วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สงครามโลกครั้งที่สาม




#สงครามโลกครั้งที่สาม

 จงใจมอบ ภาพนี้ แด่พี่น้อง
ไว้เพ่งมอง ตรองตรึก ถึงศึกหน้า
สงครามโลก ครั้งสาม กำลังมา
เชิญผู้กล้า หาญสู้ จงดูเอา

สงครามนี้ ภัยพิบัติ จัดทัพศึก 
แสนคักคึก แกร่งกล้า หาใดเท่า
ดินน้ำลม ไฟผลาญ เกินการเดา
ล้วนเล็งเป้า โจมตี ที่มนุษย์

โลกระทึก ศึกหนัก จนหักแหก
แผ่นดินแยก หลุมยุบ ลาวาผุด
แผ่นดินล่ม จมลึก ทั้งตึกทรุด
โหดร้ายสุด ฝนกระหน่ำ โลกน้ำนอง

แผ่นดินไหว เลื่อนลั่น สะท้านลึก
ไหวยามดึก ยิ่งเล่า ยิ่งเศร้าหมอง
ผู้หลับไหล มากมาย นอนก่ายกอง
ญาติพี่น้อง สูญหาย ใต้หินดิน

ทะเลโหม โครมครืน เป็นคลื่นยักษ์
เป้าหมายหลัก ซัดสาด กวาดสูญสิ้น
เก็บวัตถุ เท็คโนโลยี มีราคิน
จนพังพิน สิ้นทราก แม้กากเดน

พายุหมุน รุนแรง แข่งกันร้าย
เข้าโจมตี เช้าสาย ใช่ล้อเล่น
ความเร็วลม สองเกลอ เฮอริเคน
ไต้ฝุ่นเด่น สองทัพ โลกอัปปาง

ภูเขาไฟ ใหม่เก่า เขย่าขวัญ
ระเบิดกัน ทั่วหล้า จนตาค้าง
ลาวาร้อน ย่างสด จนสุดทาง
คนเคว้งคว้าง ครางครวญ ชวนให้กลัว

แผ่นดินโลก โยกไหว ไฟเผาผลาญ
จักร้าวราน ทุกข์ทน จนถ้วนทั่ว
ฟ้ามืดมิด ปิดโลก แพร่โรค "กลัว"
ให้คนชั่ว รู้ชั่ว ทำตัวดี

สงครามโลก จักเห็น เป็นจริงแน่
เมื่อคนแพ้ พิบัติภัย ในวิถี
แผ่นดินล่ม คนตาย โชคไม่ดี
เป็นโลกที่ เช้าเย็น ไม่เห็นใคร 

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-10-2017

ศาสตร์และศิลป์แห่งการแก้ปัญหา




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ลิ้นกับฟันที่อยู่ในปากเดียวกัน
ยังมีโอกาสกระทบกระทั่งกันได้
เมื่อมีการกระทบกันแล้วในบางครั้ง
ก็อาจมีบางฝ่ายที่อ่อนแอกว่าได้รับบาดเจ็บ

ดังนั้น
ฟันที่คมและแข็งแรงกว่าถ้าหากเมตตาลิ้น
เวลาขบเคี้ยวอาหารก็ต้องระวังมิให้กระทบลิ้น
ส่วนลิ้นที่อ่อนแอกว่าหากมีเมตตาต่อตนเอง
ขณะช่วยส่งอาหารให้ฟันขบเคี้ยว
ก็ต้องระวังไม่ยื่นลิ้นเข้าไปให้ฟันขบกัดด้วย
มันถึงจะทำงานร่วมกันได้อย่างสันติสุข

พี่น้องที่รักทั้งหลาย
การใช้ชีวิตร่วมกันกับคนหมู่มากนั้น

หากเป็นไปด้วยความประมาท 
หากขาดมหาสติในการปฏิบัติตนต่อกัน
หากขาดวินัยในการอยู่ร่วมกั
พวกท่านก็จะมีปัญหาระหว่างกันเสมอ

