วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

"เราเป็นใคร" คริสต์ หรือ พุทธ









เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลาย
ที่ยังคงสงสัยในสิ่งไม่ควรสงสัยกันอยู่ว่า
"เราเป็นใคร" คริสต์ หรือ พุทธ
เพื่อคลี่คลายหายสงสัยให้ได้รู้
เราจึงใคร่เชิญชวนท่านให้พิจารณา "เรา"
ด้วยปัญญาของท่านเท่าที่ใช้ได้อยู่
จากคุณสมบัติของเรา
ที่ได้สำแดงต่อท่านทั้งหลาย
ติดต่อสืบเนื่องกันมากว่าสามสิบปีแล้ว
ทั้งเรื่องที่เรากล่าวต่อท่านว่า
เราเป็นผู้ซึ่งพระบิดาทรงใช้ให้มา
นำพาแก่นแท้ท่านกลับบ้าน
ด้วยการมานำทางเจ้าสาวเข้าประตูห้องหอ
ด้วยการต้อนแกะผู้หลงทางให้กลับเข้าฝูง
พระองค์ทรงใช้ให้เรามา
ดูแลภารกิจสำคัญในการพิพากษาโลก
ด้วยกระบวนการคัดแยกปลาออกจากน้ำ
ให้แล้วเสร็จก่อนกาลปิดยุค 56 วัน 8 ราตรี
พระองค์ทรงใช้ให้เรามา
แจ้งข่าวสารการเปลี่ยนโลกกับมนุษย์
ดำเนินผ่านไปสู่ยุคพลังงานใหม่
ให้เราแจ้งข่าวสารด้านมหันตภัยพิบัติให้โลกรู้
พระองค์ทรงใช้ให้เรามากล่าวพระโอวาท
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล
พระผู้ทรงเป็น "จิตแห่งจักรวาล"
พระผู้ทรงเป็น "พระผู้สร้างองค์ธรรม"
อันประกอบด้วยองค์ธรรม 3 ประการ คือ
โลกียธรรม
โลกุตรธรรม
และอนุตรธรรม
คุณสมบัติสำคัญอีกประการหนึ่ง
ซึ่งท่านควรพินิจพิจารณาเรา
นั่นคือ การถอดรหัสนัยแห่งพระคัมภีร์
ทั้งที่เป็นพุทธวจนะ
และจากนัยแห่งพระวรสารในพระคัมภีร์
หากท่านทั้งหลาย
ติดตามศึกษามาโดยตลอดก็จะยิ่งพบว่า
ภารกิจทั้งหมดของเราที่กระทำมา
มันจักเป็นยิ่งกว่า "วิทยานิพนธ์" ด้วยซ้ำไป
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30-1-2016

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

"พุทธวจนะ"









