วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ความสำรวม เป็นเครื่องมือชั้นดี








เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

สาเหตุหลักประการหนึ่ง
ซึ่งยังผลให้แก่นแท้ของท่านกลับบ้านไม่ได้
เพราะ "จิตไม่ใส ใจไม่สวย"
นั่นคือ พฤติกรรมการ "ก้าวล่วง" ผู้อื่น

"การก้าวล่วง" หมายถึง
พฤติกรรม "การก้าวก่ายและล่วงเกิน" ผู้อื่น
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของท่าน
ทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวได้เสมอ

การ "ก้าวก่าย" หมายถึง
การกระทำใดๆที่มิใช่หน้าที่ของตนเอง
แต่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้อื่น
จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นเกิดการเสียสมดุลไป
ทั้งทางโลกและทางจิตใจ

ตัวอย่างเช่น.....
การบังคับจูงใจผู้อื่นให้จำต้องทำ
ในบางสิ่งที่ท่านต้องการ
ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด
ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาป
โดยที่คนผู้นั้นเขาไม่เต็มใจที่จะกระทำ

ตัวอย่างเช่น.....
การจับสัตว์อันควรอยู่ตามธรรมชาติ
อันควรมีชีวิตเสรี
มากักขังหน่วงเหนี่ยวไว้
เพื่อดูเล่นหรือเป็นเพื่อนแก้เหงา
จนเขาไม่อาจดำเนินชีวิตไปตามธรรมชาติได้

ตัวอย่างเช่น......
การใช้อำนาจเหนือ
เพื่อตัดสินใจกระทำบางสิ่งแทนคนอื่นๆ
ทั้งๆที่เจ้าตัวเขามิได้ร้องขอหรือยินยอม
จนทำให้เขาสูญเสียสิทธิ
หรือเกิดการผิดพลาดจนทำให้เขาเสียหาย

ตัวอย่างเช่น.....
การนินทาว่าร้ายผู้อื่น
ด้วยการนำเอาเรื่องส่วนตัว
ซึ่งเป็นความลับของเขา
ไปขยายต่อบุคคลที่สาม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือใส่ร้ายเขาก็ตาม
จนทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า
หรือว่าเสื่อมเสียความน่าเชื่อถือทางสังคม

ส่วนการ "ล่วงเกิน" ผู้อื่นนั้น
หมายถึงการกระทำใดๆในมิติของจิตใจ
ซึ่งท่านสั่นสะเทือนมันอยู่แต่ข้างใน
โดยผู้ที่ถูกท่านล่วงเกินนั้นเขาไม่รู้ไม่เห็น

การล่วงเกินผู้อื่นในมิติแห่งจิตนี้
เป็นการกระทำผิดบาปผ่าน "จิต 3 นึก"
อันประกอบด้วยพฤติกรรมต่อไปนี้ คือ
นึกได้ นึกเอา และนึกเอง

"นึกได้" หมายถึง
การที่ท่านยังใส่ใจจดจำ
แต่ความไม่ดีงามของผู้อื่นอยู่เนืองๆ
ไม่ว่าความไม่ดีงามของเขาคนนั้น
ท่านเป็นผู้ถูกเขากระทำมาโดยตรง
หรือเป็นการรับรู้มาแบบเขาเล่าว่าก็ตาม

การนึกได้หรือจำได้แต่เรื่องลบๆ
มันจะมีผลต่อสภาวะจิตของท่าน
ให้สั่นสะเทือนไปในทางต่ำลง
ที่เรียกว่า "จิตตก" นั่นแหละ
บ่อยๆเข้าจิตของท่านก็จะเสื่อมพลังอำนาจ

"นึกเอา" หมายถึง
การที่ท่านสร้างนิสัยไม่ดีให้กับตนเอง
ด้วยการเป็นคนมองผู้อื่นในแง่ร้าย
เช่น ชอบคิดลบต่อผู้อื่นล่วงหน้า
ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าเขาคนนั้น
จะเป็นลบอย่างที่คิดจริงหรือไม่

พอคิดลบต่อเขาแล้วท่านก็จิตตกทันที
เสมือนท่านค้นพบความจริงได้ว่า
เขาคนนั้นเป็นลบต่อท่านแล้วจริงๆ

