วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

#วิธียกระดับสภาวะจิตให้สูงขึ้น บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง ตามมรรควิถีจิตจักรวาล




#วิธียกระดับสภาวะจิตให้สูงขึ้น

บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลแห่งเรานี้
สิ่งที่เราเน้นย้ำต่อท่านทั้งหลายอยู่เสมอ
ก็คือ การยกระดับจิตตปัญญาให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
สู่สภาวะแห่งการมี "จิตใสใจสวย"
ในระดับ "สุญตา" ให้จงได้

โดยอาศัยเงื่อนไขด้านลบและด้านบวก
ที่คนอื่นๆรอบข้างหยิบยื่นมาให้ท่าน
หมุนเวียนสับเปลี่ยนหน้ากันเข้ามา
ทั้งๆที่เขาเจตนาและไม่ได้เจตนาก็ตาม

ถ้าเป็นเงื่อนไขด้านบวก
อันหมายถึงพวกเขากระทำถูกตาต้องใจท่าน
จิตของท่านก็จะอิ่มเอิบเบิกบานยินดี
จนสามารถจะนึกดีคิดดีปฏิบัติดีตอบสนองได้

ถ้าในชีวิตประจำวันของท่าน
ได้รับเงื่อนไขด้านบวกลักษณะนี้เป็นประจำ
เพราะสิ่งแวดล้อมดี เพื่อนดี พวกดี สังคมดี
สภาวะจิตของท่านก็จะคุ้นชิน
กับการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึก
และการนึกคิดด้านบวกได้

แต่ถ้าในชีวิตประจำวันของท่าน
ได้รับเงื่อนไขด้านลบจากคนรอบข้างด้วยล่ะ
เพราะคนเคยดีกับท่านอาจมีอะไรไม่ดีอยู่บ้าง
แม้ว่าพวกเขาจะทำดีต่อท่านมามากกว่าไม่ดี
แล้วท่านจะมีจิตใจอิ่มเอิบเบิกบานเป็นปกติไหม

ถ้าท่านสามารถรักษาจิตใจตนเองให้สุขสงบไว้
ในขณะที่คนรอบข้างบางคนที่เคยดีต่อท่าน
เข้ามากระทำบางสิ่งที่ท่านไม่ชอบใจเข้าให้
โดยท่านยังมีจิตใจอิ่มเอิบเบิกบานได้เป็นปกติ
เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วยังสามารถตอบสนองการกระทำของเขา
ด้วยการนึกบวก คิดบวก และกระทำบวกได้
มันคือตัวชี้วัดว่าสภาวะจิตของท่านสูงมากแล้ว

หากในชีวิตประจำวันของท่าน
พอเจอคนดีหยิบยื่นเงื่อนไขด้านบวกมาให้
ท่านก็สั่นสะเทือนจิตใจเป็นบวกตอบสนองได้ดี
แต่พอเจอคนบางคนกระทำไม่ถูกตาต้องใจท่าน
ท่านยังสั่นสะเทือนจิตใจเป็นลบตอบสนอง
ด้วยการหงุดหงิด รำคาญ เซ็ง เบื่อ โกรธ
เกลียด รังเกียจ โมโห ฯลฯ เป็นต้น

พฤตินิสัยเช่นนี้
มันจะไม่สามารถทำให้สภาวะจิตตปัญญา
ยกระดับการสั่นสะเทือนให้สูงขึ้นทางด้านบวกได้
โดยกล่าวเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า 
"จิตหยาบจะยังหยาบอยู่"
ท่านจะไม่สามารถก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
เพื่อมุ่งสู่ประตูนิพพานคือ #ด่านนภาลัย ได้
ถ้ายังเป็นแบบนี้ตลอดอายุขัยในชาตินี้
ก็นับว่า "เสียชาติเกิด" ไปอีกหนึ่งภพชาติแล้ว

ถ้าท่านต้องการยกระดับสภาวะจิตให้สูงขึ้น
เพื่อถึงปลายทางสุดท้ายของจิตวิญญาณ
ท่านจักต้องเคร่งครัดกับตนเองให้มากขึ้น
ด้วยการปฏิบัติตามคำชี้แนะของเรา นั่นคือ

ต้องรักให้ได้แม้ใครคนนั้นไม่น่ารัก
ต้องให้อภัยเขาให้ได้
แม้เขาจะทำตัวไม่น่าให้อภัย
ด้วยจิตใจที่สุขสงบเท่านั้น

โดยท่านจะต้องไม่ทำชั่วใดๆตอบสนอง
การทำชั่วของเขากลับคืนโดยเด็ดขาด

หากท่านประพฤติเช่นว่านี้ได
กับคนทุกคนตลอดวันในทุกๆวัน
สภาวะจิตของท่านมันจึงจะยกระดับสูงขึ้นได้
นี่จึงเป็น #เงื่อนไขหนึ่ง ในการยกระดับจิต
ในชีวิตประจำวันของท่านทั้งหลาย
ที่จักต้องเรียนรู้แล้วนำไปสู่การปฏิบัติจริง
ให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
31-3-2017

วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

จุดแข็งของคนขี้ลืม


 
 
 
 
#จุดแข็งของคนขี้ลืม

คนขี้ลืม หมายถึง คนที่มีความจำสั้น
จำอะไรๆได้ไม่นาน
พอกาลเวลาผ่านไปแค่หน่อยเดียว
หรือหันเหความสนใจไปเรื่องอื่น
โดยหันไปทำอย่างอื่นแค่แป้ปเดียว
ท่านก็ลืมเรื่องเดิมที่ว่านั้นไปแล้ว

ซึ่งระยะเวลาในการจำได้
ในแต่ละคนในแต่ละเรื่องราวเดียวกัน
ก็ยาวนานไม่เท่ากัน

ในระยะเวลายาวนานเท่ากัน
จำนวนเรื่องราวที่แต่ละคนจะลืมนั้น
มันก็ยังไม่เท่ากันอีกต่างหาก

ดังนั้น
คนที่ลืมเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องโน้นมากกว่าคนอื่น
ภายในระยะเวลาที่เรียนรู้รับรู้เรื่องนั้นๆมาเท่ากัน
คนจำพวกนี้ก็เป็นประเภท "ขี้ลืม" เบื้องต้น

ส่วนคนที่เป็นจำพวกความจำสั้น
คือ จำอะไรได้ไม่นานแล้วก็ลืมนั้น
คนจำพวกนี้ก็ต้องยกให้เป็นประเภท
"ขี้หลงขี้ลืม" น่าจะได้
เช่น เอาผ้าคะม้าคาดหัวไว้เมื่อครู่
ผ่านมาแป้ปเดียวก็เที่ยวหายกใหญ่
ว่าผ้าคะม้าหายไปไหนหว่า...หาไม่เจอ
สงสัยว่าเอาไปวางไว้ที่นั่นที่นี่
หรือมีใครเอาของท่านไป
นี่ก็คือจำพวกขี้หลงขี้ลืมนั่นแหละนะ

