสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง
เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่า
จริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น
พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน









ตื่นเถิดเธอมนุษย์จ๋า เรามาแล้ว

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
ให้ลูกได้ย้อนกลับมาทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา
เพื่อนำพาพี่ๆน้องๆย้อนคืนสู่
บ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ
ก่อนกาลปิดยุคพลังงานเก่า ณ เพลานี้....

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
14-02-2015






1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

...Amen.

ทำไมเกิดมานานแล้วกลับบ้าน (นิพพาน) ไม่ได้





เกิดมานานแล้วกลับบ้าน(นิพพาน)ไม่ได้
เพราะจิตหยาบทำให้จิตวิญญาณแก่นแท้ของตนหลงมิติ
พาให้จิตสำนึกดิ่งลงๆ
จนห่างไกลจากการเป็นมนุษย์เข้าไปทุกทีๆแล้ว
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-02-2015