วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อะไร คือ ความสุข?




อะไร คือ ความสุข?
.........................

ความสุข คือ อาการอย่างหนึ่งของจิต ในสภาวะสงบ
ถ้าจิตไม่สงบ นั่นคือ สภาวะที่เป็น "ความทุกข์" ทั้งสิ้น

ความไม่สงบของจิต เกิดจากกิเลส ตัณหา และราคะจริต
ถ้าจิตเธอไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ได้ นั่นคือ "จิตว่าง"

เมื่อเกิดสภาวะแห่งความว่าง เธอก็จักเข้าถึงความสงบ
และความสงบที่เธอประสบนี่ไง
ที่เรียกได้ว่า "ความสุข" แท้.......

ป.วิสุทธิปัญญา
ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก UCSA
09-07-2014

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คัมภีร์แห่งธรรมจักร



คัมภีร์แห่งธรรมจักร:
............................
1.จิตวิญญาณของทุกท่านในทุกภพชาติ
ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็น "คน" นั้น

จักต้องเรียนรู้ที่จะ "คนตนเอง" ให้เป็น "มนุษย์"
จักต้องเรียนรู้ที่จะ "คนตนเองให้เข้ากันได้ดี" กับผู้อื่น
จักต้องเรียนรู้ที่จะ "คนตนเองให้เป็นหนึ่งเดียว" กับโลก

จักต้องเรียนรู้ที่จะ "คน" ตนเองให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
กับผู้อื่น กับโลก และกับจักรวาลอันไพศาลนี้

2.การคนตนเองให้เป็นมนุษย์หมายถึง
การที่ท่านสามารถใช้กลไกอายตนะภายนอก
เช่น ตา หู จมูก ลิ้นหรือปาก มือ และเท้า
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งต่างๆรายรอบตัว

แล้วนำเอาผลแห่งการสัมผัสนั่น
มาสั่นสะเทือนจิตใจที่ข้างใน
เพื่อให้เกิดเป็นความรักเพื่อให้

มาสั่นสะเทือนจิตใจที่ข้างใน
เพื่อให้เกิดเป็นความสุขสงบ
แล้วใช้สภาวะจิตที่สุขสงบนั้น
ไปสั่นสะเทือนทางปัญญาของสมองสองซีก
เพื่อสร้างกระบวนการคิดต่อไป

ก่อนที่จะตัดสินใจแสดงออกหรือกระทำ
พฤติกรรมที่เหมาะสมดีงาม
ต่อเพื่อนร่วมโลกได้ทุกสิ่ง

3.ถ้าท่านสามารถเข้าถึงความจริงที่จริงแท้
ในสองประการที่กล่าวมานั้นได้ก็เท่ากับว่า
ท่านเข้าถึงการคนตนเองให้เป็นมนุษย์
หรือท่าน "หมุนธรรมจักร" สำเร็จแล้ว

แต่ถ้าท่านมิอาจเข้าถึงได้ในสองประการที่กล่าวมา
โดยจิตเกิดการสั่นสะเทือนเป็นลบขึ้นมาแทน
จนยังผลให้เกิดความไม่สงบที่ในจิต
จนไม่สามารถเข้าถึงความรักและความคิด
ที่ถูกต้องเหมาะสมและดีงามต่อผู้ใดได้
นี่เท่ากับว่าท่าน "หมุนกรรมจักร" แทนเสียแล้ว

4.ถ้าหากท่านสามารถหมุนธรรมจักรได้
ปฏิบัติการนี้จะยังผลให้
เกิดพลังงานด้านบวกขึ้นมาได้
ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่ทุกคนทุกสรรพสิ่งและดาวโลกล้วนต้องการ

แต่ถ้าท่านหมุนกรรมจักร
ปฏิบัติการนี้ก็จะยังผลให้
เกิดพลังงานด้านลบขึ้นมาแทน
ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
ที่ทุกคนทุกสรรพสิ่งและดาวโลกไม่ต้องการ

5.พลังงานด้านบวก
จากการสั่นสะเทือนทางจิตปัญญา
เป็นพลังงานสร้างสรรค์
นั่นคือ บุญกุศล