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทั้งหมดที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นนี้
มันเป็นลักษณะนิสัยของคนขี้ลืมทั่วๆไป
ซึ่งเป็นโครงสร้างทางจิตวิทยาที่อ่อนแอ
อันเป็นด้านจุดอ่อนของคนขี้ลืมทั้งสิ้น

แต่สำหรับบทความนี้
เรากำลังจะกล่าวถึง "จุดแข็ง"
ของคนขี้ลืมกันเป็นการเฉพาะ
ซึ่งจุดแข็งของคนขี้ลืมที่ว่านี้ก็คือ
ความ "จำได้-หมายรู้"
ในสิ่งที่ตนสมควรลืม

ในที่นี้เราจะจำแนกคนออกเป็น 2 จำพวก
จำพวกแรก คือ "การจำได้"
กับจำพวกที่สอง คือ "การหมายรู้"

สำหรับการจำได้นั้นเราหมายถึง
การจดจำเรื่องราว เหตุการณ์ และบุคคล
ที่เป็น "สิ่งไม่ดีงาม" หรือเป็นสิ่ง "ชั่วร้าย"
หรือสิ่ง "เลวทราม" ที่ไม่ดีในชีวิตตนเอง
โดยท่านจะจำมันได้ทั้งๆที่ไม่อยากจำ

เข้าทำนองยิ่งอยากจำจะกลับลืม
ยิ่งอยากลืมจะกลับจำนั่นล่ะ

สาเหตุที่คนทั้งหลายมีจุดแข็งในกรณีนี้
เพราะคนทั่วไปมักอยากจำแต่สิ่งดีๆ
ส่วนสิ่งที่ไม่ดีก็อยากจะลืมมันไปให้พ้นๆ

ซึ่งท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
ธรรมชาติของมนุษย์มีหน้าที่ "ต้องเรียนรู้"
เพื่อพัฒนาจิตและปัญญาของตนเองไว้

สิ่งที่เป็นความล้มเหลว
สิ่งที่เป็นความผิดพลาดใดๆในชีวิต
หรือเรื่องเลวร้ายต่างๆที่ตนเองไม่ปรารถนานั้น
คนส่วนใหญ่มักไม่มีใครอยากจำเรื่องลบๆ
เพราะระลึกขึ้นมาได้ทีไรเป็นทุกข์ใจทุกที

ท่านจักต้องรู้ว่า
การที่ธรรมชาติไม่ยอมให้ท่านลืมเรื่องแบบนี้
ก็เพราะต้องการให้ท่านใช้
เป็นบทเรียนในอนาคต
เพื่อที่จะไม่ต้องผิดพลาดเช่นปัจจุบันอีก
ธรรมชาติจึงไม่ยอมให้ท่านลืมมัน
แม้จะพยายามลืมกันก็ตาม

นี่จึงนับเป็นจุดแข็งของคน "ขี้ลืม"
ที่เป็นจำพวกแรก

จำพวกที่สองซึ่งเป็นจุดแข็งของคนขี้ลืม
นั่นคือ "การหมายรู้"

การหมายรู้ หมายถึง
การจดจำอารมณ์รู้สึกที่ไม่ดีงาม
หรืออารมณ์รู้สึกด้านลบของตนเอง
ขณะเสียสมดุลเอาไว้แบบฝังใจจำ
เพราะถูกใครคนหนึ่งกระทำในสิ่งไม่ถูกต้อง
หรือพบเจอสถานการณ์ด้านลบ
ที่ทำให้ตนเองเสียสมดุลทางจิตใจรุนแรง

การจำได้หมายรู้อารมณ์ไม่ดีเยี่ยงนี้
ถ้าระลึกถึงมันขึ้นมาเมื่อไหร่
สภาวะจิตก็จะเกิดอาการเสียสมดุลไปทันที
โดยไม่ต้องมีคนเดิมหรือสถานการณ์เดิม
มาเป็นเงื่อนไขด้านลบให้ท่านอีก
ท่านก็จะสามารถระลึกถึงเหตุการณ์เดิมในอดีต
รวมทั้งจะระลึกถึงคนเดิมในอดีตนั้นได้ด้วย

ถ้าท่านมีอาการเป็นแบบนี้ในชีวิต
แม้ว่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น
มันจะผ่านมาเนิ่นนานนับเป็นปีๆแล้วก็ตาม
เราจะเรียกอาการทางจิตเช่นนี้ว่า
"อาฆาต"

ดังนั้น
คำว่า "อาฆาต" จึงหมายถึง
การจดจำอารมณ์ไม่ดีของตนไว้
พร้อมกับจดจำคนที่เป็นเงื่อนไข
ให้ท่านเกิดอารมณ์ไม่ดีนั้นไว้ได้ไม่รู้ลืม

แต่ถ้าท่านจดจำอารมณ์ไม่ดี
พร้อมคนที่ทำไม่ดีกับท่านได
โดยคอยจ้องจะหาโอกาสแก้แค้นอยู่
เราจะเรียกอาการทางจิตเช่นนี้ว่า
"เคียดแค้น"

ยิ่งถ้าท่านจดจำอารมณ์ไม่ดีของตนเอง
พร้อมจำคนที่ทำไม่ดีต่อท่านได้
โดยคอยหาโอกาสแก้แค้นเอาคืน
แม้ว่ามันจะข้ามผ่านภพชาติมาแล้วก็ตาม
เราจะเรียกอาการทางจิตเช่นนี้ว่า
"ผูกพยาบาท"

คนที่มีอาการทางจิตทั้ง 3 แบบนี้
เป็นคนที่มีสภาวะจิตเต็มไปด้วยความทุกข์
ที่เป็นความทุกข์ก็เพราะจิตใจไม่สงบ
จึงยังผลให้กลายเป็นคนวู่วามขาดสติง่าย
มีอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรงโมโหร้าย
ชอบใช้อารมณ์นำหน้าเหตุผลเสมอ

แต่คนที่มีจิตผูกพยาบาท
จะแย่กว่าคนอีกสองจำพวก
เพราะนอกจากจะทุกข์ใจในชาตินี้แล้ว
จิตวิญญาณยังจะต้องแบกทุกข์ที่ว่านี้
ข้ามภพชาติไปอีกต่างหากด้วย
เพื่อมุ่งแก้แค้นเอาคืนให้จงได้

ใครคบคนที่มีจุดแข็งในแบบคนขี้ลืมนี้
ก็ต้องระวังพฤติกรรมหรือสำรวมกันหน่อย
เผลอพลั้งพลาดไปจะเกิดความขัดแย้ง
ในหมู่พวกเดียวกันได้ง่ายๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่จะชี้แนะท่านทั้งหลายไว้ก็คือ
จงอย่าพยายามลืมเรื่องร้ายๆในชีวิต
โดยไม่พยายามที่จะศึกษาเรียนรู้ให้ได้ว่า
องค์ความรู้ที่ดีและมีประโยชน์
จากสถานการณ์ด้านลบที่ตนเองไม่ชอบนั้นน่ะ
มีอะไรน่าเรียนรู้ไว้เป็นประสบการณ์บ้าง
จงอย่ายอมให้มันผ่านไปโดยไร้ประโยชน์

ส่วนอารมณ์ที่ไม่ดีนั้น
ให้รีบปล่อยวางมันเสียให้สิ้น
เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แถมจะทำให้แก่เร็วและอายุสั้นอีกด้วย

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
29-3-2017

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

คำอธิบายเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ในมิติแห่งจิตวิญญาณ :Slide 1






(((+))) คำอธิบายเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ในมิติแห่งจิตวิญญาณ :Slide 1
ความรู้ด้านอภิปรัชญา (Pure Meta-physics)
ที่นักเรียนอาจไม่รู้่ว่าตนจะต้องรู้....