ความเป็นปึกแผ่นแน่นเหนียว
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
จะถูกบั่นทอนจนสั่นคลอนไปในที่สุด

เมื่อใดก็ตาม
ที่ท่านมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องงานที่ทำร่วมกัน
หรือปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นส่วนตัว
สิ่งที่ท่านต้องรู้ก็คือว่า
ในขณะนั้นตัวท่านเอง
กำลังเชิญอยู่กับปัญหาเรียงตามลำดับ
จากใหญ่ไปหาเล็ก 3 ประการ คือ

1.ปัญหาที่จิตใจตนเอง
2.ปัญหาที่จิตใจคู่กรณี
3.ปัญหาที่ข้อขัดข้องระหว่างกัน

ศาสตร์และศิลป์แห่งการแก้ปัญหา
ที่ท่านต้องรู้ไว้ปฏิบัติจริงก็คือ

1.จัดเรียงลำดับปัญหา
ที่ควรจัดการก่อนหลังให้เรียบร้อยก่อน

2.ปัญหาทางด้านจิตใจ
จักต้องจัดการแก้ไขก่อนปัญหาอื่น

3.ปัญหาภายในจิตใจตนเอง
คือ สิ่งที่ต้องจัดการก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด

4.ปัญหาภายในจิตใจคู่กรณี
คือ สิ่งที่ท่านต้องจัดการช่วยเหลือ
เมื่อท่านจัดการปัญหาในจิตใจตนได้แล้ว

5.ปัญหาที่ข้อขัดข้องระหว่างกัน
เป็นสิ่งที่ท่านกับคู่กรณี
จักต้องใช้สติปัญญาและความรัก
ทำการคิดอ่านแก้ไขร่วมกันให้ลุล่วงนั้น
จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการแก้ปัญหา

หากท่านสังเกตขั้นตอนการแก้ปัญหา
ระหว่างท่านกับบุคคลอื่นๆดังกล่าวนั้น
ท่านจะพบว่าปัญหาด้านจิตใจ
เป็นปัญหาใหญ่ที่จะต้องหยิบขึ้นมา
เพื่อจัดการแก้ไขให้ลุล่วงก่อน
โดยเฉพาะปัญหาที่จิตใจของตัวท่านเอง

เหตุเพราะว่า
หากจิตใจท่านยังไม่ถูกจัดการชำระ
เพื่อทำให้มันสงบสมดุลเสียก่อน
มันจะทำให้ท่านไม่พร้อม
ที่จะจัดการกับปัญหาอื่นใดทั้งสิ้น

เมื่อสภาวะจิตท่านสงบสมดุลได้แล้ว
แปลว่าท่านช่วยเหลือตนเองให้พร้อม
โดยช่วยตนเองให้เกิดมหาสติได้แล้ว
ท่านจึงมีหน้าที่ "ช่วยคู่กรณี" ของท่าน
ให้เขาเกิดมหาสติเพื่อสร้างสงบสมดุล
ให้เกิดขึ้นภายในจิตใจของเขาด้วย

หากท่านช่วยตนเองและคู่กรณี
ให้มีสภาวะจิตสงบสมดุลเป็นผลสำเร็จ
ไม่ว่ามันจะต้องใช้เวลานานสักปานใด
นั่นเท่ากับว่าพวกท่านทั้งคู่
ถึงพร้อมแล้วต่อการจัดการปัญหาอื่น
ที่มันจะต้องใช้สติปัญญาและความรักร่วมกัน
ให้ประสบผลสำเร็จต่อไปได้

