วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เราต้องการจะบอกท่านทั้งหลายว่า




#Answer: ‎Anothai Bunjong

Q1.สิ่งที่ดำรงอยู่เดิม
ก่อนที่จะมีสรรพสิ่งนั้นคือ
1.สนามพลังงานสากล
2.พระบิดา หรือ พระผู้สร้าง
ที่เกิดขึ้นมาจากสนามพลังงานสากลนั้น
ถูกต้องใช่ไหมค่ะ?

#Answer: ถูกต้องแล้ว

Q2.จะสามารถใช้ภาษาเรียก
รูปธรรมแรกที่อุบัติขึ้นมา
จากการกำหนดพระจิตของพระบิดา
ซึ่งก็คือรูปธรรมที่มี 12 เหลี่ยมมุม
อีกรูปธรรมหนึ่งว่าสรรพสิ่งแรก
ถูกต้องไหมค่ะ?

#Answer: ถูกต้องแล้ว

Q3.หลังจากการเกิดรูปธรรม
ที่สร้างในข้อ 2 ขึ้นมา
รูปธรรม 11 เหลี่ยมมุม
ตลอดจนเอกภพอันไพศาลนี้
รวมทั้งสิ่งมากมาย
ล้วนคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด
จากผู้สร้าง

ดั้งนั้น
ความจริงอันสูงส่งอาจมองได้ว่า
มีด้านของพระผู้สร้างด้านนี้หนึ่ง
และ อีกฟากหนึ่งคือด้านของสิ่งที่ถูกสร้าง
อาจจะกล่าวว่าอย่างนี้ได้ไหมค่ะ?

#Answer:
ระหว่างพระผู้สร้างกับสรรพสิ่งที่
พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นมาทั้งหมดนั้น
ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
ท่านจะแยกมองเป็นคนละด้าน
ด้วยการคิดแบบจิตมนุษย์ไม่ได้

เช่น เรื่องของพ่อแม่ลูกกันนั้น
มันเป็นเรื่องของครอบครัวเดียวกัน
จะกล่าวจำแนกว่านี่เป็นเรื่องของแม่
นั่นเรื่องของพ่อโน่นเรื่องของลูกๆ
โดยมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้
เพราะมันเป็นเรื่องของครอบครัวต่างหาก

Q4.ถ้าสมมุติว่า
อาจกล่าวอย่างข้อ 3 ได้ ไม่ผิด
ดังนั้น ความรู้ หรือ ภูมิปัญญา
ในฝั่งของสิ่งที่ถูกสร้าง
จึงอาจใช่ หรือ อาจไม่ใช่
จึงอาจถูก หรือ อาจจะผิด
จึงอาจจะเที่ยงแท้ หรือ อาจจะไม่เที่ยงแท้
เพราะว่าอยู่ภายใต้คุณลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้าง
เพราะอย่างนี้
จึงมีผู้กล่าวธรรมะมากมาย
ที่อาจจะใช่ หรือ ไม่ใช่
อาจจะถูก หรือ ไม่ถูก

ถ้าองค์ความรู้นั้น หรือ ธรรมะที่กล่าวนั้น
มาจากฟากฝั่งของผู้สร้าง
สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความรู้เหนือความรู้
เป็นภูมิปัญญาทึ่เป็นคนละเรื่องกัน
กับข้อ 3 อย่างชัดแจ้ง

ดังนั้น
ถ้าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นถูกต้อง
ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่มนุษย์ตัวน้อยๆ
จะแยกแยะได้ว่าทั้งสองสิ่งนั้น
แตกต่างกันอย่างไร

จะไม่ใช่เรื่องยากเลย
ที่จะข้ามพ้นความใช่ หรือ ไม่ใช่
ความเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ
หรือแม้กระทั่งเมื่อมนุษย์ต้องการ
คำตัดสินให้กับตนเอง

....ท่าน อาจารย์ค่ะ ความเข้าใจ ทั้งหมดนี้
มุมมองที่มองแบบนี้พอจะสอดคล้อง
กับความเป็นจริงบ้างไหมค่ะ?