ถ่ายทอดคลื่นการคิดจากจิตจักรวาลโดย
ป.วิสุทธิปัญญา
24-08-2013

คำอธิบายเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ในมิติแห่งจิตวิญญาณ :Slide 2






(((+))) คำอธิบายเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ในมิติแห่งจิตวิญญาณ :Slide 2
ความรู้ด้านอภิปรัชญา (Pure Meta-physics)
ที่นักเรียนอาจไม่รู้่ว่าตนจะต้องรู้....

ถ่ายทอดคลื่นการคิดจากจิตจักรวาลโดย
ป.วิสุทธิปัญญา
24-08-2013

คำอธิบายเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ในมิติแห่งจิตวิญญาณ :Slide 3






(((+))) คำอธิบายเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ในมิติแห่งจิตวิญญาณ :Slide 3
ความรู้ด้านอภิปรัชญา (Pure Meta-physics)
ที่นักเรียนอาจไม่รู้่ว่าตนจะต้องรู้....

ถ่ายทอดคลื่นการคิดจากจิตจักรวาลโดย
ป.วิสุทธิปัญญา
25-08-2013

คิดถึงบ้านกันบ้างมั้ย?


วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

อนันตริยกรรม





ตอบคำถาม: Cjw Surin ·
เรียนถามท่าน อาจารย์ว่า
*************************
Question:
3. ทำไมการฆ่าตัวตาย
แล้วต้องรับผลของกรรมด้วยการ
ฆ่าตัวเองอีกถึงเจ็ดครั้ง เจ็ดชาติ

Answer:
1.เคยได้ยินคำกล่าวแต่โบราณที่ว่า
"ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน" มั้ยล่ะท่าน

2.ปกติแล้วจิตวิญญาณมนุษย์ในแต่ละคน
จะมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 6 เหลี่ยมมุม
โดยจะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพื่อรักษาสมดุลของตนเองไว้

3.ถ้าดวงจิตวิญญาณใดเกิดการเสียสมดุลขึ้น
เพราะจิตหยาบกระทำผิดบาปซ้ำๆกันเรื่อยๆ
ในชีวิตประจำวันโดยไม่หมั่นขัดเกลา
เช่น กิเลสหนา ตัณหามาก
มีอารมณ์ขยะหรือโทสะจริตรุนแรง

มันจะยังผลให้แรงสั่นสะเทือนด้านบวก
อันเป็นคุณสมบัติเดิมแท้ของจิตวิญญาณ
ถูกถ่วงรั้งด้วยคลื่นความถี่ด้านลบ
ที่จิตหยาบสั่นสะเทือนเข้าสอดแทรก
จิตวิญญาณนั้นก็จะสั่นสะเทือนด้านบวกลดลง
อันหมายถึงเกิดการเสียสมดุลไปจากเดิม

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

แรงสั่นสะเทือนด้านบวกของแก่นแท้
มันจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับ
จำนวนเหลี่ยมมุมของรูปธรรมนั้น
กับอัตราเร็วในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ของรูปธรรมนั้นๆด้วย

ถ้าแรงสั่นสะเทือนภายในของรูปธรรมนั้น
มีค่าไปในทางลดต่ำลงจากค่าคงที่
ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดให้จิตวิญญาณ
ถือติดตัวมาเกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่ชาติแรก

มันจะเป็นเหตุให้รูปทรงเรขาคณิต
ที่เป็น 6 เหลี่ยมมุมนั้นสูญเสียรูปทรง
แปลว่าเป็นรูป 6 เหลี่ยมมุมที่บิดเบี้ยว
จะไม่เป็นรูปทรงหกเหลี่ยมมุม
ของ 3 เหลี่ยมด้านเท่าอีกต่อไปแล้ว

4.ดังนั้น
คนที่ผ่านการเกิดมาแล้วหลายภพชาติ
ถ้าไม่ถือครองดวงธรรม 2 ดวงเลย
คือ มหาสติ กับปณิธานแห่งนิพพาน
ดวงจิตธรรมญาณก็จะเสื่อมสมดุลลงเรื่อยๆ

สาเหตุที่รูปทรงเรขาคณิตบิดเบี้ยว
เพราะพลังที่จะใช้เหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
มีค่าต่ำลง น้อยลงไปจากค่าคงที่
ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดิมแท้นั่นเอง

5.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
นอกจากกิเลสหนา ตัณหาเยอะจัดแล้ว
การกระทำผิดบาปของจิตหยาบ
ที่หนักหนาร้ายแรงเป็นเบื้องต้น
คือ รักไม่ได้ ให้ไม่เป็น เห็นแก่ตัว
นึกลบ ทำผิด คิดชั่ว ก้าวล่วงผู้อื่น เป็นต้น

มันล้วนมีผลกระทบต่อจิตวิญญาณ
ให้เกิดการเสื่อมสมดุลไปทีละน้อยๆ
จนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะ
เกิดเป็นมนุษย์ได้อีกแล้วในที่สุด

ส่วนความผิดบาปขั้นรุนแรงที่สุดก็คือ
การปองร้ายหมายชีวิตและก้าวล่วง
บุคคลผู้มีความสมดุลทางจิตวิญญาณ
กับการกระทำอัตวินิบาตกรรมตัวเอง
มันจะยังผลให้จิตวิญญาณนั้น "ช็อค"
จนเกิดอาการเสียยสมดุลอย่างรุนแรง
เพราะ "ความกลัว" โดยแท้

อย่างแรก คือ "กลัวบาป" จนต้องตกนรก
โดยมิมีโอกาสได้ผุดได้เกิดอีก
จิตวิญญาณนั้นจึงกลัวกลับบ้านไม่ได้
ก็เลยเกิดอาการเสียสมดุลอย่างรุนแรง

อย่างที่สอง คือ "กลัวตาย"
จิตวิญญาณกลัวการตายก่อนสิ้นอายุขัย
และกลัวว่าโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่นั้น
มันมิใช่จะได้มาง่ายๆ
ก็เลยเกิดอาการเสียสมดุลอย่างรุนแรงเช่นกัน

6.อาการช็อคทางจิตวิญญาณที่รุนแรง
จากสาเหตุทั้ง 2 ตัวอย่างที่กล่าวมา
มันคือ "กรรมหนัก" จัดเป็น "อนันตริยกรรม"
เพราะมันจะทำให้การสั่นสะเทือนด้านบวก
ภายในรูปธรรมนั้นสะดุดลงกระทันหัน
และจะถูกบีบคั้นอย่างต่อเนื่อง