"พุทธวจนะ"
# เพราะละราคะได้
อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง
ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี
วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม
จึงหลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง
เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น
เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง
เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว
เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน#
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พุทธวจนะบทนี้ทรงหมายความว่ากระไรบ้าง
1.ประโยคที่ว่า.................
"เพราะละราคะได้
อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง
ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี"
พระองค์ทรงหมายความว่า
ถ้าผู้ใดสามารถ "ละวาง"
ความรู้สึกชอบ-ไม่ชอบซึ่งเป็นราคะกิเลส
ใน รูป รส กลิ่น เสียง และกายสัมผัส
ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
การสั่นสะเทือนให้เกิด"เวทนา"ก็ย่อมไม่มี
เมื่อไม่มี "เวทนา" เกิดขึ้น
เหตุให้จิตสั่นสะเทือนทางอารมณ์
จนเกิดเป็น "พลังงานจิต"
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
ซึ่งเป็นผลกรรมในมิติทางพลังงาน
ที่พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า "วิญญาณ"
มันก็จะไม่ถูกผู้นั้นผลิตสร้างขึ้นมาได้
ตามที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวเอาไว้ว่า
"อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง
ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี"
ทรงหมายถึงว่า....
ถ้าใครดับเวทนาได้แล้ว
เหตุแห่งการเกิดขันธ์ที่ 5
อันหมายถึง "ที่ตั้ง" ของวิญญาณ
ก็ย่อมจะไม่มีด้วยเช่นกัน
2.ประโยคที่พระพุทธองค์
ทรงกล่าวต่อเนื่องไว้อีกก็คือ
"วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม
จึงหลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง"
พระองค์ทรงหมายความว่า
ถ้าผู้ใดสามารถดับเวทนาคือราคะกิเลสได้
ผู้นั้นก็จะสามารถดับตัณหา
ซึ่งเป็นที่มาแห่งอารมณ์ได้
และที่ดับทั้งหมดได้ หรือ"หลุดพ้นไป"
ก็เพราะจิตไม่มีการปรุงแต่ง
เมื่อได้รับรู้ "อะไรอะไร" นั่นเอง
3.ประโยคที่ทรงกล่าวว่า....
"เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น
เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง
เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว
เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน"
ทรงหมายความว่า....
ถ้าผู้ใดสามารถดับราคะกิเลสเวทนาได้
จนยังผลให้ดับอารมณ์หยาบๆรายวันได้ด้วย
มันคือ "การหลุดพ้น" ไปจาก
การก่อ "ผลกรรม" ได้อย่างสิ้นเชิง
สภาวะจิตของผู้นั้นก็จักหนักแน่นมั่นคง
เพราะสภาวะจิตหนักแน่นมั่นคงนี่แหละ
มันจะนำไปสู่ความมี "ปีติยินดี" ของจิต
เมื่อจิตมีปิติยินดีหรือมีความสุขสงบแล้ว
คนผู้นั้นก็จักเป็นมนุษย์ที่สมดุล
เมื่อคนผู้นั้นสามารถรักษาสมดุลของจิต
เอาไว้ได้ตลอดเวลาแล้ว
ก็จักดับการเกิดดับของเวทนาและอารมณ์
ได้อย่างสิ้นเชิงในบั้นปลาย
นี่คือสภาวะของ "นิพพานก่อนตาย"
ของคนผู้นั้นโดยแท้
4.ทั้งหมดที่เรากล่าวมา
เป็นการถอดรหัสนัยความหมาย
แห่งพุทธวจนะอีกบทหนึ่งที่ทรงตรัสไว้
เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วให้ท่านรู้
ชาวจิตจักรวาลทั้งหลายล้วนรู้ดีว่า
เราได้สื่อพระโอวาทจากพระบิดา
มาสอนพวกท่านในเรื่องพวกนี้
ตั้งสามสิบปีที่ผ่านมาแล้ว
เพียงแต่มิค่อยมีผู้ใดใส่ใจในคำสื่อสอน
เพราะมัวยึดติดอยู่กับตัวตนพระศาสดา
เพราะมัวแต่ยึดติดตัวอักษรในพระคัมภีร์
ทั้งๆที่ยังเข้าใจไม่แจ่มแจ้งกันอยู่เลย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-1-2016

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

สร้าง "สำนึก" มิใช่สร้าง "สำนัก"








เรากลับมากล่าวพระโอวาท
ในพระนามพระบิดาต่อท่านทั้งหลาย
ที่ใฝ่หาหนทางการหลุดพ้นของแก่นแท้
คือจิตวิญญาณ
พร้อมแจ้งข่าวสารในปฏิบัติการเปลี่ยนโลก
จากยุคพลังงานเก่าสู่ยุคพลังงานใหม่
เราจึงกลับมาช่วย
ทำความไม่รู้ของท่านให้กระจ่าง
เราจึงมากลับช่วย
ติดอาวุธทางปัญญาให้แก่พวกท่าน
เราจึงกลับมาช่วย
เติมพลังแห่งรักจากพระบิดาให้แก่ท่าน
เราจึงกลับมาช่วย
นำทางจิตวิญญาณของท่าน
กลับคืนสู่แดนสุญญตา
"จิตจักรวาลสถานธรรม" จึงปลูกสร้างขึ้น
ด้วยงบประมาณบริจาคของผู้ศรัทธา
เพื่อใช้เป็นศูนย์ฝึกอบรมปฏิบัติการ
ในการยกระดับจิตตปัญญา
เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณสู่การหลุดพ้นในชาตินี้
ด้วยมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
ที่องค์จิตจักรวาลทรงเมตตาสื่อผ่านเรามา
ด้วยกระบวนการ "จิตสู่จิต" ตลอดเวลา
สถานธรรมแห่งนี้
จึงยินดีต้อนรับศาสนิกชนทุกชาติทุกศาสนา
เพราะว่าเรามิได้ปรารถนาจะเป็นเจ้าลัทธิ
จิตจักรวาลมิใช่ลัทธิใหม่ สำนักใหม่
เราจึงเน้นไปที่การสร้าง "สำนึก"
มิใช่การสร้าง "สำนัก"
ขณะนี้เบื้องหลังประตูบานนี้นั้น
งานก่อสร้างกำลังรุดหน้า
อีกไม่นานช้า "ประตูมิติ" แห่งนี้จะเปิดออก
ท่านใดประสงค์จะมีส่วนร่วมสร้าง
ประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษยชาติร่วมกับเรา
เรายินดีและขออนุโมทนามา ณ ที่นี้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-1-2016

