วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วัตถุประสงค์ ชมรมจิตจักรวาล





1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

จิตสำนึกที่ดีนั้น คือ อย่างไร






เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เป็นเรื่องไม่ยากที่จะเข้าใจได้ว่า
การเป็นคนดีนั้นต้องเป็นผู้มีจิตสำนึกที่ดี

แต่เรื่องที่ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ
ใครจะเข้าใจกันได้บ้างว่า
จิตสำนึกที่ดีนั้น คือ อย่างไร

หากยังอิจฉาตาร้อนคนอื่นอยู่
หากยังอยากได้เกินความพอดีอยู่
หากปากยังเคี้ยวฆ่าเพื่อนร่วมโลกอยู่
หากปากยังก้าวล่วงคนอื่นอยู่
หากยังทำตนเหนือคนอื่นอยู่
หากยังบ้าอำนาจอยู่
หากยังมือถือสากปากถือศีลอยู่
หากยังมักมองคนอื่นในแง่ลบโดยไร้เหตุผลอยู่
หากยังบังคับผัวตน เมียตน ให้อยู่ในโอวาทอยู่
หากยังรักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็นอยู่
หากยังหูเบาเชื่อคนง่ายอยู่
หากยังใช้อารมณ์หยาบๆรายวันกันอยู่
หากยังชอบฝักใฝ่สิ่งอุตริอยู่
หากยังขาดมหาสติและปณิธานแห่งนิพพานอยู่
หากยังหลงทางไปนิพพานอยู่
หากยังจำพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของตนไม่ได้อยู่

ถ้ายังคงมีคุณสมบัติที่บกพร่องเหล่านี้
แม้สักเพียงหนึ่งข้ออยู่
จะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีจิตสำนึกดีแล้วได้อย่างไร
ท่านทั้งหลายต้องรู้จักประเมินตนเองเอาไว้เสมอ

จงอย่าได้แต่เก็บธรรมะ
จงอย่าดีแต่ถือธรรมะ
จงอย่าเด่นแต่ท่องธรรมะ
เพราะพฤติกรรมเหล่านี้
มันชำระจิตใจท่านให้ใสสวยไม่ได้
มันช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวท่านไม่ได้
ถ้าท่านไม่นำเอาธรรมะนั้นมา "ทำ"
ให้เป็นรูปธรรมในชีวิตจริง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-07-2016

มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ ด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้







เราเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลาย
เอาไว้ในกาลอดีตว่า

"มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่
ด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้
แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกถ้อยคำ
ซึ่งออกมาจากโอษฐ์ของพระเจ้า"

ในยุคปัจจุบันอันเป็นปลายยุคพลังงานเก่า
เราก็จะกล่าวความจริงเป็นทำนองเดียวกัน
ต่อท่านทั้งหลายว่า

ท่านทั้งหลายจะดำรงชีวิตอยู่ในชาตินี้
ด้วยเพียงอาศัยปัจจัยสี่ คือ อาหาร
เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
เพื่อบำรุงเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ในมิติโลกทางกายภาพอยู่ด้านเดียวไม่ได้

แต่ท่านทั้งหลายจักต้องดำรงชีวิตอยู่
ด้วยการนำพระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาล
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันด้วย
เพราะพระโอวาทแห่งพระเจ้าในทุกถ้อยความ
ล้วนเป็นกระยาหารทิพย์ของจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ซึ่งท่านจะปล่อยให้แก่นแท้ของตน
ขาดอาหารทิพย์นี้ไม่ได้

อีกทั้งบนดาวโลกดวงนี้ก็ไม่มีอาหารอื่นใด
ที่สอดคล้องกับความต้องการทางจิตวิญญาณเลย
นอกจาก "พระโอวาท" ที่ทรงสื่อผ่านเรามา
เพื่อบอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลาย
อยู่ทุกทิวาราตรีกาลเท่านั้น

เพราะทุกถ้อยพระโอวาทที่เรากล่าว
ทุกข่าวสารการชำระล้างโลกเพื่อการเปลี่ยนยุค
ล้วนได้รับสื่อมาจาก "พระโอษฐ์" ทั้งสิ้น
เรามิได้อุตรินึกเองกล่าวเองแต่อย่างใด
ท่านจึงสามารถบริโภคพระโอวาทได้เพราะไร้พิษ

