วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

2ทางเลือกแห่งเสรี





1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด 

 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น 

 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น 

 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว 

 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ 

 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น 

 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

ไขรหัสนอสตราดามุส

                    




 รหัสคำของนอสตราดามุสบทนี้สามารถแยกความหมายออกได้เป็น 2 ตอนด้วยกัน จึงจะสามารถขยายความนัยทั้งหมดได้แจ่มแจ้ง  

          ตอนที่1 วิชาของดวงอาทิตย์กับวิชาของดาวศุกร์ จะแข่งขันกันเพื่อแสดงแก่นแท้ของคำพยากรณ์มาเป็นของตน ทั้งสองฝ่ายจะไม่ฟังซึ่งกันและกัน  
 ข้อคามตอนนี้เกิดจากภาพมายาในน้ำที่จักวาลอ่านโลก ให้นอสตราดามุสมองเห็นภาพเพื่อสื่อสารเป็นความรู้ใหม่แก่มวลมนุษย์ในสมัยนั้นให้เกิดสติปัญญาทางวิญญาณมากขึ้น ซึ่งเป็นภาพแรกที่จักวาลฉายมาให้เห็น ภาพแรกนี้ จักวาลต้องการสื่อให้มนุษย์รู้ว่าสัจธรรมของศาสดาที่ได้แนะนำแนวทาง การดำเนินชีวิตของมนุษยชาติให้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ เพื่อความสงบสุขในจิตใจ และความสันตืสุขของมวลมนุษยชาติ สักวันหนึ่งจะถึงยุคเสื่อมลง เนื่องจากมนุษย์ส่วนใหญ่พากันหันเหไปลุ่มหลงในวิทยาศาสตร์เทศโนโยยีที่ให้ความสุขสบายทางกาย ด้วยความเจริญทางทางวัตถุและแสงสีที่จะทำให้ผู้คนติดยึดไปกับมันเหมือนเป็นอีกศาสนาหนึ่งซึ่งสวนทางกับสัจธรรมคำสอนของพระศาดา โดยมนุษย์พวกนี้จะพากันยอมรับ และศรัทธาวิทยาการก้าวหน้า พากันสร้างความสูงส่งด้านผลผลิตทางวัตถุ  พากันใช้ศาสตร์รู้ของตนทำลายความสมดุลของธรรมชาติ เพื่อแสดงอำนาจให้เห็นว่าอยู่เหนือธรรมชาติด้วยการจะเอาชนะธรรมชาติให้ได้ ความงดงามในจิตใจถูกทอดทิ้งให้รกรุงรังไปด้วยอวิชาและกิเลสต่างๆ  ขณะที่สัจธรรมของศาสดาสอนให้มนุษย์มองหาตัวตนที่เป็นแก่นแท้ไม่ใช่วัตถุ  แต่เป็นจิตวิญญาณที่เร้นอยู่ภายใน โดยมีจิตใจของแต่ละคนเป็นสะพาน  มนุษย์พวกนี้จะมองเห็นเป็นความงมงาย ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ไม่เข้าใจ โดยพากันละทิ้ง วิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ พากันไปใส่ใจฝักใฝ่วิทยาศาสตร์เทศโนโลยีกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้จิตสำนึกตกต่ำลง  ความบ้าคลั่งทางวัตถุที่มนุษย์กลุ่มหนึ่งที่มีจิตวิญญาณชั่วร้ายเป็นผู้คิดสร้างมันขึ้นมา ทำให้มนุษย์โลกมากมายพากันตกเป็นทาสและอยู่ใต้อำนาจมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ศีลธรรมกับเสื่อมลงจนหลายคนไม่เชื่อเรื่องพระศาสดา ไม่ใฝ่หาพระเจ้า ไม่เข้าใจสัจธรรม แต่กลับนำเทคโนโลยีวิทยาสาสตร์ มาเป็นแก่นแท้ของชีวิต โดยยอมตามอย่างว่าง่ายจนแพร่หลายไปทั่วโลก  มนุษย์จำนวนมากถูกครอบงำทางความคิด ทางการเมือง ทางสังคมความเป็นอยู่ ทางอารยธรรมที่อยาบกระด้าง ทางเศรษฐกิจที่พวกเขายึดกุมไว้ในมือ ทำตนเป็นผู้ชี้นำและบงการจิตวิญญาณของผู้ที่ด้อยกว่าอย่างเหิมเกริม ในบทบาทของผู้ดีที่เครือบแฝงความคิดชั่วร้ายเอาไว้ภายในจิตใจ  สภาพความเป็นไปของมนุษย์ชาติที่ย่ำแย่ลงทุกวัน นับวันก็ยิ่งจะทำให้คำพยากรณ์ใกล้เคียงความเป็นจริงเข้าไปทุกทีที่ทั่วโลกจะต้องเกิดกลียุค จนจักวาลจะต้องเข้ามาจัดการปรับความสมดุลของระบบโลกเสียใหม่ ก่อนความเลวร้ายใดๆ ของพวกเขาจะทำให้โลกหายนะ ซึ่งพุทธทำนายคือสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า เพื่อให้มนุษย์ที่มีจิตใจชั่วร้าย ไม่มีความรักแท้จริงต่อมนุษย์คนอืนๆ ได้แก้ไขปรับเปลี่ยนจิตสำนึกของตนเองกันเสียใหม่ แต่ทั้งผู้สร้างและผู้ตกเป็นทาสกลับไม่รับฟัง ไม่รับรู้ความปรารถนาดีเหล่านั้นเลย ต่างปฎิบัติตนเหลวไหลกันต่อไปเหมือนท้าทายแก่นแท้ของคำพยากรณ์ว่า พวกตนมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด  สามารถบงการทุกสิ่งได้ด้วยอำนาจเหนือธรรมชาติที่ตนมีอยู่  วิชาความรู้ของพระศาสดาที่สื่อสอนให้มนุษย์เข้าถึงแสงสว่างทางปัญญาด้วยจิตสำนึกบริสุทธิ์และสุขสงบ  ที่จะสั่นเสทือนพร้อมกันทางด้านบวกเพื่อร้อยเรียงกันและกันไว้สู่ความเป็นหนึ่งเดียว  มนุษย์ส่วนใหญ่พากันละทิ้งไม่ใส่ใจกลับหันไปฝักใฝ่หาความพอใจจากวัตถุและเทคโนโลยีที่เน้นความสุขสบายทางกาย ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษย์เองและการพยายามเอาชนะธรรมชาติ ด้วยพลังอำนาจสติปัญญาและภูมิรู้ จนทำลายความสมดุลของระบบโลกให้เสียไปอย่างไร้จิตสำนึก  ธรรมะของศาสนา ซึ่งเป็นวิชาของดวงอาทิตย์ที่เคยให้ความสว่างไสวทั้งในจักวาลโลกและสากลจักวาลมายาวนานจึงถูกบดบังให้หม่นมัวสลัวลงเพราะ  จิตใจมนุษย์ที่ใฝ่ต่ำด้วยความมืดบอดทางปัญญา เนื่องจากใส่ใจใฝ่หากันแต่ภูมิรู้เพื่อต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่นๆ และเหนือธรรมชาติอันเป็นวิชาของดาวศุกร์ที่เกิดจากมันสมองขยะกับจิตสำนึกที่บกพร่องของมนุษย์โลกด้วยกันเอง จนนับวันมนุษย์โลกยิ่งนำพาตนเองเข้าหาความหายนะตามที่ศาสดา ทรงพยากรณ์ไว้เข้าไปทุกที  วิชาของดวงอาทิตย์  ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ ได้แบ่งภาคของตนผ่านเข้าสู่มิติทางกายภาพ ด้วยการมาจุติเป็นมนุษย์หลายภพชาติ เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจกลไกของเครื่องยนต์แห่งกรรมคือระบบชีวะวิทยาของร่างกายมนุษย์ เรียนรู้กระบวนการต่างๆทางกาย จิตใจ และวิญญาณ ซึ่งถูกจัดวางกลไกเอาไว้อย่างซับซ้อนแยบยลเหนือกว่ามวลหรือวัตถุใดๆ ที่ตนได้สร้างขึ้นไว้ทั้งหมดทั้งสิ้นจนเข้าใจได้ถ่องแท้  และพยายามหาแนวทางเข้าถึงขบวนการเพื่อการหยั่งรู้ สู่การรู้แจ้งในการเป็นมาของตนเองได้ว่า แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์คืออะไร  มีความสัมพันธ์กับจักวาลอย่างไร  ตนเองมาจากไหน  หน้าที่ของความเป็นมนุษย์คืออะไร  และจะนำตนเองกลับสู่สถานะเดิมในจักวาลได้อย่างไร  จากความเพียรของรูปธรรมทางพลังงาน ซึ่งแบ่งภาคมาจากดวงอาทิตย์ดวงใหญ่สู่การจุติเป็นรูปธรรมมนุษย์ ผ่าน วัฏจักรแห่งการเกิดดับอันเป็น กฎเกณฑ์ทางกายภาพของจักวาลที่เป็นสามัญและเป็นสากล เพื่อให้เข้าถึงการรู้แจ้งในคำตอบเหล่านั้นได้แล้ว