นี่ไงล่ะ...การพิพากษา










พี่น้องชาวยุวจิตจักรวาล
และท่านนักสู้เพื่อการรู้แจ้งแห่งโลกเสรี
ผู้ที่ถือบทบาทเจ้าสาว(ยึดถือไบเบิ้ล)
ผู้รอคอยเจ้าบ่าวที่เคยสัญญาว่า
จะกลับมาพาพวกท่าน
เข้าเรือนหอ(แดนสุญญตา)
ผ่านประตูมิติคือด่านนภาลัยที่รักทั้งหลาย
ปลายยุคพลังงานเก่านี้
เรากลับมาเพื่อการพิพากษาโลก
ในพระนามแห่งพระบิดา
เมื่อเรามาถึง.....
เจ้าสาวส่วนน้อยเท่านั้น
ที่ยืนถือตะเกียง น้ำมัน (ปัญญาญาณ)
รอคอยเราอยู่อย่างยินดี
ดั่งความเปรมปรีดิ์ของเจ้าสาว
ในยามที่ขบวนเจ้าบ่าวมาถึง
ขณะที่เจ้าสาวส่วนใหญ่
ยังคงยืนหลับไหล
วางตะเกียงไร้น้ำมันลงกับพื้น
ตื่นใจอยู่กับความใฝ่ฝัน
มุ่งมั่นกับการรอคอยว่า
เมื่อไหร่เราจะกลับมาตามสัญญา
ทั้งๆที่บัดเดี๋ยวนี้เรามายืนอยู่ตรงหน้า
ในพระนามแห่งพระบิดาตั้งนานแล้ว
เพียงแค่ลืมตาตื่น
ฟื้นคืนสติจากการหลับฝัน
แล้วหันหน้ามาฟังเรา
พวกเขาก็จะรับพระโอวาท
ที่ทรงสื่อผ่านมาทางเราได้แล้ว
เพราะพวกเขาขาดการถ่อมตน
จึงแม้ได้ยินเสียงปลุกจากเพื่อนๆ
พร้อมสุรเสียงเตือนจากเรา
พวกเขาก็มิรับฟัง
เพราะพวกเขายึดติด
ในอัตตารูปลักษณ์แห่งเราในแบบที่เขาฝัน
เสื้อผ้าหน้าผมหนวดเครารองเท้า
จักต้องเป็นแบบเก่าๆที่พวกเขา
วาดเขียนมายากันขึ้นมาเอง
ทั้งๆที่รู้ไม่จริงว่า
รูปลักษณ์มายาแห่งเราแท้จริงนั้น
มันเป็นเช่นไร...เป็นที่เชื่ออยู่ใช่แน่หรือ
เจ้าสาวผู้หลับไหลและยึดติดเหล่านี้
คือคนส่วนใหญ่ที่พระบิดาและเรา
ยังให้โอกาสเขาอยู่
แม้เวลาจะเหลือเพียงเล็กน้อยแล้ว
คนขี้เซาปลุกแล้วไม่ตื่น
บางคนตื่นแล้วแต่ไม่ลืมตา
พร้อมกับหันมาตวาดเธอกับเราว่า
อย่ามายุ่งกำลังหลับอยู่...รำคาญนะ!
เมื่อหมดเวลาแล้วเราคงไม่รั้งรอ
การพิพากษานั้นจักต้องเป็นไป
คงต้องปล่อยให้เขายืนหลับ
พร้อมหนีบบันทึกสัญญา (ไบเบิ้ล)เอาไว้
เสมือนเป็นรูปปั้นไร้ชีวิต
ที่จักต้องถูกช่างเท็คนิกพระบิดา
เก็บกวาดทิ้งไป
ด้วยพายุ สายฟ้า แผ่นดินไหวแยกยุบ
มหาอุทก อุกกาบาต และอื่นๆ
ในปฏิบัติการชำระโลก
เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ต่อไป
เราคงต้องทิ้งพวกนี้ไว้เบื้องหลัง
เพื่อนำพาคนส่วนน้อย
ที่เขาจดจำเจ้าบ่าวผู้ที่เขารอคอยได้
เพื่อกลับไปกราบพระบาทพระบิดา
พระผู้เป็นใหญ่ในมหาสกนธ์จักรวาล
ในบัดดล....
นี่ไงล่ะ...การพิพากษา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-1-2016