คำว่า "ปัญหาอื่น" ที่เรากล่าวนี้
หมายถึง ข้อขัดข้องที่เกิดขึ้นนั่นเอง
ซึ่งมันเป็นปัญหาทางเท็คนิกจิ้บจ๊อยเท่านั้น
เพียงแค่คิดร่วมกัน แก้ไขร่วมกัน
จนมีความเห็นพ้องต้องกันได้แล้ว
ความราบรื่นก็จะเกิดขึ้น
ทุกสิ่งอย่างก็จักดำเนินร่วมกันต่อไปได้

ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างกัน
จากปัญหาเล็กน้อยจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่
เพราะพวกท่านไม่เข้าใจหลักการแก้ปัญหา
โดยพวกท่านสองฝ่ายมักจะปฏิบัติกันดังนี้ คือ

1.มองเห็นคู่กรณีเป็น "ศัตรู" หรือคู่ต่อสู้
2.เป็นศัตรูที่จักต้องเอาชนะมันให้ได้
3.ต่างจึงมุ่งมั่นที่จะหักหาญรุกรานกัน
4.โดยซุกปัญหาที่ขัดข้องกันไว้ในรองเท้า

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เพราะเหตุนี้เอง

ในที่ทำงาน ภายในครอบครัว 
หรือในสังคมของพวกท่าน
มันจึงมีบรรยากาศเหมือนดั่งสนามรบ

บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้
มันจึงเต็มไปด้วยสมรภูมิแห่งการสู้รบ
หาความสุขสงบไม่ได้ทั้งๆที่ทุกคนอยากได้
เพราะใช้วิธีจัดการปัญหาไม่ถูกต้อง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-10-2017

บันทึกแผ่นดินไหวใหญ่ ประจำวันที่ 7-8 ตุลาคม 2560





#บันทึกแผ่นดินไหวใหญ่
ประจำวันที่ 7-8 ตุลาคม 2560
ภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
****************************
***10 largest earthquakes in the world (past 24 hours):

1.M 5.7 quake: 
Tonga Islands 
2 hours 32 minutes ago

2.M 5.1 quake: 
Northern Mid Atlantic Ridge 
2 hours 22 minutes ago

3.M 5.0 quake: 
125km NE of Namatanai, Papua New Guinea
4 hours ago

4.M 4.9 quake: 
OFF COAST OF JALISCO, MEXICO 
7 hours ago

5.M 4.8 quake: 
OAXACA, MEXICO 
24 hours ago

6.M 4.7 quake: 
OAXACA, MEXICO 
15 hours ago

7.M 4.7 quake: HOKKAIDO, JAPAN REGION 
15 hours ago

8.M 4.6 quake: OAXACA, MEXICO on Sat 
20 hours ago

9.M 4.6 quake: 
170km WNW of Pangai, Tonga
23 hours ago

10.M 4.6 quake: 
47km NNE of Ndoi Island, Fiji 
17 hours ago

ป.วิสุทธิปัญญา
8-10-2017

สัจธรรมความจริงระดับ "อนุตรธรรม"





#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่น้องที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สัจธรรมความจริงขั้นสูงสุด
ที่มนุษย์ไม่รู้ว่าตนไม่รู้ ก็คือ #อนุตรธรรม

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
สัจธรรมความจริงระดับอนุตรธรรมนี้
จะแตกต่างจากความจริง
ในระดับโลกียธรรมและโลกุตรธรรม

เพราะสัจธรรมระดับอนุตรธรรมนั้น
ท่านจะไม่สามารถใช้สมองสองซีก
วิเคราะห์และสังเคราะห์ความจริงได้เอง
เหมือนโลกียธรรมกับโลกุตรธรรม
ซึ่งเราได้กล่าวต่อท่านทั้งหลาย
เอาไว้ในบทก่อนๆที่ผ่านมาแล้ว

ถ้าจะเปรียบเทียบความต่างให้เห็นชัดเจน
ระหว่างสัจธรรมความจริงทั้ง 3 ระดับ
ก็อาจจะกล่าวได้ว่า

