วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประวัติพระพุทธเจ้า_ประสูติ







ศากยวงศ์
             เมื่อนับถอยหลังแต่บัดนี้ไปประมาณ ๓,๐๐๐ ปี ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก หรือก่อนพระพุทธศักราช ๕๐๐ ปีเศษ ในประเทศอินเดีย มีเมือง ๆ หนึ่ง ตั้งอยู่ข้างทิศเหนือ ไม่ปรากฏชื่อ ใกล้แคว้นสักกะชนบท พระเจ้าอุกกากะราชเป็นกษัตริย์ปกครอง พระองค์มีพระโอรสพระธิดา ๙ พระองค์ คือ
              ๑. พระเชฏฐภคินี ไม่ปรากฏพระนาม
              ๒. พระอุกกามุข
              ๓. พระกรกัณฑุ
              ๔. พระหัตถินีก
              ๕. พระสินิปุระ
              ๖-๗-๘-๙ พระกนิฏฐภคินี ไม่ปรากฏพระนาม
              พระโอรสและพระธิดาทั้ง ๙ พระองค์นี้ ประสูติแต่พระมเหสีเก่า ครั้นพระมเหสีเก่าทิวงคตแล้ว พระเจ้าอุกกากะราช ทรงมีพระมเหสีใหม่ ได้พระโอรสซึ่งประสูติแต่พระมเหสีนี้ ๑ พระองค์ มีพระราชประสงค์จะพระราชทานราชสมบัติแก่พระโอรสองค์น้อยนี้ ซึ่งพระมเหสีผู้โปรดปรานทูลขอให้ จึงรับสั่งให้พระโอรสและพระธิดาทั้ง ๙ ซึ่งมีพระอุกกามุขราชกุมารเป็นหัวหน้า ยกจาตุรงคเสนาพร้อมด้วยช่างทุกหมู่ ตลอดกสิกร สัตว์พาหนะและปศุสัตว์ทุกประเภท ยกไปสร้างพระนครใหม่ อยู่ที่ดงไม้สักกะ ใกล้ภูเขาหิมพาน อันเป็นชัยมงคลสถานที่อยู่ของกบิลดาบส
              ครั้นได้สร้างพระนครแล้ว จึงขนานนามพระนครนี้ว่า กบิลพัสดุ์ โดยอาศัยชื่อของกบิลดาบส เจ้าของถิ่นเดิมเป็นนิมิต ภายหลังกษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์นั้น เกรงจะเสื่อมเสียขัตติยวงศ์ หากจะไปอภิเษกสมรสด้วยกษัตริย์อื่น ด้วยพระโอรสที่เกิดมาจะไม่เป็นอุภโตสุชาติ คือ เกิดจากมารดาและบิดาดีไม่พร้อมทั้งสองฝ่าย ดีเฉพาะบิดาฝ่ายเดียว จึงได้อภิเษกสมรสด้วยเจ้าหญิงทั้ง ๔ ผู้เป็นกนิฏฐภคินี ยกขึ้นเป็นอัครมเหสีสืบราชสันตติวงศ์
              ต่อมาพระเจ้าอุกกากะราช ทรงตรัสถามข่าวถึงพระโอรสและพระธิดาด้วยความเป็นห่วง อำมาตย์ได้กราบทูลพฤติการณ์ของพระโอรสทั้งหลายให้ทรงทราบ พระองค์ทรงได้ปราโมทย์ ตรัสสรรเสริญพระโอรสทั้งหลายว่า เป็นผู้สามารถดี ด้วยคำว่า สักกะ แปลว่า อาจ ด้วยพระวาจานี้ได้ถือเป็นมงคลนิมิตของกษัตริย์นครกบิลพัสดุ์ว่า ศากยะ ดังนั้นกษัตริย์วงศ์นี้ จึงมีนามว่า ศากยวงศ์ ดำรงขัตติยสกุลสืบมา
              ฝ่ายพระเชฏฐภคินี เจ้าหญิงผู้พี่นั้น ได้อภิเษกสมสู่ด้วยพระเจ้ากรุงเทวทหะ ตั้งวงศ์กษัตริย์อีกวงศ์หนึ่ง เรียกว่า โกลิยวงศ์ ดำรงขัตติยสกุลสืบมา
              กษัตริย์ศากยสกุลในพระนครกบิลพัสดุ์ สืบเชื้อสายจำเนียรกาลลงมาโดยลำดับ ถึงพระเจ้าชยเสนะ ทรงครองราช พระองค์ทรงมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง พระนามว่า สีหหนุ พระราชบุตรีพระองค์หนึ่ง พระนามว่า ยโสธรา ครั้นพระเจ้าชยเสนะทิวงคตแล้ว สีหหนุกุมารผู้เป็นรัชทายาท ก็ทรงสืบศากยวงศ์ ได้ทรงขอพระนางกาญจนาพระกนิฏฐภคินีของพระเจ้าอัญชนะ กษัตริย์แห่งนครเทวทหะ มาเป็นพระมเหสี มีพระราชบุตรพระราชบุตรี แต่พระนางกาญจนาเทวี ๗ พระองค์ เป็นชาย ๕ พระองค์ คือ สุทโธทนะ ๑ สุกโกทนะ ๑ อมิโตทนะ ๑ โธโตทนะ ๑ ฆมิโตทนะ ๑ เป็นหญิง ๒ พระองค์ คือ ปมิตา ๑ อมิตา ๑
              พระเจ้าอัญชนะกษัตริย์แห่งนครเทวทหะ ก็ได้ทูลขอพระนางยโสธรา พระกนิฏฐภคินี ของพระเจ้าสีหหนุไปเป็นมเหสี มีพระราชบุตรพระราชบุตรี ๔ พระองค์ เป็นชาย ๒ พระองค์ คือ สุปปพุทธะ ๑ ทัณฑปาณิ ๑ เป็นหญิง ๒ พระองค์ คือ มายา ๑ ปชาบดี ๑ พระองค์หลังนี้เรียกว่า โคตมี บ้าง ต่อมาพระเจ้าสีหหนุได้ทูลขอพระนางมายา พระราชธิดาของพระเจ้าอัญชนะ แห่งเทวทหะนคร ให้เป็นพระชายาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบุตรองค์ใหญ่ ทรงประกอบพระราชพิธีมงคลอภิเษกสมรสในงานครั้งนี้เป็นการใหญ่ ณ ปราสาทโกกนุท ที่อโศกอุทยาน พระนครเทวทหะ ครั้นพระเจ้าสีหหนุทิวงคตแล้ว สุทโธทนะราชกุมาร ก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบศากยวงศ์ต่อมา
พระบรมโพธิสัตว์
              ในกาลนั้น พระบรมโพธิสัตว์เจ้าบังเกิดเป็นสันตุสิตเทวราช เสวยทิพยสมบัติอยู่ในรัตนวิมานสวรรค์ชั้นดุสิตเทวโลก ครั้งนั้น ท้าวมหาพรหมและเทวราชในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า ชวนกันไปเฝ้ากราบทูลอาราธนาพระบรมโพธิสัตว์เจ้า จุติลงไปบังเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษยโลก เพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า แสดงธรรมสั่งสอนประชากรให้รู้ธรรมและประพฤติธรรม สมดังที่พระองค์ได้บำเพ็ญบารมีตั้งพระทัยไว้แต่แรก 
              พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ยังมิได้รับอาราธนาของทวยเทพทั้งหลายก่อน ทรงพิจารณาดู ปัญจมหาวิโลกนะ ๕ ประการ คือ ๑. กาล ๒. ประเทศ ๓. ตระกูล ๔. มารดา ๕. อายุ เห็นว่าอยู่ในสถานที่ควรจะเสด็จจุติลงได้ ด้วยจะสำเร็จดังมโนปณิธานที่ทรงตั้งไว้ จึงได้ทรงรับคำทูลเชิญของมวลเทพนิกร
              เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ส่งเทพเจ้าทั้งหลายกลับคืนนิวาสถานของตน ๆ แล้ว เสด็จแวดล้อมไปด้วยเทพบริวาร ไปสู่นันทวันอุทยาน อันมีในดุสิตเทวโลก เสด็จประภาสรื่นรมณ์อยู่ในทิพย์อุทยานนั้น ครั้นได้เวลาอันสมควรก็เสด็จจุติลงมาปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางเจ้ามายาราชเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ ณ พระนครกบิลพัสดุ์ ในวันเพ็ญ เดือน ๘ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี
              ในราตรีกาลวันอาสาฬหปุรณมี เพ็ญเดือน ๘ นั้น พระนางเจ้ามายาราชเทวีทรงอธิฐานสมาทานอุโบสถศีล เสด็จบรรทมบนพระแท่นที่ ในเวลารุ่งสุริยรังษีปัจจุบันสมัย ทรงพระสุบินนิมิตว่า
              "ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ มายกพระองค์ไปพร้อมกับพระแท่นที่ผทม เอาไปวางไว้บนแผ่นมโนศิลา ภายใต้ต้นรังใหญ่ แล้วมีนางเทพธิดามาทูลเชิญให้เสด็จไปสรงน้ำในสระอโนดาษ ชำระล้างมลทินแห่งมนุษย์แล้ว ทรงผลัดด้วยผ้าทิพย์ ลูบไล้ด้วยเครื่องหอมอันเป็นทิพย์ ทั้งประดับด้วยทิพย์บุบผาชาติ ใกล้ภูเขาเงินภูเขาทอง แล้วเชิญเสด็จให้เข้าผทมในวิมานทอง บ่ายพระเศียรไปยังปราจีนทิศ (ตะวันออก) ขณะนั้นมีเศวตกุญชร ช้างเผือกเชือกหนึ่ง ชูงวงจับดอกปุณฑริกปทุมชาติ (บัวขาว) เพิ่งแย้มบาน กลิ่นหอมฟุ้งตระหลบ ลงจากภูเขาทองด้านอุตตรทิศ ร้องก้องโกญจนาทเดินเข้าไปในวิมาน ทำปทักษิณเวียนพระแท่นที่ผทมได้ ๓ รอบ แล้วปรากฏเสมือนเข้าไปสู่พระอุทรทางเบื้องขวาของพระราชเทวี" ก็พอดีพระนางเจ้าเสด็จตื่นบรรทม ขณะนั้นก็พลันบังเกิดกัมปนาทแผ่นดินไหว มีรัศมีสว่างไปทั่วโลกธาตุ เป็นบุพพนิมิตโดยธรรมนิยม ในเวลาพระบรมโพธิสัตว์เจ้าเสด็จลงปฏิสนธิในพระครรภ์พระนางเจ้ามายาราชเทวี
              ครั้นเวลารุ่งเช้า พระนางเจ้ามายาราชเทวี จึงกราบทูลเรื่องพระสุบินนิมิตเมื่อราตรีแก่พระราชสามี พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช จึงรับสั่งให้เชิญพราหมณ์ปาโมกข์โหราจารย์เข้ามาเฝ้า แล้วทรงเล่าเรื่องพระสุบินของพระราชเทวีให้ทำนาย พราหมณ์ทั้งหลายก็ทูลพยากรณ์ว่า พระสุบินของพระราชเทวี เป็นมงคลนิมิตปรากฏ พระองค์จะได้พระปิโยรส เป็นอัครบุรุษมนุษย์ชายชาติเชื้ออาชาไนย มีบุญญาธิการยิ่งใหญ่ในโลกสันนิวาส เป็นที่พึ่งของประชาชาติไม่มีผู้ใดเสมอ พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงสดับก็ทรงโสมนัส โปรดประทานการบริหารพระครรภ์พระราชเทวีเป็นอย่างดี ให้สนมอยู่ประจำที่คอยอภิบาลอยู่ตลอดเวลา
              เมื่อพระนางเจ้ามายาราชเทวีทรงพระครรภ์อยู่ถ้วนทศมาส ๑๐ เดือนบริบูรณ์แล้วมีพระทัยปราถนาจะเสด็จไปเมืองเทวทหะนคร อันเป็นชาติภูมิของพระองค์ จึงกราบทูลลาพระเจ้าสุทโธทนะพระราชสามี ครั้นได้รับพระราชทานอนุมัติแล้ว ก็เสด็จโดยราชยานสีวิกามาศ (วอทอง) แวดล้อมด้วยเสนามาตย์ราชบริพาร ตามเสด็จถวายอารักขาเป็นอย่างดี ในวันวิสาขะปุณณมี เพ็ญเดือน ๖ ออกจากพระนครในเวลาเช้า เสด็จไปตามมรรคาโดยสวัสดี ตราบเท่าบรรลุถึงลุมพินีสถาน อันตั้งอยู่ในระหว่างพระนครทั้งสอง คือ พระนครกบิลพัสดุ์และพระนครเทวทหะ เป็นรมณียสถาน บริบูรณ์ด้วยรุกขบุบผาผลาชาติ กำลังผลิตดอกออกผล หอมฟุ้งขจรจบในบริเวณนั้น พระนางเจ้ามีพระทัยปรารถนาจะเสด็จประพาส จึงอำมาตย์ทั้งหลายก็เชิญเสด็จแวะจากมรรคา เสด็จเข้าสู่ลุมพินีวัน เสด็จลงจากราชยานสีวิกามาศ แวดล้อมด้วยพระพี่เลี้ยงและนารีราชบริวารเป็นอันมาก เสด็จดำเนินไปถึงร่มไม้สาละพฤกษ์ ทรงยกพระหัตถ์เหนี่ยวกิ่งสาละซึ่งอ่อนน้อมค้อมลงมา ขณะนั้นก็ประจวบลมกัมมัชวาตหวั่นไหวประชวรพระครรภ์ ใกล้ประสูติ เจ้าพนักงานทั้งหลายก็รีบจัดสถานที่ผูกม่านแวดวงเข้ากับภายใต้ร่มไม้สาละถวายเท่าที่พอจะทำได้ แล้วก็ชวนกันออกมาภายนอก เทพยดาในหมื่นจักรวาลมาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้น พระนางเจ้ามายาเทวี ทรงนุ่งโกสัยพัสตร์ขจิตด้วยทอง ทรงห่มทุกุลพัสตร์คลุมพระองค์ลงไปถึงหลังพระบาท ประทับยืนผันพระปฤษฏางค์พิงเข้ากับลำต้นมงคลสาละพฤกษ์ พระหัตถ์ขวาเหนี่ยวกิ่งสาละ ทอดพระเนตรไปยังปราจีนทิศ
              ในกาลนั้น เป็นมหามงคลหุติฤกษ์ พระบรมโพธิสัตว์เจ้าประสูติจากมาตุคัพโภทร ท้าวสุธาวาสมหาพรหมทั้ง ๔ พระองค์ ก็ทรงถือข่ายทองรองรับพระกายไว้ ในที่เฉพาะพระพักตร์พระราชเทวีแล้วกล่าวว่า พระแม่เจ้าจงทรงโสมนัสเถิด พระราชโอรสที่ประสูตินี้ มีมเหศักดาอานุภาพยิ่งนัก ขณะนั้นท่ออุทกธาราทั้งสองก็ไหลหลั่งลงมาจากอากาศ ท่อธารหนึ่งเป็นน้ำร้อน ท่อธารหนึ่งเป็นน้ำเย็น ตกลงมาโสรจสรงพระกายพระกุมารกับพระราชมารดา


พระสิทธัตถะกุมาร
              ลำดับนั้นท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ พระองค์ ก็ทรงรับพระราชกุมารไปจากพระหัตถ์ท้าวมหาพรหม โดยรองรับพระองค์ด้วยอชินจัมมาชาติ อันมีสุขสัมผัส ซึ่งสมมุติว่าเป็นมงคลในโลก ต่อนั้น นางนมทั้งหลายจึงรองรับพระองค์ด้วยผ้าทุกุลพัสตร์จากพระหัตถ์ท้าวจตุโลกบาล และขณะนั้นพระราชกุมาร ก็เสด็จอุฏฐาการลงจากมือนางนมทั้งหลาย เสด็จเหยียบยืนยังพื้นภูมิภาค ด้วยพระบาททั้งสองเสมอเป็นอันดี ท้าวมหาพรหมก็ทรงเปรมปรีย์ ทรงทิพย์เศวตฉัตรกลางกั้น กันละอองมิให้มาถูกต้องพระยุคลบาท ท้าวสยามเทวราช ทรงซึ่งทิพย์วาลวิชนีอันวิจิตร เทพบุตรที่มีมหิทธิฤทธิ์องค์หนึ่ง ถือพระขรรค์อันขจิตด้วยแก้ว ๗ ประการ เทพบุตรองค์หนึ่งยืนประดิษฐานถือฉลองพระบาทชาตรูปมัยทั้งคู่ เทพบุตรองค์หนึ่งยืนเชิดชูทิพยมหามงกุฏ ล้วนเป็นเกียรติแก่พระกุมาร ซึ่งเพียบพร้อมด้วยเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ทั้ง ๕ ปรากฏแก่นัยน์ตาของมวลมนุษย์ แต่เทพยดาทั้งหลายที่ถือนั้นมิได้เห็นปรากฏ
พระกุมารดำรัสอาภิสวาจา-สหชาติที่บังเกิดร่วมกัน
