วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560

วิธีดับทุกข์ กับการแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การแสวงหา #วิธีดับทุกข์
กับการแสวงหา #หนทางพ้นทุกข์ นั้น
ทั้งสองอย่างนี้มันไม่เหมือนกันนะท่าน

พี่น้องเราส่วนใหญ่
ยังมีความเข้าใจสับสนกันมากระหว่างสองอย่างนี้
โดยเข้าใจว่าเมื่อดับทุกข์ได้แสดงว่าพ้นทุกข์แล้ว
ซึ่งเป็นการคิดเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง

เชิญท่านตามเรามาอย่าละเลยไปทางอื่น
แล้วตื่นตัวค่อยๆนึกคิดตามเรานะ
เพราะเราจะกล่าวความจริงให้กระจ่างว่า
การดับทุกข์กับการพ้นทุกข์นั้นมันต่างกันอย่างไร

1.ความทุกข์เป็นอาการของ "จิต"
เมื่อเกิดอาการนั้นๆขึ้นแล้วก็จะทนได้ยาก
เช่น กลุ้มใจ ขลาดกลัว ปริวิตก ผิดหวัง
โกรธ เกลียด เคียดแค้น อิจฉา ริษยา
เศร้าหมอง เสียใจ ห่วงหา อาวรณ์ อาลัย
เสียดาย เจ็บใจ หวงแหน หึงหวง 
ลังเล อาฆาต เป็นต้น

2.ความทุกข์ทางจิตมากมายเหล่านี้
เป็นอาการของจิตที่สั่นสะเทือน
ด้วยคลื่นความถี่ต่ำกว่าปกติทั้งสิ้น
ใครที่เกิดอาการทางจิตตามข้อ 1 นี้
จึงถูกเรียกว่ากำลัง "จิตตก" เสมอ

3.คนที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย
จิตก็จะสั่นไหวไปตามสิ่งเร้ารอบด้าน
หรือสั่นตามสิ่งเร้าภายในจากจิตของตนเอง

ไม่ว่าจะเป็นการยั่วยุหรือยั่วยวนก็ตาม
จิตก็จะตกเป็นทาสของสิ่งเร้านั้นๆทันที
ซึ่งในชีวิตประจำวันของท่านทั้งหลายนั้น
มันจะมีทั้งเร้าแล้วดี คือพอใจ
กับเร้าแล้วไม่ดี คือไม่พอใจ
โดยทั้งพอใจและไม่พอใจ
ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ในใจทั้งสิ้น

4.ปัญหาในชีวิตประจำวันของท่าน
ซึ่งเป็นที่มาแห่งความทุข์ใจรายวันนั้น
แบ่งคร่าวๆได้เป็น 3 ประเภท คือ

#ประเภทแรก ปัญหาส่วนตัวและครอบครัว
#ประเภทที่สอง ปัญหาการใช้ชีวิตทางสังคม
#ประเภทที่สาม ปัญหาเกี่ยวกับอาชีพการงาน

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ในชีวิตประจำวันของท่านและคนส่วนใหญ่
เหตุแห่งทุกข์ใจมากมายทั้งหลายนั้น
มันมาจากปัญหาในสามประเภทนี้แหละ

บางท่านจะเผชิญปัญหาที่ละเรื่อง
บางท่านก็เผชิญปัญหามากกว่าหนึ่ง
บางท่านก็เผชิญปัญหารอบด้านเลย

ที่สำคัญก็คือบางปัญหาแก้ไขยากหรือแก้นาน
บางปัญหาแก้แล้วแก้อีกไม่รู้สิ้นสุดจุดจบ
บางปัญหาแก้ได้แล้วแต่เกิดปัญหาใหม่ขึ้นอีก
บางปัญหาที่เผชิญก็ยังหาทางออกไม่ได้
จนต้องปล่อยให้ปัญหามันคาราคาซังอยู่
ทั้งๆที่รู้ดีว่าทิ้งไว้นานไม่ได้ ไม่แก้ไขก็ไม่ได้

