วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

อนันตริยกรรม





ตอบคำถาม: Cjw Surin ·
เรียนถามท่าน อาจารย์ว่า
*************************
Question:
3. ทำไมการฆ่าตัวตาย
แล้วต้องรับผลของกรรมด้วยการ
ฆ่าตัวเองอีกถึงเจ็ดครั้ง เจ็ดชาติ

Answer:
1.เคยได้ยินคำกล่าวแต่โบราณที่ว่า
"ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน" มั้ยล่ะท่าน

2.ปกติแล้วจิตวิญญาณมนุษย์ในแต่ละคน
จะมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 6 เหลี่ยมมุม
โดยจะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพื่อรักษาสมดุลของตนเองไว้

3.ถ้าดวงจิตวิญญาณใดเกิดการเสียสมดุลขึ้น
เพราะจิตหยาบกระทำผิดบาปซ้ำๆกันเรื่อยๆ
ในชีวิตประจำวันโดยไม่หมั่นขัดเกลา
เช่น กิเลสหนา ตัณหามาก
มีอารมณ์ขยะหรือโทสะจริตรุนแรง

มันจะยังผลให้แรงสั่นสะเทือนด้านบวก
อันเป็นคุณสมบัติเดิมแท้ของจิตวิญญาณ
ถูกถ่วงรั้งด้วยคลื่นความถี่ด้านลบ
ที่จิตหยาบสั่นสะเทือนเข้าสอดแทรก
จิตวิญญาณนั้นก็จะสั่นสะเทือนด้านบวกลดลง
อันหมายถึงเกิดการเสียสมดุลไปจากเดิม

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

แรงสั่นสะเทือนด้านบวกของแก่นแท้
มันจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับ
จำนวนเหลี่ยมมุมของรูปธรรมนั้น
กับอัตราเร็วในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ของรูปธรรมนั้นๆด้วย

ถ้าแรงสั่นสะเทือนภายในของรูปธรรมนั้น
มีค่าไปในทางลดต่ำลงจากค่าคงที่
ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดให้จิตวิญญาณ
ถือติดตัวมาเกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่ชาติแรก

มันจะเป็นเหตุให้รูปทรงเรขาคณิต
ที่เป็น 6 เหลี่ยมมุมนั้นสูญเสียรูปทรง
แปลว่าเป็นรูป 6 เหลี่ยมมุมที่บิดเบี้ยว
จะไม่เป็นรูปทรงหกเหลี่ยมมุม
ของ 3 เหลี่ยมด้านเท่าอีกต่อไปแล้ว

4.ดังนั้น
คนที่ผ่านการเกิดมาแล้วหลายภพชาติ
ถ้าไม่ถือครองดวงธรรม 2 ดวงเลย
คือ มหาสติ กับปณิธานแห่งนิพพาน
ดวงจิตธรรมญาณก็จะเสื่อมสมดุลลงเรื่อยๆ

สาเหตุที่รูปทรงเรขาคณิตบิดเบี้ยว
เพราะพลังที่จะใช้เหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
มีค่าต่ำลง น้อยลงไปจากค่าคงที่
ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดิมแท้นั่นเอง

5.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
นอกจากกิเลสหนา ตัณหาเยอะจัดแล้ว
การกระทำผิดบาปของจิตหยาบ
ที่หนักหนาร้ายแรงเป็นเบื้องต้น
คือ รักไม่ได้ ให้ไม่เป็น เห็นแก่ตัว
นึกลบ ทำผิด คิดชั่ว ก้าวล่วงผู้อื่น เป็นต้น

มันล้วนมีผลกระทบต่อจิตวิญญาณ
ให้เกิดการเสื่อมสมดุลไปทีละน้อยๆ
จนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะ
เกิดเป็นมนุษย์ได้อีกแล้วในที่สุด

ส่วนความผิดบาปขั้นรุนแรงที่สุดก็คือ
การปองร้ายหมายชีวิตและก้าวล่วง
บุคคลผู้มีความสมดุลทางจิตวิญญาณ
กับการกระทำอัตวินิบาตกรรมตัวเอง
มันจะยังผลให้จิตวิญญาณนั้น "ช็อค"
จนเกิดอาการเสียยสมดุลอย่างรุนแรง
เพราะ "ความกลัว" โดยแท้

อย่างแรก คือ "กลัวบาป" จนต้องตกนรก
โดยมิมีโอกาสได้ผุดได้เกิดอีก
จิตวิญญาณนั้นจึงกลัวกลับบ้านไม่ได้
ก็เลยเกิดอาการเสียสมดุลอย่างรุนแรง

อย่างที่สอง คือ "กลัวตาย"
จิตวิญญาณกลัวการตายก่อนสิ้นอายุขัย
และกลัวว่าโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่นั้น
มันมิใช่จะได้มาง่ายๆ
ก็เลยเกิดอาการเสียสมดุลอย่างรุนแรงเช่นกัน

6.อาการช็อคทางจิตวิญญาณที่รุนแรง
จากสาเหตุทั้ง 2 ตัวอย่างที่กล่าวมา
มันคือ "กรรมหนัก" จัดเป็น "อนันตริยกรรม"
เพราะมันจะทำให้การสั่นสะเทือนด้านบวก
ภายในรูปธรรมนั้นสะดุดลงกระทันหัน
และจะถูกบีบคั้นอย่างต่อเนื่อง

ผลก็คือจะเกิดการเสียสมดุลรุนแรงกว่าปกติ
จนรูปธรรม 6 เหลี่ยมมุมนั้นเกิดการบูดเบี้ยว
อันยากแก่การปรับสมดุลด้วยตนเองได้