#Answer:
เราได้ตอบไว้ในคำถามที่ 3 แล้วว่า
มนุษย์จะแยกตนเอง
รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งปวงที่ถูกสร้าง
ออกจากพระผู้สร้างหรือพระบิดาไม่ได้

ดังนั้น
การจะใช้มุมมองจากด้านผู้ถูกสร้าง
เพ่งพินิจทุกสิ่งในด้านของตนเอง
และเพ่งพินิจมายังฝั่งของพระผู้สร้างนั้น
ท่านจะไม่มีวันเข้าถึงความจริงทุกจริงได้หรอก
ถ้ามนุษย์นั้นยังมิอาจเข้าถึง
พลังอำนาจสูงสุดทางปัญญาของสมองได้
ยังไม่อาจเข้าถึงการใช้ความฉลาดสูงสุดได้

เราเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลายแล้วไงว่า
ถ้าท่านจะเข้าถึงการรู้แจ้ง
บนเส้นทางนิพพาน
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลได้
ท่านจักต้องมีทักษะด้านการใช้ปัญญา
จากสมองสองซีกให้เป็นก่อน

โดยใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายได้
ใช้ปัญญาญาณของสมองซีกขวาเป็น
ท่านจึงจะมองเห็นสัจธรรมแบบองค์รวม
ในแบบที่เราบุตรเอกแห่งพระบิดา
ได้อ่านโลกอ่านจักรวาลทุกซอกหลืบ
ให้พวกท่านฟังตลอดมากว่าสามสิบปีอยู่นี่ไง

ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่า
ความรู้ในจักรวาลสากลล้วนเป็นหนึ่งเดียว
พระบิดาทรงเรียกว่า #อภิปรัชญา
ภาษาสากลเรียกว่า Pure-meta physics

นอกจากนั้น
ไม่มีใครในจักรวาลนี้
จะบังอาจแบ่งแยก
องค์ความรู้แบบองค์รวมของพระบิดาได้

มีแต่มนุษย์โลกที่งมงายและหลงตนเท่านั้น
ที่แบ่งแยกวิชชาแห่งจักรวาลออกจากกัน
เป็นเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ พลังจิต ฯลฯ

มีแต่มนุษย์โลกที่งมงายเท่านั้น
ที่มองชะตากรรมของตนเองและผู้อื่น
ไปตามที่พบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
โดยละทิ้งอดีตซึ่งเป็นตัวกำหนดปัจจุบัน
โดยใส่ใจแต่ปัจจุบันจนละทิ้งอนาคต

ดังนั้นมนุษย์โลกเสรีจึงต้องมีพระศาสดา
เพราะจิตตปัญญาของมนุษย์ป่วย
ป่วยจนไม่รู้ว่าองค์ความรู้ที่เป็นความจริง
พระศาสดาจึงต้องเข้ามาชี้ทางสว่างให้

แต่....สำหรับเราที่กลับมาอีกนี้
มาเพื่อจะบอกท่านหลายอย่าง
แต่หนึ่งในหลายๆอย่างนั้น
คือ เราต้องการจะบอกท่านทั้งหลายว่า

1.มีความรู้ที่ท่านอยากรู้อยู่จะบอกท่าน
2.มีความรู้ที่ท่านเคยรู้แต่รู้ไม่หมดจะบอกท่าน
3.มีความรู้ที่ท่านไม่รู้ว่าทำไมต้องรู้จะบอกท่าน
4.มีความรู้ที่ท่านยังไม่รู้ว่าท่านไม่รู้จะบอกท่าน

ในความรู้ที่เป็นจริงทั้งสี่ประการที่ว่านี้
ล้วนเร้นรวมอยู่ใน "องค์ธรรม 3"
ซึ่งท่านทั้งหลายเข้าถึงเองได้ยากมาก
คือ โลกียธรรม โลกุตรธรรม และอนุตรธรรม
ยังจะต้องพึ่งพาพระศาสดาช่วยชี้แนะให้
ตราบใดที่ท่านยังรู้แจ้งด้วยตนเองกันไม่ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-10-2017