              ครั้นพระกุมารทอดพระเนตรไปยังปราจีนทิศ เห็นเทพยดามนุษย์เป็นอันมาก มาสโมสรสันนิบาตในลานอันเดียวกัน และเทพยดาทั้งปวงนั้นทำสักการะบูชาด้วยบุบผาชาติต่าง ๆ ตั้งไว้บนเศียรเกล้า แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระกุมาร พระองค์เป็นผู้ประเสริฐสุด จะหาบุคคลในโลกนี้เสมอด้วยพระองค์มิได้มี ครั้นแล้วพระกุมารเจ้าก็บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุตตรทิศ เสด็จย่างพระบาทไปบนพื้นแผ่นทอง อันท้าวจตุโลกบาลถือรองรับไว้ได้ ๗ ก้าว แล้วทรงหยุดประทับยืนบนทิพยปทุมบุบผาชาติ อันมีกลีบได้ ๑๐๐ กลีบ ทรงเปร่งพระสุรเสียงอันไพเราะดุจเสียงท้าวมหาพรหม ดำรัสอาภิสวาจาด้วยพระคาถาว่า
              อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส               เชฏฺโฐ เสฏฺโฐ หมสฺมิ
              อยนฺติมา เม ชาติ                  นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ฯ
              ความว่า ในโลกนี้ เราเป็นยอด เป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด การเกิดของเรานี้เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปไม่มี
              ขณะนั้น โลกธาตุก็บังเกิดมหัศจรรย์หวั่นไหว รัศมีพระอาทิตย์ก็อ่อนมิได้ร้อนเย็นสบาย มหาเมฆก็ตั้งขึ้นในทิศทั้งหลาย ยังวัสโสทกให้ตกลงในที่นั้น ๆ โดยรอบ ทิศานุทิศทั้งหลายก็โอภาสสว่างยิ่งนัก ทั้งสรรพบุพพนิมิตปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ก็ปรากฏมี ดุจการเมื่อเสด็จลงปฏิสนธิในพระครรภ์นั้น
              และในวันพระกุมารประสูตรนั้น มีมนุษย์และสัตว์ กับสิ่งซึ่งเป็นสหชาติมงคลบังเกิดร่วมกันวันทันสมัยถึง ๗ คือ พระนางพิมพา ๑ พระอานนท์ ผู้เป็นราชโอรสพระเจ้าอมิโตทนะ พระเจ้าอา ๑ กัณฐกอัสวราช ม้าพระที่นั่ง ๑ ไม้มหาโพธิ์ ๑ กับขุมทอง ๔ ขุม คือ ขุมทองสังขนิธี ขุมทองเอลนิธี ขุมทองอุบลนิธี ขุมทองปุณฑริกนิธี
              ครั้นกษัตริย์ศากยราชทั้งสองพระนครทรงทราบข่าวสาร พระกุมารประสูติก็ทรงปีติโสมนัสเป็นที่ยิ่ง จึงเสด็จมาอันเชิญพระราชกุมารพร้อมด้วยพระชนนี แวดล้อมด้วยมหันตราชบริวาร กึกก้องด้วยดุริยะประโคมขาน แห่เสด็จคืนเข้าพระนครกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้จัดพี่เลี้ยง นางนม พร้อมด้วยเครื่องสูงแบบกษัตริย์ บำรุงพระราชกุมาร กับจัดแพทย์หลวงถวายการบริหารพระราชเทวี พระราชชนนีของพระกุมารเป็นอย่างดี
อสิตะดาบสเข้าเฝ้าเยี่ยมและถวายพยากรณ์
              ครั้งนั้นมีดาบสองค์หนึ่งมีนามว่า กาฬเทวิล แต่มหาชนเรียกว่า อสิตะ ได้สมาบัติ ๘ มีฤทธิ์มาก เป็นกุลุปกาจารย์ของพระเจ้าสุทโธทนะ ได้ทราบข่าวจากเทพยดาว่า พระเจ้าสุทโธทนะได้พระราชโอรส จึงได้เดินทางเข้าไปยังกบิลพัสดุ์นคร เข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะในพระราชนิเวศน์ ถวายพระพรถามข่าวถึงการประสูติของพระราชโอรส พระเจ้าสุทโธทนะทรงปีติปราโมทย์ รับสั่งให้เชิญพระโอรสมาถวายเพื่อนมัสการท่านอสิตะดาบส แต่พระบาททั้งสองของพระโอรส กลับขึ้นไปปรากฏบนเศียรเกล้าของอสิตะดาบสเป็นอัศจรรย์ พระดาบสเห็นดังนั้น ก็สดุ้งตกใจ ครั้นพิจารณาดูลักษณะของพระกุมาร ก็ทราบชัดด้วยปัญญาญาณ มีน้ำใจเบิกบาน หัวเราะออกมาได้ด้วยความปีติโสมนัส ประนมหัตถ์ถวายอภิวาทแทบพระยุคคลบาทของพระกุมาร และแล้วอสิตะดาบสกลับได้คิด เกิดโทมนัสจิตร้องไห้เสียใจในวาสนาอาภัพของตน 
              พระเจ้าสุทโธทนะได้ทอดพระเนตรเห็นอาการของท่านอาจารย์พิกล ก็แปลกพระทัย เดิมก็ทรงปีติเลื่อมใสในการอภิวาทของท่านอสิตะดาบสว่า อภินิหารของพระปิโยรสนั้นยิ่งใหญ่ประดุจท้าวมหาพรหม จึงทำให้ท่านอาจารย์มีจิตนิยมชมชื่นอัญชลี ครั้นเห็นท่านอสิตะดาบสคลายความยินดีโศกาอาดูร ก็ประหลาดพระทัยสงสัย รับสั่งถามถึงเหตุแห่งการร้องไห้ และการหัวเราะ เฉพาะหน้า
              อสิตะดาบสก็ถวายพระพรพรรณนาถึงมูลเหตุ ว่าเพราะอาตมาพิจารณาเห็นเป็นมหัศจรรย์ พระกุมารนี้มีพระลักษณะพระโพธิสัตว์เจ้าบริบรูณ์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าโดยแท้ และจะเปิดโลกนี้ให้กระจ่างสว่างไสวด้วยพระกระแสแห่งธรรมเทศนา เป็นคุณที่น่าโสมนัสยิ่งนัก แต่เมื่ออาตมานึกถึงอายุสังขารของอาตมาซึ่งชราเช่นนี้แล้ว คงจะอยู่ไปไม่ทันเวลาของพระกุมารจะได้ตรัสรู้เป็นพระบรมครูสั่งสอน จึงได้วิปฏิสารโศกเศร้า เสียใจที่มีอายุไม่ทันได้สดับรับพระธรรมเทศนา อาตมาจึงได้ร้องไห้
              ครั้นอสิตะดาบทถวายพระพรแล้ว ก็ทูลลากลับไปบ้านน้องสาว นำข่าวอันนี้ไปบอกนาลกะมานพ ผู้หลานชาย และกำชับให้พยายามออกบวชตามพระกุมารในกาลเมื่อหน้าโน้นเถิด
โกณทัญญพราหมณ์ยกนิ้วมือเดียวพยากรณ์-ถวายพระนาม
              ครั้นถึงวันเป็นคำรบ ๕ นับแต่พระกุมารประสูติมา พระเจ้าสุทโธทนะราชจึงโปรดให้ทำพระราชพิธีโสรจสรงองค์พระกุมารในสระโบกขรณี เพื่อถวายพระนามตามขัตติยราชประเพณี โปรดให้ตกแต่งพระราชนิเวศน์ ประพรมด้วยจตุรสุคนธชาติ และได้โปรยปรายซึ่งบุบผาชาติ มีข้าวตอกเป็นคำรพ ๕ ปูลาดอาสนะอันขจิตด้วยเงินทองและแก้ว ตกแต่งข้าวปายาสอันประณีต ให้ประชุมกษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี และเสนามุขอำมาต์ย ทั้งปวงพร้อมกันในพระราชนิเวศน์ รับสั่งให้เชิญพระราชโอรสอันประดับด้วยราชประสาธนาภรณ์อันวิจิตรมาสู่มหามณฑลสันนิบาต แล้วเชิญพราหมณาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญในไตรเพท ๑๐๘ คน ให้เลือกสรรเอาพราหมณ์ ๘ คน ผู้ทรงคุณวิทยาประเสริฐกว่าพราหมณ์ทั้งหมดนั้น ให้นั่งเหนืออาสนะอันสูง แล้วให้เชิญพระราชโอรสไปยังที่ประชุมพราหมณ์ ๘ คนนั้น เพื่อพิจารณาพระลักษณะพยากรณ์
              พราหมณ์ ๘ คนนั้น มีนามว่า รามพราหมณ์ ๑ ลักษณะพราหมณ์ ๑ ยัญญพราหมณ์ ๑ ธุชพราหมณ์ ๑ โภชพราหมณ์ ๑ สุทัตตพราหมณ์ ๑ สุยามพราหมณ์ ๑ โกณทัญญพราหมณ์ ๑ ใน ๗ คนข้างต้น เว้นโกณทัญญพราหมณ์เสีย พิจารณาเห็นพระลักษณะพระกุมารบริบูรณ์ จึงยกนิ้วมือขึ้น ๒ นิ้ว ทูลเป็นสัญลักษณ์ทำนายมีคติ ๒ ประการว่า พระราชกุมารนี้ ผิว่าสถิตอยู่ในฆราวาส จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ผิว่าออกบรรพชาจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
              แต่โกณทัญญพราหมณ์ผู้เดียว ผู้มีอายุน้อย หนุ่มกว่าพราหมณ์ทั้ง ๗ คนนั้นได้พิจารณาเห็นแท้แน่แก่ใจว่า พระราชกุมารจะต้องได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม่นมั่น จึงได้ยกนิ้วมือเดียว เป็นสัญลักษณ์พยากรณ์เป็นคติเดียวว่า พระราชกุมารบริบูรณ์ด้วยพระมหาบุรุษพุทธลักษณ์โดยส่วนเดียว จะอยู่ครองฆราวาสวิสัยมิได้ จะเสด็จออกบรรพชา และตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท
              และได้พร้อมกันถวายพระนามพระกุมาร ตามคุณพิเศษที่ปรากฏ เพราะพระกุมารมีพระรัศมีโอภาสงามแผ่สร้านออกจากพระสรีระกายเป็นปกติ จึงถวายพระนามว่า อังคีรส และเพราะพระกุมารต้องพระประสงค์สิ่งอันใด สิ่งอันนั้นจะต้องพลันได้ดังพระประสงค์ จึงได้ถวายพระนามว่า สิทธัตถะ แต่มหาชนนิยมเรียกตามพระโคตรว่า โคตมะ ( โดยเฉพาะคนไทยเราแต่ก่อนนิยมเรียกว่า สิทธารถ อ่านว่า สิทธาด )
              ในวันนั้น บรรดาขัตติยวงศ์ศากยราชทั้งหมด มีความปีติโสมนัสยิ่งนัก ต่างได้ทูลถวายราชบุตรองค์ละองค์ ๆ สิ้นด้วยกัน เป็นราชบริพารของพระราชกุมาร ฝ่ายพราหมณ์ ๗ คนที่ถวายพยากรณ์พระกุมารว่า มีคติเป็น ๒ นั้น เมื่อกลับไปถึงเคหะสถานแล้ว ต่างเรียกบุตรของตนมาสั่งว่า พระราชโอรสของพระมหากษัตริย์มีบุญญาธิการยิ่งนัก แต่บิดาชราแล้ว จะได้อยู่ทันเห็นพระองค์หรือไม่ก็มิรู้ หากพระกุมารจะเสด็จออกบรรพชาแล้วไซร้ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมั่นคง เจ้าทั้งหลายจงออกบวชในพระพุทธศาสนาเถิด
พระนางเจ้ามายาเสด็จทิวงคต-พระกุมารเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน
              ส่วนพระนางมายาเทวี เมื่อประสูติพระบรมโพธิสัตว์เจ้าล่วงไปได้ ๗ วัน ก็เสด็จทิวงคต ไปบังเกิดเป็นเทพธิดา สถิตในดุสิตเทวโลก ตามประเพณีพระพุทธมารดา พระเจ้าสุทโธทนะจึงได้มอบการบำรุงรักษาพระสิทธัตถะกุมาร ให้เป็นภาระแก่พระนางปชาบดี โคตมี พระเจ้าน้า ซึ่งก็เป็นพระมเหษีของพระองค์ด้วย แม้พระนางปชาบดี โคตมี ก็ทรงมีพระเมตตารักใคร่พระกุมารเป็นที่ยิ่ง เอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงพระกุมารเป็นอย่างดี แม้ต่อมาพระนางเจ้าจะทรงมีพระโอรสถึง ๒ พระองค์ คือ นันทกุมาร และรูปนันทากุมารี ก็ทรงมอบภาระให้แก่พี่เลี้ยงนางนมบำรุงรักษา ส่วนพระนางเจ้าทรงเป็นธุระบำรุงพระสิทธัตถะกุมารด้วยพระองค์เอง
              ต่อมาวันหนึ่ง เป็นวันพระราชพิธีวัปปมงคล งานแรกนาขวัญ พระเจ้าสุทโธทนะเสด็จไปทรงแรกนาขวัญ ในงานพระราชพิธีนั้น ก็โปรดเกล้าให้เชิญพระกุมารไปในงานพระราชพิธีนั้นด้วย ครั้นเสด็จถึงภูมิสถานที่แรกนาขวัญ ก็โปรดให้จัดร่มไม้หว้า ซึ่งหนาแน่นด้วยกิ่งใบ อันอยู่ใกล้สถานที่นั้น เป็นที่ประทับของพระกุมาร โดยแวดวงด้วยม่านอันงามวิจิตร ครั้นถึงเวลาพระเจ้าสุทโธทนะ ทรงไถแรกนา บรรดาพระพี่เลี้ยงนางนมที่เฝ้าถวายบำรุงรักษาพระกุมาร พากันหลีกออกมาดูพิธีนั้นเสียหมด คงปล่อยให้พระกุมารประทับ ณ ภายใต้ร่มไม้หว้าพระองค์เดียว 
              เมื่อพระกุมารเสด็จอยู่พระองค์เดียว ได้ความสงัดเป็นสุข ก็ทรงนั่งขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ยังปฐมฌานให้บังเกิด ในเวลานั้นเป็นเวลาบ่าย เงาแห่งต้นไม้ทั้งหลาย ย่อมชายไปตามแสงตะวันทั้งสิ้น แต่เงาไม้หว้านั้นดำรงทรงรูปปรากฏเป็นปริมณฑลตรงอยู่ดุจเวลาตะวันเที่ยง เป็นมหัศจรรย์ เมื่อนางนมพี่เลี้ยงทั้งหลายกลับมา เห็นปาฏิหาริย์ดังนั้นก็พลันพิศวง จึงรีบไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะราช ๆ ได้ทรงสดับก็เสด็จมาโดยเร็ว ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์เป็นมหัศจรรย์เช่นนั้น ก็ยกพระหัตถ์ถวายอภิวันทนาการ ออกพระโอฐดำรัสว่า เมื่อวันเชิญมาให้ถวายนมัสการพระกาฬเทวิลดาบส ก็ทรงทำปาฏิหาริย์ขึ้นไปยืนบนชฏาพระดาบส อาตมะก็ประณตครั้งหนึ่งแล้ว และครั้งนี้อาตมะก็ถวายอัญชลีเป็นวาระที่สอง ตรัสแล้วให้เชิญพระกุมารเสด็จคืนเข้าพระนคร ด้วยความเบิกบานพระทัย
              ครั้นจำเนียรกาลมา พระสิทธัตถกุมารเจริญพระชนมพรรษาได้ ๗ ขวบ พระราชบิดาจึงโปรดให้ขุดสระโบกขรณี ๓ สระ ปลูกปทุมบัวหลวงสระ ๑ ปลูกปุณฑริกบัวขาวสระ ๑ ปลูกอุบลบัวขาบสระ ๑ จัดให้มีเรือพายพร้อมสรรพ เพื่อให้พระกุมารและบริวารน้อย ๆ ทรงเล่นเป็นที่สำราญพระทัย กับทรงจัดเครื่องทรง คือจันทน์สำหรับทา ผ้าโผกพระเศียร ฉลองพระองค์ ผ้าทรงสะพัก พระภูษา ล้วนเป็นของมาแต่แคว้นกาสี ซึ่งนิยมว่าเป็นของประณีต ของดี ในเวลานั้นทั้งสิ้น มีคนคอยกั้นเศวตฉัตร (คือพระกลดขาว ซึ่งนับว่าเป็นของสูง) ทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อจะมิให้เย็นร้อนธุลีละออง แดด น้ำค้าง มาถูกต้องพระกายได้