ผลก็คือจะเกิดการเสียสมดุลรุนแรงกว่าปกติ
จนรูปธรรม 6 เหลี่ยมมุมนั้นเกิดการบูดเบี้ยว
อันยากแก่การปรับสมดุลด้วยตนเองได้

7.วิธีการแก้ไขเยียวยาเพื่อปรับสมดุล
ขั้นตอนแรกจึงต้องส่งไปลงนรก
ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทางจิตวิญญาณ
ไปบำบัดขัดเกลาปรับสมดุลที่เสียไปกลับคืน
ด้วยการให้เห็นภาพการฆ่าตัวตายของตน
ตั้งแต่ต้นจนจบทุกแง่มุม ทุกขั้นตอน
แล้ว "บังคับ" ให้ทำแบบที่เคยทำนั้น
เพื่อฆ่าตัวตายรวมครั้งเท่ากับอายุขัยก่อนตาย

ถ้าฆ่าตัวตายตอนที่อายุได้ 59 ปี
ก็จะถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายตามวิธีที่เคยทำ
รวมจำนวนฆ่าตัวตาย 59 ครั้ง
มันจึงจะสามารถคืนสมดุล 6 เหลี่ยมมุม
ให้แก่จิตวิญญาณของคนๆนั้นได้ดังเดิม

จากนั้นก็จะเปิดโอกาสให้กลับสู่การเกิดใหม่
เพื่อจะมาฆ่าตัวตายอีก 7 ภพชาติ
จนกว่าจะเกิดสำนึก "รักตนเอง" อย่างแท้จริงได้
เพราะคนที่ฆ่าตัวตาย คือ คนไม่รักตนเอง
ถ้ามนุษย์รักตนเองไม่เป็นเสียแล้ว
จะรักคนอื่นได้หรือ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

ต่อคำถามที่ว่า ทำไมต้อง 7 ภพชาติ
คำตอบก็คือ ฆ่าตัวตาย 1 ภพชาติ
จะได้รับการ "กระชากจิตสำนึก" 1 ครั้ง
เพื่อให้เกิดพลังเหวี่ยงหมุนที่เพิ่มขึ้น

ถ้ากระชาก 6 ครั้งพลังก็จะเพิ่มขึ้น 6 เท่า
แต่การเพิ่มแค่ 6 ครั้งด้วยพลัง 6 เท่านั้น
มันก็ยังเหวี่ยงหมุนด้วยพลังกระตุกที่จำกัดอยู่
ซึ่งอาจเหวี่ยงหมุนช้าลงจนเสียสมดุลอีกก็ได้
ถ้าได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่แล้ว
จิตถูกครอบงำด้วยอาสวะกิเลสเหมือนเดิมอีก

เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่ฆ่าตัวตายอีก
พระบิดาจึงทรงเมตตาให้ปรับสมดุล
ด้วยการกำหนดให้มาเกิดใหม่
เพื่อฆ่าตัวตายอีก 7 ภพชาติ
เพื่อจะกระตุกจิตวิญญาณผ่านจิตหยาบ
ด้วยพลังการกระตุก 7 ครั้ง
ในอันที่จะทำให้จิตวิญญาณหมุนต่อเนื่อง
มุมทั้ง 6 ของรูปธรรมก็จักสมดุลยั่งยืน

ทั้งนี้เพื่อให้เห็นคุณค่าแห่งการเป็นมนุษย์
เพื่อให้รู้รักเครื่องยนต์แห่งกรรมตนเอง
เพื่อให้เข้าถึงสัญชาตญาณรักตัวกลัวตาย
ซึ่งเป็นเป้าประสงค์ทางกายภาพอีกมิติหนึ่งด้วย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-3-2017

จง​ตาม​เรา​มา​เถิด  ปล่อย​ให้​คน​ตาย ​ฝัง​คน​ตาย​ของ​เขา​เอง​เถิด





ตอบคำถาม: สมกิจ รวยเต็มหัตถ์
Question:
***********
คำกล่าวประโยคที่ว่า
"จง​ตาม​เรา​มา​เถิด
ปล่อย​ให้​คน​ตาย
​ฝัง​คน​ตาย​ของ​เขา​เอง​เถิด" (มัทธิว. 8:22)
หมายความว่าอย่างไร?
Answer:
1."จงตามเรามาเถิด" หมายถึง
ถ้าท่านเชื่อในพระคำของพระองค์
ก็จงมุ่งปฏิบัติไปตามคำสอนนั้น
เพื่อการมีชีวิตนิรันดร์ของจิตวิญญาณ
ด้วยการหลุดพ้นออกไปจากระบบ
การหลุดพ้นออกไปจากระบบเอกภพได้
หมายถึง "การมีชีวิตรอด" นั่นเอง
2."ปล่อยให้คนตายฝังคนตาย
ของเขาเองเถิด" หมายถึง
เมื่อทรงเห็นมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งไม่เชื่อในการมีอยู่จริงของพระบิดา
ไม่ศรัทธาในคำสื่อสอนของพระองค์
ทั้งวางเฉย ทั้งเย้ยหยัน ทั้งต่อต้าน
จึงต้องทรงยอมให้ผู้คนเหล่านั้น
ดำรงตนเป็นเสมือน "คนที่ตายแล้ว"
เพราะทรงเห็นแล้วว่าคนพวกนี้
จะไม่สามารถนำความรอดหรือหลุดพ้น
มาสู่จิตวิญญาณตนเองได้
จึงเปรียบเหมือนผู้คนที่ตายแล้ว
ไม่ต่างจากบัวเหล่าสุดท้ายในสี่เหล่า
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเปรียบเปรยไว้
ซึ่งรังแต่จะเป็นอาหารของเต่าปูปลา
ย่อมไม่มีโอกาสที่จะโผล่พ้นน้ำ
ขึ้นมาชูดอกเบ่งบานได้อีกแล้ว
จึงจำต้องปล่อยไปตามยถากรรม
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-3-2017