หนทางที่ถูกต้อง ของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เรายังมีประเด็นที่ชาวพุทธหลายคน
เชื่อกันอยู่เป็นข้อที่ 3 ว่า

ถ้าใครยังใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับผู้คนในสังคม
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติธรรม
จนเข้าถึงนิพพานได้

ต้องหาโอกาสไปปลีกวิเวก
ถือศีล ปฏิบัติธรรม
โดยใช้วิธีปฏิบัติแบบนักบวชเท่านั้น
จึงจะมีโอกาสนิพพานได้

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ความเชื่อในข้อนี้ก็เป็นสิ่งไม่ถูกต้องเช่นกัน
การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมต่างหากล่ะ
ที่มันจะช่วยให้ท่านทั้งหลาย
นิพพานได้ง่ายกว่าที่คิด
โดยเรามีเหตุผลให้ท่านคิดตามดังนี้

ตัวอย่างเช่น ท่านต้องรู้ว่า
#จิตที่นิพพานได้ หนึ่งในคุณสมบัติก็คือ
ท่านต้องว่างไปจากอารมณ์หยาบๆรายวัน
เช่น โกรธ โลภ หลง ได้อย่างสิ้นเชิง

ถ้าท่านจะว่างไปจากสิ่งเหล่านี้ได้
จักต้องมีบททดสอบหรือแบบฝึกหัดให้ทำ
ถ้าเป็นนักเรียนก็ต้องมีครูออกข้อสอบให้
เพราะนักเรียนออกข้อสอบเองทำเองไม่ได้

ดังนั้น
คนรอบข้างตัวท่านในสังคมนี่แหละ
พวกเขามีนิสัยใจคอและสันดานต่างๆกัน
พวกเขามีความต้องการในการดำเนินชีวิต
และมีความสามารถในการคิดที่แตกต่างกัน
พวกเขานี่แหละจึงมีความเหมาะสม
ต่อการยื่นข้อสอบชั้นเยี่ยมให้ท่าน
ด้วยการสร้างเรื่องสร้างปัญหาให้ท่าน
ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ได้ทุกเมื่อเชื่อวัน

โดยพวกเขาจะสร้างเงื่อนไขยั่วยุแบบต่างๆ
เพื่อให้ท่านเกิดความโกรธอยู่เนื่องๆ
จนกว่าท่านเรียนรู้ที่จะไม่โกรธได้
ด้วยความฉลาดทางจิตตปัญญาของท่าน
จากการมีมหาสติและปณิธานแห่งนิพพาน

โดยพวกเขาจะสร้างเงื่อนไขยั่วยุแบบต่างๆ
เพื่อให้ท่านเกิดความโลภอยู่เนืองๆ
จนกว่าท่านเรียนรู้ที่จะไม่โลภได้
ด้วยความฉลาดทางจิตตปัญญาของท่าน
จากการมีมหาสติและปณิธานแห่งนิพพาน

โดยพวกเขาจะสร้างเงื่อนไขยั่วยุแบบต่างๆ
เพื่อให้ท่านเกิดความลุ่มหลงอยู่เนืองๆ
จนกว่าท่านเรียนรู้ที่จะไม่ลุ่มหลงมายาได้
ด้วยความฉลาดทางจิตตปัญญาของท่าน
จากการมีมหาสติและปณิธานแห่งนิพพาน

โดยพวกเขาจะสร้างเงื่อนไขยั่วยุแบบต่างๆ
เพื่อให้ท่านเกิดความงมงายอยู่เนืองๆ
จนกว่าท่านเรียนรู้ที่จะไม่งมงายได้
ด้วยความฉลาดทางจิตตปัญญาของท่าน
จากการมีมหาสติและปณิธานแห่งนิพพาน

