วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

ความรู้เรื่อง "สติปลอม"









ความรู้เรื่อง "สติปลอม"
***********************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ท่านจะล่วงทุกข์ใดที่อยู่ในจิตใจได้
ก็ด้วยปัญญาอันเกิดจากสมองของตนเอง

ท่านจะล่วงทุกข์ใดที่เกิดแต่กายได้
ก็ด้วยปัญญาอันเกิดจากสมองของท่าน
เช่นเดียวกันนั่นเอง

หากตราบใดที่ท่าน
ยังห้าม "ทุกข์" มิให้เกิดแต่จิตและกายได้
อันว่า "ปัญญา" นี้ก็จักเป็นของสำคัญยิ่ง
ที่พวกท่านจักต้องเร่งแสวงหามันก่อน

โดยท่านต้องเร่งค้นหาปัญญาในตนเองให้พบ
ก่อนจะเที่ยวเร่ร่อนเสาะหาแต่ "ความรู้"
ด้วยการแสวงหาสารพัด "ครู" ไปทั่วโลกหล้า
ทั้งๆที่สติปัญญาของท่านยังไม่พร้อม
จึงต้องถูก "ครูปลอม" ลวงล่อให้หลงทาง
ให้หลงสรรเสริญเดินตามอย่างว่าง่าย
ด้วยการงมงายเพราะ "ความไม่รู้" นี่แหละ

ที่ไม่รู้ว่า "ครูปลอม" ก็เพราะด้อยปัญญา
ที่ด้อยปัญญาก็เพราะเกิดมาไม่รู้คิด
คงรู้แต่เชื่อ แต่ชอบ แต่ชัง และชินเท่านั้น

อันปัญญาซึ่งเกิดจากสมองของท่านนั้น
มันเป็นความเฉลียวฉลาด (Intelligence)
ที่ท่านต้องสั่นสะเทือนมันขึ้นมาเอง
ไปหาเอาจากภายนอกไม่ได้
ไปเที่ยวหยิบยืมของใครเขามาก็ไม่ได้
นอกจากจะวานให้คนอื่นช่วยคิดแทน

แต่ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ความฉลาดทางปัญญาของสมองน่ะ
มันต้องสร้างด้วยอะไรบ้าง
มันต้องสั่นสะเทือนด้วยอะไร
มันต้องสั่นสะเทือนอย่างไร
ท่านจึงจะบรรลุ "ความฉลาด" ที่ต้องการได้

หากท่านยังไม่รู้คำตอบใน 3 ข้อนี้
ท่านก็เข้าถึงความฉลาดทางปัญญาไม่ได้

ความทุกข์ทั้งหลายทั้งกายใจก็จักคงอยู่
การมีภพชาติหรือมีสังสารวัฏก็จักคงอยู่
การหลงใน "ครูปลอม" ก็จักคงอยู่

นี่แน่ะ....
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านฟัง
โดยเฉพาะจำพวกที่ทำตัวแบบ "กูรู้แล้ว!"
ในเรื่องความฉลาดหรือโง่ในแต่ละคน
ที่มันไม่ทัดเทียมเท่ากันว่า

ตามหลักจริงนั้น
มันมักเกิดจากข้อบกพร่องต่อไปนี้
(รู้แล้วแก้ไขตนเองเสีย พัฒนาตนเสีย)

1.เข้าถึง "มหาสติ" ตามวิถีจิตจักรวาลไม่ได้
2.เข้าถึง "มหาสติ" ได้บ้างแต่ก็เป็นบางที
3.เข้าไม่ถึงอำนาจในการใช้ "อายตนะ 6"
4.เข้าถึง "มหาสติ" ไม่ได้แต่ใช้ "สติปลอม" อยู่

ในที่นี้เราจะกล่าวเฉพาะเพียง "สติปลอม"
เพื่อจะบอกให้ท่านรู้ว่า....

