วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557




เราขอกล่าวความจริง
ต่อนักเรียนทั้งหลายว่า "นรก" มีจริง

พระองค์ทรงกำหนดสร้างนรกขึ้นไว้
สำหรับเป็นสถานบำบัดจิตวิญญาณของมนุษย์
ที่หลงมิติจนไม่สามารถปฏิบัติภารกิจ
ตามพันธะสัญญา 6 ประการได้อย่างเต็มกำลัง
ในภพชาติแห่งการเป็นมนุษย์นั้น

ดังนั้น.....ถ้าท่านใดเหลวใหล
เมื่อจบสิ้นอายุขัยในภพชาตินั้นๆแล้ว
แก่นแท้ของคนๆนั้นก็จะถูกจัดการให้ "หลุดลง"
เพื่อส่งไปบำบัดอาการหลงมิติให้คืนสมดุลดุจเดิม
ก่อนที่จะได้รับโอกาสให้
กลับคืนสู่การเกิดใหม่อีกครั้ง
จะในภพภูมิสัตว์หรือมนุษย์ก็ว่ากันไป
ซึ่งจะเคลื่อนไปตามพลังแห่งผลกรรมที่ตนก่อไว้

คำว่า "เหลวใหล" ในที่นี้หมายถึง

1.ทำตนเป็นอุปสรรค
ในการดำเนินชีวิตของผู้อื่นอยู่เป็นนิจ

2.ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา
เพราะหลงยึดติดในวัตถุมายาอย่างไร้สติ

3.ใช้อายตนะทั้ง 6 เพียงเพื่อสนองตัณหาตนเอง
และใช้ก้าวล่วงบุคคลอื่นอย่างไร้สติอยู่เป็นนิจ
โดยไม่ใช้มันเพื่อ "คนตนเองให้เป็นมนุษย์"
ตามภารกิจที่ขันอาสาพระบิดากันมา

4.เป็นคนงมงาย
โดยใช้สติปัญญาของสมองตนเองไม่ได้
จึงถูกชักจูงให้ประพฤติผิดคิดชั่วต่อผู้อื่นอยู่เนืองๆ
ชอบนับถือภูติผีปีศาจ นิยมในวัตถุอวิชชา
ลดพลังอำนาจในตนเองลงมาต่ำ
ให้ภูติผีเป็นผู้ชี้นำชะตาชีวิต

5.ทำตนเป็นคนไม่มีศาสนา
ปฏิเสธพระธรรมคำสอนของพระศาสดา
ไม่เชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีจริง
ไม่เชื่อว่าภพภูมิและภพชาตินั้นมีจริง


ไม่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง
ไม่เชื่อเรื่องนิพพานว่า คือการหลุดพ้น

ก้าวล่วงพระบิดาแห่งจิตวิญญาณตนเอง
อย่างไร้มหาสติและเป็นบุตรอกตัญญู
ทั้งไม่ใส่ใจที่จะรับฟังพระโอวาท
และยังเป็นผู้ปรมาสตัวแทนแห่งพระองค์
เพราะไร้มหาสติ เป็นต้น

ปกตินั้นกรรมในข้อ 5 นี้ เป็นกรรมหนัก
ต้องหลุดลงไปลึกๆ
จนมิอาจกำหนดวันเวลาย้อนคืนล่วงหน้าได้

แต่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนยุคนี้
ดวงจิตวิญญาณผู้ผิดบาปซี่งพเนจรร่อนเร่พวกนี้
จักต้อง "แตกสลาย" อย่างทุกข์ทรมานสถานเดียว!
เพื่อจัดองค์กรโลกใหม่ให้สมดุล
เพื่อชำระโลกทั้งระบบในทุกมิติ
ให้สะอาดพิสุทธิ์ดุจเดิม

เอเมน....สาธุ......

ป.วิสุทธิปัญญา
29-12-2014




พี่ๆน้องๆเพื่อนร่วมโลกแห่งเราทั้งหลาย
เรามีความจริงจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า

การนับถือศาสนา คือ
การยอมรับในพระศาสดา

การยอมรับในพระศาสดา คือ
การรับฟังธรรมะที่พระองค์ตรัสไว้

การรับธรรมะที่พระองค์ตรัสไว้ คือ
เรียนรู้ว่าพระองค์ทรงสอนอะไร
สอนว่าอย่างไร

ต่อจากนั้นท่านก็ต้องคิดเองต่อไปให้ได้ว่า
จะปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาในเรื่องนั้นๆ
ให้สำเร็จจริงๆกันได้อย่างไร

มิใช่เรียนธรรมะแค่ดีแต่ท่องจำ แล้วทำตาม
แต่มิได้ซาบซึ้งในรสพระธรรมนั้นๆเลย
เสมือนจวักตักแกงแต่มิเคยรู้รสแกงนั่นแหละนะ

มิใช่รู้ธรรมะแค่ว่า ต้องคิดดี พูดดี ทำดี
มัน ง้าย...ง่าย...เสียนักหนา
ทั้งๆที่คนพูดเองป่านนี้ก็ยังก้าวล่วงคนอื่น
ด้วยอายตนะทั้งหก
โดยสอบตกบททดสอบอยู่ทุกวัน

มิใช่รู้ธรรมะว่า...
แค่.....มีศีล สมาธิ ปัญญา ก็นิพพานได้แล้ว

ถามจริงๆเถอะท่าน....
กี่ภพชาติแล้วที่ท่านเสียชาติเกิดเพราะเชื่อแบบนี้
จนเสียทีที่วนเวียนมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ซ้ำซาก

ถ้าการปฏิบัติธรรมนำพาแก่นแท้ของท่าน
สู่การหลุดพ้นคือกลับบ้านนั้นมันง่ายจริง
ใยดาวเคราะห์โลกดวงนี้.....
ต้องมีพระศาสดาจุติมาฉุดช่วย
ในต่างยุคต่างสมัยนับได้ 24 พระองค์เข้าไปแล้ว
ใยท่านเองยังคงหลุดพ้นไปไม่ได้

เราจะบอกความจริงให้ท่านรู้ว่า
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นในภพชาติเดียวนั้น
จักต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า
นัยสำคัญของผู้ประพฤติธรรมนั้นมี 3 ประการ คือ

1.ต้องเรียนรู้ให้ได้ว่าพระศาสดาทรงสอนอะไรไว้?

2.ต้องคิดรู้ด้วยสมองตนเองให้ได้ว่า
จะทำตามที่พระองค์สอนเอาไว้นั้นได้อย่างไร?

3.เมื่อรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะบรรลุธรรม
ตามที่พระศาสดาทรงสอนไว้นั้นแล้ว
ก็ต้องนำเอาวิธีปฏิบัติที่ท่านคิดเองได้นั้น
ไปปฏิบัติในชีวิตจริงให้เห็นแจ้งต่อไป

อย่าใช้สมองซีกซ้ายตื้อๆคิดเองตื้นๆ
หรือหลงยึดติดความรู้เดิม ความเชื่อเดิม
เสมือนกักขังตนเองไว้ในคอก
โดยไม่ศึกษาเพิ่มเติมด้วยการอ่านให้มาก
รับฟังคุรุหรือผู้รู้ให้มากเข้าไว้
เพื่อท่านจะได้ฉลาดขึ้น รู้มากขึ้น
มิใช่รู้แค่ที่รู้อยู่แล้วเที่ยวอวดรู้
ไปโชว์โง่ประจานตัวเองในหมู่ปราชญ์เมธี

อย่างกรณีเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา นี่ก็เช่นกัน
เป็นข้อธรรมะที่ดีมากที่พระศาสดาทรงสอนไว้
เราเห็นด้วย 1000 เปอร์เซ็นต์เลยว่า
ผู้ใฝ่ธรรมนั้นจักข้ามไปเสียมิได้

แต่ในฐานะที่เรามาชี้ทางพวกท่าน
ที่เลือกเส้นทาง "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง" กลับบ้าน
เราจึงขอติงท่านทั้งหลายว่า
การจำแบบนักรบแห่งแสงสว่างมาทำตามนั้น
มันมิใช่จริตของพวกท่านหรอก

เรายกตัวอย่างเรื่อง "สมาธิ"
พวกท่านติดใจกับการปฏิบัติกรรมฐาน
ด้วยการนั่งหลับตาแล้วก็บอกใครๆว่านั่งสมาธิ

หากเป็นนักบวช
เขาปฏิบัติตามพระพุทธองค์
นั่นน่ะชอบแล้ว...เหมาะแล้ว.....ดีแล้ว
เพราะนักบวชสละแล้วซึ่งทางโลก
ไม่มีภารกิจทางโลกิยะให้ต้องรับผิดชอบอีก
เพราะลาสิกขาบท ละแล้วซึ่งอาสวกิเลสทั้งปวง
พวกนักบวชเขาปลีกวิเวกอยู่ท่านเดียว
ย่อมต้องปฏิบัติธรรมตามลำพังคนเดียว

แต่พวกท่านส่วนใหญ่ "สละโสด" กันมากกว่า
ยังต้องมีครอบครัว มีบริษัทบริวาร มีสังคม
มีผู้คนใกล้ตัวรอบข้างที่สร้างสัมพันธ์ไว้มากมาย
การปฏิบัติสมาธิของท่าน


จึงต้องกระทำทั้งในยามอยู่คนเดียว
และเมื่อมีบุคคลอื่นอยู่รายรอบ
อีกทั้งอายตนะทั้งหกต้องเปิดกว้าง
จะปิดหู หลับตา หุบปาก เก็บใจ ไม่ได้!

เราจะให้นิยามต่อท่านทั้งหลายไว้ว่า
"สมาธิ" มิใช่แค่กิจกรรมการนั่งกรรมฐาน
ออกจากกรรมฐานท่านก็ยังต้องฝึกสมาธิ

เพราะคำว่า "สมาธิ" นี้
ในวิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
พระบิดาทรงหมายถึง

"การคิด การพูด การฟัง การกระทำ
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ติดต่อกัน
ให้ได้เป็นเวลานานๆ จนกว่าจะคิดออก
จนกว่าจะเข้าใจ หรือ จนกว่าจะสำเร็จ
โดยจะไม่เลิกคิด เลิกพูด เลิกฟัง
หรือ เลิกกระทำเสียกลางคัน"

เอเมน....สาธุ.....