ดังนั้น
เงื่อนไขบททดสอบจากคนรอบข้าง
ที่มีเรื่องราวเหตุการณ์สถานการณ์แปลกๆ
ที่พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันยื่นมาให้ท่านนั้น
มันดีกว่าการนั่งหลับตาเพื่อตามดูจิตตนเอง
ซึ่งมันเลื่อนไหลของมันไปเรื่อยๆ

การจะสร้างเงื่อนไขให้ตนเองโกรธโลภหลง
แล้วเรียนรู้ที่จะวางมันลงด้วยตนเองนั้น
ท่านว่ามันง่ายนักหรือ
เมื่อจิตท่านมันรู้อยู่ว่าที่โกรธโลภหลงอยู่นั้น
ท่านสมมติมันขึ้นมาเอง...ไม่ใช่เรื่องจริง

ด้วยเหตุนี้เอง
การฝึกฝนขณะที่ตนเองอยู่ในสังคม
โดยมีตนเองเป็นครูคนแรกและคนสุดท้าย
แล้วปล่อยให้เพื่อนมนุษย์รอบข้างเป็นครู
เป็นผู้ช่วยสร้างบททดสอบจิตสำนึกให้
มันจึงง่ายกว่ากันเยอะเลย
แถมยังมีประสิทธิผลยิ่งกว่ากันอีกด้วย

เพราะพวกเขารอบๆตัวท่าน
จะช่วยกันยื่นเงื่อนไขบททดสอบมาให้
อย่างจริงจังและขยันขันแข็งซ้ำแล้วซ้ำอีก
เพื่อช่วยให้ท่านที่สอบตกสติแตกอยู่
ได้ปรับปรุงตนเองสู่การแก้ไขใหม่เรื่อยๆ
ช่วยให้ท่านยกระดับจิตตปัญญาให้สูงขึ้น
จนว่างจากความโกรธโลภหลงได้ในที่สุด

ถามจริงๆเถอะว่า
นั่งหลับตาปฏิบัติกรรมฐานสมาธินานๆที
โดยนั่งกันทีละนานไม่กี่ชั่วโมง
มันช่วยให้ท่านละวางโกรธโลภหลงได้หรือ

จิตสงบขณะนั่งหลับตาบำเพ็ญอยู่นั้น
มันเป็นแค่เพียงความสงบสั้นๆชั่วคราว
ซึ่งมิอาจขจัดขยะจิตพวกโกรธโลภหลงได้
แต่มันเพียงถูกกดทับเอาไว้ข้างใน
ให้อยู่ในความสงบชั่วคราวดังกล่าวแล้ว

เมื่อท่านออกจากป่ากลับบ้านคืนสังคม
พอเจอคนรอบข้างสร้างเงื่อนไขยั่วยุให้
ก็ยังปรี๊ดแตกจิตตกอยู่ดังเดิม
จึงต้องออกจากสังคมไปอยู่ป่านานวันขึ้นอีก
ทั้งๆที่การทิ้งครอบครัวทิ้งภารกิจทางโลก
มันกระทบจิตใจคนใกล้ตัวอย่างอักโข
ซึ่งผลการปฏิบัติก็วัดได้เลยว่า
มันยังไม่มีความคืบหน้าอยู่อย่างเดิม

เราจึงแนะให้ท่านทั้งหลาย
ใช้ดวงแก้วสองดวงในชีวิตประจำวัน
ท่ามกลางบุคคลแวดล้อมในสังคม
โดยไม่ต้องปลีกวิเวกเข้าดงพงป่า
ไม่ต้องมาทรมานเครื่องยนต์แห่งกรรม
โดยไม่ต้องละทิ้งครอบครัว

หนึ่งคือมหาสติซึ่งเป็นธรรมชาติสมาธิ
สองคือปณิธานแห่งนิพพาน
ท่านเพียงปฏิบัติที่จิตกันให้เคร่งครัดไว้
ขณะที่ใครต่อใครมายื่นบททดสอบให้
นานวันเข้าจิตของท่านจะเกิดทักษะ
ที่จะจัดการจิตฝ่ายต่ำของตนแบบเอาอยู่
ซึ่งมันมหัศจรรย์มากจริงๆ