เราจึงได้เน้นย้ำต่อท่านทั้งหลายเอาไว้
ในการกล่าวพระโอวาททุกบททุกตอนว่า
"เราจะขอกล่าวความจริง" ต่อท่านทั้งหลายเสมอ
ก็ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งสิ้นนี้แหละท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-07-2016

จงอย่า "กลัวตาย" โดยขาดสติ





การได้รับรู้ข่าวสารด้านภัยพิบัติ
ที่มันเกิดขึ้นเรื่อยๆ แรงๆ
จนเกิดความเสียหาย
ใกล้จะเอาชีวิตผู้คนมากขึ้นทุกทีนั้น
มันอาจเป็นเหตุให้ใครหลายคน "กลัวตาย"

เราจึงจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ภัยพิบัติต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้น่ะ
มันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆแน่นอน
รุนแรงในระดับที่ผู้คนจะต้องตายหมู่
ไปจนถึงระดับที่แผ่นดินจะสูญหายนั่นล่ะ
ไม่มีผู้ใดจะหยุดยั้งมันได้หรอก
เราขอยืนยัน...

แต่เราจะขอเน้นย้ำต่อท่านทั้งหลายว่า
จงอย่า "กลัวตาย" จนขาดสติมิเป็นอันทำอะไร
เพราะถึงอย่างไรท่านก็มิอาจจะ
เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้
สู้เร่งเตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
เพื่อการผจญภัยกันไว้ดีกว่า

ท่านไม่ควรกลัวตายเพราะร่างกายของท่าน
เป็นแค่เพียง "เปลือกนอก" ของจิตวิญญาณ
ที่เข้ามาเป็นตัวตนแก่นแท้อยู่ข้างในเท่านั้น
โดยที่จิตวิญญาณของท่าน
ก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตจักรวาลดวงเล็ก
ซึ่งยังดำรงตนเองอยู่ในแดนสุญตา
ที่แบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์

ด้วยการเร้นตนเองอยู่ในโครงสร้างทางชีววิทยา
ที่เรียกกันว่า "รูปธรรมมนุษย์"
อันเป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่งที่จิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของท่านเองนั้น
จะต้องใช้มันเพื่อทำหน้าที่ปฏิบัติภารกิจสำคัญ
ทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณ

ดังนั้น
การตายของกายสังขารที่เป็นเปลือกนอก
จึงไม่ต่างจากการที่ท่านถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ออก
เพราะท่านสวมใส่มันไม่ได้แล้ว
เสื้อผ้าอาภรณ์ของท่านมันไม่เหมาะอีกแล้ว
ในขณะที่เมื่อถอดออกแล้วตัวท่านก็ยังอยู่
ตัวจริงของท่านน่ะยังมิได้หายไปไหนเลย
ท่านก็ยังคงเป็นท่านอยู่เช่นเดิม

ท่านที่หวาดวิตกกับความตาย
เป็นเพราะติดยึดอยู่กับ "เงามายา" ของตนเอง
ติดยึดอยู่กับมายาแวดล้อมตนเอง
มีความอาลัยอาวรณ์ต่อทุกสรรพสิ่งของตน
จนเกิดความเสียดายอย่างรุนแรงหากต้องตาย

ท่านจึงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าถึงความจริงเหล่านี้
ด้วยการปล่อยวางการติดยึดเสียให้สิ้น
โดยเฉพาะการหลงติดยึดใน "อัตตาของมายา"
อันเป็นตัวตนของเงาเพราะเข้าไม่ถึง "ตัวตนแก่นแท้"
เช่น การหลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียงของสรรพสิ่ง
ซึ่งล้วนเป็น "มายา" ของแก่นแท้นั้นๆทั้งสิ้น
จนยังผลให้จิตเกิดกิเลสตัณหาราคะขึ้นมา
เพราะหลงเงามายาแล้วยึดติดมันเข้านั่นแหละ

ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียดาย" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียความรู้สึก" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียของ" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียใจ" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียอารมณ์" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียเวลา" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียประโยชน์" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียโอกาส" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียเกียรติ" อยู่
ถ้าจิตของท่านยังมี "เสียหน้า" อยู่