พลังงานด้านลบ
จากการสั่นสะเทือนทางจิตปัญญา
จักเป็นพลังงานขยะ
นั่นคือ บาปกรรม

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
10-07-2015

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การใช้สมองซีกขวา




เราจะกล่าวความจริงเบื้องต้น
ต่อท่านทั้งหลาย
ถึงลักษณะการใช้สมองซีกขวาเอาไว้ว่า

มันจะต้องสั่นสะเทือนด้วยจิตกับสมองซีกซ้าย
เพื่อการนึกคิดให้ได้ผลลัพธ์หรือผลึกการคิดก่อน
จากนั้นจึงนำคำตอบหรือองค์ความรู้ที่ได้
มาพิจารณาด้วยสมองซีกขวา
ในระบบ "กดปุ่ม" ต่อไป

วิธีการกดปุ่มง่ายๆมีดังนี้:

1.ใช้จิตกับสมองซีกซ้ายนึกคิดพิจารณา
อย่างมีเหตุผล

2.นำองค์ความรู้ซึ่งเป็นคำตอบที่ได้จากข้อ 1.
มาคิดต่อด้วยสมองซีกขวา

3.การคิดด้วยสมองซีกขวาจะเป็นแบบนี้

3.1 คิดด้วยจิตที่ว่างไปจากอารมณ์หยาบๆรายวัน
ทั้งปวงในขณะนั้น

3.2 คิดเพื่อให้ไม่คิดเพื่อเอา

3.3 คิดเพื่อค้นหาคุณค่าของสิ่งนั้นๆ
หรือ ค้นหาสัจธรรมจากสิ่งนั้นนั่นเอง

3.4 ไม่ตีกรอบการคิดไว้ด้วยวิธีคิดแบบเดิมๆ
มุมมองแบบเดิมๆ

3.5 ไม่ตั้งเป้าหมายในผลลัพธ์ของการคิด
ว่าต้องคิดให้ออก คิดให้ได้ ภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้

3.6 ไม่คาดหมายไว้ล่วงหน้าว่า
ผลลัพธ์การคิดจะต้องออกมาแบบนั้นแบบนี้

3.7 มีความสุขและจิตสงบขณะกำลังคิด

3.8 คิดให้ได้อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะคิดออกคิดได้

3.9 มีศรัทธาในสิ่งที่กำลังคิด
โดยเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กำลังคิดนั้นเป็นสิ่งดี

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
8-07-2015

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การเรียนรู้ที่ถูกต้อง จักควรสิ้นสุดที่การ "เข้าถึง"




เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เราเคยพร่ำเตือนพวกท่าน
ให้หมั่นเข้าห้องเรียนทุกวัน
ให้ขยันฝึก "มหาสติ"
โดยมีสไลด์คำสอนสำคัญๆ
เพื่อเตรียมผจญบททดสอบกันให้ล่วงหน้าด้วย
(นึกไม่ออกก็ให้ย้อนกลับไปดู)

ต่อนี้ไป.....
เมื่อได้เห็นคำสื่อสอนจากพระบิดาผ่านมาทางเรา
ไม่ว่าสไลด์ใด คำสอนใด คำเตือนใด

ให้ถามตนเองว่าท่านจะทำอย่างไร
สไลด์กับพระโอวาทจึงจะผันจาก "เข้าตา" คือ รู้เห็น
เปลี่ยนมาเป็น "เข้าใจ"

สุดท้ายเมื่อท่านเข้าใจข้อความนั้นๆแล้ว
ท่านจะซาบซึ้งด้วยการ "เข้าถึง" คำสื่อสอนนั้นๆ
ด้วยการนำมาใช้ในชีวิตประจำวันกันอย่างไร

เพียงแค่เข้าตา เข้าใจ
แต่มิอาจ "เข้าถึง" กันได้
พระโอวาทหรือพระวจนะดีๆใดๆ
ท่านก็จะมิอาจยังประโยชน์ใดๆได้เลย