1.สัจธรรมระดับโลกียธรรมนั้
เป็นความจริงในสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นได้ง่าย
จากการสังเกตแล้วนำมาวิเคราะห์แยกแยะ
อย่างมีหลักคิดและเหตุผล
ด้วยสมองซีกซ้ายของตนเอง
ตาม #ChickModel by Parinya 

2.สัจธรรมระดับโลกุตรธรรมนั้น
เป็นความจริงที่จริงแท้
ที่ต้องสังเคราะห์ออกมาจากโลกียธรรม
ด้วยความสามารถในการใช้สมองซีกขวา
ซึ่งเป็นระบบกดปุ่มอีกทอดหนึ่ง

โดยผู้ใดที่สามารถเข้าถึงสัจธรรม
ในระดับโลกุตรธรรมได้อย่างชำนาญแล้ว
ท่านจะสามารถต่อยอด "ปัญญาญาณ"
ด้วยการยกระดับถึงขั้น "การหยั่งรู้"
ซึ่งภาษาฝรั่งใช้คำว่า Intuition ได้ด้วย

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
แต่สำหรับความจริงที่สูงสุด ลึกสุด
ในระดับที่เรียกว่า "อนุตรธรรม" นี้
ไม่สามารถคิดเชื่อมโยงหรือต่อยอดการคิด
ไปจากสัจธรรมทั้งสองระดับที่ว่ามาได้

เพราะความจริงที่จริงแท้ทั้งสองระดับ
เป็นความจริงที่จริงแท้เฉพาะในระบบเอกภพ
ทั้งมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงาน
ซึ่งมนุษย์สามารถเข้าถึงได้ไม่ยากนัก
ไม่ว่าจากการสังเกตแล้วคิดวิเคราะห์
วิเคราะห์ได้แล้วก็นำมาร่อนมาสังเคราะห์
จนเป็นสัจธรรมอันล้ำลึกได้ระดับหนึ่ง

ถ้าสัจธรรมใดที่มีอยู่ในเอกภพนี้
แต่สุดความสามารถที่จะสังเก
ด้วยกลไกอายตนะของตนเองได้
มนุษย์ก็จะใช้วิธีตั้งสมมติฐานเอา
เหมือนดั่งวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ
ของนักวิชาการโลกเขาทำกันนั่นแหละ

เห็นวงแหวนของดาวเสาร์ด้วยกล้องส่อง
ก็บรรจงตั้งสมมติฐานกันเอาเองว่า
มันคือนั่นนี่โน่นจิปาถะ

เห็นดวงดาราประดับฟ้าวับๆแวมๆมากมาย
ก็ตั้งสมมติฐานเอาเองว่าคือเป็นดวงอาทิตย์
โดยเรียกใหม่ว่า "ดาวฤกษ์" แทน
ซึ่งคาดเดาเอาเองว่าต้องใช่ดวงอาทิตย์แน่ๆ
จริงหรือไม่ ถูกหรือผิด ไม่รู้

แต่ถ้าใช้ปัญญาญาณได้
หรือมีญาณหยั่งรู้จริงแท้แน่แล้ว
ท่านคงไม่กล้าสรุปหรอกว่า
ที่ระยิบระยับนับล้านดวงนั้นเป็นดวงอาทิตย์
เพราะในระบบสุริยจักรวาลโลก
แค่มีดวงอาทิตย์ดวงเดียวเท่านั้นเอง
พอถึงหน้าร้อนมนุษย์ก็ร้อนแทบตับแลบแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
แต่สำหรับความจริงระดับ "อนุตรธรรม"
อันเป็นความจริงที่อยู่นอกระบบเอกภพนี้
ปัญญาญาณหยั่งรู้ของมนุษย์ทั่วไป
จะมิอาจเข้าถึงด้วยตนเองได้หรอก

