วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

สื่อพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล: ร่างกายมนุษย์สุดมหัศจรรย์กว่าที่คิด




สื่อพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล: ร่างกายมนุษย์สุดมหัศจรรย์กว่าที่คิด: ร่างกายมนุษย์สุดมหัศจรรย์กว่าที่คิด เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์บนโลกเสรี เป็นสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งมีความพิเศษสุดเหนือสรรพสิ่งอื่นใด ... 1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

วิถีจิตจักรวาล เพื่อการหลุดพ้นในภพชาติเดียว




มรรควิถีจิตจักรวาล
...........................
เพื่อให้ท่านที่ปรารถนาการหลุดพ้นในภพชาติเดียว
ก่อนปฏิบัติการเปลี่ยนยุคของดาวโลกเสรีสิ้นสุดลง
มีบริบทในการดำเนินชีวิตที่ชัดเจนขึ้น
เราจึงจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
ท่านทั้งหลายจักต้องสร้างพฤตินิสัย
ทั้งจิตและกายให้เป็นธรรมชาติไว้ดังนี้

1.ท่านต้องบำเพ็ญทานเป็นนิจ
...........................................
การบำเพ็ญทาน คือ
การรักและการให้ด้วยจิตและกายเป็นประจำ
รักใครก็ได้....รักได้โดยไม่มีเงื่อนไขที่จะรัก
ให้ใครก็ได้....ให้ได้โดยไม่มีเงื่อนไขที่จะให้
แต่จะเป็นการรักและการให้
ที่จะช่วยให้ท่านมีความสุขที่ได้รักหรือได้ให้นั้น

การมีจิตเมตตา กรุณา มุทิตา ปรารถนาดี
การมีจิตอดทน อดกลั้น ให้อภัย
การเสียสละให้ การแบ่งปันให้ การแลกเปลี่ยนให้
พฤติกรรมทางจิตและกายทั้งหลายเหล่านี้
ล้วนเป็นพฤติกรรมแห่งรักและวิธีการให้
ที่ท่านทั้งหลายสามารถแสดงออกมาในชีวิตประจำวัน
ต่อเพื่อนร่วมสังคม เพื่อนร่วมชาติ เพื่อนร่วมโลก
เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนร่วมชีวิตได้เสมอ

2.ท่านต้องครองศีลเอาไว้ตลอดเวลา
....................................................
การครองศีลไว้ตลอดเวลา คือ
การไม่ประพฤติตนก้าวล่วงใครๆ
ไม่ว่าด้วย กาย วาจา หู ตา และจิตใจโดยเด็ดขาด

ต้องไม่เหยียบเท้าหรือกระทำการก้าวล่วงใคร
จนเป็นเหตุให้เขาโกรธแค้นหรือจิตเสียสมดุล

ต้องไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพราะท่านเป็นต้นเหตุ
ต้องไม่พูดจาว่าร้ายผู้อื่นทั้งต่อหน้า
และต้องไม่นินทาผู้อื่นลับหลัง
ทั้งนี้แม้ว่าตัวเขาคนนั้นจะเลวจริงหรือไม่ก็ตาม

ต้องไม่สอดรู้เรื่องราวส่วนตัวอันเป็นความลับของผู้อื่น
ต้องไม่เชื่อคำยุแยงยุแหย่ของคนอื่นเสียจนจิตตก
ต้องไม่นึกลบหรือมองผู้อื่นในแง่ร้ายอยู่ด้านเดียว

โดยทั้งหมดที่กล่าวมานั้น
ท่านจะต้องละเว้นการกระทำทันทีนับแต่นี้ไป

ไม่ว่าเขาจะเป็นสามีหรือภรรยาของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นบุตรบริวารของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นผู้มีพระคุณของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นเพื่อนร่วมงานร่วมสังคมของท่าน
ไม่ว่าเขาจะคุ้นเคยกับท่านหรือเป็นคนแปลกหน้า
ไม่ว่าเขาจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้สูงส่งหรือจะต่ำต้อยกว่าท่าน
ไม่ว่าท่านจะมองเห็นเขาหรือมองไม่เห็น

พฤติกรรมการก้าวล่วงผู้อื่นเหล่านี้

ท่านจักต้องไม่กระทำโดยประมาท
คือรู้แล้วว่าไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่ดีงาม
แต่ท่านก็ยังฝืนที่จะกระทำมัน.....