การเรียนรู้ที่ถูกต้อง
จักควรสิ้นสุดที่การ "เข้าถึง"
มิใช่แค่การอ่านให้เข้าตาแล้วรู้สึกว่า "เข้าใจ"
โดยท่านมิอาจสร้างความแข็งแรงให้แก่แก่นแท้ได้

ท่านจงจำไว้เป็นบทเรียนว่า
"ศัตรูทั้งหลาย" ยังมีอยู่มากมายในชีวิตท่าน
"หมู่มารทั้งหลาย" ก็ยังวนเวียนอยู่รอบกายท่าน

ไม่เห็นตัวไม่เห็นหน้าไม่เห็นนัย
รู้หน้ารู้ตัวไม่รู้ใจ
การเตรียมพร้อมตั้งรับศัตรูและหมู่มาร(ทั้ง 3 ตัว)
เพื่อการข้ามผ่านบททดสอบทั้งยากและง่าย
จึงเป็นหลักสูตรเร่งรัดของท่านล่ะนะ

ขณะสนามแม่เหล็กโลกกำลังอ่อนแอลงทุกวัน
เพราะการมีจิตสำนึกตกต่ำของชาวโลก
จึงยังผลให้ประตูมิติที่เคยปิดกั้นกักกันหมู่มารไว้
เริ่มมีอาการสั่นไหวไม่แข็งแรงจนแง้มออก
ประดาศัตรูแห่งพระเจ้า
อุปสรรคแห่งเหล่าเราต่างล้นทะลักกันออกมา
จักเป็นขวากหนามที่ทุกท่าน
ต้องข้ามผ่านกันไปให้ได้
ด้วยการใช้องค์ความรู้ทุกสิ่งอย่างจริงจัง
ผ่านการครองมหาสติในชีวิตประจำวัน
และแสดงปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจนไว้

โอม...สงบ
โอม...สติ...มหาสติ
โอม...สำรวม
โอม...อโหสิ

ต่อนี้ไป...
พวกท่านทั้งหลาย
อย่าได้แต่กราบพระบาท
อย่าได้แต่กราบขอบพระทัย
แล้วยกพระโอวาทขึ้นไว้บนหิ้งบูชา

แต่ท่านจักต้องน้อมนำมาสถิตย์เอาไว้ที่จิตใจ
เพื่อการพร้อมใช้ตลอดเวลา

จงอย่าเก็บธรรมะใดๆเอาไว้แค่ "ปาก"
เพราะปากเป็นเพียงแค่ช่องทางหรือประตู

จิตตปัญญาของท่านต่างหาก
จักเป็นผู้ใช้ปากของท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

นี่ไง....
พระโอวาทจึงสมควรสถิตย์เอาไว้ที่จิตใจ
มิใช่เก็บไว้ที่ปาก...
เหมือนอย่างที่ผ่านมา

เรารักพวกท่านทุกคน

กราบพระบาทพระบิดาแห่งมหาจักรวาล

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
7-07-2015

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

มรรควิถีแห่งจิตจักรวาล





นักเรียนที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านว่า
ทุกสิ่งทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตท่าน
ไม่ว่าจะโลดโผนตื่นเต้นเร้าใจแค่ไหน
ไม่ว่าจะมีใครสักกี่คนเป็นตัวแสดง
ไม่ว่าจะราบเรียบรื่นรมย์รุนแรงปานใด
มันล้วนเป็นมายาแห่งบททดสอบแทบทั้งสิ้น
มายาแห่งบททดสอบ
หมายถึง "บทละคร" ที่ถูกพวกท่านนั่นแหละ
ขีดเขียนกันมาว่าจะเล่นบทไหนกับใคร
โดยหน้าที่ของพวกท่านที่จะสอบผ่านบททดสอบได้
ก็ด้วยการใช้ความรักและปัญญาที่มีอยู่
ค้นหาคำตอบให้ตนเองให้จงได้ว่า
กับเงื่อนไขในบทละครดังกล่าวนั้น
ท่านจะทำอย่างไรจึงจะสามารถข้ามผ่านหรือฟันฝ่า
อุปสรรคปัญหาที่เป็น "มายา" นั้นๆไปได้
อย่างสง่างามนั่นเอง
ท่านจึงต้องไม่สั่นไหวไปกับบทละครแห่งมายา
ในยามต้องเผชิญหน้ากับเงื่อนไขบททดสอบ
เพราะหน้าที่ของท่านคือ "คิดพิจารณา"
และ "ตัดสินใจ" กระทำตอบสนอง
ให้ถูกต้องในทุกกรณี
ท่านจึงไม่ควรตกหลุมพรางแห่งความถูกผิด
นอกจากเรียนรู้ที่จะรักษาความเป็นมิตรต่อกันไว้
ท่านจึงไม่ควรตกหลุมพรางแห่งอารมณ์ขยะ
นอกจากจะอดทน อดกลั้น ให้อภัยหรืออโหสิ
ต่อผู้ร่วมแสดงละครเวทีเดียวกันกับท่านทุกๆคน
เพื่อเหวี่ยงหมุนธรรมจักรร่วมกันให้จงได้
ทั้งหมดนี้...
เป็นมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
ในการสอบผ่านบททดสอบจิตสำนึก
เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันโดยแท้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-07-2015