สถานการณ์เหล่านี้
ล้วนเป็นที่มาแห่งทุกข์ท่วมใจได้ทั้งนั้น

5.พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

คนส่วนใหญ่สมัยนี้
ที่ห่างไกลจากการประพฤติธรร
โดยไม่ใส่ใจในการยกระดับจิตตปัญญา
เพื่อพัฒนา #จิตสามนึก
คือ นึกออก นึกเอา และนึกเองนั้น
มักจะเป็นคนสติแตกง่ายเมื่อถูกยั่ว
จะเป็นคนโมโหร้าย
มีนิสัยทางอารมณ์ที่น่ากลัว
ผิดจากมนุษย์มนาโดยทั่วไปอย่างชัดเจน

ท่านทราบหรือไม่ว่า
คนเหล่านี้หรือตัวท่านเอง
ที่หงุดหงิดง่าย ฉุนเฉียวง่าย โมโหร้าย
และเป็นคนขาดสติง่ายคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่นั้น
เป็นเพราะว่าท่านมีต้นทุน
ทางจิตด้านบวกต่ำมาก

สาเหตุที่จิตมีต้นทุนด้านบวกต่ำก็เพราะว่า
ในชีวิตประจำวันของท่านนั้น
ได้สั่งสมแต่ด้านลบเอาไว้มากเกิน
สภาวะจิตของท่าน
จึงสั่นสะเทือนในระดับที่ต่ำกว่า
ระดับของความสงบสมดุลอยู่อย่างนั้น

เมื่อถูกยั่วยุด้วยเงื่อนไขด้านลบแม้เล็กน้อย
สภาวะจิตของท่านก็จะระเบิดความเป็นลบ
ออกมาตอบสนองอย่างรุนแรงทันที
ทั้งๆที่บางทีเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่อาการตอบสนองเหมือนเป็นเรื่องใหญ่
เพราะว่ามีการขาดสติเกิดขึ้
จึงควบคุมพฤติกรรมตนเองไม่ได้

6.ในชีวิตประจำวัน
ท่านทั้งหลายได้แต่นัวเนียนุงนังอยู่กับ
ปัญหาทั้งสามประเภทที่เรากล่าวไว้นั้น
ทั้งปัญหาเก่าๆที่ค้างคา
กับปัญหาใหม่ๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
จนท่านทั้งหลายพากันเมาปัญห
จึงเปิดปัญญาใช้สมองของตนเองไม่ได้
จนนำมาซึ่งความทุกข์ทางใจไม่เว้นว่าง

ไม่แปลกหรอกที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
คือ เอกองค์จิตจักรวาลของท่านทั้งหลาย
ทรงเปิดมิติทางปัญญาให้ท่านได้รู้จัก
วลีที่ท่านคุ้นเคยกันอยู่เป็นประจำ
เพื่อสร้างสติทางวิญญาณให้แก่ท่าน
วลีที่ว่านี้ก็คือ....

ทุกข์-ทุกวันเวลา
ทุกข์-ทุกคน
ทุกข์-ทุกแห่งหน
ทุกข์-ทุกวิถีทาง
ทุกข์-ทุกค่ำคืน
ทุกข์-ทุกความต้องการ

สาเหตุเพราะทรงพบว่า
คนส่วนใหญ่บนโลกนี้คุ้นชินกับความทุกข์
จนไม่รู้ว่าสภาวะจิตตนเองนั้นป่วยอยู่
อันหมายความว่า "จิตป่วย" ด้วยโรคทุกข์
จากอาการจิตตกมากมายทั้งหลายแหล่
จึงทรงพยายามจะช่วยเหลือพวกท่าน
ให้หันมาฟื้นฟูสภาวะจิตตนเองกันเสียที

7.ดังนั้น
หน้าที่ของท่านทั้งหลายก็คื
1.ต้องค้นหา "วิธีดับทุกข์" ที่ในใจให้ได้
2.ต้องค้นหา "วิธีป้องปกจิตใจ" มิให้ทุกข์อีก
3.ต้องค้นหา "หนทางพ้นทุกข์" ตลอดกาล