ป.วิสุทธิปัญญา
31-12-2014

วิธีสร้างตนเอง ให้มีคุณค่า



พี่ๆน้องๆเพื่อนร่วมโลกแห่งเราทั้งหลาย
เรามีความจริงจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
การนับถือศาสนา คือ
การยอมรับในพระศาสดา
การยอมรับในพระศาสดา คือ
การรับฟังธรรมะที่พระองค์ตรัสไว้
การรับธรรมะที่พระองค์ตรัสไว้ คือ
เรียนรู้ว่าพระองค์ทรงสอนอะไร
สอนว่าอย่างไร
ต่อจากนั้นท่านก็ต้องคิดเองต่อไปให้ได้ว่า
จะปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาในเรื่องนั้นๆ
ให้สำเร็จจริงๆกันได้อย่างไร
มิใช่เรียนธรรมะแค่ดีแต่ท่องจำ แล้วทำตาม
แต่มิได้ซาบซึ้งในรสพระธรรมนั้นๆเลย
เสมือนจวักตักแกงแต่มิเคยรู้รสแกงนั่นแหละนะ
มิใช่รู้ธรรมะแค่ว่า ต้องคิดดี พูดดี ทำดี
มัน ง้าย...ง่าย...เสียนักหนา
ทั้งๆที่คนพูดเองป่านนี้ก็ยังก้าวล่วงคนอื่น
ด้วยอายตนะทั้งหก
โดยสอบตกบททดสอบอยู่ทุกวัน
มิใช่รู้ธรรมะว่า...
แค่.....มีศีล สมาธิ ปัญญา ก็นิพพานได้แล้ว
ถามจริงๆเถอะท่าน....
กี่ภพชาติแล้วที่ท่านเสียชาติเกิดเพราะเชื่อแบบนี้
จนเสียทีที่วนเวียนมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ซ้ำซาก
ถ้าการปฏิบัติธรรมนำพาแก่นแท้ของท่าน
สู่การหลุดพ้นคือกลับบ้านนั้นมันง่ายจริง
ใยดาวเคราะห์โลกดวงนี้.....
ต้องมีพระศาสดาจุติมาฉุดช่วย
ในต่างยุคต่างสมัยนับได้ 24 พระองค์เข้าไปแล้ว
ใยท่านเองยังคงหลุดพ้นไปไม่ได้
เราจะบอกความจริงให้ท่านรู้ว่า
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นในภพชาติเดียวนั้น
จักต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า
นัยสำคัญของผู้ประพฤติธรรมนั้นมี 3 ประการ คือ
1.ต้องเรียนรู้ให้ได้ว่าพระศาสดาทรงสอนอะไรไว้?
2.ต้องคิดรู้ด้วยสมองตนเองให้ได้ว่า
จะทำตามที่พระองค์สอนเอาไว้นั้นได้อย่างไร?
3.เมื่อรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะบรรลุธรรม
ตามที่พระศาสดาทรงสอนไว้นั้นแล้ว
ก็ต้องนำเอาวิธีปฏิบัติที่ท่านคิดเองได้นั้น
ไปปฏิบัติในชีวิตจริงให้เห็นแจ้งต่อไป
อย่าใช้สมองซีกซ้ายตื้อๆคิดเองตื้นๆ
หรือหลงยึดติดความรู้เดิม ความเชื่อเดิม
เสมือนกักขังตนเองไว้ในคอก
โดยไม่ศึกษาเพิ่มเติมด้วยการอ่านให้มาก
รับฟังคุรุหรือผู้รู้ให้มากเข้าไว้
เพื่อท่านจะได้ฉลาดขึ้น รู้มากขึ้น
มิใช่รู้แค่ที่รู้อยู่แล้วเที่ยวอวดรู้
ไปโชว์โง่ประจานตัวเองในหมู่ปราชญ์เมธี
อย่างกรณีเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา นี่ก็เช่นกัน
เป็นข้อธรรมะที่ดีมากที่พระศาสดาทรงสอนไว้
เราเห็นด้วย 1000 เปอร์เซ็นต์เลยว่า
ผู้ใฝ่ธรรมนั้นจักข้ามไปเสียมิได้
แต่ในฐานะที่เรามาชี้ทางพวกท่าน
ที่เลือกเส้นทาง "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง" กลับบ้าน
เราจึงขอติงท่านทั้งหลายว่า
การจำแบบนักรบแห่งแสงสว่างมาทำตามนั้น
มันมิใช่จริตของพวกท่านหรอก
เรายกตัวอย่างเรื่อง "สมาธิ"
พวกท่านติดใจกับการปฏิบัติกรรมฐาน
ด้วยการนั่งหลับตาแล้วก็บอกใครๆว่านั่งสมาธิ
หากเป็นนักบวช
เขาปฏิบัติตามพระพุทธองค์
นั่นน่ะชอบแล้ว...เหมาะแล้ว.....ดีแล้ว
เพราะนักบวชสละแล้วซึ่งทางโลก
ไม่มีภารกิจทางโลกิยะให้ต้องรับผิดชอบอีก
เพราะลาสิกขาบท ละแล้วซึ่งอาสวกิเลสทั้งปวง
พวกนักบวชเขาปลีกวิเวกอยู่ท่านเดียว
ย่อมต้องปฏิบัติธรรมตามลำพังคนเดียว
แต่พวกท่านส่วนใหญ่ "สละโสด" กันมากกว่า
ยังต้องมีครอบครัว มีบริษัทบริวาร มีสังคม
มีผู้คนใกล้ตัวรอบข้างที่สร้างสัมพันธ์ไว้มากมาย
การปฏิบัติสมาธิของท่าน
จึงต้องกระทำทั้งในยามอยู่คนเดียว
และเมื่อมีบุคคลอื่นอยู่รายรอบ
อีกทั้งอายตนะทั้งหกต้องเปิดกว้าง
จะปิดหู หลับตา หุบปาก เก็บใจ ไม่ได้!
เราจะให้นิยามต่อท่านทั้งหลายไว้ว่า
"สมาธิ" มิใช่แค่กิจกรรมการนั่งกรรมฐาน
ออกจากกรรมฐานท่านก็ยังต้องฝึกสมาธิ
เพราะคำว่า "สมาธิ" นี้
ในวิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
พระบิดาทรงหมายถึง
"การคิด การพูด การฟัง การกระทำ
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ติดต่อกัน
ให้ได้เป็นเวลานานๆ จนกว่าจะคิดออก
จนกว่าจะเข้าใจ หรือ จนกว่าจะสำเร็จ
โดยจะไม่เลิกคิด เลิกพูด เลิกฟัง
หรือ เลิกกระทำเสียกลางคัน"
เอเมน....สาธุ.....
ป.วิสุทธิปัญญา
31-12-2014

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557



นักเรียนห้องเรียน ป.วิสุทธิปัญญา ทั้งหลาย

ในชีวิตประจำวันของท่านนั้น
มีคำสำคัญอยู่สองคำที่ท่านควรรู้
อันควรค่าแก่การให้ความสำคัญเพื่อทำความเข้าใจ
เมื่อเข้าใจแล้วจะได้เลือกรับไปปฏิบัติ
ให้เป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวันกันต่อไป

คำแรก คือ คำว่า "เห็นแก่ได้"
หมายถึง......

1.การแสวงหาประโยชน์สุขใดๆในชีวิตประจำวัน
2.เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองและพวกตัว
3.ตามสิทธิประโยชน์แห่งตนอันพึงต้องได้
เป็นสำคัญ
4.โดยไม่คิดที่จะเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนเสียหาย

คำที่สอง คือ คำว่า "เห็นแก่ตัว"
หมายถึง......

1.การแสวงหาประโยชน์สุขใดๆในชีวิตประจำวัน
2.เพื่อตอบสนองความต้องการตนเองและพวกตัว
3.โดยมิได้ใส่ใจว่าประโยชน์สุขที่ตนต้องการนั้น
เป็นสิทธิอันพึงต้องได้ของตนหรือไม่
4.และมิได้ใส่ใจว่าประโยชน์สุขที่ตนต้องการนั้น
จะได้มาด้วยวิธีการล่วงละเมิดประโยชน์สุข
ของใครคนอื่นๆบ้างหรือเปล่า

แต่อย่างไรก็ตาม
เราก็ขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ทั้งพฤติกรรมการเห็นแก่ได้และการเห็นแก่ตัวนี้
ยังเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ทั้งคู่

เพราะเหตุว่า....

การเห็นแก่ตัว
เป็นการใช้ชีวิตอยู่ในโลกส่วนตัวที่ออกจะคับแคบมาก
เนื่องจากคนเห็นแก่ตัวจะมีเพื่อนน้อย
ไม่มีผู้ใดอยากคบหาสมาคมด้วย

เพราะใจแคบ ไม่น่ารัก
คนพวกนี้จึงล้มเหลวต่อการสร้างสังคม
อันอุดมสันติสุขร่วมกันกับคนหมู่มาก
เพราะคนหมู่มากมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบ
คนหมู่มากมักจะถูกเบียดเบียนอยู่เนืองๆ

เพราะเหตุว่า....

การเห็นแก่ได้
เป็นการใช้ชีวิตอยู่ในโลกส่วนตัวเช่นเดียวกัน
แม้ว่าจะไม่ต้องการเอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น
หรือไม่ต้องการทำให้ใครอื่นเดือดร้อนก็ตาม

แต่คนเห็นแก่ได้ก็ยังไม่น่ารักเท่าที่ควร
เพราะคนพวกนี้มักจะมัวแต่ใส่ใจ
ในสิทธิประโยชน์ของตัวเองมากกว่าอย่างอื่น
พวกเขาเหล่านี้จึงยังไม่มีเวลาว่างให้กับการเรียนรู้
ที่จะตอบสนองความต้องการของผู้อื่นเลย
การรักได้ ให้เป็น ก็ยังยากอยู่สำหรับคนพวกนี้

เอเมน....สาธุ......