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ผู้ปรารถนาการรู้แจ้ง



บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

ศัตรูจะเป็นผู้ทดสอบจิตตปัญญา
สำหรับผู้ปรารถนาการรู้แจ้ง
เธอจึงสมควรขอบใจผู้ทำตนเป็นศัตรูกับเธอ
เพราะแท้จริงนั้นพวกเขา คือ ผู้ช่วยเหลือเธอ
ให้มีสภาวะจิตใสใจสวยด้วยบททดสอบ
ที่หยิบยื่นมาให้เธอนั่นเอง

สำหรับ "มาร" นั้น
ไม่ว่าจะเป็นมารภายใน มารมนุษย์ หรือมารภูติ
ก็ล้วนเป็นผู้ทดสอบมหาสติ
ช่วยยกระดับจิตตปัญญาและช่วยเพิ่มบารมี
บนมรรควิถีแห่งการหลุดพ้นให้แก่เธอทั้งหลาย

ดังนั้น....
ทั้งศัตรูและหมู่มาร
จึงมิอาจทำอะไรพวกเธอได้
หากพวกเธอยังครองมหาสติเอาไว้
โดยยึดปณิธานแห่งนิพพานให้มั่นคง

สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
ในระบบจิตสู่จิต โดย:

อ.ปริญญา ตันสกุล
ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก UCSA
3-07-2015

มาร



นักเรียนที่รักทั้งหลาย....

ระดับศัตรูน่ะ...พบง่ายในชีวิตประจำวัน
เพราะพวกนี้ไม่ซ่อนเร้นตนเอง
ไม่ปิดบังอำพรางตัว
แต่ชอบที่จะแสดงตนอย่างเปิดเผย
ส่วนมากจะเป็นศิลปินเดี่ยว

แต่ระดับ "มาร" นั้นพบยาก
โดยเฉพาะมารมนุษย์
เพราะชอบทำตัวแฝงเร้น คอยเล่นงานทีเผลอ
คอยฉวยโอกาสหาช่องว่าง แทรกช่องโหว่
เพื่อทำความเสื่อมเสียให้ผู้อื่น

ไม่มีสำนึกในบาปบุญคุณโทษ
ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ไม่รู้กงจักรไม่รู้ดอกบัว
ชอบเล่นอวิชชา บ้าของต่ำ่ๆ
ทำตัวเป็นฝูงๆ

ถ้าท่านมีธรรมะ เป็นคนดี
มีเมตตาธรรมสูง และมีมหาสติ
มารเหล่านี้จะเป็นผู้ช่วย
พอกพูนบารมีด้านแก่นแท้
ให้แก่ท่านดีนักแล....

พระพุทธองค์ทรงกำราบมารได้ด้วยความสงบ
เมื่อสยบมารที่จิตตนทุกครั้งบารมีจึงเพิ่มพูนทุกครั้ง
จึงเหมาะยิ่งแล้วที่นักเรียนจะแผ่เมตตาให้กับมาร

เอเมน สาธุ
โอม...สิ.....