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

ความเชื่อส่วนตัว








ตอบคำถาม: Anothai Bunjong
ขอเรียนสอบถามท่าน อาจารย์ ค่ะ
Question1:
************
1.1 การเฝ้าที่ตั้งแห่งดวงจิตธรรมญาณ
จะส่งผลให้ตรงดิ่งสู่ประตูนิพพานได้
จริงหรือไม่?
1.2 เป็นวิธีนักรบแห่งสว่าง
หรือนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง?
1.3 ปัจจุบันวิธีนี้ยังใช้ได้อยู่หรือไม่
อาจเป็นเรื่องของคนในอดีตหรือไม่?
Answer:
1.1 เรื่อง "การเฝ้า" นั้นเป็นความเชื่อ
เพราะที่จริงแล้วที่ตั้งของจิตวิญญาณมนุษย์
ก็คือ "ต่อมพิทูอิทารี"
ถ้าท่านสามารถครองมหาสติ
และรักษาปณิธานแห่งนิพพาน
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลเป็นผลสำเร็จ
จิตของท่านก็จักรู้สถิตย์อยู่
ณ ที่ตั้งนี้ตามปกติอยู่แล้ว
ท่านจึงไม่จำเป็นจะต้องสิ้นเปลืองพลังจิต
เพื่อประคองจิตไว้รอคอยยามตาย
เพียงหวังจะให้จิตวิญญาณละกายสังขาร
ผ่านออกมาในช่องทางนี้
เพื่อมุ่งสู่ประตูนิพพาน ณ ด่านนภาลัย
เพราะมันต้องเป็นของมันเช่นนั้นอยู่แล้ว
ช่องทางการดีดตัวออก
จากกายสังขารรูปธรรมมนุษย์
ของดวงจิตธรรมญาณ
กรณีละทิ้งกายสังขารเพื่อการหลุดพ้น
ก็คือ "ประตูที่สาม" หรือ ตาที่สาม
ซึ่งมันก็เป็นของมันเช่นนั้นอยู่แล้ว
คนที่ไม่มีศีลธรรม
คนที่คนตนเองให้เป็นมนุษย์ไม่สำเร็จ
คนที่วันๆเอาแต่หมุน "กรรมจักร"
โดยไม่สามารถหมุน "ธรรมจักร" ได้
จิตวิญญาณก็จะไร้พลังอำนาจ
จนไม่สามารถผ่านออกมา
ทางประตูที่สามที่ว่านี้ได้
1.2 วิธี "เฝ้า" ที่ตั้งของดวงจิตวิญญาณ
ตามที่ท่านไถ่ถามเรามาในข้อเดียวกันนี้
มันเป็น "ความเชื่อส่วนตัว" เฉพาะกลุ่มบุคคล
ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นนักรบแห่งแสงสว่าง
หรือเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
1.3 ท่านถามเรามาว่า
ปัจจุบันวิธีนี้ยังใช้ได้ผลอยู่รึไม่นั้น
เรามิอาจกล่าวก้าวล่วง
"ความเชื่อ" ของผู้อื่นได้
อัน "ความเชื่อ" นั้น
มักขาดตัวชี้วัดความจริงที่จริงแท้
อย่างเป็นรูปธรรมและเหตุผลเสมอ
แม้ความเชื่อนั้นพอจะมีความจริงอยู่บ้างก็ตาม
ซึ่งต่างจาก "ความจริงที่จริงแท้"
มันจะมีเหตุผลรองรับให้ท่านจับมาวิเคราะห์
เพื่อเข้าถึงความจริงนั้นได้ด้วยปัญญาเสมอ
แต่เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ตั้งแต่อดีตกาลผ่านมาจนปัจจุบันนี้นั้น
มีผู้ที่ผ่านบททดสอบและบทเรียนโลก
จนเข้าสู่สภาวะนิพพานทางจิตวิญญาณได้
เพียงแค่มือสิบนิ้วก็ใช้นับยังไม่หมดเลย
ไม่ทราบว่าไปเฝ้าผิดประตูกันอยู่รึเปล่านะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-3-2017

ช่องทางการหลุดพ้น ของดวงจิตธรรมญาณ





ตอบคำถาม: Anothai Bunjong
ขอเรียนสอบถามท่าน อาจารย์ ค่ะ
Question2:
************
2.1 ประตูเกิดตาย 
ทางเข้าออกของจิตญาณ บนกายสังขาร
คือประตูอีกมิติของประตูด่านนภาลัยหรือไม่?
2.2 หรือแท้จริงแล้วการที่จิตสถิตย์
ณ ที่ตั้งแห่งดวงจิตธรรมญาณ
คือบอกถึงผลลัพธ์สุดท้ายที่จะต้องเป็น
คือการแนบแน่นรวมเป็นหนึ่ง
ของ จิต และ จิตวิญญาณ
แต่ไม่ได้หมายความถึงการเฝ้า
แล้วทุกอย่างจะจบและกลับบ้านได้?
Answer:
2.1 ประตูที่สาม
ซึ่งเป็นรูเล็กๆขนาดเท่าเส้นผมผ่าซีก
ตรงกระโหลกศีรษะบริเวณหน้าผาก
เหนือระหว่างคิ้วขึ้นไปเล็กน้อยนั้น
เป็นช่องทางหลุดพ้นออกจากกายสังขาร
ของดวงจิตธรรมญาณของมนุษย์
ส่วนประตูมิติตรงด่านนภาลัยนั้น
เป็นช่องทางแห่งการหลุดพ้น
ออกไปจากระบบ "เอกภพ"
ของดวงจิตธรรมญาณทุกรูปธรรม
เพื่อคืนกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนที่ตนจากมา
ซึ่งองค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้า
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงรอคอยพวกท่านอยู่นานแล้ว
2.2 แท้จริงนั้นดวงจิตธรรมญาณของทุกคน
สถิตย์ประทับอยู่ตรงต่อมพิทูอิทารี
โดยสถิตย์อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่แรกเกิดแล้วล่ะ
หน้าที่ของท่านทั้งหลายก็คือ
ยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ให้เกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกให้ได้
เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดๆในชีวิตประจำวัน
ด้วยกลไกอายตนะชิ้นใดๆที่มีอยู่
ถ้าท่านทำเช่นนี้เป็นผลสำเร็จในทุกขณะจิต
จิตหยาบของท่านก็จะยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ให้สูงขึ้นจนเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับดวงจิตธรรมญาณได้แล้วนั่นเอง
นี่ไง...หน้าที่ของท่าน
หน้าที่ของมนุษย์ที่แท้จริงไงล่ะ
การจะทำเช่นนี้ได้สำเร็จนั้น
ท่านจักต้องรู้วิธีแทรกแซง
กระบวนการของขันธ์ 5 ในชีวิตประจำวันให้ได้
ซึ่งหมายถึง "การหมุนธรรมจักร" นั่นแหละ
แต่การยกระดับจิตหยาบ
จนเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณได้
มิได้หมายความว่าจะ "นิพพาน" ได้ทันที
เพียงแต่ผู้ที่จะเข้าถึงนิพพานได้
จักต้องสอบผ่านการเป็นหนึ่งเดียวกัน
ของจิตหยาบกับจิตวิญญาณ
ให้ได้เสียก่อนเท่านั้นเอง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-3-2017