พระองค์ผู้ทรงใช้เรามา



เราเป็นพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา
กล่าวพระโอวาทต่อท่านทั้งหลาย
ในพระนามแห่งพระองค์
เพื่อการเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
เพื่อนำทางท่านทั้งหลายสู่การหลุดพ้น
บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เรากลับมาตามสัญญาที่ว่า
เมื่อใดที่พระบิดาทรงพิพากษาโลก
เราก็จะย้อนกลับมา
เพื่อช่วยพระองค์คัดปลาออกจากน้ำ
เพื่อทำหน้าที่ในพระนาม
"จิตจักรวาลเขียนแผ่นดิน"
เพื่อแจ้งข่าวสารการชำระโลก
ในวโรกาสวันคริสต์มาสอันสำคัญนี้
เราจึงขอมอบการ์ดคริสต์มาสชิ้นนี้
ซึ่งประจุไว้ด้วยพลังความรักอันศักดิ์สิทธิ์
ที่พระบิดาได้ทรงประทานเอาไว้จนล้นเปี่ยม
ให้แก่พี่ๆน้องๆแห่งเราทั้งหลาย
ผู้ที่ยังจดจำพระบิดาได้
ผู้ที่ไว้วางใจในทุกคำกล่าวของเรา
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนตลอดไป
เอเมน....สาธุ......
ป.วิสุทธิปัญญา
25-12-2014

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557




เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกท่านแต่ละคนที่อยู่ในสังคมเดียวกันนั้น
สามารถทำตนเป็นเงื่อนไขของกันและกันได้เสมอ
ทั้งโดยตั้งใจและมิได้ตั้งใจ

ถ้าท่านแสดงออกหรือกระทำใดๆต่อผู้อื่นแล้ว
มีผลต่อการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิด
ของผู้ที่ท่านกระทำต่อเขานั้น
ให้มันต้องเปลี่ยนแปรผันไป
จากที่เขาเป็นอยู่มีอยู่ในขณะนั้น
ไม่ว่าจะด้วยเจตนาจงใจหรือไม่ก็ตาม

นั่นเท่ากับว่าท่านได้เป็นผู้สร้างเงื่อนไข
แล้วหยิบยื่นเงื่อนไขที่ท่านสร้างขึ้นมา
มอบให้แก่เขาคนนั้นไปเรียบร้อยแล้ว

ท่านจึงเป็น "ผู้ก่อกรรม"
เขาคนนั้นที่เสียสมดุลไปก็จะเป็น "ผู้รับกรรม"

โดยที่ท่านผู้ก่อกรรมเองนั่นแหละ
จักต้องเป็น "ผู้รับผลกรรม" ในมิติแห่งจิตวิญญาณ
อันเกิดจากการก่อกรรมนั้นๆของตนเอง

ส่วน "ผู้รับกรรม" หรือผู้ที่ถูกท่านกระทำ
หากเขารักท่านได้ให้อภัยท่านเป็น
เขาก็จะสอบผ่านบททดสอบจิตสำนึกนั้น
รางวัลที่เขาจะได้รับก็คือ
เขาจะมีบารมีทางจิตวิญญาณที่สูงขึ้น
จิตสำนึกด้านบวกก็จะถูกยกระดับให้สูงขึ้นด้วย

แต่ถ้าเขาสอบตกในบททดสอบจิตสำนึก
ที่ท่านเป็นผู้หยิบยื่นให้เขาไป
ด้วยการที่เขามีสภาวะจิตตกต่ำเมื่อถูกยั่วยุ
มันจะยังผลให้เขาเกิดความโกรธเกลียดเคียดแค้น
หรือว่าอาฆาตขุ่นเคืองใจอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาได้
เขาคนนั้นก็จะกลายเป็น "ผู้เกี่ยวกรรม" กับท่านไปทันที

พฤติกรรมการดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคมพวกท่าน
มันมีสถานการณ์เช่นว่านี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
โดยมันมีโอกาสที่ท่านทั้งหลาย
จะเป็นทั้งเงื่อนไขด้านบวกด้านลบต่อกันอยู่เสมอ

การก่อกรรมให้เกิดผลกรรมด้านบวก
จึงเป็นการสร้างเงื่อนไขด้านบวกให้แก่ผู้อื่น
การก่อกรรมให้เกิดผลกรรมด้านลบ
จึงย่อมเป็นการสร้างเงื่อนไขด้านลบให้แก่ผู้อื่นเช่นกัน

มันต่างกันอยู่ตรงที่ว่า....
ถ้าท่านสร้างเงื่อนไขด้านบวกต่อผู้อื่น
ผลกรรมด้านบวกก็จะเกิดขึ้นในสองมิติ
การเกี่ยวกรรมกันด้านบวกก็จะเกิดขึ้นตามมา
หรืออาจจะไม่เกิดการเกี่ยวกรรมใดๆต่อกันเลยก็ได้

แต่ถ้าท่านสร้างเงื่อนไขด้านลบต่อผู้อื่น
ผลกรรมด้านลบก็จะเกิดขึ้นในสองมิติเช่นกัน
การเกี่ยวกรรมด้านลบต่อกันก็จะมีโอกาสสูงลิ่ว
เพราะมีน้อยรายนักที่จะอดทน อดกลั้น ให้อภัย
ด้วยจิตใจที่สูงส่งได้เมื่อท่านหยิบยื่นเงื่อนไขลบให้เขาไป
โดยที่เขาจะไม่คิดตอบโต้ ต่อสู้ หรือต่อต้าน

ดังนั้น......
เราจึงกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าไม่สามารถเป็นเงื่อนไขด้านบวก
ด้วยการนึกดี คิดดี พูดดี ทำดี ต่อตัวเขาได้
ท่านก็ไม่ควรที่จะเป็นเงื่อนไขใดๆของเขาเลย
จะดีเสียกว่า จะเหมาะสมกว่า.....
ถ้าท่านยังปรารถนาการหลุดพ้นในภพชาตินี้!!!

เอเมน....สาธุ.....