ถ้าท่านยังมีเสีย 1 ใน 10 เหล่านี้อยู่
มันคือตัวชี้วัดว่าท่านยังเป็นผู้หนึ่ง
ซึ่งจิตติดยึด "ตัวตนของมายา" อยู่เหนียวแน่น
ความกลัวตายของท่านก็ยังจะยากต่อการละวาง
เพราะจิตของท่านยังกลัว "การเสียชีวิต" อยู่ไงล่ะ

ภัยพิบัติร้ายแรงกำลังคืบคลานเข้ามาหา
จงรีบละวางความกลัวตายกันให้ได้โดยไว
เพื่อช่วยให้จิตวิญญาณของท่านเข้าถึง
ความสุขสงบอันเป็นนิรันดร์แท้จริงได้ในชาตินี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-07-2016

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เคล็ดลับการเพิ่มพลัง ให้แก่จิตวิญญาณตัวเอง


 
 
 
พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
การทำบุญสุนทานนั้น
จะได้บุญมากหรือน้อยมิได้ขึ้นอยู่กับว่า

1.ท่านทำบุญทำทานกับใคร
2.จำนวนทรัพย์สิ่งของที่ทำว่ามีค่ามากน้อยแค่ไหน
3.จำนวนเงินทองที่ทำว่าจะมากหรือน้อยเพียงใด
4.จำนวนคนที่รู้ว่าท่านทำบุญนั้นมีจำนวนเท่าไหร่
5.ท่านทำแล้วอธิษฐานร้องขอสิ่งตอบแทนเป็นมั้ย

แต่การทำบุญสุนทานนั้น
จะได้บุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่า

1.ท่านทำด้วยจิตสำนึกแห่งการเป็นผู้ให้หรือไม่
2.ท่านทำด้วยน้ำใสใจจริงหรือไม่
3.ท่านทำโดยไม่ร้องขอสิ่งตอบแทนได้หรือไม่
4.ท่านทำบุญทำทานอย่างมีเงื่อนไขหรือเปล่า
5.ท่านมีความสุขใจมากๆขณะที่กำลังทำอยู่หรือไม่
6.เมื่อได้ทำบุญแล้วท่านมีความสุขที่ได้ทำไปหรือไม่

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทุกครั้งที่ท่านทำบุญทำทานหรือสร้างกุุศลนั้น
มันคือการ "ชาร์จ" พลังงานจิตใต้สำนึก
อันเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณของท่าน
ให้ได้รับการเติมเต็มจากที่ท่านใช้ไปในแต่ละวัน
ให้มีความสมดุลและสมบูรณ์พร้อมอยู่เสมอ
เพื่อให้การเป็นคนสองมิติของท่าน
มีพลังอำนาจล้นเปี่ยมอยู่เสมอนั่นเอง

เคล็ดลับของการเพิ่มพลังให้แก่จิตวิญญาณ
เมื่อท่านทำบุญสุนทานนั้น
มันมิได้ขึ้นอยู่กับ "พิธีกรรม" หรือ "วิธีการ"
แต่มันอยู่ที่ "จิตใจ" ของท่านต่างหาก

พิธีกรรม หรือ วิธีการ หรือ อื่นๆ
มันล้วนแล้วแต่เป็นเพียงกุศโลบาย
เพื่อการเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่า "บุญ"
หรือ "พลังอำนาจทางจิตวิญญาณ" เท่านั้นเอง
ถ้าท่านสามารถเข้าถึงแรงสั่นสะเทือนสูงสุด
ของจิตสำนึกทางด้านบวกได้มากเท่าใด
พลังบุญพลังบวกก็จักเพิ่มขึ้น
ในจิตวิญญาณของท่านได้มากเท่านั้น

การทำบุญจึงจำต้องอาศัย

1.สติปัญญา
2.ความศรัทธา
3.ความปรารถนาที่จะให้
4.ความไม่มีเงื่อนไขในการทำบุญนั้น

ทั้ง 4 ประการนี่ต่างหากท่านทั้งหลาย
ดวงจิตธรรมญาณของท่านจึงจะได้รับประโยชน์
จากการทำบุญกุศลของท่านแต่ละครั้ง
ได้อย่างเต็มกอบเต็มกำเลยทีเดียว

โดยท่านสามารถวัดว่าท่านได้บุญมากหรือน้อย
ในการทำบุญทำทานแต่ละครั้ง
จาก "ความปีติสุข" หรือ ความอิ่มเอิบเบิกบาน
ที่มันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ในจิตใจท่านเองนั่นแหละ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-07-2016