มายา ของผู้ที่เข้าถึงสภาวะแห่งนิพพาน






ตอบคำถาม: Cjw Surin ·
เรียนถามท่าน อาจารย์ว่า
*************************
Question:
1. ผู้บำเพ็ญแบบ นักรบแห่งแสงสว่าง
จนสามารถกลับนิพพานได้นั้น
จะมีมายาหลงเหลือไว้ให้คนประจักษ์
คือ ศพจะอ่อนนิ่ม ทิ้งไว้หลายวัน
ก็ไม่เน่าเหม็นทั้งที่ไม่ได้ฉีดยาใดๆ เลย
หรือถ้านำไปเผา
กระดูกก็จะกลายเป็นพระธาตุ
แบบต่างๆ
จะสามารถอธิบายแบบอภิปรัชญาได้
ว่าอย่างไรครับ
Answer:
1.จงอย่าด่วนสรุปว่าผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ
บนเส้นทางนักรบแห่งแสงสว่าง
เมื่อจบสิ้นอายุขัยและทิ้งกายสังขารไปแล้ว
ยังมีมายาหลงเหลือไว้ให้คนประจักษ์
ในแบบที่ท่านกล่าวถึงในคำถามข้างบนนั้น
เป็นตัวชี้วัดว่าผู้นั้นเข้าถึงสภาวะนิพพานได้แล้ว
เพราะในความเป็นจริงแล้ว
มันมิได้เป็นอย่างที่ท่านคิดเชื่อกันอยู่เสมอไป
บางรูปธรรมที่เข้าถึงสภาวะนิพพานได้
เมื่อละทิ้งกายสังขารไปแล้ว
มิได้ทิ้งมายาใดๆให้หลงเหลือไว้เลยก็มี
นอกจากชื่อนามกับความดีงามของเขา
เอาไว้ให้คนรุ่นหลังจดจำและทำตามเท่านั้น
ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์จะมีจิตใสใจสวย
ผู้มีจิตใสใจสวยจะมีปัญญาวิสุทธิ์
และสังขารบริสุทธิ์
ผู้มีจิตตปัญญาอันวิสุทธิ์
กับกายสังขารอันบริสุทธิ์
จักเป็นผู้เข้าถึงซึ่งความว่างอันยิ่งยวด
ความว่างอันยิ่งยวดของผู้เข้าถึงนิพพานได้
ได้จากความมีตัวตนอยู่แต่เสมือนไม่มี
นั่นหมายความว่าจักต้องมี "อัตตาเป็นศูนย์"
ดังนั้น
ผู้ที่เข้าถึงสภาวะแห่งนิพพานได้จริงแท้
ต้องไม่ทิ้งมายาแห่งอัตตาใดๆไว้เบื้องหลัง
เพราะเข้าถึงความว่างจากสิ่งที่ตนมีอยู่ได้แล้ว
ถ้าจิตยังคิดอธิษฐานให้
เถ้ากระดูกของตนเป็นผลึกพระธาตุ
จะเพื่อกิจการใดก็แล้วแต่
มันเป็นตัวชี้วัดว่าจิตยังไม่ใสมิใช่หรือ
จิตยังไม่สามารถเข้าถึงความว่างได้มิใช่หรือ
หรือแม้ว่ารูปธรรมนั้นมิได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้
แต่เวลาเผาสังขารให้มอดไหม้
เถ้าถ่านกลับกลายเป็นพระธาตุหรือผลึกสี
นี่ก็เป็นไปตามคุณสมบัติทางพลังงานของจิต
อันเกิดจากการฝึกฝนและสั่งสม
หรือบางรูปธรรมตายแล้วสังขารไม่เน่าสลาย
แถมเล็บและเส้นผม-ขนงอกยาวได้เรื่อยๆ
นี่ก็มิใช่ตัวชี้วัดว่ารูปธรรมนี้นิพพานแล้ว
ปรากฏการณ์นี้เกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ
ด้วยการเคร่งครัดในการครองศีล
อิ่มเอิบเบิกบานอยู่ในพระธรรม
ลึกล้ำดื่มด่ำอยู่ในกรรมฐานสมาธิเป็นนิจ
โดยครองความสันโดษมายาวนาน
ทำการผลิตสร้างพลังงานด้านบวก
ขึ้นมามากมายในแต่ละวัน
แต่ที่แผ่เมตตาแบ่งปันออกไปนั้น
มันน้อยกว่าที่ตนสร้างใหม่เพิ่มขึ้น
เมื่อตายไปพลังงานไฟฟ้าด้านบวก
ที่ตนสร้างสะสมไว้ในกายสังขารมากๆ
มันก็จะถูกนำมาใช้เป็นพลังงานชีวิต
เหมือนแบตเตอรี่ที่มีไฟหล่อเลี้ยงรถยนต์
ในขณะที่ดับเครื่องแล้วนั่นเอง
ซึ่งปกติแล้วพลังงานชีวิตนี้
จิตวิญญาณแก่นแท้จะเป็นผู้ผลิตสร้างให้
เครื่องยนต์แห่งกรรมนั้นมีชีวิต
เมื่อตายแล้วแต่ยังมีพลังงงานหล่อเลี้ยงอยู่
การไม่เน่าเปื่อยของเซล
การที่มีเล็บและขนงอกยาวได้เรื่อยๆ
จึงไม่น่าแปลกประหลาดอะไรเลย
และไม่ใช่ตัวชี้วัดคุณสมบัติแห่งนิพพาน
อย่างที่คิดเชื่อกันแต่อย่างใดอีกด้วย
Question:
2. จากข้อ1.
พระธาตุของพระพุทธองค์
หรือพระอริยสาวก
สามารถเสด็จไปหาบุคคลที่ศรัทธาได้เองหรือไม่
Answer:
คำถามนี้เราไม่มีคำตอบให้นะ
เพราะเป็นคำถามในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-3-2017

วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

#เฉลยธรรมบัญญัติ 25 ทำไมต้องตัดมือของนางทิ้ง ทำไมต้องไม่สงสารนาง





คำถามจาก: คุณสมกิจ รวยเต็มหัตถ์ 
ถามพระอาจารย์สักข้อครับ
***************************
#เฉลยธรรมบัญญัติ 25 

11.-12. "ถ้าชายสองคนวิวาททุบตีกัน 
และภรรยาของชายคนหนึ่งเข้ามาใกล้
จะช่วยสามีของตนให้พ้นจากมือของผู้ที่ตี 
และนางยื่นมือออกมา
เค้นของลับของผู้ชายคนนั้น 
ท่านจะต้องตัดมือของนางทิ้ง 
อย่าสงสารนางเลย"

คำกล่าวเหล่านี้
พระองค์ทรงหมายความว่า

1.ถ้าท่านพบเห็น
คนสองคนกำลังทะเลาะวิวาททุบตีกัน
กำลังมีปากเสียงกันด้วยเรื่องอันใดก็ตาม
แล้วมีภรรยาหรือญาติพี่น้องของฝ่ายหนึ่ง
เข้าไปช่วยเหลือสามีที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ

2.ท่านจักต้องทำเป็นมองไม่เห็นนาง
ท่านจงอย่าจิตตกเพราะสงสารนาง
จากการที่ท่านเห็นสามีของนา
กำลังสู้อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้
จนนางต้องยื่นมือเข้าช่วยเด็ดขาด

3.เพราะการที่ภรรยาคนนั้น
ยื่นมือเข้าช่วยเหลือสามีที่ถูกตีน่ะ
มันเป็นการยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว
กับ "ความลับ" ของชายคนที่เป็นฝ่ายตี
ซึ่งนางคนนี้มิอาจล่วงรูั้

4.อัน "ความลับ" หรือ "ของลับ"
ของชายคนที่เป็นฝ่ายตีสามีของนาง
ซึ่งนางผู้เป็นภรรยาไม่รู้ก็คือ 
"ความอาฆาตแค้น" 
ที่เขาถือติดตัวมาจากภพอดีต
เพื่อมาแก้แค้นเอาคืนในภพชาตินี้
จึงยังผลให้ผู้ชายทั้งสองคนนี้
ต้องมาทะเลาะทุบตีกันอย่างที่เห็นนั่นเอง