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ระหัสแห่งพุทธทำนาย2





พุทธทำนายพอสังเขปทั้ง  13  บทที่จะะเปิดเผยนี้ 
ล้วนเป็นภาพของความบอบ ช้ำภายในระบบโลก  ซึ่งองค์พระศาสดาได้ทรงทำนายไว้ล่วงหน้านับพันปีมาแล้ว  เพื่อเตือนสติมนุษย์ให้เกิดจิตสำนึกใหม่  ซึ่งมนุษย์เองสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์  เลวร้ายใด ๆ ได้  หากลงมือกระทำที่จิตสำนึกของตนเอง  แต่มนุษย์  กลับละเลยกันมาตลอด  มหันตภัยจึงไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย  ดาวเคราะห์โลกเป็นดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี  มีกฏแห่งกรรมเป็นรางวัลการกระทำทางจิตสำนึกมนุษย์ไว้รองรับทั้งในทางกายภาพ ของมนุษย์เองและในมิติคู่ขนาน  การพยากรณ์ใด ๆ ไว้ล่วงหน้านั่นคือสิ่งที่จิตจักรวาลทุกรูปธรรมย่อมรู้แต่การที่เหตุการณ์ใด ๆ เหล่านั้นมันจะเกิดขึ้น  หรือไม่เกิดขึ้นมันอยู่ที่การตัดสินใจของมนุษย์เองทั้งสิ้น
  รหัสรับแห่งพุทธทำนาย
ความสำคัญในพุทธทำนายแยกได้เป็นประเด็นสำคัญ  13  ประการ
ซึ่งทรงทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเอาไว้ล่วงหน้าวันเวลาที่ตรัสถึงคือช่วงเวลาแห่งยุคสมัยปัจจุบันนี่เอง.
.  [1]." ไฟจะลุกลามมาทางตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม  นักบวช  และพระจะอดอยากยากเข็ญ  "  ไฟในที่นี้คือ   ภัย   จากการคลั่งวัตถุนิยม   อันเกิดจากมนุษย์อีกซีกโลกหนึ่งที่มีสมองซีกซ้ายนำขวาเป็นผู้สร้างเพื่อชัก จูงจิตวิญญาณของผู้คนที่ไม่สมดุลให้ลุ่มหลงมัวเมาไปกับมันจนกลายเป็นทาสของ วัตถุ   และถูกผู้สร้างมันขึ้นมาชักจูงจิตวิญญาณไปในทางต่ำ  จนทำให้เกิดความขาดสมดุลจิตวิญญาณไป  จิตสำนึกคลั่งตะวันตกเป็นไปอย่างรุนแรง  ตั่งแต่ระดับผู้นำลงมาถึงระดับล่างแทบทุกชนชั้น   มนุษย์ซีกตะวันออกมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น  ที่ยังคงใกล้ชิดกับศาสนาถือปฎิบัติธรรมะอย่างเข้าใจและซึ้งในรสพระธรรม   ผู้ประพฤติดีประพฤติชอบมักไม่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่  นอกจากมีอำนาจเหนือ  ศีลธรรมเสื่อมทรามมีผู้คนที่ศรัทธาในพระศาสนาเข้าวัดทำบุญน้อยลง  เนื่องจากจิตใจไม่ฝักใฝ่และมีทัศนคติไม่ถูกต้องต่อผู้สืบทอดศาสนา  ทีมีพฤติกรรมนอกรีตให้เห็นอยู่กลาดเกลื่อนเหมือนเป็นเรื่องปกติมองเห็นใคร ที่พูดถึงเรื่องศาสนาและธรรมมะเป็นหัวโปราณคร่ำครึ  และความเสือมโทรมในจิตใจของผู้คนที่แสดงพฤติกรรมโหดร้ายก้าวร้าวต่อเพื่อน มนุษย์ด้วยกันเหมือนไม่ไช่มนุษย์  หนักขึ้นทุกวัน    นักบวชและพระมีโอกาศเยียวยาจิตใจมนุษย์ในสังคงน้อยลงกว่าเดิม   เนื่องจากมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เข้าวัดเพราะเสื่อมศรัทธา  ไม่ไส่ใจ  และใฝ่การทำมาหากินเพื่อชีวิต  ไม่ได้ทำอะไรเพื่อจิตวิญญาณของตนเลย    บทบาทของพระในการเผยแพร่พระธรรมจึงถูกปิดกั้นมนุษย์มีพระไว้เพื่อการประกอบ พิธีกรรมในการสวดที่ศักดิ์สิทธิ์และใฝ่หาแต่พระที่มีอิทธิฤทธิ์ไว้เป็นที่ พึ่งเท่านั้น    การอดอหยากยากเข็ญของพระ  จึงหมายถึง   การที่พระไม่มีโอกาศได้กระทำหน้าที่ของตนในการเผยแพร่ธรรมมะนั่นเอง..
   [2].. " ลูกไฟจะตกจากฟากฟ้าเป็นเพลิงผลาญเหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ "พุทธทำนาบบทนี้  กล่าวถึงการทำศึกสงความระหว่างเผ่าพันธ์มนุษย์ด้วยกันเอง  ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎเกณฑ์ทางกายภาพของจักวาล  ว่าด้วยเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสรรพสิ่งในระบบโลก  ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์  การขัดแย้งรบราฆ่าฟันกัน  ทั้งชนในชาติเดียวกัน  ไปจนถึงระหว่างประเทศ  พล่าผลาญชีวิตกันอย่างไร้จิตสำนึกแห่งเมตาธรรมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์  ที่ค้นคิดขึ้นจนนับวันอาวุธที่ผลิตขึ้นจะมีพลังอำนาจในการทำลายล้างอย่างน่า กล้วมากขึ้น  อาวุธนิวเคลียร์ ขีปนาวุธ และอาวุธเชื้อโรค คือความร้ายแรงและเป็นภัยมหันต์  แต่ละชนชาติที่ก้าวร้าวเหล่านั้นเคยรู้บ้างหรือไม่ว่าศาสตราวุธทันสมัยที่ แต่ละรายสะสมกันไว้นั้นหากกดปุ่มพร้อมกันมันสามารถทำลายโลกใบนี้ได้แค่เพียง นาทีเดียว สำหรับมนุษย์ที่กำลังหวั่นกลัวจากสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามคำพยากรณ์ในยุคพลังงานเก่า  จงรับรู้ไว้ด้วยว่า โรงเรียนโลกใบนี้มิได้โดดเดี่ยว  โดยปราศจากผู้ดูแลอย่างการคิดแบบจิตมนุษย์เลย  จิตจักวาลและรูปธรรมชั้นสูงในมิติคู่ขนาน  จะไม่มีวันปล่อยให้ผู้มีจิตวิญญาณอธรรมกระทำการเช่นนั้นได้อีกต่อไป 
    3." มหาสมุทรจะชอกช้ำ " พุทธทำนายบทนี้ทรงเน้นความเน่าเสียของน้ำจากปฎิกูลเคมีสังเคราะห์ ที่มนุษย์สร้างขึ้นทำลายความสมดุลของระบบโลก ทำให้น้ำทะเลเป็นพิษ น้ำเน่าเสีย สัตว์ทะเลต้องจบชีวิตลงเพราะสารพิษและขาดออกซิเจน เนื่องจากกากปฎิกูลต่างๆ จะมีมากเกินกว่ากายภาพของแผ่นดินจะซึมซับโอบอุ้มเอาไว้ได้ มันจะค่อยๆเคลื่อนไหลสู่ท้องทะเล อำนาจเงิน ผลประโยชน์ ความบ้าคลั่งทางปัญญาอุตสาหกรรมหนัก คือ ตัวการก่อมลภาวะทางน้ำของมนุษย์ซึ่งปัจุปันนี้กำลังเป็นปัญหาระบบนิเวศน์ เสียสมดุลจาก มลพิษ สนาการณ์โลกในขณะนี้ปัญหามลภาวะมันหนักหนาจนสุดเยียวยาได้ มหันตภัยกำลังคืบคลานสู่มวลมนุษย์ชาติแล้ว จงเตรียมตัวกันไว้ให้ดี.4 " ศึกจะติดเมือง " พุทธทำนายบทนี้  ทรงหมายถึง ความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆทั่วโลกมันจะก่อตัวขึ้นแทบทุกแห่งที่ชนชั้น ผู้นำขาดความสมดุลในจิตใจการต่อสู้รบพุ่งกันกระทบกระทั่งกันมีให้เห็นไม่ ว่างเว้น โดยมองเห็นความมีอำนาจเหนือเปรียบดั่งขนมหวาน  ศึกสงความบนโลกจะไม่มีวันสงบทั่วแผ่นดินใด้ หากยังมีการคิดค้นมีการผลิตเพื่อขายกันหยู่ เหยื่อแห่งสงครามแม้ไม่ไช่สงครามโลก  ก็ยังจะคงมีหยู่บนแผ่นดินโลกตลอดไป.
    5 " ข้าวจะขาดแคลน " พุทธทำนายบทนี้  ทรงหมายถึงการทำลายระบบนิเวศน์อย่างไม่บันยะบันยัง เพื่อดูดซับพลังงานและการเก็บเกี่ยวทรัพยากรธรรมชาติ บนแผ่นดินจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกธัญญาหารเสื่อม สลายเสียสมดุลไป มนุษย์ใช้ผืนแผ่นดินรองรับความเจริญทางวัตถุ จนแทบไม่มีที่ใดเหมาะสมต่อการเพราะปลูกและเกษตรกรรม เพื่อการยังชีพอีกต่อไป  ในที่สุดความขาดแดลนอาหารบริโภคจะเป็นปัญหาของมนุษย์โลกที่ทุกคนต้องเผชิญ แม้ในยามที่ยังไม่มีศึกสงความให้เกิดข้าวยากหมากแพงเลยก็ตาม.
    6 " ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง " พุทธทำนายบทนี้ ทรงหมายถึง ภูมิอากาศโลกแปรเปลี่ยนไป จะก่อให้เกิดเชื้อโรคร้ายชนิดใหม่ๆ ที่เป็นภัยต่อสุขภาพร่างกายมนุษย์ จนถึงขั้นชีวิต โดยไม่อาจเยียวยารักษาได้มากมายหลายโรค มีทั้งโรคร้ายชนิดใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยรู้จัก และโรคร้ายชนิกเก่าๆ ที่มนุษย์เอาชนะมันได้จนทำให้มันเสียสมดุลไปในอดีตแล้ว มันจะแอบซุ่มวิวัฒนาการสายพันธ์ของตัวมันเองตามกฎทางกายภาพของจักวาล ยกระดับตัวมันเองสู่ความสมดุลกับมนุษย์ได้อีกครั้ง ที่มันสามารถจะมีอำนาจต้านทานฤทธิ์ยาตัวเก่าได้เป็นหย่างดียิ่งกว่าเดิม.
    7 " พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองจะหนีเข้าไพร " พุทธทำนายบทนี้ ทรงหมายถึง ความสับสนเสียสมดุลในจิตใจของผู้คนในสังคมถึงจุดที่ยากจะแก้ไขเยียวยาได้ จะทำไห้ผู้มีความสมดุลทางจิตวิญญาณต่างๆ เกิดความท้อแท้ในการทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์ของตนให้ลุล่วงได้อีกต่อไป เพราะไม่มีผู้ฝักไฝ่ศาสนา ไม่มีใครใฝ่หาการรู้แจ้ง บนเส้นทางของนักรบแห่งแสงสว่างตามแนวทางของพระศาสดา พวกเขาจึงจะพากันละไปจากสังคมเมือง แสวงหาความวิเวกและสุขสงบกันแต่เพียงลำพัง เหมือนอยากไปสววค์คนเดียว จนทำให้สังคมเสือมทรามลงอย่างรวดเร็ว เพราะต่างล้วนขาดจิตสำนึกที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต.