              เมื่อพระสิทธัตถะกุมารมีพระชนม์เจริญ ควรจะศึกษาศิลปวิทยาได้แล้ว พระราชบิดาจึงทรงพาไปมอบไว้ในสำนักครูวิศวามิตร พระกุมารทรงเรียนได้ว่องไว จนสิ้นความรู้ของอาจารย์สิ้นเชิง ต่อมาได้ทรงแสดงศิลปธนู ซึ่งถือว่าเป็นวิชาสำคัญสำหรับกษัตริย์ ในท่ามกลางขัตติยวงศ์ศากยราช และเสนามุขอำมาตย์ แสดงความแกล้วกล้าสามารถเป็นเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมถึง ให้ปรากฏเป็นอัศจรรย์ 
              ครั้นพระกุมารมีพระชันษาได้ ๑๖ ปี ควรมีพระเทวีได้แล้ว พระราชบิดาตรัสสั่งให้สร้างปราสาท ๓ หลัง คือ วัมยปราสาท ๑ สุรัมยปราสาท ๑ สุภปราสาท ๑ เพื่อเป็นที่เสด็จประทับอยู่ของพระราชโอรสใน ๓ ฤดูกาล คือ ฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน ตกแต่งปราสาท ๓ หลังนั้นงดงามสมพระเกียรติ เป็นที่สบายในฤดูนั้น ๆ แล้วตรัสขอ พระนางยโสธรา แต่นิยมเรียกว่า พระนางพิมพา พระราชบุตรีของพระเจ้าสุปปพุทธะ ในเทวทหนคร อันประสูติแต่พระนางอมิตา พระกนิฏฐภคินีของพระองค์ มาอภิเษกเป็นพระชายา พระสิทธัตถะกุมารเสด็จอยู่บนปราสาททั้ง ๓ หลังนั้น ตามฤดูทั้ง ๓ บำเรอด้วยดนตรีล้วน แต่สตรีประโคมขับ ไม่มีบุรุษเจือปน เสวยสุขสมบัติทั้งกลางวันกลางคืน จนพระชนม์ได้ ๒๙ ปี มีพระโอรสประสูติแต่นางยโสธราพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ราหุลกุมาร
พระสิทธัตถะกุมารทอดพระเนตรเทวทูต
              พระสิทธัตถะบริบูรณ์ด้วยความสุขตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จนทรงพระเจริญวัยเห็นปานนี้ ก็เพราะเป็นพระราชโอรสสุขุมาลชาติ ยิ่งพระราชบิดาและพระญาติวงศ์ ได้ทรงฟังคำทำนายของอสิตดาบส และพราหมณ์ทั้ง ๘ นาย ว่ามีคติเป็นสอง คือจะต้องประสบอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าอยู่ครองสมบัติ จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าออกบรรพชาจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลก ก็จำเป็นอยู่เองที่พระองค์จะปรารถนาให้พระกุมารอยู่ครองสมบัติ มากกว่าที่จะยอมให้ออกบรรพชา จึงต้องคิดอุบายรักษาผูกพันพระกุมารไว้ให้เพลินเพลินในกามสุขอย่างนี้
              วันหนึ่ง พระสิทธัตถะเสด็จประพาสพระราชอุทยาน โดยรถพระที่นั่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ซึ่งเทพยดานิรมิตให้ทอดพระเนตรในระยะทาง ทรงเบื่อหน่ายในกามสุข ตั้งต้นแต่ได้ทรงเห็นคนแก่ เป็นลำดับไป 
              ทรงหยั่งเห็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ครอบงำมหาชนอยู่ทุกคน ไม่ล่วงพ้นไปได้ เป็นอย่างนั้น เพราะโทษที่ได้ฟังคำสอนของนักปราชญ์ เห็นผู้อื่นแก่ เจ็บ ตาย ย่อมเบื่อหน่ายเกลียดชัง ไม่คิดถึงตัวว่า จะต้องเป็นเหมือนอย่างนั้นบ้าง เมาอยู่ในวัย ในความไม่มีโรค และในชีวิต เหมือนหนึ่งเป็นคนจะไม่ต้องแก่ เจ็บ ตาย มีแต่ขวนขวายหาของอันมีสภาวะเช่นนั้น ไม่คิดอุบายเครื่องพ้นบ้างเลย ถึงพระองค์ก็มีอย่างนั้นเป็นธรรม แต่จะเกลียดเบื่อหน่ายเหมือนอย่างเขา ไม่สมควรแก่พระองค์เลย
              เมื่อทรงดำริอย่างนี้แล้ว ก็ทรงบันเทาความเมา ๓ ประการ คือ เมาในวัย เมาในความไม่มีโรค และเมาในชีวิต กับทั้งความเพลิดเพลินในกามสมบัติเสียได้ จึงทรงดำริต่อไปว่า ธรรมดาสภาวะทั้งปวง ย่อมมีของที่เป็นข้าศึกแก่กัน เช่นมีร้อน ก็มีเย็นแก้ มีมืด ก็มีสว่างแก้ บางทีจะมีอุบายแก้ทุกข์ ๓ อย่างนั้นได้บ้างกระมัง ก็แต่ว่า การที่จะแสวงหาอุบายแก้ทุกข ์ ๓ อย่างนั้น เป็นการยากอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ยังอยู่ในฆราวาสวิสัย จะแสวงหาไม่ได้ เพราะฆราวาสนี้เป็นที่คับแคบนัก และเป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์อันทำใจให้เศร้าหมอง เหตุความรัก ความชัง ความหลง ดุจเป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นช่องว่าง พอเป็นที่แสวงหาอุบายนั้นได้ ทรงดำริอย่างนี้แล้ว ก็มีพระอัธยาศัยน้อมไปในบรรพชา ไม่ยินดีในฆราวาสสมบัติ
              ครั้นทรงแน่พระทัยว่า เป็นอุบายให้แสวงหาธรรมเป็นเครื่องพ้นได้เช่นนั้น ก็ทรงโสมนัส เสด็จกลับพระราชวังในเวลาเย็น ด้วยพระเกียรติยศอันสูง เสด็จขึ้นประทับที่มุขปราสาทชั้นบน
พระสิทธัตถะกุมารทรงสดับคุณบทพระนิพพาน
              ขณะนั้น นากีสาโคตมี ราชกัญญาแห่งศากยราช ได้ทอดพระเนตรเห็นพระสิทธัตถะ ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ ได้ตรัสคาถาสรรเสริญพระคุณสมบัติของพระกุมารด้วยสุรเสียงอันไพเราะว่า
              นิพฺพุตา นูน สา มาตา               นิพฺพุโต นูน โส ปิตา
              นิพฺพุตา นูน สา นารี                   ยสฺสายํ อีทิโส ปติ.
              ความว่า หญิงใด เป็นมารดาของพระกุมารนี้ หญิงนั้นดับทุกข์ได้ ชายใดเป็นบิดาของพระกุมารนี้ ชายนั้นดับทุกข์ได้ พระกุมารนี้เป็นสามีของนางใด นางนั้นก็ดับทุกข์ได้
              พระสิทธัตถะทรงสดับคาถานั้น ทรงเลื่อมใส พอพระทัยในคำว่า นิพฺพุตา ความดับทุกข์ ซึ่งมีความหมายไกลออกไปถึงพระนิพพาน ธรรมเครื่องดับทุกข์ทั้งมวล ทรงดำริว่า พระน้องนางผู้นี้ ให้เราได้สดับคุณบทแห่งพระนิพพานครั้งนี้ ชอบยิ่งแล้วจึงทรงถอดสร้อยมุกข์ซึ่งมีค่ายิ่งจากพระศอ พระราชทานรางวัลแก่พระนางกีสาโคตมีด้วยทรงปิติยินดี ผดุงน้ำพระทัยให้พระองค์น้อมไปในการเสด็จออกบรรพชายิ่งขึ้น แต่ตรงข้ามจากความรู้สึกของพระนางกีสาโคตมี ซึ่งมีความรู้สึกในศัพท์ว่า นิพฺพุตา ต่ำ ๆ เพียงดับทุกข์ยาก ไม่ต้องเดือดร้อน สำหรับคนครองเรือน ยิ่งได้รับพระราชทานสร้อยมุกข์ ก็กลับเพิ่มความปฏิพัทธในพระกุมารยิ่งขึ้น คิดว่าพระกุมารคงจักพอพระทัยปฏิพัทธในพระนาง และแล้วก็คิดไกลออกไปตามวิสัยของคนมีความรัก
พระสิทธัตถะกุมารเสด็จหนีออกบรรพชา
              ครั้นพระสิทธัตถะทรงน้อมพระทัยเสด็จออกบรรพชาเช่นนั้น ก็ทรงเห็นมีทางเดียว คือ เสด็จหนีออกจากพระนคร ตัดความอาลัย ความเยื่อใย ในราชสมบัติ พระชายา และพระโอรส กับทั้งพระประยูรญาติ ตลอดราชบริพารทั้งสิ้น ด้วยหากจะทูลพระราชบิดา ก็คงจะถูกทัดทาน ยิ่งมวลพระประยูรญาติทราบเรื่อง ก็จะรุมกันห้ามปราม การเสด็จออกซึ่งหน้า ไม่เป็นผลสำเร็จได้ เมื่อทรงตั้งพระทัยเสด็จหนีเช่นนั้นแล้ว ในเวลาราตรีนั้น เสด็จบรรทมแต่หัวค่ำ ไม่ทรงใยดีในการขับประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีของพวกราชกัญญาทั้งหลาย ที่ประจงจัดถวายบำรุงบำเรอทุกประการ
              เมื่อพระสิทธัตถะทรงตื่นบรรทมในเวลาดึกสงัดแห่งราตรีนั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นนางบำเรอฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรีเหล่านั้น นอนหลับอยู่เกลื่อนภายในปราสาท ซึ่งสร้างด้วยแสงประทีป บางนางอ้าปาก กัดฟัน น้ำลายไหล บางนางผ้านุ่งหลุด บางนางกอดพิณ บางนางก่ายเปิงมาง บางนางบ่น ละเมอ นอนกลิ้งกลับไปมา ปรากฏแก่พระสิทธัตถะ ดุจซากศพ อันทิ้งอยู่ในป่าช้าผีดิบ ปราสาทอันงามวิจิตรแต่ไหนแต่ไรมา ได้กลายเป็นป่าช้า ปรากฎแก่พระสิทธัตถะในขณะนั้น เป็นการเพิ่มกำลังความดำริในการออกบรรพชาในเวลาย่ำค่ำเพิ่มขึ้นอีก ทรงเห็นบรรพชาเป็นทางที่ห่างอารมณ์อันล่อให้หลงและมัวเมา เป็นช่องที่จะบำเพ็ญปฏิบัติ เป็นประโยชน์ตนและผู้อื่น ทำชีวิตให้มีผลไม่เป็นหมัน ทรงตกลงพระทัยเช่นนี้ ก็เตรียมแต่งพระองค์ทรงพระขรรค์ รับสั่งเรียกนายฉันนะ อำมาตย์ ให้เตรียมผูกม้ากัณฐกะ เพื่อเสด็จออกในราตรีนั้น
              ครั้นตรัสสั่งแล้วก็เสด็จไปยังปราสาทพระนางพิมพาเทวี เพื่อทอดพระเนตรราหุลกุมาร พระโอรสพระองค์เดียวของพระองค์ เผยพระทวารห้องบรรทมของพระนางพิมพาเทวี เห็นพระนางบรรทมหลับสนิท พระกรกอดโอรสอยู่ ทรงดำริจะอุ้มพระโอรสขึ้นชมเชยเป็นครั้งสุดท้าย ก็เกรงว่าพระนางพิมพาจะทรงตื่นบรรทม เป็นอุปสรรคขัดขวางการเสด็จออกบรรพชา จึงตัดพระทัยระงับความเสน่หาในพระโอรส เสด็จออกจากห้องเสด็จลงจากปราสาท พบนายฉันนะเตรียมม้าพระที่นั่งไว้พร้อมดีแล้ว ก็เสด็จขึ้นประทับม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะตามเสด็จหนึ่งคน เสด็จออกจากพระนครในราตรีกาล ซึ่งเทพยดาบรรดาลเปิดทวารพระนครไว้ให้เสด็จโดยสวัสดี
              เมื่อเสด็จข้ามพระนครไปแล้ว ขณะนั้นพญามารวัสวดี ผู้มีจิตบาป เห็นพระสิทธัตถะสละราชสมบัติ เสด็จออกจากพระนคร เพื่อบรรพชา จะล่วงพ้นบ่วงของอาตมาซึ่งดักไว้ จึงรีบเหาะมาประดิษฐานลอยอยู่ในอากาศ ยกพระหัตถ์ขึ้นร้องห้ามว่า ดูกร พระสิทธัตถะ ท่านอย่ารีบร้อนออกบรรพชาเสียก่อนเลย ยังอีก ๗ วันเท่านั้น ทิพยรัตนจักรก็จะปรากฏแก่ท่าน แล้วท่านก็จะได้เป็นองค์บรมจักรพรรดิ์ เสวยสมบัติเป็นอิสราธิบดี มีทวีใหญ่ทั้ง ๔ เป็นขอบเขต ขอท่านจงนิวัตนาการกลับคืนเข้าพระนครเถิด
              พระสิทธัตถะจึงตรัสว่า ดูกรพญามาร แม้เราก็ทราบแล้วว่า ทิพยรัตนจักรจะเกิดขึ้นแก่เรา แต่เราก็มิได้มีความต้องการด้วยสมบัติบรมจักรพรรดิ์นั้น เพราะแม้สมบัติบรมจักรพรรดิ์นั้น ก็ตกอยู่ในอำนาจไตรลักษณ์ ไม่อาจนำผู้เสวยให้พ้นทุกข์ได้ ท่านจงหลีกไปเถิด เมื่อทรงขับพญามารให้ถอยไปแล้ว ก็ทรงขับม้ากัณฐกะราช ชาติมโนมัยไปจากที่นั้น บ่ายหน้าสู่มรรคา เพื่อข้ามให้พ้นเขตราชเสมาแห่งกบิลพัสดุ์บุรี เหล่าเทพยดาก็ปลาบปลื้มยินดี บูชาด้วยบุบผามาลัยมากกว่ามาก บ้างก็ติดตามห้อมล้อมถวายการรักษาพระมหาบุรุษเจ้าตลอดไป
ทรงตัดพระโมฬีถือเพศบรรชิตที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานที
              พอจวนเวลาใกล้รุ่งปัจจุสมัย ก็บรรลุถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที ก็ทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตบุรีกบิลพัสดุ์แล้ว ก็เสด็จลงจากหลังอัสวราช ประทับนั่งเหนือหาดทรายอันขาวสะอาด รับสั่งแก่นายฉันนะว่า เราจักบรรพชาถือเพศเป็นบรรพชิตในที่นี้ ท่านจงเอาเครื่องประดับของอาตมากับม้าสินธพกลับพระนครเถิด ครั้นตรัสแล้วก็ทรงเปลื้องเครื่องประดับสำหรับขัตติยราชทั้งหมดมอบให้แก่นายฉันนะ ตั้งพระทัยปรารถนาจะทรงบรรพชา จึงทรงดำริว่า เกศาของอาตมานี้ ไม่สมควรแก่สมณเพศ จึงทรงจับพระโมลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ ตัดพระโมลีให้ขาดออกเรียบร้อยด้วยพระองค์เอง แล้วทรงจับพระโมลีนั้นขว้างขึ้นไปบนอากาศ ทรงอธิษฐานว่า ถ้าอาตมาจะได้ตรัสรู้สัมโพธิญาณโดยแท้แล้ว ขอจุฬาโมลีนี้ จงตั้งอยู่ในอากาศ อย่าได้ตกลงมา ทว่าจะมิได้บรรลุสิ่งซึ่งต้องประสงค์ ก็จงตกลงมายังพื้นพสุธา ในทันใดนั้น จุฬาโมฬีก็มิได้ตกลงมา คงลอยอยู่ในอากาศ จึงสมเด็จพระอัมรินทราธิราชก็เอาผอบแก้วมารองรับไว้ แล้วนำไปบรรจุยังจุฬามณีเจดีย์สถาน ในเทวโลก
              ขณะนั้น ฆฏิการพรหม ก็น้อมนำไตรจีวรและบาตร มาจากพรหมโลกเข้าไปถวาย พระสิทธัตถะทรงรับผ้าไตรจีวรกาสาวพัสตร์และบาตรแล้ว ก็ทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต อุดมเพศ แล้วทรงมอบผ้าทรงเมื่อยังเป็นคฤหัสถ์เพศทั้งคู่ ให้แก่ฆฏิการพรหม ๆ ก็น้อมรับผ้าคู่นั้นไปบรรจุไว้ในทุสสเจดีย์ ในพรหมโลกสถาน.