5.ดังนั้น
การที่ภรรยาในชาตินี้
เห็นสามีกำลังเพลี่ยงพล้ำจนต้องยื่นมือเข้าช่วย
จึงไม่ต่างไปจากการยื่นมือเข้าไป
"บีบของลับ" ของชายผู้ที่กำลังตีสามีนาง
ด้วยความไม่รู้ที่มาที่ไปนั่นเอง

6.ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงเตือนท่านทั้งหลายว่า

การที่ท่านเห็นเหตุการณ์ลักษณะนี้แล้ว
จิตตกเพราะไปเกิดความสงสารนางเข้า
เพราะเห็นเป็นผู้หญิง เห็นเป็นภรรยา
เห็นว่าสามีของนางถูกรังแก ถูกทำร้าย

นั่นเท่ากับว่าท่านไปเข้าข้างฝ่ายที่ถูกตี
ซึ่งในภพอดีตอาจเป็นฝ่ายตีฝ่ายก่อเรื่อง
หรือเป็นผู้ทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งมาก่อนก็ได้

พระองค์ทรงห้ามไว้เพราะมิปรารถนา
จะให้ท่านเข้าไป "เกี่ยวกรรม" หรือ "เจือก"
เรื่องราวที่เป็น "กรรมสัมพันธ์" ของใครอื่น
ด้วยการแสดงความรักความเมตตาสงสาร
ผิดคน ผิดเวลา แบบพร่ำเพรื่อโดยใช่เหตุ
เพราะมันจะนำพาพวกท่าน
เข้าไปเกี่ยวกรรมกับพวกเขาด้วย
โดยไม่รู้สติไงล่ะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-03-2017

พุทธะ อริยะ ปราชญ์เมธี







#ตอบคำถาม
คุณAnothai Bunjong

Question:
ถ้ามนุษย์ทุกคนล้วนมีพันธะสัญญา 6 มาดั้งเดิม 
แต่ทำไมตอนบรรลุผล 
จึงมีทั้งพุทธะ อริยะ ปราชญ์เมธี มากมาย 
แท้จริงแล้วการลุล่วงพันธะสัญญา 6 อย่างแท้จริง 
คือการบรรลุอะไรค่ะ?

จุดสิ้นสุดโดยสมบูรณ์อยู่ที่ไหน? 

ขออาจารย์ช่วยเปิดปัญญา...ด้วยค่ะ...
กราบขอบพระคุณค่ะ

Answer:

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1."พันธะสัญญา 6" เป็นข้อผูกพันซึ่ง
ดวงจิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์ทุกคน
ได้ให้เป็นสัจจะไว้กับองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้อนุญาตให้จิตวิญญาณทั้งหลาย
เดินทางข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
บนดาวโลกเสรีดวงนี้

โดยให้สัญญาต่อพระองค์ว่า
ตนจะเข้ามาทำหน้าที่ทั้ง 6 ประการ
ในบทบาทแห่งการเป็นมนุษย์
ซึ่งเป็นคน 2 มิติ
ให้สำเร็จลุล่วงให้จงได้
ภายใน 6 หมื่นปีโลก
ก่อนจบสิ้นยุคพลังงานเก่า
โดยจะไม่เหลวไหล ละเลย หรือหลงลืม

2.ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดที่ได้รับโอกาสให้มาเกิด
สามารถบรรลุภารกิจตามพันธะสัญญา 6 นี้ได้
ภายในเงื่อนเวลาไม่เกิน 6 หมื่นปีที่กำหนดไว้
แก่นแท้ของท่านผู้นั้นก็จักสามารถ "ย้อนคืน" 
กลับสู่บ้านเกิดทางจิตวิญญาณที่ตนจากมา
เพราะว่า "หมดภาระหน้าที่" ของตนแล้วได้ทันที

ดังนั้น
การลุล่วงพันธะสัญญา 6 อย่างแท้จริง
ที่ื่ท่านถามเราว่า คือ การบรรลุอะไร
คำตอบที่ถูกต้องก็คือ

ท่านจักต้องปฏิบัติตามสัจจะทั้ง 6 ข้อ
ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาให้เป็นผลสำเร็จให้จงได้
โดยไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไขเป็นอย่างอื่น

ซึ่งก็มีทางให้ท่านเลือกเดิน 2 ทาง คือ
#เส้นทางนักรบแห่งแสงสว่าง
อันเป็นเส้นทางของนักบวช นักพรต
กับผู้ทรงศีลทั้งหลายเส้นทางหนึ่ง

กับอีกทางเลือกหนึ่ง คือ
#เส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
อันเป็นเส้นทางของชาวบ้านหรือฆราวาส
ซึ่งเป็นผู้ครองเรือนทั้งหลาย

โดยไม่ว่าท่านจะเลือกเดินในเส้นทางใด
มรรคผลสุดท้ายที่แท้จริงก็คือ
จะต้องบรรลุผลในพันธะสัญญา 6 กันทั้งสิ้น

3.ท่านจักต้องรู้ว่า
การบรรลุในพันธะสัญญา 6 ที่ว่านี้
เป็นการทำหน้าที่ในมิติแห่งจิตวิญญาณ
เป็นการทำหน้าที่ในด้านของแก่นแท้
โดยจิตหยาบจักต้องรับผิดชอบปฏิบัติ
ให้ครบถ้วน สมบูรณ์ มิให้ขาดตกบกพร่อง

ซึ่งตัวชี้วัดความสำเร็จของมนุษย์โลก
ต่อภารกิจในพันธะสัญญา6 นี้ก็คือ

3.1 พวกท่านช่วยให้ดาวโลกดวงนี้
สามารถเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วของการเหวี่ยงหมุนคงที่
เพื่อสร้างสมดุลของระบบตนเองได้หรือไม่

เพราะพลังจิตด้านบวกของพวกท่าน
เป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กบริสุทธิ์
ที่ท่านช่วยกันผลิตออกมามอบให้โลกทุกนาที
จากการปฏิบัติตามพันธะสัญญาทั้ง 6 นั่นเอง

ถ้าในสัปดาห์เดียวกัน
ระยะเวลาของกลางวันกับกลางคืนไม่เท่ากัน
บางวันมืดช้า บางวันมืดเร็ว
บางวันร้อนมาก บางวันร้อนน้อยกว่า

บางวันวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ใจสั่น
หรือเกิดอาการเครียดทางประสาท
โดยไม่ทราบสาเหตุ

อาการเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดว่า
แกนหมุนของโลกแกว่งหรือส่าย
เพราะพลังการบิดตัวของแกนแม่เหล็กโลก
เกิดอาการไม่คงที่เพราะมีแรงบิดน้อยลง

3.2 พวกท่านช่วยให้ดาวโลกดวงนี้
มีขั้วเหนือใต้ของเข็มทิศแม่เหล็กคงที่หรือไม่
เพราะพลังจิตด้านบวกของพวกท่าน
ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กบริสุทธิ์
ที่ท่านช่วยกันผลิตออกมาให้โลกทุกนาทีนั้น
มันจะช่วยให้ #โครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
มีความสมดุลหรือคงที่ได้ตลอ