การกระทำที่จิตตนเองเมื่อถูกยั่วยุนี่แหละ
ที่มันจะช่วยยกระดับสภาวะจิตของท่าน
ให้เข้าถึงนิพพานได้อย่างเป็นรูปธรรม

การที่พวกท่านอยู่ในสังคมแล้วคิดว่า
สังคมที่วุ่นวายมากคนมากความ
ทำให้นิพพานยากกว่าไปเข้าป่ากับพระนั้น
มันเป็นเพราะเหตุว่า

เข้าวัดเข้าป่าไม่มีใครคอยตามหาเรื่อง
แต่อยู่บ้านอยู่ในสังคมกับคนหมู่มาก
จิตท่านมันหาความสงบสุขไม่ได้
เพราะว่ามีใครต่อใครคอยยั่วยุท่าน
ทำให้ท่านชอบปลีกวิเวกมากกว่า

เราจึงขอชี้ให้ท่านเห็นว่า
สาเหตุแห่งความวุ่นวาย
ซึ่งทำให้ทุกข์ใจของท่านไม่จางหายนั้น
เพราะท่านจะจัดการทุกคนที่ยื่นข้อสอบให้
ด้วยจิตใจที่เสียสมดุลกล่าวคือ

ถ้าใครทำให้โกรธ
ท่านจะจัดการคนที่ทำให้โกรธ
แทนที่จะจัดการความโกรธในใจตนเอง

ถ้าใครหรือสิ่งใดทำให้โลภ
ท่านก็จะมุ่งจัดการที่คนที่ของที่ทำให้โลภ
แทนที่จะจัดการความโลภที่ในใจตนเอง

ถ้าใครหรือสิ่งใดทำให้ลุ่มหลง
ท่านก็จะมุ่งจัดการที่คนที่ของที่ทำให้ลุ่มหลง
แทนที่จะจัดการความลุ่มหลงที่ในใจตนเอง

สรุปง่ายได้ความว่า
ขณะอยู่ในสังคมท่านไม่นิยมทำที่จิตใจ
แต่พอไปเข้าป่าจึงค่อยเพียรพยายาม
นั่งตามดูนิสัยทางจิตของตนเอง
ซึ่งมันดูผิดที่ผิดเวลาไปหมด
การปฏิบัติบำเพ็ญจึงไม่บังเกิดผล
ที่ได้ผลคือ "ติดสุขสงบ" จากสมาธิ
กับการติดหลับในสมาธิกลับมาบ้านเท่านั้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-10-2017

เป็นผู้หญิงนิพพานยาก เป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์





#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
มีพี่น้องของพวกเราท่านหนึ่ง
คือ ท่าน Chaiyan Wiangkaew
ได้กล่าวรำพันเอาไว้ดังๆในห้องเรียนนี้ว่า
ยังมีชาวพุทธหลายคนเชื่อกันอยู่ 5 ข้อว่า

1. เป็นฆราวาสนิพพานยาก
2. เป็นผู้หญิงนิพพานยาก
3. ถ้าเรายังใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับผู้คนในสังคม
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติธรรม
จนเข้าถึงนิพพานได้

ต้องหาโอกาสไปปลีกวิเวก
ถือศีล ปฏิบัติธรรม
โดยใช้วิธีแบบนักบวชเท่านั้น
จึงจะมีโอกาสนิพพานได้

4. มีเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น
ที่สอนวิธีการปฏิับัติธรรม
ที่ช่วยให้ไปนิพพานได้

5. เฉพาะนักบวชเท่านั้น
จึงจะสอนวิธีการปฏิับัติธรรม
ที่บรรลุถึงขั้นนิพพานได้

โดยเราได้กล่าวถึงความเชื่อที่งมงาย
ในประการที่ 1 ที่ว่า
"เป็นฆราวาสนิพพานยาก"
ให้ได้รู้กันไปแล้วว่าแท้จริงนั้น
มันยากตรงที่ไม่ยอมแสวงหา
มันยากตรงที่ว่าคิดกันไปเองว่ายาก