การดับทุกข์
เป็นการทำให้จิตสงบชั่วคราว
เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นในจิตใจแล้ว

การป้องปกจิตใจมิให้ทุกข์อี
เป็นการระมัดระวังตนมิให้ตกเป็นทาสการยั่วยุ
ในขณะใช้ชีวิตอยู่ในสังคม

การหาหนทางพ้นทุกข์ตลอดกาลนั้น
จะเป็นการยกระดับสภาวะจิตของท่านเอง
ให้อยู่เหนือทั้งทุกข์และสุ
ด้วยการไม่ติดทุกข์ไม่ติดสุ
คือ อยู่กับทุกข์ก็สุขสงบได้
อยู่กับสุขก็ไม่ทุกข์เพราะกลัวสุขจะหาย

8.พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
การที่วันๆท่านเอาแต่ฝักใฝ่การนั่งสมาธิ
เพื่อเพียงต้องการดับทุกข์ที่ในใจ
โดยมุ่งหวังให้จิตสงบชั่วคราว
เราจึงไม่สนับสนุนให้ท่านทำเช่นนั้นเลย
ถ้าท่านปรารถนาการหลุดพ้นแท้จริง

เพราะท่านจะหลุดพ้นไม่ได้
ถ้าจิตของท่านมันยังป่วยอยู
เพราะจิตหยาบป่วยจิตวิญญาณก็ป่วย

จิตวิญญาณของท่านจะต้องแข็งแรง
จึงจะมีแรงดีดตนเองออกจากเอกภพนี้ได้
จิตหยาบจึงต้องได้รับการชำระให้สมดุล
มิใช่ปล่อยให้มีการอมโรคอยู
หรือได้แต่กินยากดอาการป่วยไว้เท่านั้น

หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ
ในคำกล่าวของเราพอประมาณนะ

จงอย่าเกียจคร้านที่จะอ่านพระโอวาทนี้
ที่พระบิดาทรงเมตตาต่อพวกท่าน

จงอย่ามักง่ายในการเรียนรู้
ด้วยการอ่านผ่านๆเพียงสักแต่ว่าอ่าน
หรือเกิดอาการเบื่อหน่าย
เพราะความยาวขององค์ความรู้นี้

นิพพานมิใช่เรื่องง่าย
สำหรับคนที่ไม่เอาไหน
แต่ไม่ยากสำหรับใครที่มุ่งมั่นหมั่นเพียร

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-10-2017

ทำไมตาย แล้วต้องมาเกิดไหม่




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านอีกว่า

นอกจากจิตมนุษย์ของท่าน
ที่สั่นสะเทือนเป็นกิเลส ตัณหา ราคะ
และอุปาทานทั้งหลาย

จะก่อให้เกิดพลังงานจิตด้านลบ
เพื่อทำการผลิตสร้างประจุลบ
ในรูปของอิเล็คตรอนอิสระขึ้นมาใหม่
แล้วเหวี่ยงออกมาทิ้งขว้างไว้ในบรรยากาศ
จนนำมาซึ่งเมฆฝนสกปรกและพายุแม่เหล็ก
ตามที่เราได้กล่าวไว้ในตอนที่ผ่านมาแล้ว

จิตที่สั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหานั้น
ยังได้ผลิตสร้างขยะในมิติทางพลังงาน
ด้านของจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ขึ้นมาด้วย
เราจะเรียกขยะพวกนี้ว่า #ผลกรรม 

"ผลกรรม" เป็นขยะในมิติพลังงานอีกชนิดหนึ่ง
ซึ่งจิตมนุษย์สามารถผลิตสร้างขึ้นมาได้
เมื่อสร้างขึ้นแล้วก็จะเหวี่ยงมันออกมาทิ้งไว้
บนโครงข่ายสนามแม่เหล็กในชั้นบรรยากาศโลก
โดยภายในอนุภาคจะบันทึก "รหัสกรรม" ไว้ด้วย