    8. " ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกผีเสื้อเหล็กนับแสนตัวมาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ " พุทธทำนายบทนี้ ทรงหมายถึง การกระทำต่อกันของมนุษย์โลก ทั้งทางกายภาพและในมิติคู่ขนาน ก่อให้เกิดมลภาวะทางพลังงานด้านลบและปฎิกูลทางกายภาพในระบบโลกเป็นจำนวนมาก มาย  มนุษย์ส่วนใหญ่จะมีจิตสำนึกที่สั่นสะเทือนต่อกันทางด้านลบ  เกิดพลังงานกรรมคุณสมบัติด้านลบในมิติคู่ขนานอย่างมากมาย  และทำให้ระบบโลกเสียสมดุลทางพลังงานที่จำเป็นไปมาก  จนอาจทำลายความสมดุลของระบบโลกเองและจักรวาลทั้งระบบ
    9."ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับใหลมาเป็นนานจะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก"    พุทธทำนายบทนี้  ตรัสถึงการสั่นสะเทือนของกายภาพโลกคือผืนแผ่นดิน  จะเกิดความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจะทำให้มนุษย์โลกได้รับ เคราะห์ภัยรุนแรงอย่างไม่คาดคิด  ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงนี้  จะเกิดจากแท่งแม่เหล็กในใจกลางโลกซึ่งเป็นแท่งโลหะร้อนระดับ  4,000  องศาเซลเซียสซึ่งเคยแน่นิ่งอยู่  จะถูกกระทำให้มันเคลื่อนที่ไปจากตำแหน่งเดิมเพื่อการปรับเปลี่ยนระบบโครง ข่ายสนามแม่เหล็กโลกสู่ระบบใหม่  ดังได้กล่าวไว้แล้วนั้น  เมื่อเกิดการเคลื่อนตัวด้วยแรงขับเคลื่อนอันมหาศาล  มันจะทำให้แผ่นพื้นทวีปและท้องมหาสมุทรเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนพื้น โลกเกิดการบิดตัวอย่างรุนแรงตามไปด้วย  มันจะทำให้แผ่นดินบางทวีปแยกตัวออกจากกัน  น้ำทะเลจะไหลบ่าเข้าไปแทนที่  ตึกรามสูงใหญ่และเทคโนโลยีอันสูงส่ง  พร้อมด้วยสารเคมีพิษร้ายต่าง ๆ จะถูกทับถมกันไว้ใต้พื้นโลกและแผ่นน้ำตราบนิรันดร์พร้อมกับชีวิตของผู้สร้าง มันขึ้นมา  ด้วยจิตไร้สำนึกจำนวนนับล้านคนจะถูกกลืนหายไปเช่นกัน  มันเป็นการดับอหังการ์ของมนุษย์ผู้มีจิตวิญญาณไม่บริสุทธิ์  ที่ฝ่าฝืนกฎทางกายภาพของจักรวาล  คิดสร้างลัทธิซาตานขึ้นในระบบโลก  ชักจูงจิตวิญญาณมนุษยชาติไปในเส้นทางที่ผิดพลาดโดยแท้  และเป็นการหยุดยั้งการทำลายโลกใบนี้ของพวกเขา  ในอันที่จะก้าวไปสู่การทำลายความสมดุลของจักรวาลอื่นต่อไปในเวลาเดียวกัน.
     10."ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน"   ปรากฏการณ์นี้มนุษย์สามารถสำเหนียกรู้ได้โดยไม่ต้องตีความ  เพราะปรากฏการณ์ธรรมชาติของคลื่นความร้อนคลื่นความเย็นที่ผ่านมา  และพายุแม่เหล็กรุนแรงในบรรยากาศทำให้ผู้คนทุกข์ยากล้มตาย  พืชพันธุ์เสียหายและอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่เกิดขึ้นไปแล้วและที่กำลังจะ เกิดต่อไป  เมื่อฝ่าเข้าไปท่ามกลางพายุแม่เหล็กที่รุนแรงนั้น  หรือหิมะตกหนักและพายุลูกเห็บขนาดยักษ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นความวิปริตแปรปรวนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  ซึ่งวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมนุษย์จะไม่มีวันเอาชนะได้  หลังการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคพลังงานใหม่  เมื่อแผ่นดินและจิตวิญญาณมนุษย์ถูกชำระให้บริสุทธิ์เรียบร้อยแล้วฤดูกาลต่าง ๆ บนโลกจะเปลี่ยนไป  แผนที่โลกจะต้องได้รับการแก้ไขใหม่หลายส่วน.
     11."ตลิ่งจะพัง"   จากการสั่นสะเทือนที่รุนแรงของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่มันจะเกิดต่อเนื่อง กันนานนับชั่วโมง  ผู้คนทั้งโลกจะรับรู้มันได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องจ้องดูทางทีวีอีกต่อไป  แผ่นดินใหม่จะปรากฏตัวขึ้นกลางมหาสมุทร  ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เคยต้องคำสาปให้จมอยู่ใต้มหาสมุทรมานานนับหมื่นปี  จากเหตุการณ์ที่จักรวาลชำระโลกเป็นครั้งที่สาม  ตั้งแต่เกิดมีมนุษย์บนดาวเคราะห์โลก  โดยอาศัยอำนาจแรงดึงดูดของดวงจันทร์ช่วยเหลือ  นอกจากจุดศูนย์กลางอันเป็นเป้าหมายของแผ่นดินไหวที่จะถล่มทลายลงไปใต้แผ่น น้ำแล้ว  บริเวณสองทวีปที่เป็นชายฝั่งมหาสมุทร  และเกาะบางเกาะจะจมหายไปใต้ท้องทะเลเช่นเดียวกัน.
      12."แผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเล"  โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ   ประเทศที่คลั่งวัตถุนิยม  คลั่งไคล้เทคโนโลยี  ทั้งผู้สร้างมันขึ้นมา  ผู้งมงายกับการใช้มัน  และประเทศที่ผู้นำมีจิตสำนึกบกพร่อง  บ้าอำนาจและกระทำการก้าวร้าวต่อจิตวิญญาณผู้คนที่บริสุทธิ์ให้ต้องจบชีวิตลง เพราะศึกสงคราม  นั่นคือดินแดนหายนะอันเป็นเป้าหมายของจักรวาลด้วยเช่นกัน  ทุกอย่างจะถูกกลบฝังไว้ใต้โลกท่ามกลางผงฝุ่นและเปลวเพลิง  อันเกิดจากแผ่นดินแยกยุบตัวและภูเขาไฟระเบิดซ้ำ  ความหายนะจะเกิดขึ้นแทบทั่วแผนดินนี้  ทั้งผู้ได้รับเคราะห์กรรมโดยตรงและโดยอ้อม  จนแทบจะมองหาใครมาคอยช่วยเหลือใครไม่ได้เลย . 
      13."นักปราชญ์จะถูกทำลายให้สิ้นสูญ"   มนุษย์จะเห็นได้ว่า  ยุคปัจจุบันนั้นสังคมเต็มไปด้วยการอยู่ร่วมกันด้วยผลประโยชน์มากกว่าความรัก ที่มีต่อกันเพื่อร้อยเรียงกันไว้เป็นหนึ่งเดียว  ต่างต้องคอยระแวงกันตลอดเวลาด้วยการคอยมองหาว่า  ใครชั่วน้อยกว่าใคร  แทนที่จะมองหาความดีงามของกันและกัน  มนุษย์โลกส่วนใหญ่พากันเร่งพัฒนาภูมิปัญญาของตนโดยไม่ใส่ใจพัฒนาสติกับ ปัญญา  คิดสร้างขยะพลังงานกรรมด้านลบและขยะเทคโนโลยีที่เน้นวัตถุขึ้นมามากมาย  เพื่อสร้างโอกาสและอำนาจ  เอาไว้บงการจิตวิญญาณมนุษย์คนอื่นที่ด้อยกว่า  โดยไม่ได้ใช้พลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ในตนเอง  อันเกิดจากจิตสำนึกแท้จริงและสติทางวิญญาณที่มีพลังงานความรักเป็นตัวขับ เคลื่อนพฤติกรรม  ให้ผู้อื่นยอมรับ  เชื่อมั่นและศรัทธาเลยนอกจากนั้นกลับใช้พลังอำนาจจากจิตไร้สำนึก  ผลักไสคนดี ๆ ออกไปไกลจากเส้นทางของตัว  ทำลายคนดีด้วยจิตสำนึกที่ผิดพลาดโดยไม่รู้ว่าความดีงามแท้จริงคืออย่างไร  สังคมมนุษย์  คลั่งอำนาจ  ลาภยศ  สินทรัพย์และวัตถุนิยมมากยิ่งกว่าแสวงหาความดีงาม  กิเลสตัณหา  อบายมุข  สารพิษ  ยาเสพติดหาได้กลาดเกลื่อน  มนุษย์เพาะบ่มสำนึกแห่งความชั่วร้ายไว้ในจิตใจที่พร้อมจะนำมันออกมาแสดงได้ ง่ายกว่า  การจะมองหาความดีงามคือความรักบริสุทธิ์  หยิบยื่นให้แก่ใคร ๆ มนุษย์ที่สมดุลและคนดี ๆ กลับไม่ได้การยอมรับจากผู้คนเพราะมนุษย์ใช้ตนเองที่จิตสำนึกขาดความสมดุล ตัดสินมนุษย์ผู้อื่น  ที่มีความสมดุลกว่าผิดพลาดไปหมด  ความเป็นธรรมในสังคมจึงหายากยิ่ง  แม้แต่นักบวชมากรายก็ยังทุศีลของพระพุทธองค์หนักขึ้นทุกวัน  ยุคพลังงานเก่าที่ผ่านมา  มันจึงเป็นสังคมที่ไม่ได้ส่งเสริมคนดีที่เหลือน้อย  ทำให้คนดีเกิดความท้อแท้สงบงันเหมือนการเห็นแก่ตัวเพราะต้องระมัดระวังตน  โดยหยุดบทบาทตนเองไว้  การที่มนุษย์จะแสดงความดีงามสู่สังคมสักครั้งสักคนจะต้องใช้ความกล้าหาญและ การเสียสละที่ยิ่งใหญ่เกินจริง  จึงจะพอฟันฝ่าอำนาจด้านลบที่เกาะกุมจิตใจผู้คนส่วนใหญ่ได้. ที่พุทธทำนายพอสังเขปทั้ง  13  บทที่เผยนัยมานี้  ล้วนเป็นภาพของความบอบช้ำภายในระบบโลก  ซึ่งองค์พระศาสดาได้ทรงทำนายไว้ล่วงหน้านับพันปีมาแล้ว  เพื่อเตือนสติมนุษย์ให้เกิดจิตสำนึกใหม่  ซึ่งมนุษย์เองสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์  เลวร้ายใด ๆ ได้  หากลงมือกระทำที่จิตสำนึกของตนเอง  แต่มนุษย์  กลับละเลยกันมาตลอด  มหันตภัยจึงไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย  ดาวเคราะห์โลกเป็นดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี  มีกฏแห่งกรรมเป็นรางวัลการกระทำทางจิตสำนึกมนุษย์ไว้รองรับทั้งในทางกายภาพ ของมนุษย์เองและในมิติคู่ขนาน  การพยากรณ์ใด ๆ ไว้ล่วงหน้านั่นคือสิ่งที่จิตจักรวาลทุกรูปธรรมย่อมรู้แต่การที่เหตุการณ์ใด ๆ เหล่านั้นมันจะเกิดขึ้น  หรือไม่เกิดขึ้น     มันอยู่ที่การตัดสินใจของมนุษย์เองทั้งสิ้น  เมื่อมนุษย์ละเลยไม่แก้ไขตั้งแต่ต้น  ก็เท่ากับว่ามนุษย์เป็นผู้เลือกสถานการณ์เลวร้ายกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ด้วยตนเองโดยแท้.                                              