นายฉันนะนำอาภรณ์กลับพระนครกบิลพัสดุ์
              เมื่อพระมหาบุรุษเจ้าทรงบรรพชาแล้ว จึงดำรัสสั่งนายฉันนะ อำมาตย์ว่า ท่านจงเป็นธุระนำอาภรณ์ของอาตมากลับเข้าไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ แจ้งข่าวแก่ขัตติยสกุลทั้งหลายอันยังมิได้รู้เหตุ แล้วกราบทูลพระปิตุเรศ และพระราชมาตุจฉาว่า พระโอรสของพระองค์หาอันตรายโรคาพยาธิสิ่งใดมิได้ บัดนี้บรรพชาแล้ว อย่าให้พระองค์ทรงทุกข์โทมนัสถึงพระราชบุตรเลย จงเสวยภิรมย์ราชสมบัติให้เป็นสุขทุกอิริยาบถเถิด เมื่ออาตมาได้บรรลุพระสัพพัญญุญาณแล้ว จะได้ไปเฝ้าพระราชบิดา พระมารดา กับทั้งพระประยูรญาติขัตติยวงศ์ทั้งมวล ท่านจงกลับไปกราบทูลข่าวสารด้วยประการฉะนี้
              นายฉันนะ อำมาตย์ รับพระราชโองการแล้ว ก็ถวายบังคมลาแทบพระยุคลบาท มิอาจจะกลั้นโศกาอาดูรได้ มิอยากจะจากไปด้วยความเสน่หาอาลัยเป็นที่ยิ่ง รู้สึกว่าเป็นโทษหนักที่ทอดทิ้งให้พระมหาบุรุษเจ้าอยู่แต่พระองค์เดียว แต่ก็ไม่อาจขัดพระกระแสรับสั่งได้ จำต้องจากพระมหาบุรุษเจ้าไปด้วยความสลดใจสุดจะประมาณ นำเครื่องอาภรณ์ของพระมหาบุรุษเจ้าทั้งหมด เดินทางพร้อมกับม้ากัณฐกะสินธวชาติ กลับพระนครกบิลพัสดุ์ พอเดินทางไปได้ชั่วสุดสายตาเท่านั้น ม้ากัณฐกะก็ขาดใจตาย ด้วยความอาลัยในพระมหาบุรุษเจ้าสุดกำลัง
              เมื่อนายฉันนะกลับไปถึงพระนคร ชาวเมืองทั้งปวงก็โจษจันกันอึงมี่ ว่านายฉันนะอำมาตย์กลับแล้ว ต่างก็รีบไปถามข่าว มวลหมู่อำมาตย์ทราบความก็บอกเล่ากันต่อ ๆ ไป ตราบจนนายฉันนะอำมาตย์เข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะราช ถวายเครื่องอาภรณ์ของพระมหาบุรุษเจ้า แล้วกราบทูลความตามที่พระมหาบุรุษเจ้าสั่งมาทุกประการ
              ครั้นพระราชบิดา พระมาตุจฉา พระนางพิมพา ตลอดจนขัตติยราช ได้สดับข่าวก็ค่อยคลายความโศกเศร้า และต่างก็ตั้งหน้าคอยสดับข่าวตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ของพระมหาบุรุษสืบไป ตามคำพยากรณ์ที่อสิตดาบส และพราหมณ์ทั้งหลายทูลถวายไว้แต่ต้นนั้น
โกณทัญญพราหมณ์ชวนเพื่อนออกบวช
              ฝ่ายโกณฑัญญะพราหมณ์ได้ฟังข่าวว่า พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชาแล้วก็ดีใจ รีบไปหาบุตรของเพื่อนพราหมณ์ทั้ง ๗ คน ที่ร่วมคณะถวายคำทำนายพระลักษณะด้วยกัน กล่าวว่า บัดนี้พระสิทธัตถะกุมารเสด็จออกบรรพชาแล้ว พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้ ไม่มีข้อที่จะสงสัย ถ้าบิดาของท่านทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่ก็จะออกบรรพชาด้วยกันในวันนี้ ผิว่าท่านทั้งหลายปรารถนาจะบวช ก็จงมาบวชตามเสด็จพระมหาบุรุษพร้อมกันเถิด แต่บุตรพราหมณ์ทั้ง ๗ นั้น หาได้พร้อมใจกันทั้งสิ้นไม่ ยินดีรับยอมบวชด้วยเพียง ๔ คน โกณฑัญญะพราหมณ์ก็พาพราหมณ์มานพทั้ง ๔ ออกบรรพชา เป็น ๕ คนด้วยกัน จึงได้นามว่า พระปัญจวัคคีย์ เพราะมีพวก ๕ คน ชวนกันออกสืบเสาะติดตามพระมหาบุรุษเจ้า
              ส่วนพระมหาบุรุษหลังแต่ทรงบรรพชาแล้ว เสวยบรรพชาสุขอยู่ ณ ที่ป่าไม้มะม่วงตำบลหนึ่ง มีนามว่า อนุปิยอัมพวัน เว้นเสวยพระกระยาหารถึง ๗ วัน ครั้นวันที่ ๘ จึงเสด็จดำเนินจากอนุปิยอัมพวันเข้าไปบิณฑบาตรในกรุงราชคฤห์ โดยกิริยาสงบอยู่ในอาการสังวร สมควรแก่ภาวะของสมณะ เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสของทุกคนที่ได้เห็น เมื่อได้บิณฑภัตรพอแก่ยาปนมัตถ์ ก็เสด็จกลับจากพระนคร โดยเสด็จออกจากทางประตูที่แรกเสด็จเข้าไป ตรงไปยังมัณฑวะบรรพต มีหน้าผาเป็นที่ร่มเย็น ควรแก่สมณวิสัย ประทับนั่ง ณ ที่สมควร ทรงปรารภจะเสวยอาหารในบาตร ทอดพระเนตรเห็นบิณฑาหารในบาตร ไม่สะอาด ไม่ประณีต หารสกลิ่นอันควรแก่การเสวยมิได้ เป็นอาหารเลว ที่พระองค์ไม่เคยทรงเสวยมาแต่ก่อน ก็บังเกิดปฏิกูล น่ารังเกียจเป็นที่ยิ่ง
              ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสสอนพระองค์เองว่า "สิทธัตถะ ตัวท่านบังเกิดในขัตติยสุขุมาลชาติ เคยบริโภคแต่อาหารปรุงแต่งด้วยสุคันธชาติโภชนสาลี อันประกอบด้วยสูปพยัญชนะมีรสอันเลิศต่าง ๆ ไฉนท่านจึงไม่รู้สึกตนว่า เป็นบรรพชิตเห็นปานฉะนี้ และเที่ยวบิณฑบาตร อย่างไรจะได้โภชนาหารอันสะอาดประณีตมาแต่ที่ใดเล่า และบัดนี้ ท่านสมควรจะคิดอย่างไรแก่อาหารที่ได้มานี้" ครั้นให้โอวาทแก่พระองค์ฉะนี้แล้ว ก็มนสิการในปฏิกูลสัญญา พิจารณาอาหารบิณฑบาตรด้วยปัจจเวกขณ์ และปฏิกูลปัจจเวกขณ์ ด้วยพระปรีชาญาณสมบูรณ์ด้วยพระสติดำรงมั่น ทรงเสวยมิสกาหารบิณฑบาตรอันนั้น ปราศจากความรังเกียจดุจอมฤตรส และทรงกำหนดในพระทัยว่า ตั้งแต่ทรงบรรพชามาได้ ๘ วัน เพิ่งได้เสวยภัตตาหารในวันนี้
พระเจ้าพิมพิสารเข้าเฝ้าพระมหาบุรุษถวายราชสมบัติ
              ครั้นพวกราชบุรุษได้เห็นพระมหาบุรุษในขณะเสด็จบิณฑบาต ก็นำความไปกราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร ราชาธิบดีแห่งแคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสารจึงรับสั่งให้สะกดรอยติดตาม เพื่อทราบความเท็จจริงของบรรพชิตพิเศษรูปนี้ ครั้นพวกราชบุรุษติดตามได้ความจริงแล้ว ก็นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้ากรุงมคธให้ทรงทราบ
              พระเจ้าพิมพิสาร ได้ทรงสดับ ก็มีพระทัยโสมทัสในพระคุณสมบัติ ทรงพระประสงค์จะได้พบ จึงเสด็จด้วยพระราชยานออกจากพระนครโดยด่วน ครั้นถึงบัณฑวะบรรพต ก็เสด็จลงจากราชยาน เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปเฝ้าพระมหาบุรุษเจ้า เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นพระอิริยาบถเรียบร้อย อยู่ในสมณสังวร ก็ยิ่งหลากพระทัย ทรงเลื่อมใสในปฏิปทาของพระมหาบุรุษ ครั้นได้ทูลถามถึงตระกูล ประเทศ และพระชาติ เมื่อทรงทราบว่าเป็นขัตติยศากยราชเสด็จออกบรรพชา ก็ทรงดำริว่า ชะรอยพระมหาบุรุษจะทรงพิพาทกับพระประยูรญาติ ด้วยเรื่องพระราชสมบัติเป็นแม่นมั่น จึงได้เสด็จออกบรรพชา ซึ่งเป็นธรรมดาของนักพรต ที่ออกจากราชตระกูลบรรพชาแต่กาลก่อน จึงได้ทรงเชื้อเชิญพระมหาบุรุษด้วยราชสมบัติ ซึ่งพระองค์ยินดีจะแบ่งถวายให้เสวยสมพระเกียรติทุกประการ
              พระมหาบุรุษจึงตรัสตอบขอบพระทัยพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งมีพระทัยกอรปด้วยพระเมตตา แบ่งสิริราชสมบัติพระราชทานให้ครอบครอง แต่พระองค์มิได้มีความประสงค์จำนงหมายเช่นนั้น ทรงสละราชสมบัติออกผนวช เพื่อมุ่งหมายพระสัพพัญญุตญาณโดยแท้
              พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับ ก็ตรัสอนุโมทนา และทูลขอปฏิญญากะพระมหาบุรุษว่า ถ้าพระองค์ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ขอได้ทรงพระกรุณาเสด็จมายังพระนครราชคฤห์ แสดงธรรมโปรด ครั้นพระมหาบุรุษทรงรับปฏิญญาแล้ว ก็ถวายบังคมลากลับเข้าพระนคร
พระมหาบุรุษเสด็จเข้าสำนักดาบส-เริ่มทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา
              ลำดับนั้น พระมหาบุรุษก็เสด็จจาริกจากที่นั้น ไปสู่สำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร ซึ่งสร้างอาศรมอยู่ในพนาสณฑ์ตำบลหนึ่ง ขอพำนักศึกษาวิชาและข้อปฏิบัติอยู่ ทรงศึกษาอยู่ไม่นาน ก็ได้สำเร็จสมาบัติ ๗ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๓ สิ้นความรู้ของอาฬารดาบส ทรงเห็นว่าธรรมเหล่านี้มิใช่ทางตรัสรู้ จึงได้อำลาอาฬารดาบส ไปสู่สำนักอุทกดาบส รามบุตร ขอพำนักศึกษาอยู่ด้วย ทรงศึกษาไดอรูปฌาน ๔ ครับสมาบัติ ๘ สิ้นความรู้ของอุทกดาบส ครั้นทรงไตร่ถามถึงธรรมวิเศษขึ้นไป อุทกดาบสก็ไม่สามารถจะบอกได้ และได้ยกย่องตั้งพระมหาบุรุษไว้ในที่เป็นอาจารย์เสมอด้วยตน แต่พระมหาบุรุษทรงเห็นว่า ธรรมเหล่านี้มิใช่ทางตรัสรู้ จึงได้อำลาอาจารย์ออกแสวงหาธรรมวิเศษสืบไป ทั้งมุ่งพระทัยจะทำความเพียรโดยลำพังพระองค์เดียว ได้เสด็จจาริกไปยังมคธชนบท บรรลุถึงตำบลอุรุเวลา เสนานิคม ได้ทอดพระเนตรเห็นพื้นที่ราบรื่น แนวป่าเขียวสด เป็นที่เบิกบานใจ แม่น้ำไหล มีน้ำใสสะอาด มีท่าน่ารื่นรมณ์ โคจรคาม คือ หมู่บ้านที่อาศัยเที่ยวภิกษาจาร ก็ตั้งอยู่ไม่ไกล ทรงเห็นว่าประเทศนั้น ควรเป็นที่อาศัยของกุลบุตรผู้มีความต้องการด้วยความเพียรได้ จึงเสด็จประทับอยู่ ณ ที่นั้น
              ส่วนบรรพชิตทั้ง ๕ อันมีนามว่า ปัญจวัคคีย์ คือ พระโกณทัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ พระอัสสชิ พากันเที่ยวติดตามพระมหาบุรุษในที่ต่าง ๆ จนไปประสบพบพระมหาบุรุษยังตำบลอุรุเวลา เสนานิคม จึงพากันเข้าไปถวายอภิวาทแล้วอยู่ปฏิบัติบำรุง จัดทำธุระกิจถวายทุกประการ โดยหวังว่าเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จะได้แสดงธรรมโปรดตนบ้าง
              พระมหาบุรุษทรงเริ่มทำทุกกรกิริยา ซึ่งเป็นปฏิปทาที่นิยมว่าเป็นทางให้ตรัสรู้ได้ในสมัยนั้น โดยทรมานพระกายให้ลำบาก ซึ่งเป็นกิจยากที่บุคคลจะกระทำได้ ด้วยการทรมานเป็น ๓ วาระ ดังนี้ 
              วาระแรก ทรงกดพระทนต์(ฟัน)ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุ(เพดานปาก)ุด้วยพระชิวหา(ลิ้น)ไว้ให้แน่น จนพระเสโท(เหงื่อ)ไหลจากพระกัจฉะ(รักแร้) ในเวลานั้นได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้า เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง จับบุรุษมีกำลังน้อยไว้ที่ศรีษะ หรือที่คอ บีบให้แน่น ฉะนั้น แม้พระกายจะกระวนกระวายไม่สงบระงับอย่างนี้ ทุกขเวทนานั้นก็ไม่อาจครอบงำพระหฤทัยให้กระสับกระส่าย พระองค์มีพระสติมั่น ไม่ฟั่นเฟือน ปรารภความเพียรไม่ท้อถอย ครั้นทรงเห็นว่า การกระทำอย่างนั้น ไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงทรงเปลี่ยนวิธีอื่นต่อไป
              วาระที่ ๒ ทรงผ่อนกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสสะ(ลมหายใจเข้าออก) เมื่อลมไม่ได้ทางเดินสะดวก โดยช่องพระนาสิก(จมูก)และช่องพระโอฐ(ปาก) ก็เกิดเสียงดังอู้ทางช่องพระกรรณ(หู)ทั้งสอง ให้ปวดพระเศียร(หัว) ร้อนในพระกายเป็นกำลัง แม้จะได้เสวยทุกขเวทนากล้าถึงเพียงนี้ ทุกขเวทนานั้น ก็ไม่อาจครอบงำพระหฤทัยให้กระสับกระส่าย มีพระสติตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ครั้นทรงเห็นว่า การกระทำอย่างนี้ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ ก็ทรงเปลี่ยนวิธีอื่นต่อไป
              วาระที่ ๓ ทรงอดพระอาหาร ผ่อนเสวยแต่วันละน้อย ๆ บ้าง เสวยอาหารละเอียดบ้าง จนพระกายเหี่ยวแห้ง พระฉวี(ผิว)เศร้าหมอง พระอัฏฐิ(กระดูก)ปรากฏทั่วพระกาย เมื่อทรงลูบพระกาย เส้นพระโลมามีรากเน่าร่วงจากขุมพระโลมา พระกำลังน้อยถอยลง จะเสด็จไปข้างไหนก็ซวนเซล้ม วันหนึ่งทรงอ่อนพระกำลัง อิดโรยโหยหิวที่สุด จนไม่สามารถจะทรงพระกายไว้ได้ ก็ทรงวิสัญญีภาพ(สลบ)ล้มลงในที่นั้น ทรงอสัญญีภาพ
              ขณะนั้น เทพยดาองค์หนึ่งสำคัญผิดคิดว่า พระมหาบุรุษดับขันธ์ทิวงคตแล้ว จึงรีบไปยังพระปราสาทพระเจ้าสุทโธทนะ ณ เมืองกบิลพัสดุ์ ทูลว่า บัดนี้ พระสิทธัตถะกุมารพระราชโอรสของพระองค์ สิ้นพระชนม์ชีพเสียแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งถามว่า พระโอรสของเราได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือยัง เป็นประการใด เทพยดาก็ตอบว่า ยังมิทันได้บรรลุพระสัมโพธิญาณ ท้าวเธอไม่ทรงเชื่อ จึงรับสั่งว่า จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ หากพระโอรสของเรายังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะด่วนทำลายพระชนม์ชีพหามิได้เลย แล้วเทพดาองค์นั้นก็อันตรธานจากพระราชนิเวศน์ไป
              ส่วนพระมหาบุรุษ เมื่อได้ซึ่งสัญญาฟื้นพระกายกุมพระสติให้ตั้งมั่น พิจารณาดูปฏิปทาในทุกกรกิริยาที่ทำอยู่ ทรงดำริว่า ถึงบุคคลทั้งหลายใด ๆ ในโลกนี้ จะทำทุกกรกิริยาอย่างอุกฤษฐ์นี้ บุคคลนั้น ๆ ก็ทำทุกกรกิริยาเสมออาตมาเท่านั้น จะทำให้ยิ่งกว่าอาตมาหามิได้ แม้อาตมาปฏิบัติอย่างอุกฤษฐ์อย่างนี้แล้ว ไฉนหนอจึงยังไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณ ชรอยทางตรัสรู้จะมีเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่อย่างนี้เป็นแน่ เกิดพระสติหวลระลึกถึงความเพียรทางใจว่า จะเป็นทางตรัสรู้ได้บ้าง