คนที่วิตกจริต
คือคนที่ชอบคิดลบเสียล่วงหน้า
แล้วพาให้ตนเองจิตตก
ทั้งๆที่เหตุการณ์นั้นยังมาไม่ถึง

คนขี้ระแวง
คือคนที่ชอบคิดลบต่อผู้อื่นสิ่งอื่น
แล้วปักใจเชื่อว่าที่ตนคิดนั้น
เป็นความจริง เป็นเรื่องจริงแน่
จนทำให้ตนเองเสียสมดุลทางจิตใจ
ยังผลให้ขาดความผาสุขในการดำเนินชีวิต

คนสองจำพวกนี้
เป็นตัวอย่างของคนที่บกพร่อง
ด้านการนึกของจิต
ในกรณีของการ "นึกเอา" นั่นเอง

ส่วนกรณีการ "นึกเอง"
หรือนึกเอาเอง
อันเป็นจิตนึกตัวที่สามจนรวมเรียกว่า
"จิตสามนึก" หรือ "จิตสำนึก" นั้น
หมายถึง การที่จิตของท่าน
ชอบจะไปเที่ยวคิดแทนคนนั้นคนนี้
แบบคิดเองเออเอง
บางครั้งก็คิดผิด บางครั้งก็คิดถูก

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
การนึกเอง หรือ "คิดแทน" คนอื่นน่ะ
มันเป็นพฤติกรรมการล่วงเกินทางจิต
ในมิติของแก่นแท้โดยตรง
ซึ่งเป็นความประพฤติ
ที่ขัดต่อหลักธรรมชาติของสรรพสิ่ง
ในจักรวาลของจิตจักรวาลคือพระบิดา

โดยที่ทุกสรรพสิ่งจักต้องดำรงอยู่ร่วมกัน
ด้วยหลักแห่งการสมดุลกันเสมอ

แต่ละสรรพสิ่งแม้จะมีอำนาจในตนเอง
แต่ก็จะไม่ใช้อำนาจนั้น
ไปกระทำต่อสรรพสิ่งอื่นให้เสียสมดุล
แต่จะใช้อำนาจของตนนั้นรักษาดุลยภาพ
ระหว่างตนเองกับสรรพสิ่งอื่นๆเอาไว้เท่านั้น

ดังนั้น
การนึกเองหรือคิดแทนคนอื่น
ที่ปกติแล้วมันมักจะเป็นไปในทางลบ
ก็ยังผลให้สภาวะจิตของท่านเสื่อมลง
ได้อีกเช่นกัน

เราจึงจะขอกล่าวความจริงเอาไว้ว่า
ถ้าท่านไม่ประสงค์จะทำร้ายจิตท่านเอง
จนเป็นอุปสรรคต่อการกลับบ้านคือนิพพาน
ก็จงหยิบเครื่องมือชิ้นหนึ่งขึ้นมาใช้
เราขอเรียกเครื่องมือชิ้นนี้ว่า "ความสำรวม"

เพราะความสำรวมก็คือ "การระวังจิต"
มิให้มันสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก
ไปในทางต่ำที่ไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรม
โดยที่ท่านจะต้องตื่นรู้เพื่อควบคุมมันไว้เสมอ
เพื่อมิให้มันออกนอกลู่นอกทางง่ายๆ
มันคือการใช้วิธี "จิตคุมจิต" นั่นแหละ
หากท่านหมั่นฝึกสำรวมไว้เป็นประจำ
เดี๋ยวก็จะกลายเป็นธรรมชาติได้เอง
แรกๆก็อาจสำรวมยากหน่อย
เพราะจิตมันติดสันดานเดิมที่ไม่ถูกต้องอยู่

ใครอ่านมาถึงตอนนี้...
แล้วบ่นว่า "ยาวจัง" จน "นั่งเบื่อ"
หรือเลิกอ่านเลิกเรียนรู้ทั้งๆที่ยังไม่จบความ
แสดงว่าไม่มีปณิธานแห่งนิพพาน
มันเป็นการพิพากษาตนเองโดยแท้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-2-2016