ได้เห็นภาพสไลด์ของเราแล้ว
ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งคิดเข้าใจว่า
เรากำลังจะกล่าวความจริงเรื่องของ
น้ำมันหมดคลัง หมดถัง หมดสต้อคนะ
ทั้งอย่าเพิ่งคิดเข้าใจว่า....
เรากำลังจะกล่าวความจริงเรื่องของ
พรุ่งนี้น้ำมันทุกชนิดจะลดราคาลงอีกเท่าไหร่
ขณะที่ก๊าซหุงต้มเขาจะขึ้นราคากันเท่าใด
เรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ
เรื่องนโยบายพลังงานและบริการ ปชช.นั้น
หากยังชำระโลกไม่เสร็จสิ้น
มันยังมิใช่หน้าที่ของเราหรอกนะ
เมื่อถึงวันนั้นแล้ว......
เราจะให้พวกท่านใช้น้ำมันและก๊าซของพระบิดาฟรี
ใช้ยวดยาน รถไฟ รถโดยสารสาธารณะ
เครื่องบินภายในประเทศ และระหว่างประเทศฟรี
ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ฟรี
ใช้ไฟฟ้า ประปา ฟรีทุกอย่าง
นี่เรากล่าวตามความจริงมิใช่นโยบายประชานิยมนะ
เพราะเรามิใช่นักการเมือง
แต่ว่า....ท่านสนใจมั้ยล่ะ?
สำหรับความจริงของบทเรียน
จากสไลด์น้ำมันหมดถังนี้
เราหมายถึงนักเรียนหลายท่าน
อาจกำลังมีอาการเหมือนดั่งในภาพสไลด์นี้ต่างหาก
นั่นคือ.............
เกิดอาการเหมือนคนจะหมดเชื้อเพลิง
เกิดอาการเหมือนคนจะหมดไฟหรือไฟจะมอด
เกิดอาการท้อแท้และท้อถอยกันอยู่ต่างหากล่ะ
อาการท้อที่เกิดขึ้นนั้น
คนส่วนใหญ่มักจะหมายถึง
การยอมจำนนแล้ว
เบื่อหน่ายแล้ว
เซ็งแล้ว
ไม่สู้ต่อแล้ว
ไม่อดทนอีกแล้ว
ไม่ไหวแล้ว
ไม่เอาแล้ว
เป็นอาการทางจิตด้านลบ
เป็นอาการเสียขวัญ
เป็นอาการหมดพลังใจ
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านไม่ก้าวเดินไปข้างหน้า
แล้วท่านจะมีความก้าวหน้าได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ก้าวไปข้างหน้าให้ต่อเนื่อง
แล้วอีกเมื่อไหร่ท่านจะถึงเส้นชัยได้ดั่งใจปรารถนา
ถ้าท่านไม่ยอมต่อสู้ฟันฝ่า
แล้วท่านจะมีโอกาสชนะถึงหลักชัยได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ยอมเผชิญปัญหา
แล้วท่านจะยกระดับความฉลาดทางปัญญาได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ยอมเผชิญกับความกลัว
แล้วท่านจะปลุกสำนึกแห่งผู้กล้าให้ตนเองได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ยอมสูญเสีย
แล้วท่านจะรู้เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ได้อย่างไร
หากท่านปฏิเสธความจริงอันยิ่งใหญ่เหล่านี้
ภายในจิตใจท่านมันก็จะมีแต่ "ทุกข์ขัง" อยู่เท่านั้น
เพราะความท้อแท้หรือท้อถอยที่เกิดขึ้นในใจท่าน
มันมิได้ช่วยให้สถานการณ์ที่ท่านเผชิญอยู่
มันผ่อนคลายสลายตัวไปได้เลย
ความท้อมันมิได้ช่วยให้อะไรๆดีขึ้นมาได้เลยสักนิด
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ความท้อแท้และท้อถอยของท่านนั้น
มันอาจเกิดจาก.....
ทำอย่างทุ่มเทเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ
ทำอย่างทุ่มเทเท่าไหร่ก็ไม่ก้าวหน้า
ทำอย่างทุ่มเทเท่าไหร่ก็ยังเอาดีอะไรไม่ได้
ทำอย่างทุ่มเทเท่าไหร่ก็ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ทำอย่างทุ่มเทเท่าไหร่ก็ยังไม่มีใครเข้าใจ-เห็นใจ
ฯลฯ
ถ้าเกิดอาการดังที่เรากล่าวไว้
ก็ให้ลองปฏิบัติตามนี้ดูนะ
1.จงฝึกเรียนรู้อะไรให้เร็ว......
ด้วยการ.......
เรียนรู้ทั้งอุปสรรคปัญหาที่ท่านเผชิญอยู่
เพื่อรู้จักปัญหานั้นให้ทะลุแจ้ง
และเรียนรู้ข้อผิดพลาดบกพร่องของตนเอง
เพื่อการปรับปรุงแก้ไขใหม่เสียให้ถูกต้อง
2.จงนำสิ่งที่เรียนรู้ดีแล้วนั้น
ไปสู่การปฏิบัติจริง.......
เช่น เมื่อรู้ปัญหาและเข้าใจปัญหาดีแล้ว
ก็จะได้ค้นหาวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
หรือเมื่อรู้ว่าตนเองมีจุดอ่อนที่ตรงไหน
ก็ให้รีบปรับปรุงแก้ไขเสียทันที
นักเรียนจะต้องรู้ว่า
การเปลี่ยนแปลงใดๆจะเกิดขึ้นไม่ได้
หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงนั้นมันจะเกิดชึ้นไม่ได้
หากท่านไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง
3.ถ้าท่านเปลี่ยนแปลงแล้ว
ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เพราะเปลี่ยนแปลงไม่สำเร็จ
หรือเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้
ก็ให้ท่านจงทำใจเย็นๆเข้าไว้
แล้วกลับไปเริ่มต้นที่ข้อ 1.ใหม่
โดยอย่าไปใส่ใจที่จะนับเป็นสถิติว่า
ท่านปฏิบัติแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง
ขอให้ท่านทั้งหลายจงประสบความสำเร้จ
และระลึกเสมอว่า.....
ความทุกข์นั้นเกิดที่ใจ
ทุกข์ได้แต่อย่าท้อ
เพียงท่านยอมรับในสิ่งไม่พึงประสงค์ของตนได้
ความทุกข์นั้นมันก็จะกลายเป็นเพื่อนของท่านไปทันที
ท่านก็จะไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป
ภายในหัวใจท่านมันจะมีพื้นที่ว่าง
ให้กับคำว่า "สู้ต่อ" แทนคำว่า "ท้อแท้" แน่นอน
เอเมน....สาธุ......
ป.วิสุทธิปัญญา
16-12-2014