จึงได้เผยแพร่ความรู้ทั้งหมดทั้งหลายเหล่านั้นต่อเพื่อนมนุษย์เพื่อแนะแนวทางสร้างความเข้าใจ  ให้มนุษย์ทุกคนยึดถือแบบอย่างในการ ปฎิบัติตามเพื่อให้แต่ละคนค้นพบคำตอบเหล่านั้นได้ด้วยตนเองบ้าง  และดำเนินชีวิตบนโลกด้วยวิถีที่ถูกต้อง จนกว่าจะนำตนเองสู่การหลุดพ้นไปจากจักวาลโลก พ้นไปจากการเป็นมนุษย์ กลับคืนสู่ความเป็นรูปธรรมทางพลังงานแต่เดิมของตนในปั้นปลายได้ ซึ่งทั้งหมดนั้นตนเองได้ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้และการหยั่งรู้อย่างจบแจ้ง ด้วยตนเองมาแล้ว  
        มนุษย์พากันเรียกขานรูปธรรมผู้ทรงปราดเปรื่องด้วยพลังอำนาจแห่งปัญญานี้ว่า   พระศาสดา 
และเรียกศาสตร์ของพระองค์ว่า สัจธรรม 
มนุษย์โลกยอมรับว่า  สัจธรรมของพระศาสดาเป็นวิชาของดวงอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าวิชาแขนงใดๆในโลกเนื่องจากสัจธรรมของพระองค์ล้วนเกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจและภาคปฏิบัติ อันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ 3 สิ่งที่เชื่อมโยงกันไว้อย่างเป็นระบบ คือ มนุษย์ โลก และจักวาล เป็นวิชาความรู้ที่ลึกซึ้งแยบยลเกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์ทั่วไป จะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของความจริงทั้งหมดเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง ซึ่งวิชาของพระองค์ที่บัญญัติไว้ล้วนเป็นเรื่องของธรรมชาติของมนุษย์ ของโลก และของจักวาลโดยแท้  สัจธรรมที่ทรงค้นพบและเผยแพร่สื่อสอน จึงไม่อาจเรียกว่า วิชา  เหมือนความรู้แขนงใดแขนงหนึ่งของมนุษย์โลกได้เนื่องจากวิชาของพระองค์ไม่ได้ตีกรอบความรู้เอาไว้อย่างคับแคบแต่เป็นวิชาที่ได้จากการรู้แจ้งในทุกสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติซึ่งลึกซึ้งถึงแก่นแท้ทั้งสิ้น มนุษย์จึงควรเรียกศาสตร์ของพระองค์ว่า ศาสนา และเรียกการค้นพบสัจธรรมอันเป็นสรรพวิชาของพระองค์ว่า  ตรัสรู้  ศาสนา จึงเป็นกลุ่มความรู้สรรพวิชาของดวงอาทิตย์ดวงใหญ่อันเป็นแก่นแท้ของธรรมชาติที่เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ที่สัมพันธ์กับระบบโลก และจักวาลอันเป็นสากล ซึ่งพระศาสดาผู้เข้ามาจุติได้ทรงค้นพบเพื่อไห้แสงสว่างทางปัญญาแก่มนุษยชาติได้รู้และเข้าใจทั้งในมิติทางกายภาพของโลกและในมิติคู่ขนานที่มนุษย์เรียกว่าด้านโลกวิญญาณนั่นเอง สัจธรรมของศาสนา จึงเน้นให้มนุษย์รู้จักตนเองและการมองผ่านตัวตนให้ลึกซึ้งถึงแก่นแท้ คือ จิตวิญญาณของตนไม่ใช่ยึดติดกับตัวตนของตนที่เป็นมายาหรือร่างกายที่บ่งบอกความเป็นมนุษย์ในมิติทางกายภาพ เนื่องจากในสากลจักวาลที่มนุษย์เรียกว่าธรรมชาติ แก่นแท้ของมวลใดๆมันคือ พลังงาน  ทั้งสิ้น กระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นและสัมพันธ์กันระหว่างสรรพสิ่งในจักวาล ล้วนเป็นกระบวนการทางพลังงานทั้งสิ้นแม้ในความเป็นมนุษย์ซึ่งเปรียบเหมือนมวลชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นในจักวาลนี้  ก็อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ว่านี้เช่นเดียวกัน พระองค์สอนให้มนุษย์ทุกคนรู้ว่า