มาในบทนี้
เรายังมีความจริงที่จริงแท้
ที่จะเปิดปัญญาให้ท่านทั้งหลาย
ได้ทำความงมงายไม่รู้จริงให้กระจ่าง
ในความเชื่อประการที่ 2 ต่อไปอีกคือ

#เชื่อว่าเป็นผู้หญิงนิพพานยาก

คำชี้แจง:
ความเชื่อเช่นนี้
ก็เป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์เช่นกัน

ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า...
อันจิตวิญญาณของท่าน
ที่ขันอาสามาเกิดเป็นคนสองมิตินั้น
ก็เพื่อทำหน้าที่คนตนเองให้เป็นมนุษย์

โดยสมมติเพศว่าเป็นหญิงเป็นชาย
เพราะต้องใช้กายสังขาร
ที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ทำหน้าที่ทางโลกบางอย่างที่แตกต่างกัน
แต่ก็ยังคงความเป็นมนุษย์เหมือนๆกัน
มิได้แตกแยกในความแตกต่างนี้เลย

ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าผู้ชายนิพพานได้
ผู้หญิงก็ต้องนิพพานได้
เพราะต่างก็มีกายสังขาร มีจิตวิญญาณ
และมีภารกิจทางจิตวิญญาณเหมือนกัน
ที่ต่างกันบ้างก็เป็นภารกิจทางโลกสมมตินั่น

ที่สำคัญคือเพศหญิงก็มีคุณค่า
แห่งการเป็นมนุษย์เหมือนกันพันเปอร์เซ็นต์

เพศหญิงก็มีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ที่ตนต้องกลับไปกราบพระบาทท่านเช่นกัน
เพราะว่านิพพานเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน

ดังนั้น
ถ้าเชื่อว่าผู้หญิงเป็นมนุษย์
ผู้หญิงจึงมีหน้าที่ต้องนิพพานเช่นกัน

ส่วนความเชื่อที่ว่า
เกิดมาเป็นหญิงนิพพานยากนั้น
คนที่พูดเช่นนี้รู้แจ้งแล้วหรือไรว่า
ถ้าเกิดเป็นหญิงวิธีนิพพานต้องปฏิบัติยังไง
และท่านได้ปฏิบัติบำเพ็ญตามนั้นแล้วใช่มั้ย
จึงได้พบว่ามันยากลำบากเหลือแสน
ก็เลยหันไปเลียนแบบบริบทของนักบวช
โดยจำเอามาแทรกทำในชีวิตแค่เสี้ยวส่วน
เพราะเชื่อว่าถึงนิพพานได้ง่ายกว่า
ทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า
คนที่เขาทำเช่นนี้มาก่อนหน้าท่าน
เขาถึงนิพพานกันได้ตามเชื่อสักกี่คน

ท่านที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านว่า

ถ้าท่านยังไม่แจ้งจริงในนิพพาน
ในบทบาทของการเป็นเพศหญิงแล้ว
ท่านจะเชื่อตามจะกล่าวความเช่นนั้นไม่ได้
เพราะมันมุสาตนเองขนานแท้ยังแย่ไม่พอ
ยังเป็นการบังคับจูงใจให้คนอื่นเขา
พากันหลงเชื่อตามคล้อยตามท่านอีกด้วย

เท่ากับว่าเป็นการชวนให้ผู้อื่นงมงาย
เพราะใช้แต่ความเชื่อไม่ใช้ปัญญา
พฤติกรรมเยี่ยงนี้เขาเรียกว่า "เจ้าลัทธิ"