ป.วิสุทธิปัญญา
4-07-2015

ถ้าจิตตก จะปากเสีย ถ้าจิตเสีย จะปากพล่อย



เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาทรงกำหนดสร้าง "ปาก" ของท่านไว้
เพื่อภารกิจหลักอยู่ 2 สิ่ง คือ

1.การรับเอาสิ่งดีๆมีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย
2.การนำเอาสิ่งดีๆที่มีประโยชน์ออกมาจากข้างใน
เพื่อหยิบยื่นให้แก่ผู้อื่น

*เมื่อใดก็ตามที่ท่านจิตตก
หรือเกิดการสั่นสะเทือนด้านลบ
จากการสัมผัสรู้ดูเห็นบางสิ่ง เช่น สัตว์ทั้งหลาย
แล้วท่านกลับไปนึกถึงอาหาร
นี่จึงเป็นอาการของคน "จิตตก"

เมื่อนึกถึงอาหารในขั้นตอนที่จิตตกแล้ว
ปากของท่านก็จะเสียตามมาอีกด้วย
โดย "ปากเสีย" ในขั้นแรกนั้นมักจะเหมือนๆกัน
นั่นคือการกล่าวเพื่อเอาชีวิตของสัตว์นั้น
เช่น เมื่อท่านเห็นปูทะเลก้ามใหญ่
แล้วทำให้ท่านนึกถึงอาหารแบบปูอบวุ้นเส้น
นี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งของอาการ "จิตตก" ล่ะนะ

พอนึกถึงปูอบวุ้นเส้น
ก็อยากรับประทานขึ้นมาทันที
ท่านจึงอ้าปากร้องสั่งเมนูปูอบวุ้นเส้น
การร้องสั่งอย่างนี้จึงเป็นกรณี "ปากเสีย" แล้วล่ะ

*ส่วนกรณีจิตเสียแล้วปากพล่อยนั้น
หมายถึง.....

1.จิตเสีย หมายถึง การมีนิสัยทางจิตที่ไม่ดี
เช่น มีอาการต่างๆดังต่อไปนี้

1.1 ขี้โมโห
1.2 ขี้อิจฉา
1.3 ขี้บ่น
1.4 ขี้งก
1.5 ขี้ระแวง
1.6 อื่นๆ

2.นิสัยทางจิตที่ไม่ดีในข้อ 1 นั้น
หากเกิดขึ้นกับใครแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น "ขี้ตัวไหน"
ล้วนจะนำไปสู่การปากพล่อยได้ทั้งนั้น

3.คำว่า "ปากพล่อย" หมายถึง
การพูดออกมาโดยขาดสติเพื่อการยั้งคิด
คงได้แต่นึกแล้วก็พูดออกไปทันที
ซึ่งมักสร้างความเสียหายให้แก่ตนเองและผู้อื่นอยู่เนืองๆ

ดังนั้น....
ไม่ว่าจะเป็นกรณีจิตตกเพราะถูกยั่วยุหรือยั่วเย้า
ให้เกิดการเสียสมดุลชั่วคราว
หรือว่าเป็นกรณีจิตเสียเพราะนิสัยทางจิตไม่ดี
ล้วนนำไปสู่การเป็น "คนปากเสีย ปากพล่อย"
จำพวกปากเป็นพิษได้เสมอ

เมื่อท่านย่างกรายไปทางไหน
จึงมักจะเพาะศัตรูเอาไว้ที่นั่นเสมอ
ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
ท่านทั้งหลายจักต้องระวังปากเอาไว้ให้จงหนัก

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
5-07-2015

มรรควิถีจิตจักรวาล



*ถ้าไม่ใช่คนชั่ว จะกลัวนรกไปทำไม
ถ้าจะเป็นคนดี ไม่ต้องมีสวรรค์ก็ได้
ถ้าปรารถนาการหลุดพ้น
จงสนใจใฝ่ปฏิบัติธรรม
ด้วยการกระทำที่จิตสำนึกตนเอง
มรรควิถีจิตจักรวาล
เราสื่อสอนพวกท่านว่าดั่งนี้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-07-2015