"รหัสกรรม" เป็นคุณสมบัติทางพลังงาน
อันประกอบด้วย 3 สิ่งที่สำคัญ คือ

1.ชนิดของคลื่นที่จิตสั่นสะเทือน
2.ข้อมูลของเรื่องราวที่มาสาเหตุแห่งกรรมนั้น
ว่าใครเป็นเหตุ เหตุคืออะไร ก่อกรรมอะไรไว้
เกี่ยวกรรมกับใคร เสียสมดุลกันอย่างไร เป็นต้น

3.ผลลัพธ์ที่จักต้องเกิดขึ้
ต่อผู้ก่อเหตุที่เป็นเจ้าของกรรม (หรือเจ้ากรรม)
ตามกฎแห่งการกระทำนั้นๆ คือ อะไรอย่างไร

ภายในหนึ่งอนุภาคของ "ผลกรรม"
อันเกิดจากการก่อกรรมแต่ละเรื่องราวนี้
จะบันทึกเป็นรหัสกรรม 3 สิ่งนี้ไว้ครบครัน

โดยตลอดชีวิตของใครคนหนึ่ง
ซึ่งยังมิอาจอยู่เหนือกรรมของตนเองได้
เพราะยังตกเป็นทาสกิเลสตัณหาราคะอยู่

ยังก่อกรรมแล้วเกิดกรรมสัมพันธ์ด้านลบ
คือ "เกี่ยวกรรมลบ" กับคนอื่นๆอยู่

ยังก่อกรรมแล้วเกิดกรรมสัมพันธ์ด้านบวก
คือ "เกี่ยวกรรมบวก" กับคนอื่นๆอยู่

อนุภาคของผลกรรมจะถูกสร้างขึ้นไว้
ในลักษณะคล้ายฟองอากาศสีดำ
ที่มันจะพอกพูนเพิ่มทวีขนาดขึ้นเรื่อยๆ
ตราบใดที่คนๆนั้นยังละวางกิเลสตัณหา
เพื่อหยุดสร้างพันธะกรรมกับใครอื่นไม่ได้
มวลของอนุภาคแห่งผลกรรมของท่าน
ในมิติทางพลังงานนั้นมันจะยิ่งโตวันโตคืน

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ช่อมวลของอนุภาคแห่งผลกรรมต่างๆนี่แหละ
ที่ท่านทั้งหลายเรียกกันว่า #นายเวร 
โดยมีเจ้าของผู้สร้างมันขึ้นไว้คือ #เจ้ากรรม
ซึ่งผู้ที่เกี่ยวกรรมกับท่านไว้ไม่ว่าภพชาติใด
เขาจะรู้ทันทีว่าใครเคยกระทำผิดบาปต่อเขาไว้
โดยใช้ "นายเวร" นี่แหละเป็นประจักษ์หลักฐาน

นอกจากนั้นท่านทั้งหลายยังต้องรู้ว่า
"ผลกรรม" ในรูปของ "นายเวร" ที่ว่านี้
มิใช่ประจุลบอิสระอันเป็นขยะพลังจิต
ที่ช่างเท็คนิกสามารถช่วยจัดการชำระได้
แต่มันเป็นขยะพลังงานที่มิอาจกำจัดได้
ซึ่งใครสร้างมันขึ้นมาคนนั้นต้องรับผิดชอบ

นี่จึงเป็นที่มาของการตายแล้วต้องเกิดใหม่
เพื่อให้มากำจัดขยะผลกรรมที่ตนก่อไว้
เป็นพันธะกรรมกับเพื่อนมนุษย์บางคนอยู่
เพราะพลังงานสูญหายไปไหนไม่ได้
แต่ทำให้มันแตกสลายไร้คุณสมบัติขยะได้
ผู้ร่วมเป็นเจ้าของมันจึงต้องจูงกันมาเกิดใหม่
เพื่อสำแดงความรับผิดชอบ