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

อย่าใช้อายตนะไปตามยถากรรม











เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

หากท่านสังเกตให้ดีจะพบว่า
ความสามารถในการใช้อวัยวะของท่าน
จำพวกนิ้วมือ มือสองข้าง และเท้า
มันต้องผ่านการฝึกฝนกันมา
ตั้งแต่เป็นกุมารตัวน้อยๆแล้ว

ฝึกพลิกคว่ำ พลิกหงาย
ฝึกลุก ฝึกนั่ง ฝึกตั้งไข่
ฝึกเกาะ ฝึกยืน ฝึกย่าง ฝึกเดิน
ฝึกจับ ฝึกลูบ ฝึกคลำ ฯลฯ

แม้กระทั่งการฝึกมองด้วยสองตา
การฝึกหัดรับฟังเสียงนั่นโน่นนี่ด้วยหู
การฝึกรับรู้กลิ่นด้วยจมูกและรับรู้รสด้วยลิ้น
โดยที่การฝึกเหล่านี้ล้วนเป็นไปตาม
สัญชาตญาณธรรมชาติที่มีอยู่ในแต่ละคน
ซึ่งควบคุมและสั่งการโดยจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
ในการเป็นมนุษย์ของท่านนั่นเอง

จิตวิญญาณของท่านต้องสั่งการเอง
เพราะเหตุว่า "จิตหยาบ" ยังไม่พร้อมทำหน้าที่

ต่อเมื่อสมองสองซีกซ้ายขวา
เชื่อมโยงกันได้เรียบร้อยแล้ว
ด้วยกลไกคอพัสคอลโลซัม (Corpus Callosum)
เมื่อท่านอายุครบสามขวบบริบูรณ์แล้วนั่นแหละ
พ่อแม่ผู้ปกครองของท่าน
ก็จะเป็นผู้คอยช่วยเหลือให้ท่านฝึกฝนกันต่อเนื่อง
ทั้งหัดพูด หัดฟัง หัดจับ หัดวิ่ง หัดเดิน เป็นต้น

ส่วนใหญ่แล้วพวกท่าน
มักจะเน้นฝึกด้วยสัญชาตญาณกันเท่านี้เอง
โดยทิ้งกลไกอายตนะของท่านไว้
วันๆก็ปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันไปเอง
ทั้งตา หู จมูก ปาก และกายสัมผัส
ซึ่งเป็นกลไกอวัยวะร่างกายภายนอก

รวมทั้งจิตและสมองซึ่งเป็นกลไกภายใน
คนส่วนใหญ่ต่างล้วนปล่อยให้มันชำนาญ
ไปตามวิถีแห่งธรรมชาติแทบทั้งสิ้น

พวกท่านส่วนใหญ่
จึงเพลิดเพลินไปกับการใช้มัน
อย่างขาดประสิทธิผล ขาดสมรรถนะ
และขาดคุณภาพ