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พลัง จิตใต้สำนึก (2)


 
 
 
 
เราเชื่อว่าท่านทั้งหลาย
คงได้ทำความรู้จักกับพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
ซึ่งชาวโลกเรียกกันว่า "พลังจิตใต้สำนึก"
ที่ตัวท่านเองล้วนมีอยู่กันมากขึ้นบ้างแล้วนะว่า
ท่านจะไปยุ่งเกี่ยวแทรกแซงกระบวนการไม่ได้

เพราะมันเป็น "พลังอำนาจทางจิตวิญญาณ"
ที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเป็นผู้ใช้มัน
เพื่อคอยสั่นสะเทือนตามจิตสำนึกของท่าน
ในกระบวนการหมุนธรรมจักรหรือกรรมจักรเท่านั้น

ถ้าท่านใช้วิธีฉ้อฉลจิตใต้สำนึก
เพื่อหมายเอาพลังอำนาจพิเศษมาใช้ประโยชน์
ด้วยวิธีการที่ผิดธรรมชาติหรือด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง
นั่นเท่ากับว่าตัวท่านเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่าน
ไม่สามารถทำสามเหลี่ยมกับพระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของตนเองได้
จิตวิญญาณของท่านและตัวท่านเอง
จึงเสมือนถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระองค์ไปทันที

เพราะเหตุว่าจิตใต้สำนึกของท่าน
มัวแต่สั่นสะเทือนเพื่อตอบสนองในสิ่งที่ท่านต้องการ
อย่างงุ่นง่านงมงายอยู่แต่ในระบบโลก
ซึ่งเป็นการให้บำเหน็จรางวัลแก่ตัวท่านเองโดยแท้

แทนที่จะส่งคลื่นพลังแห่งจิตใต้สำนึก
ขึ้นไปกราบพระบาทถวายรายงานต่อพระองค์
ณ จุดศูนย์กลางแห่งมหาจักรวาลนอกระบบเอกภพ
ในความดีงามใดๆที่ท่านได้กระทำอยู่นั้น
เพื่อพระองค์จะได้ประทานบำเหน็จอันเหมาะสม
ให้แก่ท่านด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
จึงนับว่าน่าเสียดายเป็นที่ยิ่ง

การแทรกแซงกระบวนการทางจิตใต้สำนึก
ที่ทำให้มนุษย์ขาดการติดต่อกับพระบิดาก็คือ
การสั่นสะเทือนจิตสำนึกเพื่อทำความดีงามใดๆ
แล้วตั้งเป้าหมายว่าต้องการจะได้รับสิ่งตอบแทน
จากการกระทำความดีงามของท่านนั้น

เพราะสิ่งตอบแทนความดีที่ท่านทำแล้วร้องขอนั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นความสำเร็จ ความร่ำรวย
ความมีโชคลาภ ความสมหวัง หรือความแคล้วคลาด
โดยที่สิ่งเหล่านี้นั้นมันเป็นเรื่องทางโลก
พระเจ้าหรือพระบิดาทรงประทานให้ท่านไม่ได้
เพราะในแดนสุญตาของพระองค์ "ไม่มี" จะให้ท่าน

พระองค์ทรงมีเพียงความรู้ ความรัก
ความจริงหรือข้อสัจธรรม และหน้าต่างแห่งโอกาส
ที่พร้อมจะประทานให้แก่บุตรที่ดีทั้งหลาย
ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองเท่านั้น

นอกจากนั้นเพราะท่านทั้งหลา
ได้ตัดขาดการติดต่อกับพระบิดามายาวนาน
จึงยังผลให้พลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
ที่เรียกว่าพลังแห่งจิตใต้สำนึกของท่าน
รังแต่จะลดน้อยถอยลงไปทุกทีด้วย
เนื่องจากใช้ไปแล้วมิได้รับการเติมเต็ม

ท่านจึงมีอาขุขัยของกายสังขารสั้นลง
ท่านจึงมีระดับสติปัญญาตกต่ำลง
ท่านจึงมีปัญหาในการรวมจิตหยาบกับกายหยาบ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณตนเอง เป็นต้น

ความเสื่อมทั้งสามประการที่กล่าวมานี้
มันคือคุณสมบัติด้านลบของมนุษย์โลกเสรี
ที่ยังผลให้ท่านล้วนสอบตกบททดสอบจิตสำนึก
ที่ยังผลให้ท่านนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นไม่สำเร็จ

เราจึงจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมดีงามเมื่อไหร่
ขอเพียงกำหนดวัตถุประสงค์ในการกระทำให้ชัด
แล้วคิดค้นหาวิธีการปฏิบัติ
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้นก็พอแล้ว
โดยมิพักต้องตั้ง "เป้าหมาย" หรอกว่า
ถ้าทำแล้วท่านจะได้อะไร จะได้เท่าไหร่
จะได้บำเหน็จนั้นเมื่อใด เป็นต้น

โดยใช้หลัก PARINYA MODEL
ว่าด้วย 3 เต็มดังนี้ คือ ...............

1.ทำให้ "เต็มที่" หรือเต็มพลังสามารถ
2.ทำให้ "เต็มเวลา" เท่าที่มีให้ท่านทำ
3.ทำอย่าง "เต็มใจ" ที่จะทำ
ด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินกับการกระทำนั้น

จงจำไว้ว่าถ้าท่านต้องการผลลัพธ์ คือ 2
ท่านก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปอยากได้ 2
ด้วยการเอาจิตใจไปจดจ่ออยู่กับ 2 เลย
สิ่งที่ท่านสมควรทำก็คือใช้สติปัญญาคิดค้น
เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่า
ท่านต้องเอาอะไรบวกกับอะไรจึงจะได้ 2

แปลว่าท่านจะต้องให้ความสำคัญกับ "วิธีการ"
ที่จะให้ได้มาซึ่ง "ผลลัพธ์" ที่ต้องการคือ 2 นั้น
มิใช่มุ่งเน้นแต่ "ผลลัพธ์" ที่ต้องการ
โดยไม่ใส่ใจวิธีการที่จะได้มันมา

ดังเช่นท่านอยากรวยด้วยการเอาแต่ถามตนเองว่า
"เมื่อไหร่ฉันจะรวยกับเขาซะทีนะ"
แทนที่จะถามหาวิธีที่จะทำให้ท่านรวย
ท่านย่อมไม่มีวันรวยกับเขาได้หรอก
เพราะจิตใต้สำนึกไปหาความรวยมาให้ไม่ได้
มันไม่รู้จักและไม่เข้าใจว่าตัวรวยหน้าตาเป็นไง

ใครปรารถนาจะเรียนรู้เรื่องจิตใต้สำนึกต่อ
ก็ชูมือขึ้นอีกครั้งก็แล้วกันนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-07-2016

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พลัง "จิตใต้สำนึก"








เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พลังอำนาจจาก "จิตใต้สำนึก" ของท่าน
เป็นพลังงานที่สองตาเปล่าของท่านมองไม่เห็น
ซึ่งท่านจะรู้ว่าพลังงานชนิดนี้มีจริงก็ต่อเมื่อ
พลังจิตใต้สำนึกของท่าน
ได้น้อมนำเอาสิ่งที่ท่านต้องการมาให้แล้วเท่านั้น

ต่างจากพลังอำนาจของ "จิตสำนึก" ของท่าน
มันจะต้องกระทำผ่าน "กายกรรม" และ "วจีกรรม"
จึงจะสามารถน้อมนำสิ่งที่ท่านต้องการมาให้ได้
โดยท่านสามารถตรวจสอบพิสูจน์หรือวัดผล
วิธีการหรือกระบวนการกระทำทางกายและวาจาได้
ในทุกขั้นตอน ทุกเวลา จนกระทั่งสิ้นสุด
เพื่อรับเอาผลสำเร็จที่ท่านต้องการ
จากการกระทำใดๆของท่านนั้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

หากเราจะกล่าวให้ชัดเจนก็หมายความว่า
พลังอำนาจของ "จิตสำนึก" เป็นเรื่องทางโลก
ที่ท่านทั้งหลายสามารถสั่งการ บงการ
ควบคุมทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามที่ต้องการได้

แต่พลังของ "จิตใต้สำนึก"
มันเป็นเรื่องทางจิตวิญญาณ
ซึ่งท่านทั้งหลายจะไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยว
หรือแทรกแซงกระบวนการโดยตรงได้
ท่านจะต้องกระทำผ่าน "จิตสำนึก" เท่านั้น