การกระทำต่อกันทางกายภาพในมิติโลก ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองหรือระหว่างมนุษย์กับทุกสรรพสิ่งในระบบโลก มันคือ มายา อันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากกระบวนการทางพลังงานที่เกิดขึ้นจากแก่นแท้ ที่อยู่ภายในระบบชีวะวิทยาของร่างกายมนุษย์เอง ที่ถูกปิดมิติไม่ให้สัมผัสรู้ทางกายไดด้วยประสาทสัมผัสของตน แต่มนุษย์จะรับรู้ได้ด้วย อารมณ์รู้สึกนึกคิดในจิตใจ เท่านั้น การกระทำทางกายและใจของมนุษย์ ซึ่งรวมเรียกว่า การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึก จึงเป็นกระบวนการสั่นสะเทือนของจิตใจ อันเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณที่แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์เอง ให้เกิดกระบวนการทางพลังงาน เพื่อการสร้างใหม่ เพื่อการดำรงอยู่ หรือเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่แตกต่างไปจากการกระทำทางพลังงานของเทหวัตถุใดๆ ณ  ที่หนึ่งที่ใดในจักวาลอันเป็นสากลเลยแม้แต่น้อย  วิชาของดวงอาทิตย์ หรือสัจธรรมของศาสนา จึงเน้นที่การปฏิบัติจิตซึ่งเป็นแก่นแท้ เพราะการสั่นสะเทือนทางจิตใจของมนุษย์ เกิดเป็นอารมณ์รู้สึกและการนึกคิดใดๆ มันจะก่อให้เกิดพลังงานใหม่ในมิติของพลังงานขึ้นมาได้ตลอดเวลา การเข้ามาเป็นแก่นแท้ในรูปธรรมมนุษย์ของจิตวิญญาณอันเป็นอีกภาคหนึ่งของจิตจักวาลในมิติที่สูงกว่า จึงเป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติของจักวาลอันเป็นสากล ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่มันแปลกก็คือ การเข้ามาอยู่ในโครงสร้างทางชีวะวิทยาอันซับซ้อนของมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจไม่เหมือนกับมวลอื่นๆ ที่เป็นดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ในจักวาลเท่านั้นเอง มนุษย์จึงต้องรู้ให้ได้ว่า การเป็นมนุษย์ของตนไม่ได้ต่างจากวัตถุใดๆ ชนิดหนึ่งในจักวาลเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เป็นวัตถุชนิดหนึ่งที่มีชีวิตจิตใจเท่านั้นเอง เมื่อได้รู้ความจริงถึงขั้นตอนนี้ มนุษย์จะรู้แจ้งได้แล้วว่า สัจธรรมที่สอนให้มนุษย์ไม่เน้นหรือยึดติดที่ตัวตนของตนให้สัมผัสรู้ทางกายได้หรือไม่ก็ตาม มันหมายความว่า ร่างกายของมนุษย์เองเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งของจิตวิญญาณหรือตัวแทนของจิตจักวาล ในการสร้างพลังงานให้มาให้เกิดขึ้นเพื่อจัดองค์กรโลกให้สมดุลทางพลังงาน  เพื่อรักษาความสมดุลของระบบโลกเพื่อการดำรงอยู่ในจักวาลนั่นเอง สัจธรรมของศาสนา อันเป็นวิชาของดวงอาทิตย์ ซึ่งถูกค้นพบโดยองค์พระศาสดาที่ตรัสรู้ได้นับพันปีมาแล้ว จึงสอนให้มนุษย์เข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์  โลก และจักวาล ซึ่งสัมพันธ์กันในมิติทางพลังงานโดยมิได้ละทิ้งความรู้ทางกายภาพที่มนุษย์เรียกว่า วิทยาศาสตร์ของทั้ง 3 สิ่งนั้นให้มนุษย์ได้รู้ได้เข้าใจควบคู่กันไปด้วย   เนื่องจากเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์แต่ละคนที่มีจิตวิญญาณเข้ามาเป็นแก่นแท้อยู่นี้  ถูกปิดบังมิติเอาไว้ด้วยกลไกอันซับซ้อน