วิธีกำจัดมันก็คือกลับมาเกิดใหม่
เพื่อร่วมกันเผชิญสถานการณ์เดิมๆในอดีต
ที่เคยตัดสินใจกระทำผิดบาปต่อกันไว้
โดยให้มาตัดสินใจใหม่เสียให้ถูกต้อง
รักให้ได้ ให้อภัยให้เป็น ไม่ก้าวล่วงกลับคืน
อนุภาคกรรมนั้นๆจะแตกสลายทันที

ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่าผลกรรมที่ว่านี้
ถ้ามีอยู่เป็นจำนวนมากๆในบรรยากาศโลก
มันก็จะเป็นอุปสรรคในการสื่อสารทางจิต
ระหว่างมนุษย์กับรูปธรรมอื่นๆในจักรวาล

เพราะการสื่อสารทางจิตนั้น
ต้องอาศัยเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลก
เป็นเส้นทางคมนาคมเท่านั้น
ถ้ามีมวลรวมของอนุภาคผลกรรม
เกาะติดสั่งสมอยู่บนโครงข่ายจำนวนมากๆ
การสื่อสารทางจิตก็จะไม่สะดวกราบรื่น

ทั้งยังจะเป็นอุปสรรค
ต่อการรู้แจ้งของมนุษย์อีกต่างหากด้วย

น่าเสียดายยิ่งนัก
ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังดื้อรั้น
ยังเป็นลูกแกะที่จำเสียงเจ้าของไม่ได้

ยังเป็นปลาที่ลั้ลลา...ลั้ลลาไม่กลัวฝนฟ้า
ไม่กลัวบรรยากาศที่แปรเปลี่ยนไป
โดยไม่รู้ว่าปลาที่หายใจด้วยเหงือกนั้น
ยังตายเพราะปรับตัวเข้ากับน้ำใหม่ไม่ได้
ยังตายเพราะน้ำที่ตนอาศัยว่ายวนอยู่
มันหนาวเย็นจนเกินไปได้เหมือนกัน

ตราบที่ยังมีโอกาสอยู่
จงงดสร้างประจุลบจากพลังจิตด้านลบเสีย

จงยุติการก่อกรรมจนเกิดการเกี่ยวกรรมขึ้น
จนยังผลให้เกิดมวลของผลกรรมที่เป็นขยะ
ในลักษณะของเจ้ากรรมนายเวรเสียทันที

จงดำเนินชีวิตด้วยมหาสติ
มีปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจ
เพื่อกำจัดขยะที่เรียกว่า "นายเวร" ให้สิ้น
อย่างน้อยให้เหลือ 30% จากทั้งหมดที่ก่อไว้
เก็บให้ทันก่อนการชำระโลกคาบสุดท้าย
ช่วง 56 วัน 8 ราตรี จะมาถึง

เพียงเท่านี้...
พระบิดาจะทรงประทานความรอดให้แก่ท่าน
นี่เป็นการพิพากษาที่เที่ยงธรรมแล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-10-2017

โลกียธรรม





#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ธรรมะที่ท่านทั้งหลายต่างศึกษาเรียนรู้กันนั้น
ล้วนเป็น "ความจริง" ที่เรียกว่าสัจธรรมทั้งสิ้น

สัจธรรม มีอยู่ 3 ระดับ คือ
1.โลกียธรรม
2.โลกุตรธรรม
3.อนุตรธรรม

ในบทนี้....
เราจะกล่าวถึงโลกียธรรม
อันเป็นสัจธรรมเบื้องต้นก่อ

#โลกียธรรม
เป็นความจริงขั้นพื้นฐาน
ที่ทุกท่านสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้

โดยท่านจักต้องหมั่นเพียรเรียนรู้
เพื่อให้ได้รู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"
เพื่อสร้างความเก่ง ความฉลาด
และความเป็นผู้รอบรู้ให้ตนเอง
ให้มากที่สุดเท่าที่ท่านจะเข้าถึงได้
จนตลอดชั่วชีวิตนี้เลย

โดยท่านต้องใช้กลไกอายตนะทั้ง 6 
ทำงานร่วมกันกับ "จิต" 
และสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการเรียนรู้