พวกท่านจึงมีความสามารถเพียงแค่
ใช้อายตนะภายนอกได้ ใช้เป็น
แต่ยังบกพร่องอยู่

สามารถใช้จิตได้ ใช้จิตเป็น
แต่ยังบกพร่องอยู่

สามารถใช้สมองได้ ใช้สมองเป็น
แต่ก็ยังบกพร่องอยู่อีกเช่นกัน

พวกท่านบางคน
จึงมองไม่เห็นบางสิ่งที่คนอื่นเขามองเห็น
ทั้งๆที่กำลังมองสิ่งเดียวกันอยู่

พวกท่านบางคน
จึงไม่ได้ยินบางสิ่งที่ผู้อื่นเขาได้ยิน
ทั้งๆที่กำลังรับฟังสิ่งเดียวกันอยู่

พวกท่านบางคนจึงบกพร่องด้านการพูด
พูดจาฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องแปลไทยเป็นไทย
มักจะพูดเรื่องง่ายๆให้ฟังยากมากขึ้น
มักจะพูดจาไม่เข้าหูคนแบบปากพาจน

พวกท่านบางคนจึงมีความสามารถ
ในการควบคุมอารมณ์ที่ไม่สมดุล
เมื่อถูกยั่วยุเอาไว้ไม่ค่อยจะได้หรือไม่ได้เลย
ทั้งๆที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
จึงเป็นคนใช้อารมณ์นำปัญญาเสมอ

พวกท่านบางคน
จึงมีนิสัยในการมองโลกค่อนข้างแย่กว่าคนอื่น
เพราะมักจะมองลบนึกลบเสียมากกว่า
เนื่องจากเคยตัวกับการเป็นเช่นนั้นมาตลอด

พวกท่านบางคน
จึงมีความฉลาดในการเรียนรู้ด้อยกว่าคนอื่น
มีความสามารถในการเรียนรู้ล่าช้ากว่าคนอื่น

มีความสามารถในการคิด การตัดสินใจ
และมีความสามารถในการแก้ไขปัญหา
ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางสมอง
ด้อยกว่าเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ

นอกจากนั้นพวกท่านบางคน
ยังมีความสามารถในการยอมรับ
ความแตกต่างระหว่างตนเอง
กับผู้อื่นไม่ค่อยจะได้
จึงมีปัญหาทางสังคมกับผู้อื่นอยู่เสมอ

นอกจากนั้นพวกท่านบางคน
ก็ยังด้อยความสามารถ
ในการปรับตัวเข้าหาผู้อื่น
จึงมักโดดเดี่ยวตัวเองจากสังคม
จนมีปัญหาทางจิตใจไปในที่สุด

ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ว่า
ปัญหาสังคมของมนุษย์โลกเสรีนี้ก็คือ
การไม่เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลก
เพราะพวกท่านมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ
และสมรรถนะที่แตกต่างกัน
โดยค่อนไปในทางต่ำ
การดำเนินชีวิตร่วมกันจึงมีปัญหา
จนมีผลกระทบไปถึง
จิตวิญญาณด้านแก่นแท้ด้วย
ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของ
กฎแห่งกรรมนั่นแหละ

เราจึงจะกล่าวความจริงไว้ตรงนี้ว่า
ถ้าท่านปรารถนาการหลุดพ้น
จิตวิญญาณของท่าน
ต้องมีพลังอำนาจสูงพอ

จิตวิญญาณของท่าน
ต้องว่างไปจากผลกรรม
ซึ่งมันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ

1.ท่านต้องฉลาดทางปัญญา
2.ท่านต้องฉลาดทางอารมณ์
3.ท่านต้องฉลาดทางสังคม

แน่นอนว่าท่านจะฉลาดแท้จริง
ในสามสิ่งนี้ไม่ได้หรอก
ถ้าท่านเอาแต่ใช้มันไปตามยถากรรม
หรือใช้ไปตามที่กรรมจากอดีตชาติ
เป็นผู้กำหนดมาให้ท่านได้ใช้มันไปวันๆ
นอกจากท่านจะต้อง
หันมา "ฝึกฝน" มันเท่านั้น

มรรควิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
จึงมุ่งเน้นการติดอาวุธทางปัญญา
ในสามสิ่งที่กล่าวนั้นให้แก่พวกท่าน

โดยองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เป็นพระผู้ทรงใช้ให้เรามาทำหน้าที่นี้
ในปลายยุคพลังงานเก่า
เพื่อชี้ทางกลับบ้านแก่พวกท่าน
ที่เชื่อมั่นในพระบิดาและศรัทธาในเรา
ก่อนที่โลกจะปิดยุคพลังงานเก่า
ในอีกมิช้านาน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-1-2016

อรุณพฤหัสสวัสดี






อรุณพฤหัสสวัสดี.....
พี่น้องชาวโลกเสรีทั้งหลาย
ณ วันที่ 21 มกราคม 2559

จากกรุงเทพฯ ประเทศไทย
ป.วิสุทธิปัญญา

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

โลกกำลังเปลี่ยนผ่าน









เราจะกล่าวความจริง
เพื่อติงเตือนต่อท่านทั้งหลายว่า....

ถ้าไร้ "รัก" ค้ำจุน สมดุลโลก
จะเศร้าโศก แลวิกฤติ ทุกถิ่นที่
ทั้งดินน้ำ ลมไฟ ภัยมากมี
ทั้งโลกนี้ รอดได้ ไม่กี่คน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-1-2016

"ความทุกข์" มิได้เกิดจาก "ความคิด"









เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

"ความทุกข์" มิได้เกิดจาก "ความคิด"
ตามที่บางคนเที่ยวกล่าวสอนกันอยู่ดอกนะท่าน
เพราะว่าผลิตผลของการคิดนั้น
มันคือ "ความรู้" มิใช่ความทุกข์ใดๆเลย

ท่านรู้หรือไม่ว่า....
คำว่า "ทุกข์" นั้นหมายถึง "สิ่งที่ท่านทนได้ยาก"

ไม่ว่าท่านจะทุกข์ด้วยเรื่องอะไรแบบไหน
มันก็ล้วนแต่เกิดทุกข์ขึ้นในจิตใจของท่านทั้งนั้น

แต่ถ้าเป็นผลของ "ความคิด" จริงแท้แน่แล้ว
มันจะเกิดขึ้นตรงสมองของท่านเสมอ
เพราะกระบวนการคิดของมนุษย์
พระบิดาทรงกำหนดให้
มันสั่นสะเทือนตรงที่สมองเท่านั้น

เราจึงขอกล่าวเฉลยความจริงว่า
แท้แล้วความทุกข์ทั้งหลายนั้น
มันเป็นผลผลิตของ "ความรู้สึก" ของจิตต่างหาก

ความรู้สึกใดๆล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของจิต
เมื่อมีการสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งต่างๆ
ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ "เวทนา"
หนึ่งในกระบวนการของขันธ์ 5 ของมนุษย์
โดยแบ่งหยาบๆได้เป็น 2 ภาคส่วน คือ

ภาคแรก คือ สุขเวทนา
เมื่อรู้สึกว่า "ชอบ" รู้สึกว่าพึงพอใจ

ภาคสอง คือ ทุกขเวทนา
เมื่อรู้สึกว่า "ไม่ชอบ" รู้สึกว่าไม่พึงพอใจ

ทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนา
มันเกิดขึ้นที่จิตใจของท่านมิใช่สมอง
มันล้วนเป็น "เหตุแห่งทุกข์" ด้วยกันทั้งสิ้น

หน้าที่ของท่านหากปรารถนาการพ้นทุกข์
ท่านก็จักต้อง "ดับเวทนา" ให้ได้

หากจะดับเวทนาให้ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ท่านก็ต้องมีหน้าที่ "คอยแทรกแซง"
กระบวนการของขันธ์ 5 เอาไว้เสมอ
ด้วยการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดแล้ว
ท่านจะต้อง "รับรู้มันไว้เพื่อเรียนรู้"
อย่าไปรับรู้มันแล้ว "รับเอา" เด็ดขาด