ทรงระลึกถึงเสียงพิณ
              ขณะนั้น สมเด็จอมรินทราธราชทรงทราบข้อปริวิตกของพระมหาบุรุษดังนั้น จึงทรงซึ่งพิณทิพย์สามสายมาดีดถวายพระมหาบุรุษ สายหนึ่งตึงนัก พอดีดไปหน่อยก็ขาด สายหนึ่งหย่อนนัก ดีดเข้าก็ไม่บันลือเสียง อีกสายหนึ่ง ไม่ตึงไม่หย่อนพอปานกลาง ดีดเข้าก็บันลือเสียงไพเราะเจริญใจ พระมหาบุรุษได้สดับเสียงพิณทรงหวลระลึกถึง พิณที่เคยทรงมาแต่ก่อน ก็ทรงตระหนักแน่ ถือเอาเป็นนิมิต ทรงพิจารณาเห็นแจ้งว่า ทุกกรกิริยามิใช่ทางตรัสรู้แน่ทางแห่งพระโพธิญาณที่ควรแก่การตรัสรู้ ต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา บำเพ็ญเพียรทางจิต ปฏิบัติปานกลาง ไม่ตึงนักไม่หย่อนนัก จึงใคร่จะทรงตั้งปณิธานทำความเพียรทางจิต ทรงเห็นว่าความเพียรทางจิตเช่นนั้น คนซูบผอมหากำลังมิได้เช่นอาตมานี้ ย่อมไม่สามารถจะทำได้ จำจะหยุดพักกินอาหารข้น คือ ข้าวสุก ขนมสด ให้มีกำลังดีก่อน ครั้นตกลงพระทัยเช่นนั้นแล้ว ก็กลับเสวยพระอาหารตามเดิม
              อนึ่ง การที่พระมหาบุรุษทรงเลิกละทุกกรกิริยา เปลี่ยนมาทำความเพียรทางจิตนั้น โดยทรงดำริเปรียบเทียบอุปมา ๓ ข้อ ซึ่งพระองค์ไม่เคยสดับ ไม่เคยดำริมาก่อนเลย ด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์อย่างแจ่มแจ้งว่า
              สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ซึ่งมีกายไม่ได้หลีกออกจากกาม และมีความพอใจรักใคร่ในกาม ยังละให้สงบระงับไม่ได้ดี สมณพราหมณ์เหล่านั้น แม้ได้เสวยทุกเวทนาอันกล้าเผ็ดร้อน ที่เกิดเพราะความเพียรก็ดี ไม่ได้เสวยก็ดี ก็ไม่ควรจะตรัสรู้ เหมือนไม้สดที่ชุ่มด้วยยาง บุคคลแช่ไว้ในน้ำ บุรุษมีความต้องการด้วยไฟ ถือเอาไม้สีไฟมาสีเข้า ด้วยหวังจะให้เกิดไฟ บุรุษนั้นก็ไม่อาจให้ไฟเกิดขึ้นได้ ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากเปล่า เพราะไม้นั้นยังสดมียางอยู่ ทั้งยังแช่อยู่ในน้ำ
              อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้มีกายหลีกออกจากกามแล้ว แต่ยังมีความรักใคร่พอใจในกาม ยังละให้สงบระงับไม่ได้ดี สมณพราหมณ์เหล่านั้น แม้ได้เสวยทุกข์เวทนาเช่นนั้น อันเกิดเพราะความเพียรก็ดี ไม่ได้เสวยก็ดี ก็ไม่ควรจะตรัสรู้ เหมือนไม้สดที่ชุ่มด้วยยาง แม้ห่างไกลจากน้ำ บุคคลตั้งไว้บนบก บุรุษก็ไม่อาจสีให้เกิดไฟได้ ถ้าสีเข้า ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากเปล่า เพราะไม้นั้นแม้ตั้งอยู่บนบกแล้ว แต่ยังเป็นของสดชุ่มด้วยยาง
              อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีกายหลีกออกจากกามแล้ว และละความใคร่ในกาม ให้สงบระงับดีแล้ว สมณพราหมณ์เหล่านั้น ได้เสวยทุกข์เวทนาเช่นนั้น อันเกิดเพราะความเพียรก็ดี แม้ไม่ได้เสวยเลยก็ดี ก็ควรจะตรัสรู้ได้ เหมือนไม้แห้งที่ไกลจากน้ำ บุคคลวางไว้บนบก บุรุษอาจสีให้เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นของแห้ง ทั้งตั้งอยู่บนบก
              อุปมาทั้ง ๓ ข้อนี้ ได้เป็นกำลังสนับสนุนพระหฤทัยให้พระมหาบุรุษทรงมั่นหมายในการทำความเพียรทางใจว่า จะเป็นทางให้พระองค์ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณโดยแน่แท้
              ฝ่ายพระปัญจวัคคีย์ภิกษุ ผู้มีความนิยมในทุกกรกิริยา พากันเฝ้าบำรุงพระมหาบุรุษอยู่ เมื่อเห็นพระมหาบุรุษทำความเพียรในทุกกรกิริยาอย่างตึงเครียด เกินกว่าสามัญชนจะทำได้เช่นนั้น ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใส มั่นใจว่าพระมหาบุรุษจะต้องได้ตรัสรู้โดยฉับพลัน และพระองค์จะได้ทรงเมตตาประทานธรรมเทศนาโปรดตนให้ตรัสรู้บ้าง แต่ครั้นเห็นพระมหาบุรุษทรงเลิกละทุกกรกิริยาที่ประพฤติแล้ว และเห็นร่วมกันว่า บัดนี้ พระองค์คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากเสียแล้ว จึงเบื่อหน่ายในการที่จะปฏิบัติบำรุงต่อไป ด้วยเห็นว่าพระองค์คงจะไม่อาจบรรลุธรรมวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงพากันหลีกไปเสียจากที่นั้น ไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
ทรงพระสุบิน ๕ ข้อ
              พระมหาบุรุษเมื่อทรงเลิกละทุกกรกิริยาแล้ว ก็ทรงเริ่มเสวยพระอาหารข้น บำรุงร่างกายให้กลับมีกำลังขึ้นได้เป็นปกติอย่างเดิมแล้ว ก็ทรงเริ่มทำความเพียรทางจิตต่อไป จนถึงราตรีวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เวลาบรรทมหลับ ทรงพระสุบิน ๕ ประการ คือ
              ๑. ทรงพระสุบินว่า พระองค์ทรงผทมหงายเหนือพื้นปฐพี พระเศียรหนุนเขาหิมพานต์เป็นพระเขนย พระหัตถ์ซ้ายหยั่งลงในมหาสมุทรทิศตะวันออก พระหัตถ์ขวาและพระบาททั้งคู่ก็หยั่งลงในมหาสมุทรทิศใต้
              ๒. ทรงพระสุบินว่า หญ้าแพรกเส้นหนึ่งรอกจากพระนาภี สูงขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า
              ๓. ทรงพระสุบินว่า หมู่หนอนทั้งหลาย สีขาวบ้าง ดำบ้าง เป็นอันมาก ไต่ขึ้นมาแต่พื้นพระบาททั้งคู่ ปกปิดลำพระชงฆ์หมด และไต่ขึ้นมาถึงพระชานุมณฑล
              ๔. ทรงพระสุบินว่า ฝูงนก ๔ จำพวก มีสีต่าง ๆ กัน คือ สีเหลือง เขียว แดง ดำ บินมาแต่ทิศทั้ง ๔ ลงมาจับแท่นพระบาท แล้วกลับกลายเป็นสีขาวไปสิ้น
              ๕. ทรงพระสุบินว่า เสด็จขึ้นไปเดินจงกลมบนยอดภูเขาอันเต็มไปด้วยอาจม แต่อาจมนั้นมิได้ทรงเปื้อนพระยุคลบาท
              ในพระสุบินทั้ง ๕ ข้อนั้น มีอธิบายว่า
              ข้อ ๑. พระมหาบุรุษเจ้าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศในโลกทั้ง ๓
              ข้อ ๒. พระมหาบุรุษจะได้ทรงประกาศสัจธรรม เผยมรรค ผล นิพพาน แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งมวล
              ข้อ ๓. คฤหัสถ์ พราหมณ์ทั้งหลาย จะเข้ามาสู่สำนักของพระองค์เป็นอันมาก
              ข้อ ๔. ชาวโลกทั้งหลาย คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทย์ เมื่อมาสู่สำนักของพระองค์แล้ว จะรู้ทั่วถึงธรรมอันบริสุทธิ์หมดจดผ่องใสไปสิ้น
              ข้อ ๕. ถึงแม้พระองค์จะพร้อมมูลด้วยสักการะวรามิศ ที่ชาวโลกทุกทิศน้อมถวายด้วยความเลื่อมใส ก็มิได้มีพระทัยข้องอยู่ให้เป็นมลทินแม้แต่น้อย
ทรงรับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา
              ครั้นพระมหาบุรุษตื่นผทมแล้ว ก็ทรงดำริถึงข้อความในพระมหาสุบินทั้ง ๕ แล้วทำนายด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์เอง ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแน่แท้ ครั้นได้ทรงทำสรีระกิจ สระสรงพระกายหมดจดแล้ว ก็เสด็จมาประทับนั่ง ณ ที่ควงไม้นิโครธพฤกษ์ ในยามเช้าแห่งวันเพ็ญวิสาขะปุรณมี ดิถีกลางเดือน ๖ ปีระกา
              ประจวบด้วยวันวาน เป็นวันที่นางสุชาดา ธิดาของคฤหบดีผู้มั่งคั่งในตำบลนั้น นางได้ตั้งปณิธานบูชาเทพารักษ์ไว้ว่า ขอให้นางได้สามีที่มีตระกูลเสมอกัน และขอให้ได้บุตรคนแรกเป็นชาย ครั้นนางได้สามีและบุตรสมนึก นางจึงคิดจะหุงข้าวมธุปายาสอันประณีตด้วยเครื่องปรุงทุกประการ ไปบวงสรวงเทพารักษ์ที่ได้ไปบนบานไว้ ดังนั้นในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ จึงสั่งให้บ่าวไพร่ตระเตรียมการทำข้าวปายาสเป็นการใหญ่ และกว่าจะสำเร็จเป็นข้าวปายาสได้ ก็ตกถึงเพลาเที่ยงคืน แล้วนางสุชาดาจึงสั่งนางปุณณทาสี หญิงคนใช้ที่สนิทให้ออกไปทำความสะอาด แผ้วกวาดที่โคนต้นนิโครธพฤกษ์นั้น เพื่อจะได้จัดเป็นที่ตั้งเครื่องสังเวยเทพารักษ์
              ดังนั้น นางปุณณทาสี จึงได้ตื่นแต่เช้า เดินทางไปยังต้นนิโครธพฤกษ์นั้น เห็นพระมหาบุรุษทรงประทับนั่งอยู่ ณ ควงไม้นั้น ผันพระพักตร์ทอดพระเนตรไปทางปาจินทิศ (ตะวันออก) มีรัศมีพระกายแผ่สร้านออกไปเป็นปริมณฑล งามยิ่งนัก นางก็นึกทึกทักตระหนักแน่ในจิตทันทีว่า วันนี้ เทพยดาเจ้าลงจากต้นไทรงาม นั่งคอยรับข้าวปายาสของสังเวยของเจ้าแม่ด้วยมือทีเดียว นางก็ดีใจรีบกลับมายังเรือน บอกนางสุชาดาละล่ำละลักว่า เทพารักษ์ที่เจ้าแม่มุ่งทำพลีกรรมสังเวยนั้น บัดนี้ ได้มานั่งรอเจ้าแม่อยู่ที่ควงไม้ไทรแล้ว ขอให้เจ้าแม่รีบไปเถอะ
              นางสุชาดามีความปลาบปลื้มกล่าวว่า ขอให้เจ้าเป็นลูกคนโตของแม่เถิด แล้วจึงมอบเครื่องประดับแก่นางปุณณทาสี และให้หยิบถาดทองมา ๒ ถาด ถาดหนึ่งใส่ข้าวปายาสจนหมด มิได้เหลือเศษไว้เลย ข้าวปายาสเต็มถาดพอดี แล้วให้ปิดด้วยถาดทองอีกถาดหนึ่ง แล้วห่อหุ้มด้วยผ้าทองอันบริสุทธิ์ ครั้นนางสุชาดาแต่งกายงามด้วยอาภรณ์เสร็จแล้ว ก็ยกถาดข้าวปายาสขึ้นทูลเหนือเศียรเกล้าของนาง ลงจากเรือนพร้อมด้วยหญิงคนใช้เป็นบริวารติดตามมาเป็นอันมาก ครั้นถึงต้นไทรเห็นพระมหาบุรุษงามด้วยรัศมีดังนั้น ก็มีความโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง สำคัญว่าเป็นรุกขเทวดาโดยแท้ เดินยอบกายเข้าไปเฝ้าแต่ไกลด้วยคารวะ ครั้นเข้าไปใกล้จึงน้อมถาดข้าวปายาสถวายด้วยความเคารพยิ่ง
              ขณะนั้น บาตรดินอันเป็นทิพย์ ซึ่งฆฏิการพรหมถวายแต่วันแรกทรงบรรพชา เกิดอันตรธานหายไปจากที่นั้น พระมหาบุรุษก็ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกรับ แล้วทอดพระเนตรดูนางสุชาดา แสดงให้นางรู้ชัดว่า พระองค์ไม่มีบาตรจะถ่ายใส่ข้าวปายาสไว้ นางสุชาดาทราบชัดโดยพระอาการ ก็กราบทูลว่า หม่อมฉันขอถวายทั้งถาด พระองค์มีพระประสงค์ประการใด โปรดนำไปตามพระหฤทัยเถิด แล้วถวายอภิวาททูลอีกว่า ความปรารถนาของหม่อมฉันสำเร็จฉันใด ขอสิ่งซึ่งพระหฤทัยของพระองค์ประสงค์จงสำเร็จฉันนั้นเถิด แล้วนางก็ก้มลงกราบ ถวายบังคมลา กลับเรือนด้วยความสุขใจเป็นล้นพ้น
ทรงลอยถาดเสี่ยงพระบารมี
              ส่วนพระมหาบุรุษ เสด็จลุกจากที่ประทับ ทรงถือถาดข้าวปายาส เสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ประทับบ่ายพระพักตรสู่บุรพาทิศแล้ว ทรงปั้นข้าวปายาสเป็นปั้น ๆ ได้ ๔๙ ปั้น เสวยจนหมด แล้วทรงถือถาดลงสู่แม่น้ำ ทรงอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า ถ้าอาตมาจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเสกสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วทรงลอยถาดทองนั้นลงในแม่น้ำเนรัญชรา ขณะนั้นอานุภาพพระบารมีของพระองค์ซึ่งทรงบำเพ็ญมาบริบูรณ์ดีแล้ว ได้แสดงให้เห็นอัศจรรย์ ถาดทองนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำเนรัญชราขึ้นไปประมาณ ๑ เส้น แล้วถาดทองนั้นก็จมลงตรงนาคภพพิมาน แห่งพญากาฬนาคราช
              ครั้นพระมหาบุรุษได้ทอดพระเนตรเห็นเป็นนิมิตอันดีเช่นนั้น ก็เพิ่มความแน่พระทัยว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า โดยหาความสงสัยมิได้ ก็ทรงโสมนัสเสด็จมายังสาลวัน ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ประทับพักที่ภายใต้ร่มไม้สาลพฤกษ์ พอเวลาสายันห์ตะวันบ่าย ก็เสด็จออกจากหมู่ไม้สาละ ที่พักกลางวัน เสด็จดำเนินไปสู่ควงไม้อสัตถะโพธิพฤกษ์มณฑล พบโสตถิยะพราหมณ์ในระหว่างทาง โสถิยะพราหมณ์เลื่อมใส น้อมถวายหญ้าคา ๘ กำ 
              พระมหาบุรุษรับหญ้าคาแล้ว เสด็จไปร่มไม้อสัตถนั้น ณ ด้านปราจินทิศ ทรงอธิษฐานว่า ถ้าอาตมาจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขอจงเกิดเป็นรัตนบัลลังก์แก้วขึ้นรองรับพระสัพพัญญุตญาณในที่นี้ ทันใดนั้น บัลลังก์แก้วอันวิจิตรงามตะการ ก็บรรดาลผุดขึ้นสมดังพระทัยประสงค์ ควรจะอัศจรรย์ยิ่งนัก
              พระมหาบุรุษเสด็จขึ้นประทับรัตนบัลลังก์แก้ว ขัดสมาธิ ผินพระพักตร์ตรงไปยังปราจินทิศ หันพระปฤษฎางค์ (หลัง) ไปทางลำต้นโพธิ์พฤกษ์ ก่อนที่จะเริ่มทำความเพียรโดยสมาธิจิต ได้ทรงตั้งสัตยาธิษฐานในพระทัยว่า ถ้าอาตมายังมิได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด แม้พระโลหิตและพระมังสะจะเหือดแห้งไป จะเหลือแต่พระตจะ(หนัง) พระนหาลุ(เอ็น) และพระอัฏฐิ (กระดูก) ก็ตามที จะไม่เลิกละความเพียร โดยเสด็จลุกไปจากที่นี้
              ครั้งนั้น เทพยดาทั้งหลายพากันชื่นชมโสมนัส มีหัตถ์ทรงซึ่งเครื่องสักการะบูชาบุบผามาลัยมีประการต่าง ๆ พากันมาสโมสรสันนิบาตห้อมล้อม โห่ร้องซ้องสาธุการบูชาพระมหาบุรุษ สุดที่จะประมาณ เต็มตลอดมงคลจักรวาฬนี้.