แต่ถ้าพวกท่านล้มเหลวในพันธะสัญญา 6
ก็จะมีปรากฏการณ์ "นกหลงฟ้า-ปลาหลงน้ำ"
ปรากฏเป็นข่าวให้ท่านได้ยินได้ฟังเป็นประจำ
เพราะทั้งฝูงนกฝูงปลาจะเกิดการสับสนทิศ

ที่เห็นบ่อยที่สุด คือ ฝูงปลาโลมา-วาฬ
จะพากันมาเกยหาดตื้นๆตายอย่างน่าสงสาร
ขณะที่ฝูงนก ฝูงผึ้ง มันก็จะพากันกลับรังไม่ถูก

ทั้งนี้เป็นเพราะว่า
เส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกเกิดการแกว่ง-ส่าย
จึงยังผลให้ "เข็มทิศแม่เหล็ก" หรือ #ดิจิตัลลิส
ซึ่งติดตั้งอยู่ที่สมองของนกและปลาใหญ่น้ำลึก
มีการทำงานผิดพลาดเกิดขึ้น
เพราะเกิดอาการสับสนงุนงงจึงหลงทิศนั่นแหละ

3.3 พวกท่านช่วยให้ดาวโลกดวงนี้
สามารถผลิตก๊าซออกซิเจน
ออกมาจากโรงงานภายในแกนโลก
อย่างเพียงพอกับความต้องการของระบบหรือไม่

ถ้าพวกท่านล้มเหลวในพันธะสัญญา 6
มันก็จะมีปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งให้ท่านเห็น
นั่นคือปรากฏการณ์ที่ "นกตกลงมาตาย"
และ ฝูงปลานับหมื่นๆตัวในทะเล
จะพากันลอยมาเกยหาดตื้นๆตาย
ด้วยเหตุผลเดียวกันก็คือ 
พวกเขา "ขาดอากาศหายใจ" เฉียบพลัน!!!

4.ความรู้ใหม่สำหรับท่านทั้งหลายในข้อ 3.
จึงเป็น "คำตอบ" ในข้อที่ท่านถามเราว่า

"การลุล่วงพันธะสัญญา 6 อย่างแท้จริงนั้น
คือการบรรลุอะไรค่ะ?"

ซึ่งแท้แล้วเป็นการทำหน้าที
ทางจิตวิญญาณของมนุษย์
เพื่อให้มีผลปรากฏสูงสุด
ในมิติทางกายภาพของระบบโลกนั่นเอง

5.ดังนั้น
การเข้าถึงความเป็นพุทธะ อริยะ
หรือ ปราชญเมธีตามที่ท่านกล่าวนำคำถามไว้
มันจึงมิได้หมายความว่า "วิญญูชน" เหล่านี้
เป็นผู้บรรลุมรรคผลสูงสุดได้ถึงนิพพานแล้ว

แต่สภานภาพทั้ง 3 แบบดังกล่าว
มันเป็นเพียงแค่สิ่งสมมติที่ใช้เรียกขาน
วิญญูชนที่มีความสามารถในการใช้ปัญญา
ซึ่งมีความพิเศษกว่าปุถุชนทั่วไปเท่านั้น

สถานภาพเหล่านี้มันมิได้เป็นตัวชี้วัดว่า
พวกเขา "บรรลุมรรคผล" หลุดพ้นนิพพาน
อย่างที่ท่านคิดเข้าใจกันแต่อย่างใด
เพียงแต่พวกเขากำลังอยู่ในเส้นทาง
"หยิบปัญญามานิพพาน" กันเท่านั้น

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
ประทานคำตอบเหล่านี้แก่ลูกเพื่อโลก

เอเมน สาธุ
21-3-2017

วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560

แกะบางตัว


 
 
 
 
#แกะบางตัว

*มีรวงข้าว พราวไสว ในทุ่งกว้าง
ทุกรวงต่าง รอเคียว ไปเกี่ยวเก็บ
คนกับเคียว นั้นมี เท่าขี้เล็บ
ยากจะเก็บ เกี่ยวทัน วันน้ำมา

นี่ลูกแกะ มากมาย หายจากฝูง
ต้องลากจูง แกะหลง ถึงพงป่า
ต้องแบกขน แกะป่วย ช่วยนำพา
จนไหล่ล้า ขาเปลี้ย เพราะเสียแรง

ต้องจรจัด คัดปลา ตามหน้าที่
ปลาตัวดี คัดไว้ ไม่หน่ายแหนง
ปลาเหลวไหล ไม่ดี ป้ายสีแดง
เพื่อชี้แบ่ง คัดทิ้ง ยิ่งร้าวราน

โลกมนุษย์ สุดวิกฤต เพราะจิตป่วย
"เรา" ยังช่วย แกะหลง ส่งวรสาร
อดตาหลับ ขับตานอน มาเนิ่นนาน
เผชิญมาร หลากหลาย แทบวายชนม์

*แกะบางตัว กลับมา แล้วก็ไป
เพราะอยากหา สิ่งใหม่ ไว้แบกขน
ทิ้งของเรา หมดสิ้น ไม่ยินยล
ได้แต่บ่น ว่ากู "รู้หมดแล้ว"

*แกะบางตัว ขอเที่ยว สักเดี๋ยวก่อน
กินแล้วนอน ล่องเล่น เป็นทิวแถว
เก่งทางโลก รบรุก ได้ทุกแนว
แต่ผ่องแผ้ว ของจิต ไม่คิดทำ

*แกะหลายตัว ตามติด ไม่คิดจาก
เพราะใจ "อยาก" ฟังเทศน์ วิเศษล้ำ
แต่หลับบ้าง ฟังบ้าง หวังจะจำ
เรียนจนค่ำ กลับบ้าน แค่ฝันไป

*แกะบางตัว ชั่วชาติ ขาดสติ
มางุงิ โง่เง่า สามหาวใส่
ก้าวล่วงเรา ก้าวร้าว น่าเศร้าใจ
ดั่งปัญญา บอดใบ้ ไม่ได้ความ

*แกะบางตัว ยึดติด ไตรปิฏก
ท่องเป็นนก จำเก่ง น่าเกรงขาม
แม้รู้ธรรม ไม่นำ มาทำตาม
ดีแต่พล่าม อวดธรรม เหมือนกรรมบัง

*แกะบางตัว มัวเมา เจ้าลัทธิ
อุตริ อวิชชา พาถอยหลัง
บ้าทำบุญ หนุนไว้ วัดไหนดัง
เพื่อเพียงหวัง บุญใหญ่ ไปนิพพาน

*แกะบางตัว ตนเอง ไม่ใส่ใจ
กลับชวนใคร ต่อใคร ให้ต่อต้าน
ทั้งขัดขวาง ขัดคอ ก่อรำคาญ
เหมือนเห็นมาร ทุกที ที่เห็นเรา

เอเมน สาธุ
กราบพระบาทพระบิดา

ป.วิสุทธิปัญญา
20-3-2017