ท่านเคยได้ยินคำว่า "สุดเอื้อม" มั้ย?
เคยได้ฟังคำว่า "เกินกว่าจะหยั่งถึง" มั้ย?
ทั้ง 2 ถ้อยความนี้เป็นอภิปรัชญานะ
เพราะเรามิได้หมายถึง

การเอามือล้วงรูแล้วสุดที่มือจะหยั่งถึงได้
การเอาไม้หยั่งดูแล้วสุดที่ไม้จะหยั่งถึงได้
เพราะรูนั้นมันลึกเกินไปนั่นเอง

ความจริงระดับอนุตรธรรมนี้
ถ้าจะกล่าวง่ายๆให้สมองซีกซ้ายเข้าใจ
ก็พอจะกล่าวได้ว่า

1.เป็นความจริงที่ถ้าไม่มีใครบอกก็จะไม่รู้
เพราะสัมผัสรู้เห็นความจริงนี้ด้วยตนเองไม่ได้
จะคาดเดาเอาเองตั้งสมมติฐานเองก็ไม่ได้

2.เป็นความจริงที่ผู้บอกเล่ากล่าวเผย
จักต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับความจริงนั้น
จักต้องเกี่ยวข้องกันกับความจริงนั้น

3.เป็นความจริงที่ผู้บอกเล่ากล่าวเผย
รู้เห็นเป็นจริงอยู่ดุจดั่งความลับเฉพาะตน
ซึ่งคนทั่วๆไปที่ไม่เกี่ยวข้องก็มิอาจรู้ได้
ต่อให้มีปัญญาญาณฉลาดล้ำลึกแค่ไหน
ก็จะมิอาจเรียนรู้ มิอาจหยั่งรู้เองได้
จักต้องมี "ครูจำเพาะตน" เมตตาให้เท่านั้น

เราขอกล่าวความจริงว่า
สัจธรรมระดับอนุตรธรรมนี่แหละ
เป็นความจริงที่มนุษย์โลกไม่รู้ว่าตนไม่รู้
เป็นความจริงที่มิอาจคิดด้วยจิตมนุษย์ได้

เป็นความจริงที่บรรดานักวิชาการส่วนใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ
จะพากันแอนตี้ต่อต้านหรือไม่เชื่อ
เพราะใช้สมองซีกซ้ายของตนเป็นมาตรฐาน

ด้วยเหตุนี้เอง
องค์เยซูคริสต์เจ้าในกาลอดี
เมื่อทรงกล่าวสัจธรรมระดับอนุตรธรรม
ก็จะทรงอาศัยความเชื่อมั่นและศรัทธา
ที่พี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีทั้งหลายในยุคนั้น
พึงน้อมถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
พึงมอบให้พระองค์ผู้ทรงกล่าวพระโอวาท
เป็นปัจจัยสำคัญเสมอ

เนื่องจากพระองค์ทรงรู้แจ้งดีว่า
อนุตรธรรมความจริงนั้น
มนุษย์โลกทั้งหลายจะมิอาจเข้าถึง
ด้วยปัญญาของสมองทั้งสองซีกได้เอง
จักต้องเชื่อในพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้าง
จักต้องเชื่อในพระองค์ซึ่งเป็นบุตรเอก
ผู้เข้ามากล่าวพระโอวาทแทนเท่านั้น

พี่น้องที่รักทั้งหลาย
ถ้ามันเป็นความจริงอันแสนพิเศษแล้ว
ความจริงในระดับสูงสุดอนุตรธรรมนี้
ซึ่งมีเพียงแต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้
มันคืออะไรบ้างหนอ....