จงหยิบปัญญา มานิพพาน




ความหมายของคำว่า "มนุษย์" คือ ผู้มีจิตใจสูง
ผู้มีจิตใจสูง หมายถึง
ผู้ที่สามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตตนเอง
ให้สูงขึ้นทางด้านบวกให้สูงสุดได้
ผู้สามารถสั่นสะเทือนจิตใจด้านบวกสูงสุดได้
หมายถึง ผู้ที่มีคุณสมบัติที่สำคัญดังนี้
1.สามารถสั่นสะเทือนจิตใจตนเองด้านบวกได้
แต่ต้องมีเงื่อนไขช่วยกระตุ้นปลุกเร้า เช่น
สมเพช เวทนา สงสาร
เมตตา กรุณา มุทิตา
อดทน อดกลั้น ให้อภัย
แลกเปลี่ยน และ แบ่งปัน
เป็นต้น.......
2.สามารถสั่นสะเทือนจิตใจด้านบวกเป็นความรักได้
โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆช่วยเลย เช่น
รักเพื่อรักใครก็ได้
รักเพื่อได้รักใครก็ได้
รักเพื่อให้ได้ทุกคน
เป็นต้น.....
3.สามารถสั่นสะเทือนจิตใจด้านบวกสูงสุด
ในขณะอยู่กับตนเองตามลำพัง
หรือแม้จะอยู่ท่ามกลางเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ
เกิดเป็นความสุขสงบหรือมีปีติ
ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายในจิตใจ
จนกลายเป็นธรรมชาติของตนเองไปในที่สุด
4.สามารถยกระดับการนึกด้วยจิต
ไปสู่การขบคิดพิจารณา
ด้วยพลังสมองทั้งสองซีกของตนเองได้
โดยมิพักพึ่งพาปัญญาของคนอื่นๆไปเสียทุกเรื่อง
ท่านทั้งหลายจักต้องจดจำไว้ว่า
คนที่จะได้ชื่อว่าเป็น "มนุษย์" ได้อย่างเต็มคำนั้น
จักต้องเข้าถึงพลังอำนาจด้านบวกสูงสุด
เท่าที่ตนจะสามารถเข้าถึงได้
ในคุณสมบัติสำคัญทั้ง 4 ประการนี้เท่านั้น
มิเช่นนั้นแล้ว
ท่านผู้นั้นจะยังเรียกตนเองว่า "มนุษย์" ไม่ได้
คงเป็นได้แค่เพียง "คน" คนหนึ่ง
ซึ่งยัง "คนไม่สำเร็จ" นั่นแหละนะ
โดยเฉพาะการฝึกฝนตนเอง
เพื่อการรักให้ได้ ให้ให้เป็น และการใช้ปัญญาของสมอง
แทนการใช้จิตที่ดีแต่นึก แทนการใช้อารมณ์รู้สึก
กับการใช้นิสัยเคยชินและใช้สันดานเคยตัว
เป็นเครื่องขับเคลื่อนพฤติกรรมทางกายและวาจา
โดยไม่อาจใช้สติปัญญาจากสมองของตนได้
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านไม่สามารถสร้างคุณสมบัติทั้งสี่ข้อดังกล่าวได้
ท่านก็จะไม่อาจข้ามผ่านหรือฟันฝ่า
บททดสอบจิตสำนึกตามกฎแห่งกรรมของตนเองได้
ท่านก็จะไม่อาจประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
เพื่อให้ได้ความรู้จากบทเรียนรายวันนั้นๆได้เลย
จงอย่าปล่อยให้วันเวลามันผ่านไป
ด้วยการดีแต่ท่องธรรมะแต่ไม่ลงมือทำให้เห็นแจ้ง
ด้วยการดีแต่หยิบถ้อยคำธรรมะหรูหราภาษาสูงๆ
ของคนนั้นคนนี้มาสั่งสมไว้แต่ไม่ยอมคิดต่อ
ขอท่านทั้งหลายจงฉลาดเรียนรู้ ฉลาดแสวงหา
โดยมุ่งเน้นไปที่การหาปัญญา
ให้มากกว่าการหาความรู้เถิด
จงสร้างค่านิยมการเรียนรู้เสียใหม่
ด้วยการแสวงหาปัญญาเข้าไว้
เพราะความรู้ทั้งหลายนั้น
ท่านสามารถแสวงหาเอาจากปัญญา
ด้วยปัญญาของตัวท่านเองได้เสมอหากต้องการ
หลักการแสวงหาปัญญาในตนเองมีหลักเดียว
คือ ต้องเรียนรู้วิธีคิด ต้องฝึกทักษะการคิด
มิใช่ดีแต่นึกด้วยจิต
แต่ไม่ฝึกนำสิ่งที่ตนนึกอยู่นั้น
ไปคิดต่อด้วยสมอง
สมองมนุษย์นั้นพระบิดาทรงกำหนดสร้างไว้
อย่างแยบยลยอดเยี่ยมเหนือสิ่งใดในจักรวาลแล้ว
ท่านลองศึกษาเรียนรู้เรื่องสมองสองซีกบ้างสิ
มันมหัศจรรย์จริงๆนะ จะบอกให้ท่านรู้
เอเมน....สาธุ......
ป.วิสุทธิปัญญา
17-12-2014

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

2ทางเลือกแห่งเสรี





1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด 

 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น 

 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น 

 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว 

 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ 

 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น 

 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

ไขรหัสนอสตราดามุส

                    




 รหัสคำของนอสตราดามุสบทนี้สามารถแยกความหมายออกได้เป็น 2 ตอนด้วยกัน จึงจะสามารถขยายความนัยทั้งหมดได้แจ่มแจ้ง  