ท่านคงจดจำที่เราเคยกล่าวเอาไว้ว่า
"จิตใต้สำนึก" เป็นเครื่องมือของ "จิตสำนึก"
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณทรงกำหนดเอาไว้อย่างนี้
แปลความได้ว่าขณะที่ท่านกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม
ด้วย "จิตสำนึก" ของกายหยาบของท่านนั้น
"จิตใต้สำนึก" คือ จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเอง
ก็จะสั่นสะเทือนไปตามจิตสำนึกของท่านด้วย
เพื่อใช้พลังอำนาจทางวิญญาณภายในตนเอง
ไปน้อมนำเหนี่ยวรั้งอะไรก็ตาม
ที่จิตสำนึกของท่านต้องการเอามาให้ท่านเสมอ

การปฏิบัติตนไปตามธรรมชาติแบบนี้
ไม่ต่างจากรถยนต์ที่ติดเครื่องยนต์แล้วแล่นไป
แบ็ตเตอรี่ที่ถูกใช้พลังงานไฟไปแล้ว
จากการสตาร์ทเครื่องยนต์และจ่ายไฟเลี้ยงระบบ
มันจะไม่มีวันหมดพลังไฟแน่นอน
เพราะมันจะได้รับการชาร์จไฟเข้าแบ็ตจนเต็มเสมอ

ถ้าจิตใต้สำนึกของท่าน คือ แบ็ตเตอรี่
การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกในชีวิตท่าน
เพื่อการแสดงออกหรือกระทำใดๆก็ตาม
จึงไม่ต่างจากเครื่องยนต์ของรถยนต์ที่ติดเครื่องอยู่
มันก็จะทำการชาร์จพลังให้กับจิตใต้สำนึก
อยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาเช่นเดียวกัน

แต่ถ้าท่านใช้จิตหยาบ
เจาะไชเข้าไปยังจิตใต้สำนึก
ซึ่งเป็นพลังทางจิตวิญญาณของตัวท่านเอง
ให้สั่นสะเทือนเพื่อตอบสนองในสิ่งที่ท่านต้องการ
โดยวิธี "ฉ้อฉล" ด้วยการแทรกแซงกระบวนการ
ซึ่งผิดไปจากธรรมชาติที่พระบิดาทรงกำหนดไว้

พลังอำนาจของจิตใต้สำนึกที่ว่านี้
แม้ท่านจะขับเคลื่อนมันออกมาได้จริงๆก็ตาม
แต่ถ้าท่านนำมันออกมาใช้จำนวนมากเท่าใด
พลังจิตใต้สำนึกของท่านก็จะถูกริบคืนไปเท่านั้น
เปรียบดั่งแบ็ตเตอรี่ที่ใช้พลังไฟไปเท่าใด
พลังไฟก็จะหมดไปเป็นจำนวนเท่านั้นนั่นแหละ

เราจึงขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
จงอย่าหาวิธีฉ้อฉลกระบวนการใช้พลังจิตใต้สำนึก
ด้วยวิธีก้าวล่วงหลอกลวงจิตวิญญาณตนเองเลย
เพราะมันได้ไม่คุ้มเสียหรอก
เพียงแค่ท่านสั่นสะเทือนจิตสำนึกให้ถูกต้อง
จิตใต้สำนึกของท่านก็จะสั่นสะเทือนตาม
เพื่อทำหน้าที่ช่วยท่านให้ประสบผลสำเร็จ
ในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้กันอยู่แล้ว

ท่านจะต้องระลึกไว้เสมอว่า
พลังงานทางจิตวิญญาณของท่าน
ที่เรียกว่า "พลังจิตใต้สำนึก" ที่ว่านี้นั้น
เป็นพลังงานแห่งชีวิตของท่าน
ที่จะช่วยให้ท่านประสบผลสำเร็จในทุกสิ่ง
ทั้งในมิติโลกและมิติของจิตวิญญาณ
ทั้งด้านดีสุดๆและด้านเลวสุดๆ
เพราะจิตใต้สำนึกทำตามที่จิตสำนึกต้องการ
เขาไม่อาจแยกแยะได้ว่าไหนดีไหนชั่วหรอก

ใครอยากเรียนรู้ต่อ
เห็นที่จะต้องขอให้ยกมือขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้วล่ะนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-07-2016

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย นับเนื่องมาตราบจะสิ้นยุคแล้ว




เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
นับเนื่องมาตราบจะสิ้นยุคแล้ว
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
05-07-2016