เช่นเมื่อรับรู้ว่าหอม แล้วรับเอา คือ "ชอบ"
รับรู้ว่าเหม็น แล้วรับเอา คือ "ไม่ชอบ"
เจ้าตัวชอบไม่ชอบนี่แหละ คือ กิเลส
ที่มันจะกระตุ้นให้จิตของท่าน
เกิดอาการเตลิดจนรั้งสติไม่อยู่ต่อไปอีก

โดยมันจะสั่นสะเทือนเป็น
"อยาก-ไม่อยาก" ต่อเนื่องไปทันที
ซึ่งอยากไม่อยากนี่แหละ คือ ตัณหา
ทั้งกิเลสตัณหามันจึงมาคู่กันเสมอ
เพราะสันดานของจิตมนุษย์
มันเป็นของมันเช่นนี้เอง

นี่ไงท่านทั้งหลาย
ตัวตนแห่งทุกข์ที่มันเกิดขึ้นตรง "จิต" ท่านน่ะ
มันเกิดจากความอยากกับไม่อยากนี่เอง

ถ้าอยากได้แต่ไม่สมใจอยาก ก็ทุกข์
ถ้าไม่อยากได้ในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่แล้ว ก็ทุกข์
ถ้ามีอยู่เป็นอยู่ครองอยู่แต่ไม่อยากสูญเสีย ก็ทุกข์

ท่านเห็นรึไม่ว่า "ความทุกข์"
มันมิได้เกิดจากความคิดของสมองหรอก
มันเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ

มันเป็นเรื่องของจิตที่สั่นสะเทือน
เป็นกระบวนการของขันธ์ 5
ตามธรรมดาของคนทั่วไปที่มันยังไม่ถูกต้อง

โดยที่ใครจะเป็นมนุษย์ได้ก็จะต้อง "คน"
หรือหมุนกระบวนการของขันธ์ 5
ที่เรียกว่า "หมุนธรรมจักร" นั่นแหละ
ด้วยการเข้าแทรกแซงกระบวนการนี้ไว้
มิให้มันเกิดเวทนาขึ้นมาได้
หาก "คน" เป็นผลสำเร็จได้
ท่านก็จะถูกเรียกว่า "มนุษย์" ได้เต็มคำ

ใครปรารถนาจะนิพพาน
ก็อ่านพระโอวาทบทนี้หลายๆเที่ยวหน่อยนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-1-2016

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

ทุกศาสนา ล้วนเป็นสากล









"หากทุกพระองค์
มิทรงรู้จริงรู้แจ้งในปรมัตถธรรม
โดยมิทรงสามารถล่วงรู้ด้วยปัญญาญาณบารมี
โดยมิทรงสามารถหยั่งรู้ด้วยอนุตรญาณบารมี

ไหนเลยที่พระผู้ประเสริฐทั้งหลายนั้น
จักทรงเป็นพระศาสดาแห่งโลกเสรีนี้ได้
บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลายจงรับรู้ไว้แก่ใจตน"

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-1-2016

ตัวอย่างของคนที่กระทำผิดบาป 3 กระทง คือ

1.ยึดติดอัตตาในองค์พระศาสดา
จึงเกิดเป็น "ศาสดาของฉัน" ขึ้นมาได้

ทั้งๆที่พระองค์ทรงเป็น
พระศาสดาของโลกต่างหาก
มิใช่ศาสดาของเจ้าหล่อนคนเดียวเสียเมื่อไหร่

2.ก้าวล่วงผู้อื่น
จึงเกิดเป็นศาสดาของฉัน "เหนือกว่า" พระองค์อื่น
จึงเกิดเป็นพระธรรมคำสอนพระศาสดาของฉัน
เด่นกว่า ดีกว่า เหนือกว่า
คำสอนของพระศาสดาพระองค์อื่นๆ

ทั้งๆที่ตัวเจ้าหล่อนเองนั้น
ยังมิได้แตกฉานในพระธรรมคำสอน
ของพระศาสดาที่ตนยึดติดนั้นเลย

ทั้งๆที่ตัวเจ้าหล่อนนั่น
ยังมิได้เคยศึกษาพระธรรมคำสอน
ของพระศาสดาพระองค์อื่นที่ตนก้าวล่วง
อย่างจริงจังตั้งใจให้จบแจ้งเสียก่อนเลย