ทรงชนะมาร
              ขณะนั้น พญาวัสวดีมาราธิราช ได้สดับเสียงเทพเจ้าบันลือเสียงสาธุการ ก็ทราบชัดในพระทัยว่า พระมหาบุรุษจะตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ทำลายบ่วงมารที่เราวางขึงรึงรัดไว้ แล้วหลุดพ้นไปได้ ก็น้อยใจ คิดฤษยา เคียดแค้น ป่าวประกาศเรียกพลเสนามารมากกว่ามาก พร้อมด้วยสรรพาวุธและสรรพวาหนะที่ร้ายแรงเหลือที่จะประมาณเต็มไปในท้องฟ้า พญาวัสวดีขึ้นช้างพระที่นั่งคีรีเมขล์ นิรมิตมือพันมือ ถืออาวุธพร้อมสรรพ นำกองทัพอันแสนร้าย เหาะมาทางนภาลัยประเทศ เข้าล้อมเขตบัลลังก์ของพระมหาบุรุษเจ้าไว้อย่างแน่นหนา
              ทันใดนั้นเอง บรรดาเทพเจ้าที่พากันมาห้อมล้อมถวายสักการะบูชาสาธุการพระมหาบุรุษอยู่ เมื่อได้เห็นพญามารยกพหลพลมารมาเป็นอันมาก ต่างมีความตกใจกลัวอกสั่นขวัญหาย พากันหนีไปยังขอบจักรวาฬ ทิ้งพระมหาบุรุษเจ้าให้ต่อสู้พญามารแต่พระองค์เดียว
              เมื่อพระมหาบุรุษไม่ทรงแลเห็นผู้ใด ใครที่ไหนจะช่วยได้ ก็ทรงระลึกถึงบารมีธรรมทั้ง ๓๐ ประการ ซึ่งเป็นดุจทหารที่แก่นกล้า มีศัตราวุธครบครัน สามารถผจญกับหมู่มาร ขับไล่ให้ปราชัยหนีไปให้สิ้นเชิงได้ และพร้อมกันมารับอาสาอยู่พร้อมมูลเช่นนั้น ก็ทรงโสมนัส ประทับนิ่งอยู่ โดยมิได้สะทกสะท้านแต่ประการใด
              ฝ่ายพญามารวัสวดีเห็นพระมหาบุรุษประทับนั่งนิ่ง มิได้หวั่นไหวแต่ประการใดก็พิโรธร้องประกาศก้อง ให้เสนามารรุกเข้าทำอันตรายหลายประการจนหมดฤทธิ์ บรรดาสรรพาวุธศัตรายาพิษที่พุ่งซัดไป ก็กลับกลายเป็นบุบผามาลัยบูชาพระมหาบุรุษจนสิ้น ครั้งนั้นพญามารตรัสแก่พระมหาบุรุษด้วยสันดานพาลว่า ดูกรสิทธัตถะ บัลลังก์แก้วนี้ เกิดเพื่อบุญเรา เป็นของสำหรับเรา ท่านเป็นคนไม่มีบุญ ไม่สมควรจะนั่ง จงลุกไปเสียโดยเร็ว "
              พระมหาบุรุษหน่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ก็ตรัสตอบว่า "ดูกรพญามาร บัลลังก์แก้วนี้ เกิดขึ้นด้วยบุญของอาตมา ที่ได้บำเพ็ญมาแต่อสังไขยยกัปป์ จะนับจะประมาณมิได้ ดังนั้น อาตมาผู้เดียวเท่านั้น สมควรจะนั่ง ผู้อื่นไม่สมควรเลย"
              พญามารก็คัดค้านว่า ที่พระมหาบุรุษรับสั่งมานั้น ไม่เป็นความจริง ให้พระองค์หาพยานมายืนยันว่า พระองค์ได้บำเพ็ญกุศลมาจริง ให้ประจักษ์เป็นสักขีพยานในที่นี้
              เมื่อพระมหาบุรุษไม่เห็นผู้อื่นใด ใครจะกล้ามาเป็นพยานยืนยันในที่นี้ได้ จึงตรัสเรียกนางวสุนธรา เจ้าแห่งธรณีว่า "ดูกร วสุนธรา นางจงมาเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศลของอาตมาในกาลบัดนี้ด้วยเถิด"
              ลำดับนั้น วสุนธรา เจ้าแม่ธรณี ก็ชำแรกแทรกพื้นปฐพีขึ้นมาปรากฏกาย ทำอัญชลีถวายอภิวาทพระมหาบุรุษเจ้าแล้ว ประกาศให้พญามารทราบว่า พระมหาบุรุษ เมื่อเป็นพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้บำเพ็ญบุญมามากมายตลอดกาล เหลือที่จะนับจะประมาณได้ แต่น้ำตรวจที่ข้าพเจ้าเอามวยผมรองรับไว้บนเศียรเกล้า ก็มีมากพอจะถือไว้เป็นหลักฐานวินิจฉัยได้ นางวสุนธรากล่าวแล้วก็ประจงหัตถ์อันงามปล่อยมวยผม บีบน้ำตรวจที่สะสมไว้ในอเนกชาติให้ไหลหลั่งออกมาเป็นทะเลหลวง กระแสน้ำบ่าออกท่วมทับเสนามารทั้งปวงให้จมลงวอดวาย กำลังน้ำได้ทุ่มซัดพัดช้างนาฬาคีรีเมขล์ให้ถอยล่นลงไปติดขอบจักรวาฬ
              ครั้งนั้น พญามารตกตลึงเห็นเป็นอัศจรรย์ ด้วยมิได้เคยเห็นมาแต่กาลก่อน ก็ประนมหัตถ์ถวายนมัสการ ยอมปราชัยพ่ายแพ้บุญบารมีของพระมหาบุรุษ แล้วก็อันตรธานหนีไปจากที่นั้น
              เมื่อพระมหาบุรุษทรงกำจัดมารและเสนามารให้ปราชัยด้วยพระบารมี ตั้งแต่เวลาสายัณห์มิทันที่พระอาทิตย์จะอัศดงคต ก็ทรงเบิกบานพระทัย ได้ปิติเป็นกำลังภายในสนับสนุน เพิ่มพูนแรงปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ยิ่งขึ้น ดังนั้น พระมหาบุรุษจึงมิได้ทรงพักให้เสียเวลา ทรงเจริญสมาธิภาวนา ทำจิตให้แน่วแน่ ปราศจากอุปกิเลส จนจิตสุขุมเข้าโดยลำดับ ไม่ช้าก็ได้บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตฌาน ซึ่งเป็นส่วนรูปสมาบัติ เป็นลำดับ จนถึงอรูปสมาบัติ ๔ บริบูรณ์.

เปิดตัวผู้ถ่ายทอดคลื่นความคิด จากจิตจักวาล


       หากจะเอ่ยชื่อของบุรุษท่านนี้ อาจารย์ปริญญา ตันสกุล หลายคนอาจจะนึกถึงหนึ่งในอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลา แต่วันนี้ อาจารย์เป็นที่รู้จักในนาม นักวิทยาศาสตร์พฤติกรรม มีความเชี่ยวชาญในการพูดบรรยาย และเขียนหนังสือเกี่ยวกับการแก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่องของบุคลากร
อาจารย์ปริญญาเป็นวิทยากรอำนวยการ ของสถาบันพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ HMDC รับเชิญจากองค์กร ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศ ไปบรรยาย ฝึกอบรม สัมมนา ฝึกอบรมปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ ผ่านจิตสำนึก ด้วยวิธีที่ท่านคิดค้นขึ้นมาเรียกว่า "ไซโคโชว์"
แต่แรงจูงใจที่พาเราไปพบ และสัมภาษณ์อาจารย์ปริญญาในครั้งนี้ มิใช่เรื่องที่กล่าวมาข้างต้น หากเป็นเรื่องของการเตือนภัยไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับคลื่นยักษ์สึนามิ โดยการเขียนหนังสือชื่อ "11:11 วันเวลาที่สิบเอ็ด รหัสแห่งหายนะโลก" พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2544 และในปีเดียวกันนั้น อาจารย์ปริญญาก็ได้จัดคณะทัวร์ลงไปภาคใต้ ทั้งเกาะภูเก็ต พังงา ท้ายเหมือง ตะกั่วป่า สุราษฎร์ธานี เพื่อบอกข่าวร้ายนี้ให้ชาวใต้ได้ทราบและเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมัน แต่กลับไม่มีใครเชื่อหรือให้ความสนใจ จนสองปีผ่านไป เหตุการณ์นั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงตามที่เป็นข่าวไปทั่วโลก
มีคำถามว่า อาจารย์ปริญญาทราบได้อย่างไรว่าจะเกิดสึนามิในอนาคตข้างหน้า?...
คำตอบที่อาจารย์ปริญญาสละเวลามานั่งอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนให้เราทราบ อยู่ในบรรทัดต่อไปนี้...
อยากทราบว่าตอนนี้อาจารย์ทำอะไรบ้างคะ
"สิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ก็คือ คิดสร้างทฤษฎีขึ้นมา ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านวิทยาศาสตร์พฤติกรรมขึ้นมา ที่ผมเรียกว่า ทฤษฎีการถ่ายทอดพฤติกรรมผ่านจิตสำนึกของมนุษย์ แล้วก็สร้างกลยุทธ์ขึ้นมารองรับทฤษฎี ซึ่งเป็นความเชื่อของตัวเอง ผมเรียกมันว่า "ไซโคโชว์" ย่อมาจากคำว่า psychology และ show ที่แปลว่า แสดง...
ผมสร้างตัวนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขพฤติกรรมขยะของมนุษย์ และสร้างทักษะในการสั่นสะเทือนจากจิตสำนึกให้กับมนุษย์ ผมเชื่อว่า พฤติกรรมมนุษย์นั้น ไม่ได้เกิดมาจากอารมณ์ ความรู้สึก อย่างเดียว แต่มีบ่อเกิดของพฤติกรรมที่เราแสดงออกกันทั้งวัน เราเคยร่ำเรียนจากเมืองนอกกันมา เราเน้นแต่ในเรื่องจูงใจ อยากให้ใครเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็นำสิ่งล่อใจมาจูงใจ จูงด้านบวกบ้าง จูงด้านลบบ้าง ประเทศที่ด้อยพัฒนาทั้งหลายก็นำตัวนี้ไปใช้กัน ซึ่งผมมองเห็นว่าประเทศไทยเราเป็นเมืองพุทธ พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนว่า อย่า-อยู่-อย่าง-อยาก ท่าน ไม่ได้พูดสั้น ๆ อย่างนี้ อันนี้เป็นคำที่ผมนำมาสรุปเอง ท่านทรงสอนให้ละวางกิเลส ปฏิเสธปัญหา แต่ทฤษฎีของฝรั่งที่ว่าด้วยการจูงใจนั้น เป็นการกระตุ้น "ต่อมอยาก" ของมนุษย์ มนุษย์จะไม่ทำความดี ถ้ามองไม่เห็นว่าทำดีแล้วจะได้อะไรตอบแทน มนุษย์จะไม่ยอมเลิกทำชั่ว ถ้าไม่กลัวว่าทำชั่วแล้วจะติดคุก หรือถูกประหารชีวิต ทุกวันนี้ก็ยังมีคนทำชั่ว ยังไม่หยุดทำ เพราะจิตสำนึกบกพร่อง และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพราะเราไปกระตุ้นต่อมอยากของมนุษย์ซะจนเคยตัว มนุษย์จะทำสิ่งใดเพียงเพราะว่าอยากทำ จะไม่ทำสิ่งใดเพียงเพราะแค่ไม่อยากทำ ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งนั้นไม่ควรทำ ก็ดันไปทำ แต่สิ่งที่ควรจะทำกลับไม่ทำ ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมะ ที่เราสอนกัน ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างเบื้องบน ทำบุญหลายหนได้กุศลหลายครั้ง นี่คือคำเชิญชวนของชาวพุทธ ซึ่งนี่คือ ตะแบง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้นเลย
ทุกวันนี้คนทำบุญเพราะอยากไปสวรรค์ ไม่ได้ทำบุญหรือทำความดีงาม เพราะเห็นว่ามันดี อย่างนี้เรียกทำความดีงามแต่ก็งมงาย ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ที่ผมศึกษาถือว่าเป็นโมฆะกรรม เพราะทำดีแต่งมงาย คุณต้องทำดีให้ได้ด้วยจิตสำนึกของตัวคุณเอง นั่นคือสิ่งที่ผมศึกษา..."
อาจารย์ช่วยให้คำจำกัดความของคำว่า "งมงาย" หน่อยค่ะ
"งมงาย แปลว่า ทำหรือเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม เชื่อหรือทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่อาจอธิบายได้ว่า มันดีหรือมีประโยชน์อย่างไร มันคืออะไร...
คำว่างมงายก็คือ เชื่อทันทีที่ได้ฟัง ปฏิเสธทันทีที่ได้ยิน มันต้องใช้สติปัญญาในการไตร่ตรองพิจารณาก่อน เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีจิตสำนึกที่สัตว์เดรัจฉานไม่มี ศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนทางจิตของมนุษย์ก็คือ สติปัญญาที่ได้จากการใช้สมองให้เป็น และจุดศูนย์กลางของการขับเคลื่อนพฤติกรรมทางความคิด และพฤติกรรมทางกายหยาบก็คือ ความรัก สัตว์มีความรักแน่ เพราะเขามีความไร้เดียงสา ถ้ามนุษย์เรารักกันไม่เป็น รักกันไม่ได้ ก็ต้องอายหมา อายสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเราไม่รู้จักรักกัน เหมือนอย่างที่เขาด่ากันว่า ขนาดหมาแมวก็ยังรักลูก แต่มนุษย์บางคนเลวกว่าสัตว์เพราะรักไม่เป็น..."