ท่านจักต้องไม่กระทำเพราะขาดสติ
เป็นต้นว่ากระทำไปตามอารมณ์ไม่ดีของท่านเอง
หรือกระทำไปตามสันดานเคยตัวของท่านเอง
โดยไม่คิดพิจารณาให้รอบคอบ
ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจพูดหรือกระทำมันออกไป เป็นต้น

3.ท่านต้องภาวนาตลอดเวลา
.........................................
คำว่า "ภาวนา" ในที่นี้เราหมายถึง
การครุ่นคิด-ใคร่ครวญ-การทบทวนซ้ำ
ในสิ่งใดเรื่องใดที่ท่านได้สัมผัสรู้ดูเห็น
เพื่อประโยชน์แห่งการเรียนรู้มันให้ลึกซึ้งถ่องแท้
และหรือเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจ
ตอบสนองเงื่อนไขนั้นๆได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
โดยต้องไม่ไปก้าวล่วงใครอื่นให้เขาเสียสมดุล

ท่านจักต้องบำเพ็ญตนเป็นนักคิดผู้องอาจ
คือ คิดบวก และคิดด้านบวก
คือ คิดมากๆ แต่ไม่คิดมาก
คือ รู้วิธีที่จะคิดด้วยปัญญาของสมองตนเอง
คือ ไม่ดีแต่จะนึกแล้วพูดแล้วทำ
โดยไม่ฝึกที่จะนึกแล้วนำสิ่งที่นึกนั้นมาขบคิด
ก่อนตัดสินใจแสดงออกไปตามที่คิดดีแล้วนั่น

4.ท่านต้องมีสมาธิขณะภาวนา
...........................................
ขณะที่ท่านกำลังใช้สติปัญญาพิจารณา
ท่านจักต้องมีสมาธิในการคิดด้วย

ความเฉลียวฉลาดทางปัญญาสูงๆ
ที่จะใช้เพื่อการคิดด้วยสมองของท่านนั้น
มันจักต้องได้มาจากสภาวะจิตที่มีพลังอำนาจสูงๆ

คนที่มีพลังอำนาจจิตสูงๆ คือ คนที่มีจิตใสใจสวย
โดยคนที่จิตใสใจสวย คือ
คนที่จิตสั่นสะเทือนเป็นความรัก
เป็นการให้อยู่เนืองนิจ

คือ คนที่มีศีล อันหมายถึง
คนที่ไม่คิดก้าวล่วงใครในชีวิตเลย

ถ้าท่านเป็นผู้มีคุณสมบัติใน 4 บรรทัดข้างบนนั้น
พลังอำนาจจิตที่จะไปสั่นสะเทือนสมองเพื่อการคิด
ก็จะมีพลังอำนาจสูงมากไปตามนั้น

ถ้าท่านปรารถนาจะคิดพิจารณาสิ่งนั้นเรื่องนั้น
ให้ลึกซึ้งมากขึ้น แยบยลมากขึ้น
ให้เข้าถึงคำตอบในปัญหาที่ซับซ้อนยุ่งยากได้ดีขึ้น
ท่านก็จะต้องมีธรรมชาติสมาธิ หรือ "มหาสติ"
เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญเป็นตัวช่วยด้วย

เราได้กล่าวความจริงให้ท่านรู้ทั้งหมดแล้วว่า
ถ้าปรารถนาจะหลุดพ้นในชาติเดียวนี้
ท่านจักต้องมุ่งมั่นปฏิบัติในสิ่งที่เรากล่าวไว้
อย่าได้ขาดตกบกพร่องหรือว่างเว้นเลย

เพราะเพียงท่านรักษา 4 ประการนี้เอาไว้ได้
ท่านจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่.....

1).สามารถหมุนธรรมจักรได้สำเร็จ
2).ไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่มให้จิตวิญญาณท่านต้องเดือดร้อน
3).แก้ไขกรรมเก่าจากอดีตชาติให้ลุล่วงได้ในชีวิตประจำวัน

ขอให้ทุกท่านก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
สู่การหลุดพ้นในภพชาตินี้โดยทั่วกัน

เอเมน....สาธุ.......

ป.วิสุทธิปัญญา
3-1-2014



เราขอกล่าวตามความจริงว่า
เรามาจากพระบิดา
พระองค์ทรงใช้เรามา

มา...เพื่อมอบความรักจากพระองค์ให้กับท่าน
มา...เพื่อแจ้งข่าวสารการชำระโลก
มา...เพื่อการเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
มา...เพื่อนำพาแก่นแท้ของท่านกลับบ้าน
มา...เพื่อการพิพากษาโลก

เรามิได้มาเพื่อสร้างลัทธิใหม่/ศาสนาใหม่
แต่เรามาเพื่อประกาศว่า
ทุกศาสนาล้วนเป็นสากลและเป็นหนึ่งเดียวกัน

เรามิได้มาสร้างสำนักใดๆบนโลกใบนี้
แต่เรามาสร้างสำนึกใหม่ให้กับท่าน
นั่นคือ สำนึกแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน

เอเมน....สาธุ......

ป.วิสุทธิปัญญา
4-1-2014