เจ้าลัทธิ คือ คนที่ใช้วิธีบังคับ-จูงใจ
ให้คนอื่นเขาเชื่อตามตนเองอย่างขาดสติ
ใครไม่เชื่อตามตนเองก็จะทำการต่อต้าน
ใครไม่เชื่อตามตนเองก็จะถูกหมิ่นหยาม
ใครไม่เชื่อตามตนเองก็จะผลักไปเป็นศัตรู
นี่เป็นบทบาทของเจ้าลัทธิที่เน้นหาสาวก
มิใช่บทบาทของคุรุหรือครูผู้ต้องการศิษย์

พี่น้องที่รักทั้งหลาย
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านว่า

ไม่ว่าท่านจะเป็นบุรุษหรือสตรีเพศ
จิตวิญญาณของพวกท่านทั้งหลาย
ได้ผ่านประสบการณ์การเกิดเป็นหญิงชาย
ได้เรียนรู้บทเรียนโลกนี้มาหลายภพชาติแล้ว

ความเป็นมนุษย์เพศหญิงหรือชาย
มันเป็นแค่เพียงมายาแห่งบทละครชีวิต
แก่นแท้จริงคือจิตวิญญาณของท่านต่างหาก
ไม่มีเพศสมมติมีเพียงกล่องพลังงานเท่านั้น

ดังนั้น
เมื่อท่านเลือกเพศมาเกิดเป็นหญิง
ภารกิจสุดท้ายคือต้องนำแก่นแท้กลับบ้าน
จะไปติดอยู่กับความยากง่ายไม่ได้

ท่านจะท้อแท้เชื่อตามคำกล่าวที่งมงาย
ว่าเป็นเพศหญิงนิพพานยากอีกไม่ได้แล้ว
เพราะความคิดความเชื่อที่ถูกล้างสมองนี้เอง
หลายท่านจึงไม่คิดอยากจะนิพพาน
หลายท่านจึงหันไปหยิบบทบาทของนักบวช
มาครอบเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนไว้

ส่วนไหนครอบได้พอดีก็เอาไว้
ส่วนไหนครอบไม่ได้เพราะไม่ลงตัว
ก็ตัดเฉือนมันทิ้งไป

กลายเป็นคนสวมใส่อาภรณ์ขาดๆดั่งชำรุด
จึงทำลายความองอาจสง่างามของตนไป

เชิญหาคำตอบให้ตนเองก่อนว่า
ผู้หญิงจะนิพพานได้ในชาตินี้
ต้องปฏิบัติบำเพ็ญอย่างไร
โดยไม่ต้องเลียนแบบบทบาทของผู้อื่น

การทำรวยนั้นมีหลายวิธี
วิธีทำรวยของตัวท่าน
กับวิธีการทำรวยของเศรษฐี
มันย่อมแตกต่างกันแน่นอน
เพราะฐานการเป็นมนุษย์ในสังคมต่างกัน
จะไปจำแบบเลียนแบบกันไม่ได้หรอก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-10-2017

บันทึกแผ่นดินไหวทั่วโลก เฉพาะวันที่ 6 ตุลาคม 2560




#บันทึกแผ่นดินไหวทั่วโลก
เฉพาะวันที่ 6 ตุลาคม 2560
แผ่นดินไหวรวมทั้งสิ้น 58 ครั้ง

Magnitude 3+: 34 ครั้ง
Magnitude 4+: 20 ครั้ง
Magnitude 5+: 3 ครั้ง
Magnitude 6+: 1 ครั้ง
Magnitude 7+: none

#แผ่นดินไหวรุนแรงรวม 10 ครั้ง
1.M 6.2 quake: Off East Coast of Honshu, Japan
2.M 5.6 quake: Near East Coast of Honshu, Japan
3.M 5.1 quake: Solomon Islands
4.M 5.0 quake: Tristan da Cunha Region
5.M 4.9 quake: หมู่เกาะอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย
6.M 4.8 quake: Central Mid-Atlantic Ridge
7.M 4.8 quake: 142km E of Samarai, Papua New Guinea
8.M 4.7 quake: 156km ESE of Rota, Northern Mariana Islands
9.M 4.7 quake: MINAHASA, SULAWESI, INDONESIA on 10.M 4.7 quake: Peru