กล่าวคือ...
ท่านจักต้องมีความสามารถในการ
เลือกสัมผัสรู้ดูเห็นทุกสรรพสิ่งทุกเรื่องราว
แล้วนำมาวิเคราะห์แยกแยะ
เพื่อให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

คำว่า "อะไรเป็นอะไร" หมายถึงรู้ว่า
ความรู้ที่เป็นความจริงที่ตนรับรู้อยู่นั้น 
มันคืออะไร มันเป็นเช่นไร มันคืออย่างไร

เมื่อได้รู้และเข้าใจความจริงนั้นแล้ว
ก็นำเอาความรู้ที่เป็นจริงนั้นมาแยกแยะ
ด้วยวิธี #Chick #Model ของ "ปริญญา"
ซึ่งเป็นวิธีที่ได้จากบุคลิกของไก่นั่นเอง
เพื่อค้นหาองค์ความรู้ที่ท่านควรรู้ให้พบ
โดยคัดเขี่ยเอาความรู้จากประสบการณ์นั้น
ที่รู้แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรทิ้งไป

ไก่จะทำการคัดเขี่ยกรวดหินดินทรายทิ้งไป
เพื่อจะค้นหาเมล็ดธัญพืชและอาหาร
ซึ่งจะขยันคุ้ยเขี่ยไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบ
โดยที่ไก่จักต้องหูไวตาไวฉลาดแยกแยะ

โลกียธรรมก็เปรียบได้ดั่งอาหารของไก่
ซึ่งท่านจะค้นพบได้ก็ต้องฉลาดแยกแยะ
ออกมาจากความจริงที่อยู่แวดล้อมตัวท่าน
ในทุกประสบการณ์และทุกสถานการณ์

โดยท่านต้องมองทุกสิ่งไปตามความจริง
ต้องมองหาที่มาที่ไปของสิ่งนั้นให้พบ 
ต้องมองให้เห็นทั้งต้นสายไปจนถึงปลายเหตุ
ต้องมองให้ชัดเจนในรายละเอียด
ต้องมองด้วยหัวใจที่เป็นกลา
คือ ไม่มองอย่างลำเอียงไปตามอารมณ์รู้สึก
และความเชื่อของตัวเองเด็ดขาด

การเรียนรู้ในแบบบทที่ว่ามานั้น
เป็นการเรียนรู้เพื่อค้นหาความจริงว่า
อะไรเป็นอะไรและเป็นอย่างไร
อะไรเป็นบาปบุญคุณโทษ
อะไรถูกต้องเหมาะสมดีงาม
อะไรไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมไม่ดีงาม
แล้วเก็บจำความรู้นั้นไว้ใช้ในชีวิตจริง

เช่น การมองเห็นคนเดินตากฝน
ในขณะที่ฝนกำลังตกแล้วเปียกปอน

นี่ก็คือ "ข้อมูล" ที่ได้จากการใช้ตามอง
ร่วมกับการใช้จิตปัญญาของสมองซีกซ้าย
จนสามารถรู้ความจริงว่า "เห็นอะไร"
แล้วจากนั้นก็พิจารณาด้วยปัญญาต่อไปว่า
ที่ตนเห็นอยู่นั้นเป็นพฤติกรรมที่
ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
เพื่อจดจำไว้เป็นแบบอย่างต่อไป

ดังนั้น
ความรู้ทั้งหลายที่สัมผัสรู้ดูเห็นมาได้
ด้วยกลไกอายตนะกับจิตตปัญญาเบื้องต้น
เป็นความจริงในระดับโลกียะทั้งสิ้น
โดยความรู้เหล่านี้ทุกคนต้องเรียนรู้
ไม่เรียนรู้ไม่ได้

เพราะเหตุว่า
สัจธรรมขั้นสูงกว่า คือ โลกุตรธรรมนั้น
มนุษย์จะต้องเรียนรู้จากโลกียธรรมเท่านั้น
อันเป็นการต่อยอดองค์ความรู
ในลักษณะของการเจียระไนโลกียธรรม
ให้มีหลายเหลี่ยมมุมนั่นเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-10-2017