          ตอนที่1 วิชาของดวงอาทิตย์กับวิชาของดาวศุกร์ จะแข่งขันกันเพื่อแสดงแก่นแท้ของคำพยากรณ์มาเป็นของตน ทั้งสองฝ่ายจะไม่ฟังซึ่งกันและกัน  
 ข้อคามตอนนี้เกิดจากภาพมายาในน้ำที่จักวาลอ่านโลก ให้นอสตราดามุสมองเห็นภาพเพื่อสื่อสารเป็นความรู้ใหม่แก่มวลมนุษย์ในสมัยนั้นให้เกิดสติปัญญาทางวิญญาณมากขึ้น ซึ่งเป็นภาพแรกที่จักวาลฉายมาให้เห็น ภาพแรกนี้ จักวาลต้องการสื่อให้มนุษย์รู้ว่าสัจธรรมของศาสดาที่ได้แนะนำแนวทาง การดำเนินชีวิตของมนุษยชาติให้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ เพื่อความสงบสุขในจิตใจ และความสันตืสุขของมวลมนุษยชาติ สักวันหนึ่งจะถึงยุคเสื่อมลง เนื่องจากมนุษย์ส่วนใหญ่พากันหันเหไปลุ่มหลงในวิทยาศาสตร์เทศโนโยยีที่ให้ความสุขสบายทางกาย ด้วยความเจริญทางทางวัตถุและแสงสีที่จะทำให้ผู้คนติดยึดไปกับมันเหมือนเป็นอีกศาสนาหนึ่งซึ่งสวนทางกับสัจธรรมคำสอนของพระศาดา โดยมนุษย์พวกนี้จะพากันยอมรับ และศรัทธาวิทยาการก้าวหน้า พากันสร้างความสูงส่งด้านผลผลิตทางวัตถุ  พากันใช้ศาสตร์รู้ของตนทำลายความสมดุลของธรรมชาติ เพื่อแสดงอำนาจให้เห็นว่าอยู่เหนือธรรมชาติด้วยการจะเอาชนะธรรมชาติให้ได้ ความงดงามในจิตใจถูกทอดทิ้งให้รกรุงรังไปด้วยอวิชาและกิเลสต่างๆ  ขณะที่สัจธรรมของศาสดาสอนให้มนุษย์มองหาตัวตนที่เป็นแก่นแท้ไม่ใช่วัตถุ  แต่เป็นจิตวิญญาณที่เร้นอยู่ภายใน โดยมีจิตใจของแต่ละคนเป็นสะพาน  มนุษย์พวกนี้จะมองเห็นเป็นความงมงาย ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ไม่เข้าใจ โดยพากันละทิ้ง วิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ พากันไปใส่ใจฝักใฝ่วิทยาศาสตร์เทศโนโลยีกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้จิตสำนึกตกต่ำลง  ความบ้าคลั่งทางวัตถุที่มนุษย์กลุ่มหนึ่งที่มีจิตวิญญาณชั่วร้ายเป็นผู้คิดสร้างมันขึ้นมา ทำให้มนุษย์โลกมากมายพากันตกเป็นทาสและอยู่ใต้อำนาจมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ศีลธรรมกับเสื่อมลงจนหลายคนไม่เชื่อเรื่องพระศาสดา ไม่ใฝ่หาพระเจ้า ไม่เข้าใจสัจธรรม แต่กลับนำเทคโนโลยีวิทยาสาสตร์ มาเป็นแก่นแท้ของชีวิต โดยยอมตามอย่างว่าง่ายจนแพร่หลายไปทั่วโลก  มนุษย์จำนวนมากถูกครอบงำทางความคิด ทางการเมือง ทางสังคมความเป็นอยู่ ทางอารยธรรมที่อยาบกระด้าง ทางเศรษฐกิจที่พวกเขายึดกุมไว้ในมือ ทำตนเป็นผู้ชี้นำและบงการจิตวิญญาณของผู้ที่ด้อยกว่าอย่างเหิมเกริม ในบทบาทของผู้ดีที่เครือบแฝงความคิดชั่วร้ายเอาไว้ภายในจิตใจ  สภาพความเป็นไปของมนุษย์ชาติที่ย่ำแย่ลงทุกวัน นับวันก็ยิ่งจะทำให้คำพยากรณ์ใกล้เคียงความเป็นจริงเข้าไปทุกทีที่ทั่วโลกจะต้องเกิดกลียุค จนจักวาลจะต้องเข้ามาจัดการปรับความสมดุลของระบบโลกเสียใหม่ ก่อนความเลวร้ายใดๆ ของพวกเขาจะทำให้โลกหายนะ ซึ่งพุทธทำนายคือสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า เพื่อให้มนุษย์ที่มีจิตใจชั่วร้าย ไม่มีความรักแท้จริงต่อมนุษย์คนอืนๆ ได้แก้ไขปรับเปลี่ยนจิตสำนึกของตนเองกันเสียใหม่ แต่ทั้งผู้สร้างและผู้ตกเป็นทาสกลับไม่รับฟัง ไม่รับรู้ความปรารถนาดีเหล่านั้นเลย ต่างปฎิบัติตนเหลวไหลกันต่อไปเหมือนท้าทายแก่นแท้ของคำพยากรณ์ว่า พวกตนมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด  สามารถบงการทุกสิ่งได้ด้วยอำนาจเหนือธรรมชาติที่ตนมีอยู่  วิชาความรู้ของพระศาสดาที่สื่อสอนให้มนุษย์เข้าถึงแสงสว่างทางปัญญาด้วยจิตสำนึกบริสุทธิ์และสุขสงบ  ที่จะสั่นเสทือนพร้อมกันทางด้านบวกเพื่อร้อยเรียงกันและกันไว้สู่ความเป็นหนึ่งเดียว  มนุษย์ส่วนใหญ่พากันละทิ้งไม่ใส่ใจกลับหันไปฝักใฝ่หาความพอใจจากวัตถุและเทคโนโลยีที่เน้นความสุขสบายทางกาย ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษย์เองและการพยายามเอาชนะธรรมชาติ ด้วยพลังอำนาจสติปัญญาและภูมิรู้ จนทำลายความสมดุลของระบบโลกให้เสียไปอย่างไร้จิตสำนึก  ธรรมะของศาสนา ซึ่งเป็นวิชาของดวงอาทิตย์ที่เคยให้ความสว่างไสวทั้งในจักวาลโลกและสากลจักวาลมายาวนานจึงถูกบดบังให้หม่นมัวสลัวลงเพราะ  จิตใจมนุษย์ที่ใฝ่ต่ำด้วยความมืดบอดทางปัญญา เนื่องจากใส่ใจใฝ่หากันแต่ภูมิรู้เพื่อต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่นๆ และเหนือธรรมชาติอันเป็นวิชาของดาวศุกร์ที่เกิดจากมันสมองขยะกับจิตสำนึกที่บกพร่องของมนุษย์โลกด้วยกันเอง จนนับวันมนุษย์โลกยิ่งนำพาตนเองเข้าหาความหายนะตามที่ศาสดา ทรงพยากรณ์ไว้เข้าไปทุกที  วิชาของดวงอาทิตย์  ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ ได้แบ่งภาคของตนผ่านเข้าสู่มิติทางกายภาพ ด้วยการมาจุติเป็นมนุษย์หลายภพชาติ เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจกลไกของเครื่องยนต์แห่งกรรมคือระบบชีวะวิทยาของร่างกายมนุษย์ เรียนรู้กระบวนการต่างๆทางกาย จิตใจ และวิญญาณ ซึ่งถูกจัดวางกลไกเอาไว้อย่างซับซ้อนแยบยลเหนือกว่ามวลหรือวัตถุใดๆ ที่ตนได้สร้างขึ้นไว้ทั้งหมดทั้งสิ้นจนเข้าใจได้ถ่องแท้  และพยายามหาแนวทางเข้าถึงขบวนการเพื่อการหยั่งรู้ สู่การรู้แจ้งในการเป็นมาของตนเองได้ว่า แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์คืออะไร  มีความสัมพันธ์กับจักวาลอย่างไร  ตนเองมาจากไหน  หน้าที่ของความเป็นมนุษย์คืออะไร  และจะนำตนเองกลับสู่สถานะเดิมในจักวาลได้อย่างไร  จากความเพียรของรูปธรรมทางพลังงาน ซึ่งแบ่งภาคมาจากดวงอาทิตย์ดวงใหญ่สู่การจุติเป็นรูปธรรมมนุษย์ ผ่าน วัฏจักรแห่งการเกิดดับอันเป็น กฎเกณฑ์ทางกายภาพของจักวาลที่เป็นสามัญและเป็นสากล เพื่อให้เข้าถึงการรู้แจ้งในคำตอบเหล่านั้นได้แล้ว จึงได้เผยแพร่ความรู้ทั้งหมดทั้งหลายเหล่านั้นต่อเพื่อนมนุษย์เพื่อแนะแนวทางสร้างความเข้าใจ  ให้มนุษย์ทุกคนยึดถือแบบอย่างในการ ปฎิบัติตามเพื่อให้แต่ละคนค้นพบคำตอบเหล่านั้นได้ด้วยตนเองบ้าง  และดำเนินชีวิตบนโลกด้วยวิถีที่ถูกต้อง จนกว่าจะนำตนเองสู่การหลุดพ้นไปจากจักวาลโลก พ้นไปจากการเป็นมนุษย์ กลับคืนสู่ความเป็นรูปธรรมทางพลังงานแต่เดิมของตนในปั้นปลายได้ ซึ่งทั้งหมดนั้นตนเองได้ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้และการหยั่งรู้อย่างจบแจ้ง ด้วยตนเองมาแล้ว  
        มนุษย์พากันเรียกขานรูปธรรมผู้ทรงปราดเปรื่องด้วยพลังอำนาจแห่งปัญญานี้ว่า   พระศาสดา 
และเรียกศาสตร์ของพระองค์ว่า สัจธรรม 
มนุษย์โลกยอมรับว่า  สัจธรรมของพระศาสดาเป็นวิชาของดวงอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าวิชาแขนงใดๆในโลกเนื่องจากสัจธรรมของพระองค์ล้วนเกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจและภาคปฏิบัติ อันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ 3 สิ่งที่เชื่อมโยงกันไว้อย่างเป็นระบบ คือ มนุษย์ โลก และจักวาล เป็นวิชาความรู้ที่ลึกซึ้งแยบยลเกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์ทั่วไป จะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของความจริงทั้งหมดเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง ซึ่งวิชาของพระองค์ที่บัญญัติไว้ล้วนเป็นเรื่องของธรรมชาติของมนุษย์ ของโลก และของจักวาลโดยแท้  สัจธรรมที่ทรงค้นพบและเผยแพร่สื่อสอน จึงไม่อาจเรียกว่า วิชา  เหมือนความรู้แขนงใดแขนงหนึ่งของมนุษย์โลกได้เนื่องจากวิชาของพระองค์ไม่ได้ตีกรอบความรู้เอาไว้อย่างคับแคบแต่เป็นวิชาที่ได้จากการรู้แจ้งในทุกสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติซึ่งลึกซึ้งถึงแก่นแท้ทั้งสิ้น มนุษย์จึงควรเรียกศาสตร์ของพระองค์ว่า ศาสนา และเรียกการค้นพบสัจธรรมอันเป็นสรรพวิชาของพระองค์ว่า  ตรัสรู้  ศาสนา จึงเป็นกลุ่มความรู้สรรพวิชาของดวงอาทิตย์ดวงใหญ่อันเป็นแก่นแท้ของธรรมชาติที่เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ที่สัมพันธ์กับระบบโลก และจักวาลอันเป็นสากล ซึ่งพระศาสดาผู้เข้ามาจุติได้ทรงค้นพบเพื่อไห้แสงสว่างทางปัญญาแก่มนุษยชาติได้รู้และเข้าใจทั้งในมิติทางกายภาพของโลกและในมิติคู่ขนานที่มนุษย์เรียกว่าด้านโลกวิญญาณนั่นเอง สัจธรรมของศาสนา จึงเน้นให้มนุษย์รู้จักตนเองและการมองผ่านตัวตนให้ลึกซึ้งถึงแก่นแท้ คือ จิตวิญญาณของตนไม่ใช่ยึดติดกับตัวตนของตนที่เป็นมายาหรือร่างกายที่บ่งบอกความเป็นมนุษย์ในมิติทางกายภาพ เนื่องจากในสากลจักวาลที่มนุษย์เรียกว่าธรรมชาติ แก่นแท้ของมวลใดๆมันคือ พลังงาน  ทั้งสิ้น กระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นและสัมพันธ์กันระหว่างสรรพสิ่งในจักวาล ล้วนเป็นกระบวนการทางพลังงานทั้งสิ้นแม้ในความเป็นมนุษย์ซึ่งเปรียบเหมือนมวลชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นในจักวาลนี้  ก็อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ว่านี้เช่นเดียวกัน พระองค์สอนให้มนุษย์ทุกคนรู้ว่า การกระทำต่อกันทางกายภาพในมิติโลก ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองหรือระหว่างมนุษย์กับทุกสรรพสิ่งในระบบโลก มันคือ มายา อันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากกระบวนการทางพลังงานที่เกิดขึ้นจากแก่นแท้ ที่อยู่ภายในระบบชีวะวิทยาของร่างกายมนุษย์เอง ที่ถูกปิดมิติไม่ให้สัมผัสรู้ทางกายไดด้วยประสาทสัมผัสของตน แต่มนุษย์จะรับรู้ได้ด้วย อารมณ์รู้สึกนึกคิดในจิตใจ เท่านั้น การกระทำทางกายและใจของมนุษย์ ซึ่งรวมเรียกว่า การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึก จึงเป็นกระบวนการสั่นสะเทือนของจิตใจ อันเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณที่แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์เอง ให้เกิดกระบวนการทางพลังงาน เพื่อการสร้างใหม่ เพื่อการดำรงอยู่ หรือเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่แตกต่างไปจากการกระทำทางพลังงานของเทหวัตถุใดๆ ณ  ที่หนึ่งที่ใดในจักวาลอันเป็นสากลเลยแม้แต่น้อย  วิชาของดวงอาทิตย์ หรือสัจธรรมของศาสนา จึงเน้นที่การปฏิบัติจิตซึ่งเป็นแก่นแท้ เพราะการสั่นสะเทือนทางจิตใจของมนุษย์ เกิดเป็นอารมณ์รู้สึกและการนึกคิดใดๆ มันจะก่อให้เกิดพลังงานใหม่ในมิติของพลังงานขึ้นมาได้ตลอดเวลา การเข้ามาเป็นแก่นแท้ในรูปธรรมมนุษย์ของจิตวิญญาณอันเป็นอีกภาคหนึ่งของจิตจักวาลในมิติที่สูงกว่า จึงเป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติของจักวาลอันเป็นสากล ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่มันแปลกก็คือ การเข้ามาอยู่ในโครงสร้างทางชีวะวิทยาอันซับซ้อนของมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจไม่เหมือนกับมวลอื่นๆ ที่เป็นดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ในจักวาลเท่านั้นเอง มนุษย์จึงต้องรู้ให้ได้ว่า การเป็นมนุษย์ของตนไม่ได้ต่างจากวัตถุใดๆ ชนิดหนึ่งในจักวาลเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เป็นวัตถุชนิดหนึ่งที่มีชีวิตจิตใจเท่านั้นเอง เมื่อได้รู้ความจริงถึงขั้นตอนนี้ มนุษย์จะรู้แจ้งได้แล้วว่า สัจธรรมที่สอนให้มนุษย์ไม่เน้นหรือยึดติดที่ตัวตนของตนให้สัมผัสรู้ทางกายได้หรือไม่ก็ตาม มันหมายความว่า ร่างกายของมนุษย์เองเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งของจิตวิญญาณหรือตัวแทนของจิตจักวาล ในการสร้างพลังงานให้มาให้เกิดขึ้นเพื่อจัดองค์กรโลกให้สมดุลทางพลังงาน  เพื่อรักษาความสมดุลของระบบโลกเพื่อการดำรงอยู่ในจักวาลนั่นเอง สัจธรรมของศาสนา อันเป็นวิชาของดวงอาทิตย์ ซึ่งถูกค้นพบโดยองค์พระศาสดาที่ตรัสรู้ได้นับพันปีมาแล้ว จึงสอนให้มนุษย์เข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์  โลก และจักวาล ซึ่งสัมพันธ์กันในมิติทางพลังงานโดยมิได้ละทิ้งความรู้ทางกายภาพที่มนุษย์เรียกว่า วิทยาศาสตร์ของทั้ง 3 สิ่งนั้นให้มนุษย์ได้รู้ได้เข้าใจควบคู่กันไปด้วย   เนื่องจากเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์แต่ละคนที่มีจิตวิญญาณเข้ามาเป็นแก่นแท้อยู่นี้  ถูกปิดบังมิติเอาไว้ด้วยกลไกอันซับซ้อน และมีจิตใจที่สั่นไหวไหแกอดพลังงานใหม่ทั้งบวก และลบ ขณะที่พลังงานใหม่ที่จักวาลสากลต้องการเพื่อการสร้างความสมดุลของระบบอย่างแท้จริง จะต้องเป็นพลังงานที่เกิดจากการสั่นสะเทือนในจิตใจทางด้านบวกซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าชนิดเดียวกันกับที่มีอยู่ในจักวาลเท่านั้น ศาสดาจึงทรงสื่อสอนให้มนุษย์หันมาสนใจการปฏิบัติจิตของตนไห้ถูกต้อง  เพื่อหาหนทางเข้าถึงกระบวนการสร้างพลังงานใหม่ทางด้านบวก ให้สอดคล้องกับภาระหน้าที่ของจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ไห้จงได้ องค์พระศาสดาจึงสอนให้มนุษย์มีศีลธรรม มีสติ  มีสมาธิ และมีปัญญา หลักการแห่งสมาธิก็คือ การมีจิตใจที่สุขสงบโดยมีอารมณ์ปีติอันเกิดจากความรัก ไม่ใช่ความว่างเปล่าอย่างที่เราเข้าใจกัน อารมณ์รักที่บริสุทธิ์จะเกิดได้จากการนึกถึงความดีงามที่ตนเคยกระทำหรือกำลังจะทำ หรือเกิดจากความประทับใจในความดีงามของบุคคลอื่นที่ตนพบเห็นมาและจดจำได้ อารมณ์รักเหล่านี้คือกุญแจที่จะไขประตูสู่การใช้สมองซีกขวานำซีกซ้ายได้ทันที 
             ตอนที่ 2 แต่วิชาของพระผู้กู้โลก  จะได้รับการรักษาโดยดวงอาทิตย์หรือไม่
คำพยากรณ์ของนอสตราดามุสบทนี้  สืบเนื่องมาจากความหมายในตอนที่หนึ่ง ที่ว่าวิชาดาวศุกร์อันเป็นศาสตร์ที่มนุษย์คิดสร้างขึ้นเองโดยค้นพบจากพรสวรรค์ ด้วยการทำไห้คนส่วนใหญ่ขาดความสมดุลในจิตใจ มองไม่เห็นพลังอำนาจในตนเอง จนยอมตัวยอมตนตกเป็นทาสของศาสตร์ใหม่  แข่งขันกันกับศาสตร์อันเป็นแก่นแท้ของมนุษยชาติเหมือนกับผู้ถือศาสตร์ทั้งสองฝ่ายไม่รับฟังซึ่งกันและกันนั่นเอง  เมื่อถึงจุดนี้ นอสตราดามุสจึงตั้งคำถามว่า คำพยากรณ์ของศาสดาที่ได้บันทึกไว้ถึงการเปลี่ยนแปลง  เพื่อการชำระโลกของจักวาลล่วงหน้านั้น มันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เมื่อถึงวันนั้น  วิชาของพระผู้กู้โลก  คือ  ธรรมะและคำพยากรณ์ของพระศาสดา     จะได้รับการรักษา หมายถึง มันจะเกิดขึ้นดังคำพยากรณ์ของพระองค์หรือไม่? เพื่อรักษาความสมดุลของระบบโลกทั้งหมดเอาไว้ ทั้งยังรักษาธรรมะของพระศาสดาเอาไว้ไห้ได้ สืบไปอีกด้วย   จะได้รับการรักษาโดยดวงอาทิตย์หรือไม่?  หมายถึง  ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ผู้สร้างทุกสรรพสิ่งให้เกิดขึ้นจะตัดสินใจอย่างไร  คำถามที่นอสตราดามุสได้ทิ้งปมประเด็นเอาไว้นั้นบัดนี้มนุษย์คงได้รับรู้คำตอบกันไปแล้วว่า  ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ได้ตัดสินใจอย่างไรบ้าง  การถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาล  ภายใต้พระบัญชาของดวงอาทิตย์ดวงใหญ่และพระผู้กู้โลก  ซึ่งได้กระทำการอย่างต่อเนื่องมาตลอดจนถึงบัดนี้  ก็เพื่อจะบำบัดรักษาและเยียวยาระบบโลกที่กำลังเสียความสมดุล  อันเกิดจากจิตสำนึกมนุษย์ที่ไม่ถูกต้อง  ด้วยการลงมือกระทำทางเทคนิคครั้งใหญ่เพื่อการชำระโลกนั่นเอง  หลังจากการตัดสินใจครั้งสำคัญเกิดขึ้นได้ไม่นาน  โดยไม่ได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า  แผนการชำระโลกจึงได้เริ่มต้นขึ้น  เพื่อนำมนุษย์กับโลกเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่