กลับมาที่ทฤษฎีที่อาจารย์บอกว่าสร้างขึ้นมานั้น เป็นประโยชน์อะไรบ้างกับมนุษย์
"ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาที่ผมค้นพบ คือต้องการให้มนุษย์แสดงอำนาจในตัวเองออกมา โดยการค้นหาอำนาจในตัวเองให้พบ อำนาจที่แท้จริงก็คือ อำนาจที่ต้องได้มาจากการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึก ไม่ใช่อำนาจที่ได้จากการถูกจูงใจ เมืองนอกเมืองนาผมก็ไปเรียนมา และค้นพบว่าการจูงใจนั้นทำให้มนุษย์เราสันดานเสีย ถ้าเราสอนลูกหลานว่า กลับถึงบ้านต้องขยันอ่านหนังสือ ถ้าไม่มีอะไรจูงใจ ไม่ขู่ว่าจะตี ไม่คอยจ้ำจี้จ้ำไช ลูกก็อาจจะไม่ทำ มัวแต่ดูการ์ตูน แต่ถ้าบอกลูกว่า ถ้าทำการบ้านเสร็จ แม่จะให้เล่นเกม ลูกจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทันที แต่ในขณะที่ทำการบ้าน ใจก็มุ่งไปที่เกมแล้ว เด็กก็รีบทำให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้ไปเล่นต่อ ซึ่งตรงนั้นเป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน เพราะจริง ๆ เด็กยังไม่ได้รักการอ่าน การทำการบ้าน แต่รักการเล่นต่างหาก เด็กทำเพราะเป็นสิ่งที่แม่ต้องการให้ทำ หรือทำเพื่อตัวเองจะได้ไปเล่น แต่ไม่ได้มีจิตสำนึกที่จะทำ"
แล้วจะสอนอย่างไรให้เด็กมีจิตสำนึกล่ะคะ
"สิ่งแรกที่ต้องทำคือ แม่ต้องเลิกใช้วิธีนี้ ทุกวันนี้สถาบันครอบครัวในสังคมไทยเราล้มเหลว โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมือง เพียงแต่ว่าเราเองเห็นภาพไม่ชัดเจน เช่น เด็กที่ยกพวกไปตีกัน ไปสืบประวัติดูก็พบว่า พ่อแม่ก็มีนะ แต่ไม่มีเวลาดูแลลูก หรือเลี้ยงลูกแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก หรือเด็กที่มีปัญหาท้อง แท้ง ทิ้ง ก็มาจากโครงสร้างของสังคมล้มเหลว หรือแม้กระทั่ง 5 จังหวัดภาคใต้ อาจารย์ได้รับเชิญจากกระทรวงมหาดไทยให้ไปทำไซโคโชว์ให้ ทำได้แค่ 2-3 รุ่น เพราะมีปัญหาบางอย่างเลยทำให้ทำต่อไม่ได้ ผมทำให้ฟรี เสียสละทุกอย่าง เพราะอยากช่วยประเทศชาติ
ผมมาทำตรงนี้เพราะผมสำนึกได้ว่ามันเป็นหน้าที่ของผม มนุษย์เรามีหน้าที่สองด้าน คือหน้าที่ทางโลก และหน้าที่ทางจิตวิญญาณ ผมศึกษาวิทยาศาสตร์ทางจิต แล้วก็ค้นพบทฤษฎีอะไรมากมายเกี่ยวกับมนุษย์ และค้นพบแม้กระทั่งสึนามิจะเกิด ผมยังเป็นคนเตือนคนในประเทศไทยเอาไว้ ผมลงทุนพาชาวคณะจากกรุงเทพฯ 2 คันรถบัสไปเตือนคนที่เกาะภูเก็ต ประมาณปี 44 ผมไปถึง 2 ครั้ง แต่เชื่อมั้ย ไม่มีใครสนใจ แม้แต่นายกเทศมนตรีของภูเก็ต ฟังผมพูดไม่ทันถึง 5 นาที ก็ลุกเดินออกจากห้องไปเลย..."
เราชาวพุทธเคยได้รับการสั่งสอนมาว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อใช้กรรม สำหรับทฤษฎีของอาจารย์นี่มนุษย์เราเกิดมาเพื่ออะไรคะ
"...มนุษย์เราทุกคนที่มาเกิดในโลกย่อมมีหน้าที่ติดตัวมาด้วยทุกคน คือหน้าที่ทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำประเทศ หรือเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำทางศาสนา เพื่อเป็นแม่ทัพนายกอง หรือเพื่อจะมาเป็นแบบนายกรัฐมนตรี หรือจะเป็นใครก็ตามทุกคนมีหน้าที่ทางจิตวิญญาณ แต่ว่าคนบางคนเกิดมาทั้งภพชาติ ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำหน้าที่อะไร เลยต้องเวียนตายเวียนเกิดกันพอสมควร...
บังเอิญผมโชคดีที่ผมศึกษา เรียนรู้ และค้นพบว่าตัวผมเองมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใด ซึ่งหน้าที่ของผมก็คือ ต้องเป็นบุรุษไปรษณีย์ ให้กับพี่น้องประชาชนที่อยู่ในยุคนี้ด้วยกัน เป็นบุรุษไปรษณีย์รับสารจากผู้ที่มีข่าวสารจากคนละมิติกัน ซึ่งผมเรียกว่า จิตจักรวาล ใช้ระบบจิตสื่อจิต เป็นวิธีพิเศษที่เราใช้จิตเราร่วมกับสมองซีกขวาและซีกซ้ายเพื่อให้เกิดปัญญา
การสื่อกับจิตจักรวาลที่ผมพูดถึงนี้ก็คือ ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของมนุษย์ทุก ๆ คน และเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ เขาเรียกว่า God แต่ผมกลัวคนจะสับสน เพราะผมเป็นพุทธ ผมก็เลยขอพระนามพระองค์ว่า จิตจักรวาลคำว่าจิตแปลว่า แก่นแท้ จักรวาล ก็คือ สนามพลังงานสากลที่กว้างใหญ่ไพศาล เพราะฉะนั้น จิตของจักรวาลก็คือ จุดกึ่งกลาง หรือจุดศูนย์กลาง ของจักรวาลอันไพศาล และจุดศูนย์กลางนั้นก็คือ สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่งในสนามพลังงานสากล
God หรือจิตจักรวาลนี้มีพระองค์เดียวนะ คำว่า God ก็คือที่เราเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้าง ไม่มีอะไรเลยในสนามจักรวาลนี้ที่จะเกิดขึ้นมาเองได้ ไม่มีสิ่งใดบังเอิญ ล้วนมีผู้ให้กำเนิด หรือมีจุดกำเนิดทั้งนั้น เช่น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับ ทุกอย่างย่อมดับตามไปด้วย หมายความว่า เมื่อมีผลเกิดขึ้น แสดงว่ามีเหตุแห่งการทำให้เกิดผลนั้น เมื่อมนุษย์และโลกคือผลของการเกิดนั้น ถ้าเราเชื่อตามพระพุทธเจ้า ก็แสดงว่า มีเหตุแห่งการทำให้มนุษย์เกิด มีเหตุแห่งการทำให้โลกเกิด ซึ่งการเป็นผู้ทำให้โลกเกิดก็คือ การเป็นผู้สร้างนั่นเอง เช่น พ่อแม่ของเราเป็นผู้สร้างให้ลูกอย่างเรามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะพ่อกับแม่เราเป็นเหตุแห่งการเกิดของเรา ดังนั้น พ่อแม่ของเราล้วนเป็นผู้สร้าง ทางศาสนาจึงเรียก บิดา-มารดาว่า พ่อพระ แม่พระของลูก เพราะเป็นพระผู้สร้างในโลก แต่พ่อแม่เราก็มีผู้สร้างมาเหมือนกัน และสิ่งที่พ่อแม่เราไม่ได้ให้เรามาก็คือ จิตวิญญาณที่อยู่ในกายเรา จิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นเรา ซึ่งเวลาตายไปแล้ว จิตวิญญาณของเราจะละออกจากสังขารไป แล้วเราเคยคิดไหมว่า จิตวิญญาณเรามาจากไหน และเมื่อตายแล้ว จิตวิญญาณเราจะไปไหน
...จิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงาน นักวิทยาศาสตร์โลกก็ทราบว่า พลังงานสูญหายไปไหนไม่ได้ พลังงานทั่วๆไปจะเป็นคลื่นความถี่ที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ แต่จิตวิญญาณของคนเราไม่ใช่คลื่นความถี่ที่ไปเรื่อยๆเป็นกล่องพลังงาน พลังงานมี 2 รูปแบบ 1. คือพลังงานที่เป็นคลื่นความถี่ที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดนิ่ง คือสั่นสะเทือนไปด้วย เป็นคลื่นไปด้วย อย่างคลื่นทะเลที่เป็นระลอก ถึงฝั่งก็ซัดเลย แต่จิตวิญญาณของเราเป็นกล่องพลังงาน เป็นกล่องหรือขวดใบหนึ่ง หรือลูกบอลลูกหนึ่ง ที่มีคลื่นความถี่อยู่ข้างในหลายคลื่นความถี่ ที่ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ในกล่องนั้น ไม่แตกกระสานซ่านเซ็นออกมาภายนอก มีภาชนะห่อหุ้มเก็บไว้อย่างดี ภาชนะที่ห่อหุ้มจิตวิญญาณนั้น จิตจักรวาลหรือพระบิดาของเราเรียกว่า เมอร์คขะบาห์ คือพลังงานเวลาสั่นสะเทือน จะมีเสียงด้วยซึ่งหูมนุษย์เราไม่ได้ยิน แต่ชาวโลกวิญญาณเขาได้ยิน ความถี่ของเมอร์คขะบาห์จะเป็นความถี่ชนิดหนึ่งที่มีความเข้มข้น มีความถี่สูงมาก เวลาสั่นสะเทือนแล้วจะเกิดเสียงว่า เมอร์คขะบาห์ สิ่งที่ผมพูดนี้ ลูกศิษย์ผมที่เป็นระดับด็อกเต้อร์ เป็นนายพล เขาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว..."
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรคะว่า เราแต่ละคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไร
"การที่เราจะรู้ได้ว่า เราเกิดมาเพื่อทำอะไรมีอยู่ 2 วิธี คือ 1. ต้องศึกษา ต้องเรียนรู้ เพื่อจะเปิดมิติทางวิญญาณให้กับตนเอง ซึ่งภาษาผมเรียกว่า ต้องหาหนทางรู้แจ้งด้วยตนเอง อย่างเช่น เป็นกษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดินนี่ มีใครอยากเป็นแล้วเป็นได้บ้างมั้ย นั่นคือเป็นหน้าที่พิเศษเฉพาะบุคคล ไม่ใช่ทุกคน คือจะต้องขันอาสาว่า ต้องมาทำหน้าที่เช่นนั้น และได้รับอนุญาตจากจิตจักรวาลให้ทำหน้าที่อย่างนั้น หรือตัวผม หน้าที่ของผมนี้ก็เป็นหน้าที่พิเศษเป็นบุรุษไปรษณีย์ รับสาส์นจากจิตจักรวาลมาบอกกับเพื่อนมนุษย์..."
จิตจักรวาลที่อาจารย์เอ่ยนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรคะ
"ผมจะยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจว่าจิตจักรวาล หรือ God คือใคร คืออะไร นึกถึงภาพแมงมุมตัวหนึ่ง เป็นแมงมุมยักษ์ เวลาเขาชักใย ใยของเขาก็จะยักษ์ใหญ่ตามไปด้วย และตัวแมงมุมอยู่ตรงกลางของใยแมงมุม แมงมุมตัวนี้ ผมสมมุติว่าเป็น จิตจักรวาลใยแมงมุมที่แผ่กระจายออกไปกว้างใหญ่ เปรียบเสมือนสนามพลังงานสากล ที่กว้างใหญ่ไพศาลเสมือนหนึ่งไร้ขอบเขต แต่ไม่ไร้ขอบเขตนะ เหมือนแมงมุมกว้างใหญ่ขนาดไหนก็จะมีสุดขอบของมันอยู่ สนามพลังงานก็เช่นกัน และแม่แมงมุมตัวนี้ เขาก็ไข่ออกมาทีเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ล้าน ๆ ฟอง ๆ พอไข่ออกมาแล้ว จะไปวางบนใยก็ไม่ได้ เพราะไม่ปลอดภัย ก็เลยชักใยทำเป็นเปลือกไข่ขนาดใหญ่ห่อหุ้มไข่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตัวเองไข่ไว้อีกทีหนึ่ง โดยเปลือกไข่นี้ก็วางไว้บนใยแมงมุมของตัวเองอีกทีหนึ่ง หมายความว่า ใยแมงมุมนั้น จะมีไข่แมงมุมใบใหญ่อยู่ใบหนึ่ง ซึ่งมีไข่เล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ข้างในเยอะแยะ เปลือกไข่ที่แม่แมงมุมชักใยห่อหุ้มไว้นี้คือสิ่งที่สร้างใหม่ วางอยู่บนสนามพลังงานสากลอย่างที่อาจารย์บอก คือวางอยู่บนใย สิ่งที่สร้างใหม่นี้ นักวิทยาศาสตร์โลกเรียกกันว่า เอกภพ และภายในเอกภพประกอบด้วยไข่แมงมุม ขี้แมงมุม อะไรต่ออะไรเยอะแยะเลย เวียนตายเวียนเกิดกันอยู่อย่างนี้ ก็เหมือนเป็นเปลือกที่สร้างไว้ให้ พอลูกเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ผสมพันธุ์กันก็ออกลูกออกหลาน วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ หาทางหลุดออกมาข้างนอกไม่ได้ จิตจักรวาลหรือ God ก็เลยต้องส่งพระพุทธเจ้าบ้าง พระเยซูคริสต์บ้าง พระนะบี มะฮะหมัด บ้าง มาคนละยุคคนละสมัย มาเกิดในเปลือกไข่นี้ เพื่อไปบอกคนที่อยู่ในเปลือกไข่ หรือในเอกภพนี้ว่า มรรคผลสูงสุด ต้องนิพพานนะ ที่นี่ไม่ใช้บ้านนะ ต้องออกไปอยู่ข้างนอก ให้เจาะเกราะที่หุ้มห่อป้องกันภัยเอาไว้ให้ ออกมาข้างนอก มาสู่ใยแมงมุมที่พ่อหรือแม่เกาะอยู่ตรงกลาง รอว่าเมื่อไหร่ลูกโตแล้ว จะเจาะเปลือกไข่ออกมาสักที แต่ลูกก็ไม่ยอมเจาะ ก็สนุกสนานว่ายวนกันอยู่ในนั้น นั่นก็คือคำว่า ไม่หลุดพ้น การหลุดพ้นนี้ คือ หลุดพ้นออกไปจากเปลือกที่ห่อหุ้มไว้สู่สนามพลังงานภายนอกที่เรียกว่า แดนสุญตา มาสู่ใยแมงมุมก็คือ สู่อ้อมอกของพระบิดาก็คือแม่แมงมุม
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาว่า แดนนิพพานอยู่ไหน แค่เราเจาะเปลือกไข่ออก แค่นี้ก็พอ แต่ทุกวันนี้ ลูกๆของพ่อคือ เทหวัตถุ ทุกสิ่งที่สร้างก็อยู่ในเปลือกไข่นั้น ทั้งโลก ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตในเอกภพ พระบิดาเป็นผู้สร้างไว้ทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดบังเอิญเกิดเลย ทุกอย่างพ่อสร้างให้มันเป็นทั้งนั้น อย่างเช่น น้ำ พระบิดาหรือจิตจักรวาล ก็เป็นผู้กำหนดก็ไม่ต้องมายืนควบคุมกำกับว่า ถ้าเจอความร้อนต้องระเหยเป็นไอนะ ถ้าเจอความเย็นต้องควบแน่นก่อนนะ เป็นหยดน้ำนะ พระบิดาไม่ต้องคอยยืนกำกับ เช่น สมมุติว่า เราเป็นพ่อเป็นแม่ของลูก ถ้าลูกยังเตาะแตะ ไปเองไม่ได้ เราต้องอุ้มกะเตงๆไป พอลูกโตขึ้นมา ไปไหนเองได้ ใครเห็นลูกเราก็ต้องรู้ว่า เป็นเด็กมีพ่อมีแม่ แต่มนุษย์เราโง่ พอเห็นต้นไม้ใบหญ้า เห็นทุกสิ่งก็นึกว่ามันเกิดของมันเอง ไม่ได้นึกว่า สิ่งเหล่านี้มีพ่อแม่สร้างขึ้นมานะ มีผู้สร้างนะ ลืมแม้กระทั่งตัวเอง ลืมว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม..."