7.วิธีการแก้ไขเยียวยาเพื่อปรับสมดุล
ขั้นตอนแรกจึงต้องส่งไปลงนรก
ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทางจิตวิญญาณ
ไปบำบัดขัดเกลาปรับสมดุลที่เสียไปกลับคืน
ด้วยการให้เห็นภาพการฆ่าตัวตายของตน
ตั้งแต่ต้นจนจบทุกแง่มุม ทุกขั้นตอน
แล้ว "บังคับ" ให้ทำแบบที่เคยทำนั้น
เพื่อฆ่าตัวตายรวมครั้งเท่ากับอายุขัยก่อนตาย

ถ้าฆ่าตัวตายตอนที่อายุได้ 59 ปี
ก็จะถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายตามวิธีที่เคยทำ
รวมจำนวนฆ่าตัวตาย 59 ครั้ง
มันจึงจะสามารถคืนสมดุล 6 เหลี่ยมมุม
ให้แก่จิตวิญญาณของคนๆนั้นได้ดังเดิม

จากนั้นก็จะเปิดโอกาสให้กลับสู่การเกิดใหม่
เพื่อจะมาฆ่าตัวตายอีก 7 ภพชาติ
จนกว่าจะเกิดสำนึก "รักตนเอง" อย่างแท้จริงได้
เพราะคนที่ฆ่าตัวตาย คือ คนไม่รักตนเอง
ถ้ามนุษย์รักตนเองไม่เป็นเสียแล้ว
จะรักคนอื่นได้หรือ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน

ต่อคำถามที่ว่า ทำไมต้อง 7 ภพชาติ
คำตอบก็คือ ฆ่าตัวตาย 1 ภพชาติ
จะได้รับการ "กระชากจิตสำนึก" 1 ครั้ง
เพื่อให้เกิดพลังเหวี่ยงหมุนที่เพิ่มขึ้น

ถ้ากระชาก 6 ครั้งพลังก็จะเพิ่มขึ้น 6 เท่า
แต่การเพิ่มแค่ 6 ครั้งด้วยพลัง 6 เท่านั้น
มันก็ยังเหวี่ยงหมุนด้วยพลังกระตุกที่จำกัดอยู่
ซึ่งอาจเหวี่ยงหมุนช้าลงจนเสียสมดุลอีกก็ได้
ถ้าได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่แล้ว
จิตถูกครอบงำด้วยอาสวะกิเลสเหมือนเดิมอีก

เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่ฆ่าตัวตายอีก
พระบิดาจึงทรงเมตตาให้ปรับสมดุล
ด้วยการกำหนดให้มาเกิดใหม่
เพื่อฆ่าตัวตายอีก 7 ภพชาติ
เพื่อจะกระตุกจิตวิญญาณผ่านจิตหยาบ
ด้วยพลังการกระตุก 7 ครั้ง
ในอันที่จะทำให้จิตวิญญาณหมุนต่อเนื่อง
มุมทั้ง 6 ของรูปธรรมก็จักสมดุลยั่งยืน

ทั้งนี้เพื่อให้เห็นคุณค่าแห่งการเป็นมนุษย์
เพื่อให้รู้รักเครื่องยนต์แห่งกรรมตนเอง
เพื่อให้เข้าถึงสัญชาตญาณรักตัวกลัวตาย
ซึ่งเป็นเป้าประสงค์ทางกายภาพอีกมิติหนึ่งด้วย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-3-2017

จง​ตาม​เรา​มา​เถิด  ปล่อย​ให้​คน​ตาย ​ฝัง​คน​ตาย​ของ​เขา​เอง​เถิด





ตอบคำถาม: สมกิจ รวยเต็มหัตถ์
Question:
***********
คำกล่าวประโยคที่ว่า
"จง​ตาม​เรา​มา​เถิด
ปล่อย​ให้​คน​ตาย
​ฝัง​คน​ตาย​ของ​เขา​เอง​เถิด" (มัทธิว. 8:22)
หมายความว่าอย่างไร?
Answer:
1."จงตามเรามาเถิด" หมายถึง
ถ้าท่านเชื่อในพระคำของพระองค์
ก็จงมุ่งปฏิบัติไปตามคำสอนนั้น
เพื่อการมีชีวิตนิรันดร์ของจิตวิญญาณ
ด้วยการหลุดพ้นออกไปจากระบบ
การหลุดพ้นออกไปจากระบบเอกภพได้
หมายถึง "การมีชีวิตรอด" นั่นเอง
2."ปล่อยให้คนตายฝังคนตาย
ของเขาเองเถิด" หมายถึง
เมื่อทรงเห็นมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งไม่เชื่อในการมีอยู่จริงของพระบิดา
ไม่ศรัทธาในคำสื่อสอนของพระองค์
ทั้งวางเฉย ทั้งเย้ยหยัน ทั้งต่อต้าน
จึงต้องทรงยอมให้ผู้คนเหล่านั้น
ดำรงตนเป็นเสมือน "คนที่ตายแล้ว"
เพราะทรงเห็นแล้วว่าคนพวกนี้
จะไม่สามารถนำความรอดหรือหลุดพ้น
มาสู่จิตวิญญาณตนเองได้
จึงเปรียบเหมือนผู้คนที่ตายแล้ว
ไม่ต่างจากบัวเหล่าสุดท้ายในสี่เหล่า
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเปรียบเปรยไว้
ซึ่งรังแต่จะเป็นอาหารของเต่าปูปลา
ย่อมไม่มีโอกาสที่จะโผล่พ้นน้ำ
ขึ้นมาชูดอกเบ่งบานได้อีกแล้ว
จึงจำต้องปล่อยไปตามยถากรรม
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-3-2017