ในกระบวนการใช้ปัญญา (การคิด) นั้น
สมองจะต้องสั่นสะเทือนกลุ่มเซลประสาท
เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เข้มข้นขึ้น
ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กไฟฟ้านี่แหละ
จะเป็นตัวชี้วัดค่า "ความฉลาดทางปัญญา"
ซึ่งสมองต้องอาศัยแรงสั่นสะเทือนของจิต
อันเกิดจาก "สามนึก" หรือ จิตสามนึก
คือ นึกได้ นึกเอา และ นึกเอง
เป็นเครื่องช่วยให้เซลประสาทสมอง
เกิดการสั่นสะเทือนไปตามพลังของจิต
ที่กำลังสั่นสะเทือนเป็นนึกทั้ง 3 นึกนี่แหละ

ถ้านึกดี ในภาวะจิตสงบ
แรงสั่นสะเทือนของจิตที่ไปกระตุ้นสมอง
ก็จะสั่นสะเทือนสูงขึ้นทางด้านบวก

ถ้านึกลบ นึกชั่ว ในภาวะจิตไม่สงบ
แรงสั่นสะเทือนของจิตที่ไปกระตุ้นสมอง
ก็จะสั่นสะเทือนสูงไปทางด้านลบ

แต่ที่เป็นความมหัศจรรย์อันน่าสนใจ
ของสมองมนุษย์ก็ตรงที่ว่า
ไม่ว่าท่านจะนึกดีหรือนึกชั่วก็ตาม
ไม่ว่าท่านจะนึกผิดหรือนึกถูกก็ตาม
สมองของท่านมันจะยอมเป็นเครื่องมือ
ให้จิตสามนึกของท่านอยู่เสมอ

นั่นคือ...
ถ้าจิตนึกดี สมองก็คิดดีให้
ถ้าจิตนึกบวก สมองก็คิดบวกให้
ถ้าจิตนึกด้านบวก สมองก็คิดด้านบวกให้

ถ้าจิตนึกชั่ว สมองก็คิดชั่วให้
ถ้าจิตนึกลบ สมองก็คิดลบให้
ถ้าจิตนึกด้านลบ สมองก็จะคิดด้านลบให้

โดยมีข้อแม้ว่า...
จิตจะนึกเพื่อให้สมองคิดตามได้
คนๆนั้นจักต้อง "รู้สติ" เท่านั้น!!!!

การเป็นผู้รู้สติเท่านั้นที่จะทำให้ท่าน
เข้าถึงความสามารถในการใช้ "จิต3นึก" ได้
ถ้าท่านไม่รู้สติ เช่น เมาเหล้า เมายา
สลบไสล ต้องนะจังงัง งงงวย หรือหลับ
ท่านก็จะไม่สามารถสร้างความฉลาดได้

แต่ให้ท่านระวังจิตของท่าน
ทั้งสามนึกนี้เอาไว้ให้ดี
เพราะว่า...มันสามารถจะนึกลบ นึกชั่ว
จนไปสั่นสะเทือนสมองให้คิดลบคิดชั่ว
ตามพลังอำนาจของจิตได้เสมอ

เนื่องจากพวกท่านชอบพูดและเชื่อว่า
"สติมาปัญญาเกิด" อันหมายความว่า
ถ้าท่านกำลังคิดได้คิดเป็นอยู่ในขณะนั้น
ไม่ว่าจะคิดลบ คิดชั่ว
ก็เหมาเอาเองว่ากำลังคิดอย่างรู้สติแล้ว
ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็น "สติปลอม" ต่างหาก

"สติปลอม"
หมายถึง การรู้สติไม่จริงของจิตสามนึก
ที่จะสั่นสะเทือนตนเองเพื่อกระตุ้นสมอง
ให้สั่นสะเทือนตามเพื่อให้เกิดการคิด
ในสิ่งที่จิตกำหนดให้มันคิดนั่นแหละ

แต่เป็นการนึกที่ไม่ถูกต้อง
เป็นการนึกในด้านที่ผิดบาป
เพราะรู้ผิด เข้าใจผิด เห็นผิด รู้น้อย
หรือเกิดจากนิสัยทางจิตบกพร่อง เป็นต้น