หมายความว่า จิตจักรวาล ท่านสร้างมนุษย์ให้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่บางอย่างใช่ไหมคะ
"หลักใหญ่ของจิตจักรวาล ก็คือสอนคนให้รู้สำนึกในหน้าที่ของตัวเอง เรามาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม คำว่าเราคือ จิตวิญญาณ และเราต้องสำนึกไว้ว่า ตัวเรานั้นเป็นคนสองมิติ มิติที่หนึ่งคือ มิติของกาย สังขาร ซึ่งผมเรียกว่า เครื่องยนต์แห่งกรรม อีกมิติหนึ่งคือ มิติของจิตวิญญาณ จิตจักรวาลต้องการให้คนรู้ว่า ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ที่อาสาพระบิดาขอมาเกิดเป็นมนุษย์ มาเพื่อมาขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม ที่พระบิดากำหนดสร้างให้เลือดในครรภ์ของแม่ สร้างเป็นกายหยาบขึ้นมาที่เราเรียกว่า เครื่องยนต์แห่งกรรม ที่เรียกว่าเครื่องยนต์แห่งกรรม ก็เพราะว่าจิตวิญญาณต้องมาขับเคลื่อนร่างกายเรา ในการทำหน้าที่บางสิ่งที่อาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ ในการแสดงออกหรือกระทำใด ๆ ก็ตามบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ว่าที่สูงสุดคือ เพื่อมาค้ำจุนความสมดุลของโลกทั้งระบบ แต่ที่ผ่านมา มนุษย์บอกว่าโลกคือโลก กูคือกู โลกเป็นแค่วัตถุ หิน ดิน ทราย ไม่เกี่ยวอะไรกับกู กูมีหน้าที่เหยียบดินอยู่บนโลกใบนี้ โลกก็มีหน้าที่อยู่ของโลกไป กูอยากจะเก็บเกี่ยวอะไรบนโลกนี้ก็ได้ กูนึกอยากจะทำอะไรกูก็ทำ เรียกว่า ไร้สำนึก เพราะเกิดมาหลายภพชาติแล้ว มัวแต่หลงโลกมายา หลงอัตตาที่เป็นมายา ลืมหน้าที่ของแก่นแท้ของตัวเอง ภาษาผมเรียกว่า ขาดสติทางวิญญาณ
และสิ่งนี้คือสิ่งที่ไปเชื่อมโยงกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ผมถึงต้องแฉให้มนุษย์รู้ว่า มนุษย์มีจิตวิญญาณมาเกิด จิตวิญญาณของเรานั้นต้องมาขับเคลื่อนร่างกายที่พ่อกับแม่ช่วยผสมพันธุ์กัน และสร้างกายหยาบให้ไว้รองรับจิตวิญญาณที่มาขับเคลื่อนกายหยาบเพื่อ 1. ทำให้มันเจริญเติบโต 2. ทำให้ยิ้มได้ พูดได้ คิดได้ แสดงออกได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะโลกนี้เป็นโลกเสรี แต่หน้าที่จริง ๆ ก็คือ จิตวิญญาณต้องมาขับเคลื่อนร่างกายนี้ในการสร้างโลก โดยใช้หนึ่งสมองกับสองมือและจิตวิญญาณนี้สร้างโลก สร้างความสมดุลของระบบโลก โลกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงที่เป็นดินอย่างเดียว สรรพสิ่งที่อยู่ในระบบโลกล้วนเรียกว่าเป็นโลกทั้งหมด รวมทั้งตัวเองด้วย นั่นก็แสดงว่า มนุษย์มีหน้าที่สร้างตนเอง และสร้างทุกสิ่งให้สมดุล
ทุกสรรพสิ่งล้วนต้องเป็นไปตามที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ทั้งสิ้น สิ่งใดก็ตามที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ พระบิดาเรียกมันว่า ธรรมชาติ แต่ธรรมชาติมันไม่ได้เป็นของมันขึ้นได้เอง ต้องมีผู้กำหนดขึ้นอยู่ดี และผู้ที่ทรงกำหนดธรรมชาติก็คือ พระบิดา หรือจิตจักรวาล นั่นเอง"
แล้วมนุษย์ต้องทำอย่างไรให้โลกเกิดความสมดุล
"การทำให้สมดุลก็คือ ค้ำจุน พระผู้เป็นเจ้า สอนมนุษย์ไว้เป็นปริศนาธรรม แต่มนุษย์เราไปมองได้แค่ด้านเดียว พระพุทธเจ้าสอนว่า เราคือโลก โลกคือเรา และอีกประโยคหนึ่งคือ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก แต่มนุษย์เข้าใจผิดว่า คำว่า 'เรา' คือพระผู้เป็นเจ้าคนเดียว มนุษย์เลยวางประโยคนั้นไว้ ไม่ใส่ใจอีก แต่มนุษย์มาใส่ใจเพียงประโยคที่ว่า เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก แสดงว่า ถ้ามนุษย์รักกัน จะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข นั่นคือ ถูกต้องแค่ครึ่งเดียว ถ้าจะถูกที่แท้จริงคือ เราไม่ได้ค้ำจุนโลกในทางสังคมอย่างเดียว การสร้างเมตตาธรรมก็คือ ถ้าเราเป็นคนมีจิตใจที่งดงาม เราจะไม่ทำลายโลก เราจะไม่ไประเบิดภูเขา ไม่ตัดโค่นต้นไม้ ทำลายป่า ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สัตว์ก็คือโลก พระพุทธเจ้าจึงเอา ปาณาติปาตา เอาไว้เป็นศีลข้อแรกเลย เพราะสัตว์พวกนั้นเขาต่อสู้ ต่อต้านเราไม่ได้ อย่างคนเราฆ่ากัน เราแลกชีวิตกันได้ แต่สัตว์เขาแลกไม่ได้ เป็นลูกไล่เราอย่างเดียว ท่านเลยห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นั่นก็คือการรักโลก ถ้าเราไม่ฆ่าเขา แสดงว่าเรารักเขา พระพุทธองค์หมายถึงอย่างนั้น...
แต่จริง ๆ แล้ว โลกเรามันจะสมดุลทางกายภาพอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีสมดุลทางพลังงานด้วย ตรงนี้คือสิ่งที่เป็นความลับมาตลอด ที่มนุษย์ทั้งหลายไม่รู้ และอาจารย์ก็มีหน้าที่มาเปิดเผย ที่จิตจักรวาลมอบหมายให้มาทำหน้าที่เผยแพร่
ร่างกายของเราเปรียบเสมือนรถยนต์ ซึ่งจะวิ่งได้ก็ต้องมีแบตเตอรี่ และตัวที่เป็นแบตเตอรี่ก็คือ จิตวิญญาณนี่ละ เวลาที่แม่ตั้งครรภ์ ถ้าหากว่าไม่มีจิตวิญญาณมาปฏิสนธิอยู่ในครรภ์เป็นทารก ทารกซึ่งอยู่ในกายหยาบ ก็จะเป็นได้แค่ลูกกรอก จะเติบโตมีหน้ามีตา แสดงพฤติกรรมเป็นมนุษย์ไม่ได้ ต้องมีจิตวิญญาณมาปฏิสนธิ เพราะฉะนั้น ทารกในครรภ์ถ้าเป็นผู้หญิงก็เหมือนรถเก๋ง ถ้าเป็นผู้ชายก็เป็นรถถัง หรือรถสิบล้อ หน้าที่ต่างกัน ผู้หญิงก็มีหน้าที่อย่าง ผู้ชายก็มีหน้าที่อย่าง แต่ทุกคนก็มีหน้าที่มาค้ำจุนโลก และผู้หญิงกับผู้ชายก็ต้องทำหน้าที่ร่วมกันด้วย พระบิดาสร้างขึ้นมาให้รู้ว่า ทุกคนเป็นสัตว์สังคม ผู้หญิงจะอวดเก่งกว่าผู้ชายไม่ได้ จะท้องเองโดยไม่ต้องพึ่งผู้ชายไม่ได้ หรือผู้ชายจะท้องโดยไม่ต้องพึ่งผู้หญิงก็ไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน พระบิดาสอนอย่างนี้ ทุกคนมีความสำคัญทัดเทียมกัน
เวลารถวิ่ง จิตวิญญาณจะเป็นเหมือนกับคนที่นั่งอยู่หลังรถ เหมือนกับเจ้าของรถ พอมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จิตวิญญาณก็แบ่งภาคตัวเองออกมาส่วนหนึ่งเพื่อให้มาทำหน้าที่ขับรถแทนตนเอง เหมือนกับจ้างคนขับรถมาขับให้ มนุษย์เราเรียกว่า จิตหยาบ ซึ่งผมไม่ชอบใช้คำนี้ ผมใช้คำว่า จิตปัจจุบันแทน จิตวิญญาณได้รับอนุญาตให้แบ่งภาคตัวเองออกไปอีกส่วนหนึ่งมาเป็นพลังงาน เป็นรูปธรรมทางจิตเหมือนกัน เป็นกล่องพลังงานเหมือนกัน แต่ให้มาทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายหยาบ ขับเคลื่อนกลไกทั้งหมด จิตวิญญาณก็ประทับเป็นเหมือนแบตเตอรี่รถเฉย ๆ แต่ดูเหมือนไม่สำคัญได้มั้ย รถยนต์ไม่มีแบตเตอรี่ รถยนต์ก็เดี้ยง ไปไม่ได้ แต่จิตวิญญาณไม่ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนโดยตรง แต่มอบหมายให้คนขับขับให้ คนที่ขับให้นี่ก็คือ จิตปัจจุบัน แต่ไอ้คนขับทุกวันนี้ ขับไปขับมา มันนึกว่าไอ้รถคันนี้เป็นของมัน มันลืมไปว่ามีจิตวิญญาณที่เป็นเจ้าของรถ เป็นนายมันน่ะ นั่งอยู่เบาะหลัง มันนึกจะขับซิ่งมันก็ซิ่ง ไม่ได้แคร์เลยว่าผู้โดยสารจะประสาทเสียหรือเปล่า ทุกวันนี้ที่พาไปตกนรกหมกไหม้ก็คือไอ้คนขับนี่แหละพาไป จิตวิญญาณน่าสงสารที่สุด"
แล้วมนุษย์ที่เกิดมาพิการ ร่างกายไม่สมประกอบ หรือมีสมองไม่ปกติ ทำอะไรไม่ได้ จะอธิบายได้ไหมคะว่าเขาพวกนั้นเกิดมาทำหน้าที่อะไร
"อย่าลืมว่า มนุษย์ทุกคนที่เราเห็นไม่ได้มาเกิดภพชาตินี้เป็นภพชาติเดียว ทุกคนเวลามาเกิดภพชาติแรก ทุกคนจะถือพันธะมาสองอย่าง อย่างหนึ่งเราเรียกว่า พันธะสัญญา เป็นพันธะที่รับปากกับพระบิดาว่า ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะปฏิบัติอย่างไร พันธะสัญญาข้อหนึ่งก็คือ มาเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก คือมาช่วยโลกทางกายภาพให้สมดุล เช่น หมุนรอบตัวเอง 22 ชั่วโมงต่อรอบ มีความเข้มของสนามแม่เหล็กเท่ากับ 14 เกาส์ มีแกนหมุนที่เอียงทำมุมกับแนวดิ่ง 23 องศา เพราะทุกวันนี้มันเพี้ยนไป โลกหมุนช้าลงเป็น 24 ชั่วโมง ยิ่งโลกหมุนช้าขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์จะยิ่งอายุสั้นลงมากเท่านั้น พระบิดาไม่ได้สร้างร่างกายของมนุษย์ให้เกิดมาแล้วต้องตาย มันจะตายได้ยังไง มันเจริญเติบโตได้ใช่มั้ย มันซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซ่อมแซมตัวเองได้ มีอำนาจอยู่ในตัวเอง ทำไมต้องตายด้วยล่ะ ?..."
แล้วที่พระพุทธเจ้าสอนว่ามนุษย์ทุกคนต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมล่ะคะ
"...พระพุทธเจ้าสอนว่า มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดานั่นคือ สอนในสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้น แล้วสอนให้คนรู้จักปลง รู้จักยอมอะไรซะบ้าง จะโลภโมโทสันไปทำไมนัก สุดท้ายก็ต้องตาย ที่พูดเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่า จิตวิญญาณรอคิว สับเปลี่ยน หมุนเวียนกันมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง ถ้าหากว่าไม่มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้มาเกิด มาเกิดแล้วไม่ยอมตาย พวกที่รอมาเกิดเพื่อจะแก้ไขตัวเอง หรือเพื่อทำหน้าที่ก็มาไม่ได้"
...ที่ถามว่ามนุษย์เกิดมาแล้วสมองพิการอะไรต่าง ๆ เพราะเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ นอกจากเขาจะไม่ทำหน้าที่ที่เป็นพันธะสัญญา ที่อาจารย์บอก เขาก็ยังสอบตกด้วยการทำผิดเกิดขึ้นอีกด้วย เมื่อกี้พูดถึงพันธะสัญญาอย่างที่ 1 ไปแล้ว พันธะสัญญาอย่างที่ 2 ก็คือ ก่อนจะมาเกิด จิตวิญญาณของคุณกับจิตวิญญาณอีกหลาย ๆ ดวงจะมานั่งประชุมเพื่อวางแผนกันว่า เราจะจูงมือกันไปเกิดเป็นมนุษย์บนโลก เราจะไปเล่นบทบาทไหนกันบ้าง เช่น คนหนึ่งจะแสดงบทภรรยา อีกคนหนึ่งแสดงเป็นสามี อีกคนแสดงบทลูกสาว อีกคนแสดงบทลูกชาย จากนั้น ยังจะมีคาแร็คเตอร์กำกับไว้อีกว่า จะเป็นคนดีหรือไม่ดี และจะเป็นคนบกพร่องอย่างไร แต่เวลาที่มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว มิติของการที่ไปนั่งประชุมกันมามันจะถูกปิด คุณจึงไม่รู้ว่า ก่อนที่คุณจะมาเกิด คุณได้วางแผนกันเรียบร้อยแล้วว่าจะมาแสดงบทบาทเหล่านั้น เพราะบทบาทที่คุณจะต้องมาแสดงนี้ เป็นบทบาทที่เมื่อคุณแสดงอย่างสมบทบาทแล้ว มันจะนำคุณและทุกๆคนในครอบครัวของคุณไปสู่การค้ำจุนโลกให้สมดุลได้ ซึ่งเป็นการค้ำจุนโลกทางพลังงาน ไม่ใช่โลกทางกายภาพ ปกติแล้วโลกทางกายภาพของมนุษย์ เราไม่มีบ้าน เรานอนถ้ำ นอนโคนต้นไม้ตามป่าตามเขา เราอยู่กันธรรมชาติ ไม่ใครคิดทำร้ายธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือบ้านของตัวเอง แต่ทีนี้เมื่อเราแยกตัวออกจากป่ามาสร้างบ้านอยู่ในเมือง เราเลยทำลายธรรมชาติในป่าอย่างไร้สำนึก เพราะเราไม่คิดว่ามันคือบ้านของเรา...

...หน้าที่ของมนุษย์ก็คือ จะต้องมาสั่นสะเทือนร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเองในการที่จะค้ำจุนดาว เคราะห์โลกของเราดวงนี้ให้สมดุล คำว่าสมดุลก็คือต้อง 22 ชั่วโมงต่อรอบ ต้อง 14 เกาส์ อย่างที่พูดมาแล้ว จริง ๆ มันต้องละเอียดกว่านั้น แต่พูดแบบคร่าว ๆ ให้ฟัง อย่างประเทศไทยเราปีหนึ่งต้องมี 3 ฤดู อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ก่อนเรามีร้อน ฝน หนาว แล้วน้ำก็ไม่ท่วมใหญ่ ร้อนก็ไม่แห้งระแหงจนกระทั่งอดอยากอดตาย หนาวก็ไม่หนาวจนตาย จะพอดี ๆ แต่ต่อไปนี้ อาจารย์ปริญญาบอกไว้ว่า ประเทศไทยเราและโลกเราส่วนใหญ่ หนึ่งปีจะมีฤดูร้อนถึง 2 ฤดู พูดง่าย ๆ คือมีฤดูร้อน 2 หน ก็เพราะโลกวิปริตเนื่องจากจิตสำนึกของมนุษย์วิกฤต อย่างที่ผมเล่ามาถึงชะตาชีวิต หน้าที่ของมนุษย์ก็คือ จะต้องใช้จิตปัจจุบันของตัวเองสั่นสะเทือนร่างกาย และจิตใจของตัวเองให้เกิดเป็นความรักขึ้นมาให้ได้ นั่นคือหน้าที่ที่จิตวิญญาณอาสามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเพื่อจะมาใช้จิตปัจจุบันซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือของตัวเอง สั่นสะเทือนจิตใจและร่างกายที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ผมเรียก หรือทางพระเรียก กายหยาบ ให้สั่นสะเทือนเป็นความรักเกิดขึ้นมาให้ได้

...พระพุทธเจ้าบอกความรักคือเมตตาธรรมค้ำจุนโลกใช่มั้ย เมื่อมีความรักความเมตตามีเยื่อใยต่อกัน ก็จะสามารถอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้ เป็นครอบครัว อยู่สังคมเดียวกัน อยู่ทีมงานเดียวกัน อยู่บริษัทเดียวกันได้ มนุษย์มองแค่นี้ ว่านี่คือการค้ำจุนโลก โลกของพวกเราจะมั่นคงเพราะเรามีความรักความเมตตา แต่จริง ๆ แล้วมนุษย์มองแค่ตรงนั้นไม่ได้ จริง ๆ แล้วเราค้ำจุนโลกทั้งใบด้วย แต่เราค้ำจุนทางพลังงาน..."