และมีจิตใจที่สั่นไหวไหแกอดพลังงานใหม่ทั้งบวก และลบ ขณะที่พลังงานใหม่ที่จักวาลสากลต้องการเพื่อการสร้างความสมดุลของระบบอย่างแท้จริง จะต้องเป็นพลังงานที่เกิดจากการสั่นสะเทือนในจิตใจทางด้านบวกซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าชนิดเดียวกันกับที่มีอยู่ในจักวาลเท่านั้น ศาสดาจึงทรงสื่อสอนให้มนุษย์หันมาสนใจการปฏิบัติจิตของตนไห้ถูกต้อง  เพื่อหาหนทางเข้าถึงกระบวนการสร้างพลังงานใหม่ทางด้านบวก ให้สอดคล้องกับภาระหน้าที่ของจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ไห้จงได้ องค์พระศาสดาจึงสอนให้มนุษย์มีศีลธรรม มีสติ  มีสมาธิ และมีปัญญา หลักการแห่งสมาธิก็คือ การมีจิตใจที่สุขสงบโดยมีอารมณ์ปีติอันเกิดจากความรัก ไม่ใช่ความว่างเปล่าอย่างที่เราเข้าใจกัน อารมณ์รักที่บริสุทธิ์จะเกิดได้จากการนึกถึงความดีงามที่ตนเคยกระทำหรือกำลังจะทำ หรือเกิดจากความประทับใจในความดีงามของบุคคลอื่นที่ตนพบเห็นมาและจดจำได้ อารมณ์รักเหล่านี้คือกุญแจที่จะไขประตูสู่การใช้สมองซีกขวานำซีกซ้ายได้ทันที 
             ตอนที่ 2 แต่วิชาของพระผู้กู้โลก  จะได้รับการรักษาโดยดวงอาทิตย์หรือไม่
คำพยากรณ์ของนอสตราดามุสบทนี้  สืบเนื่องมาจากความหมายในตอนที่หนึ่ง ที่ว่าวิชาดาวศุกร์อันเป็นศาสตร์ที่มนุษย์คิดสร้างขึ้นเองโดยค้นพบจากพรสวรรค์ ด้วยการทำไห้คนส่วนใหญ่ขาดความสมดุลในจิตใจ มองไม่เห็นพลังอำนาจในตนเอง จนยอมตัวยอมตนตกเป็นทาสของศาสตร์ใหม่  แข่งขันกันกับศาสตร์อันเป็นแก่นแท้ของมนุษยชาติเหมือนกับผู้ถือศาสตร์ทั้งสองฝ่ายไม่รับฟังซึ่งกันและกันนั่นเอง  เมื่อถึงจุดนี้ นอสตราดามุสจึงตั้งคำถามว่า คำพยากรณ์ของศาสดาที่ได้บันทึกไว้ถึงการเปลี่ยนแปลง  เพื่อการชำระโลกของจักวาลล่วงหน้านั้น มันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เมื่อถึงวันนั้น  วิชาของพระผู้กู้โลก  คือ  ธรรมะและคำพยากรณ์ของพระศาสดา     จะได้รับการรักษา หมายถึง มันจะเกิดขึ้นดังคำพยากรณ์ของพระองค์หรือไม่? เพื่อรักษาความสมดุลของระบบโลกทั้งหมดเอาไว้ ทั้งยังรักษาธรรมะของพระศาสดาเอาไว้ไห้ได้ สืบไปอีกด้วย   จะได้รับการรักษาโดยดวงอาทิตย์หรือไม่?  หมายถึง  ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ผู้สร้างทุกสรรพสิ่งให้เกิดขึ้นจะตัดสินใจอย่างไร  คำถามที่นอสตราดามุสได้ทิ้งปมประเด็นเอาไว้นั้นบัดนี้มนุษย์คงได้รับรู้คำตอบกันไปแล้วว่า  ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ได้ตัดสินใจอย่างไรบ้าง  การถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาล  ภายใต้พระบัญชาของดวงอาทิตย์ดวงใหญ่และพระผู้กู้โลก  ซึ่งได้กระทำการอย่างต่อเนื่องมาตลอดจนถึงบัดนี้  ก็เพื่อจะบำบัดรักษาและเยียวยาระบบโลกที่กำลังเสียความสมดุล  อันเกิดจากจิตสำนึกมนุษย์ที่ไม่ถูกต้อง  ด้วยการลงมือกระทำทางเทคนิคครั้งใหญ่เพื่อการชำระโลกนั่นเอง  หลังจากการตัดสินใจครั้งสำคัญเกิดขึ้นได้ไม่นาน  โดยไม่ได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า  แผนการชำระโลกจึงได้เริ่มต้นขึ้น  เพื่อนำมนุษย์กับโลกเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่