คนที่หลงตัวเองว่าฉลาด
หากยังใช้ "สติปลอม" อยู่
มักจะแสดงความอวดฉลาดแต่เรื่องโง่ๆ
มักจะแสดงความอวดรู้แต่เรื่องชั่วๆ
ให้เราแลเห็นอยู่เสมอมา....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-3-2016

"ภาวะโลกร้อน"





ผลลัพธ์บั้นปลายที่เกิดขึ้น
ล้วนเกิดจากเหตุทั้งสิ้น
เหตุเบื้องต้น...
มันจึงนำไปสู่ผลเบื้องปลายเสมอ
แต่ถ้าสาเหตุมีมากกว่าหนึ่งแล้ว
ท่านก็จงอย่ามองแต่เหตุเบื้องปลาย
ที่ทำให้เกิดผลเบื้องปลายอยู่เพียงเหตุเดียว
เป็นต้นว่าขณะนี้โลกกำลังวิกฤต
อันเกิดจาก "ภาวะโลกร้อน"
ผลเบื้องปลาย คือ อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น
สูงจนน้ำแข็งขั้วโลกละลาย
สูงจนภูมิอากาศของโลกเริ่มวิปริต
สูงจนระบบนิเวศน์ของโลกเปลี่ยนไป
สูงจนเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มนุษย์พบสาเหตุว่า
สถานการณ์เบื้องปลายทั้งหลายนี้
ล้วนเกิดจากภาวะโลกร้อนทั้งสิ้น
มนุษย์จึงค้นหาคำตอบจนรู้ว่าโลกร้อนน่ะ
มี "สาเหตุ" มาจากสภาวะเรือนกระจก
สภาวะเรือนกระจกเกิดจากก๊าซมวลหนัก
จำพวก HC ก๊าซไฮโดรคาร์บอน
กับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2
ลอยขึ้นไปห่อหุ้มปกคลุมบรรยากาศโลกไว้
อย่างหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อคิดหาสาเหตุที่ทำให้เกิด
สภาวะเรือนกระจกได้เท่านี้
เขาจึงพยายามหาวิธี "ลด"
การผลิตก๊าซพวกนี้
ด้วยการรณรงค์กันยกใหญ่หลายๆวิธี
ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ
"การดับไฟฟ้า" บางดวง
ร่วมกันพร้อมกันทั้งโลก
เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง
จะได้ลดก๊าซพิษเหล่านั้น
อันเกิดจากการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า
ให้น้อยลงตามไปด้วย
โดยเมื่อวานนี้ประเทศไทย
ก็สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ถึง
2 หมื่นกว่าเม็กกะวัตต์ภายใน 1 ชั่วโมง
ซึ่งการคิดแบบนี้เป็นการคิดไม่สุด
เพราะเอาเหตุเบื้องปลายมาเป็นตัวตั้ง
แต่ไม่ยอมคิดต่อไปอีกว่า
ก๊าซหนักทั้งสองชนิดที่เป็นปัญหานี้
ทำไมจึงลอยขึ้นไปค้างเติ่งต่องแต่ง
อยู่ตรงชั้นบรรยากาศที่ตรงนั้น
จนกลายเป็นเรือนกระจกห่อหุ้มโลกไว้
ทำไมจึงไม่คิดหาสาเหตุต่อไปอีกว่า
ใยก๊าซพวกนี้มันจึงไม่ลอยสูงขึ้นไปอีก
ธรรมชาติของก๊าซมันต้องลอยใช่มั้ย?
แต่มันลอยไปค้างอยู่ตรงนั้นเพราะอะไร
มันลอยขึ้นไปรอคอยอะไรอยู่กระนั้นหรือ
มนุษย์จึงถูกนิยามว่าชอบอวดรู้
ทั้งๆที่รู้ไม่จริง
มนุษย์จึงถูกนิยามว่าอวดฉลาด
ทั้งๆที่ฉลาดไม่จริง
เพราะคิดไม่สุดทาง
เราช่วยนำทางความคิดไว้ให้เท่านี้แล้วกัน
ตราบใดผู้อวดรู้มิหันมาฟังเรา
แม้กล่าวไปเช่นไร
ก็หามีประโยชน์อันใดไม่
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-3-2016