เราขอยกบางตัวอย่างมากล่าวต่อท่าน
ไว้ในที่นี้บ้าง ดังนี้

1.จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร
2.ใครเป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน
3.จิตวิญญาณของท่านมาจากไหน
4.จิตวิญญาณท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
5.ใครอนุญาตให้จิตวิญญาณท่านมาเกิด
6.มาเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
7.มนุษย์ โลกและจักรวาลสัมพันธ์กันยังไง
8.ทำไมจิตวิญญาณมนุษย์ต้องนิพพาน

หากท่านพิจารณาทั้ง 8 คำถามแล้ว
ท่านจะทราบด้วยตนเองทันทีว่
จะต้องมีครูคนพิเศษเท่านั้น
ที่จะสามารถช่วยตอบคำถาม
ที่จะสามารถเล่าความจริงต่อตัวท่านได้

นี่ไง...
จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่า
ทำไมพระศาสดาจึงต้องขันอาสาพระบิดา
ลงมาช่วยเหลือมนุษย์ผู้ไม่รู้ให้ได้รู้
ด้วยการเข้ามาทำหน้าที่กล่าวพระโอวาท
ในพระนามแห่งพระบิดาให้ท่านฟัง

นอกจากนั้น
ในปลายยุคพลังงานเก่านี้
ความจริงเรื่องโลกกับมนุษย์กำลังถูกชำระ
ด้วยภัยพิบัติที่รุนแรงขนาดแผ่นดินหาย
รุนแรงขนาดผู้คนต้องล้มตายจำนวนมาก
ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับดาวโลกมาก่อน

ความจริงที่โลกและมนุษย์
จักต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ

เป็นความจริงที่มนุษย์บางพว
จักต้องทำตัวเป็นปลาที่ถูกคัดไว้
แม้จะยังหายใจด้วยปอด
แต่ก็มีชีวิตรอดปลอดภัยอยู่ในน้ำลึกๆได้

เป็นความจริงที่โลกและมนุษย
จักต้องทำตัวเป็นแกะ
ซึ่งจำเสียงเพรียกจากเจ้าของที่ร้องหา
แล้วรีบแจ้นกลับมาเข้าคอกได้ทันเวลา

ที่สำคัญคือ ยังมีความจริงอยู่อีกว่า
ขณะนี้สิ้นยุคพลังงานเก่า
เพราะครบจำนวนเวลา 6 หมื่นปี
ท่านจึงหมดเวลาวาระการทำหน้าที่
ตามพันธะสัญญา 6 ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาแล้ว
ท่านต้องรีบนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
ในสภาวะนิพพานก่อนวันสิ้นยุคให้ได้

นี่ก็เป็นความจริงในระดับ "อนุตรธรรม"
ที่ท่านทั้งหลายทั่วทั้งโลกาในปลายยุคนี้
ยังไม่รู้ว่าตนเองยังไม่รู้
ยังไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรู้
ยังไม่รู้ว่าตนกับโลกจะต้องเผชิญกับสิ่งใด

นี่ไงล่ะ....
เป็นเหตุให้เราต้องกลับมาอีกครั้ง

มาเพื่อช่วยภารกิจพระบิดา
ในการพิพากษาโลก
เพื่อเปลี่ยนโลกไปสู่ยุคพลังงานใหม่
ยุคแห่งความศิวิไลซ์แห่งจิตใจผู้เหลือรอด
และโลกใหม่ที่มีฟ้าใหม่ในพิกัดใหม่
บนสนามพลังงานที่สมดุลมากขึ้น

มาเพื่อช่วยคัดปลาขึ้นจากน้
มาเพื่อร้องเรียกแกะหลงฝูงกลับเข้าคอก
มาเพื่อพาเจ้าสาวเข้าสู่ประตูด่านนภาลัย

ปลาทุกตัวที่ไม่เอาไหน
แกะตัวใดที่ไม่เอาถ่าน
เจ้าสาวตนใดที่เกียจคร้าน
คงได้แต่หลับไหลถือตะเกียงที่ไร้น้ำมัน
ล้วนจะได้รับการพิพากษาจากตัวท่านเอง

ช่างเท็คนิกของพระบิดา
จะช่วยกันทำเครื่องหมาย
กากะบาทบนหน้าผากให้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-10-2017