3.ขาดมหาสติ
ด้วยมิได้รู้สติ มีสติ และใช้สติ
ก่อนกล่าวสรุปจนผิดบาปดังกล่าวนี้เลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-1-2016

คุรุ -ครู ในบริบทของ ผู้สอน








นี่แน่ะท่านทั้งหลาย....
การเป็นคุรุทางธรรมะแก่ผู้คนนั้น
ในทางโลกย์นับเป็นสิ่งดี
จะสอนอะไร จะสอนใคร
หากมีผู้รับฟัง มีผู้สนใจที่จะฟัง
ก็ล้วนเป็นสิ่งดีเสมอ
แต่ในทางจิตวิญญาณนั้นมันไม่เหมือนกัน
ท่านที่หมายจะเป็นครูในบริบทของ "ผู้สอน"
จักต้องสำนึกรู้เอาไว้ด้วยว่า
1."คุรุ" หมายถึง ผู้รู้ความจริงในสิ่งนั้นเรื่องนั้น
โดยเมื่อเป็นผู้รู้ความจริงนั้นๆแล้ว
จึงมีหน้าที่เพียงชี้แจงแสดงความจริง
ต่อผู้ปรารถนาความช่วยเหลือให้ได้เรียนรู้
เพื่อพวกเขาจะได้รู้ความจริงในสิ่งที่ตนรู้แล้วนั้น
นั่นคือที่มาของคำว่า "ครู" หรือ "คุรุ"
2.การที่ครูหรือคุรุ
จะรู้ความจริงในสิ่งที่ตนจะสอนผู้อื่นได้นั้น
ท่านจักต้องมั่นใจในความรู้นั้นก่อนว่า "รู้จริง"
การรู้จริง หมายถึง "รู้ความจริง"
ซึ่งความจริงที่รู้ก็คือ
สิ่งที่เรียกว่า "สัจธรรม" นั่นเอง
ถ้าสัจธรรมหมายถึงความจริงใดๆก็ตาม
ซึ่งมันจะต้องเป็นความรู้ที่ถูกต้องถ่องแท้แล้ว
ท่านคุรุทั้งหลายก็ย่อมจะอวดมโนโมเม
มักง่าย ประมาท หรือขาดสติ
ในการกล่าวสิ่งใดต่อคนอื่นๆไม่ได้เด็ดขาด
เพราะมันอาจทำให้คนอื่นหลงผิด เข้าใจผิด
ดำเนินทางผิดจนจิตวิญญาณของเขาสับสนได้
อันเป็นการผิดบาปอย่างยิ่ง
3.ครูซึ่งเป็นผู้รู้จริง
จึงมีหน้าที่ต้องเรียนรู้เพื่อให้ได้รู้ความจริงนั้นก่อน
ไม่ว่าจะด้วยการสอนตนเอง
จากการเผชิญหน้ากับความจริงนั้น
หรือเรียนรู้จาก "ครูที่แท้จริง"
มาอีกทอดหนึ่งก็ตาม
โดยเมื่อรู้ความจริงนั้นแล้ว
ก็จักต้องนำความจริงนั้นมาทำให้แจ้งกระจ่าง
ด้วยการปฏิบัติจริงเสียเองก่อน
เพื่อให้มั่นใจและศรัทธาในความจริงนั้นว่า
ที่ตนรู้อยู่นั้น "จริงแท้"
นี่แหละ....เส้นทางของครู "ผู้รู้จริง" ล่ะนะ
ดังนั้น
ความรู้ใดที่มโนโมเมเอง
แล้วนำมาแสดงต่อผู้อื่นกันอยู่นั้น
เราจะเรียกพฤติกรรมนี้ว่า "อวด"
มิใช่ "สอน"
ซึ่งคำว่าอวดนี้มาจากคำเต็มว่า
"อวดอุตริ" นั่นแหละ
4.เนื่องจาก "ความจริง" ในสกนธ์จักรวาล
มี 3 ระดับ
คือ 1. ระดับโลกิยธรรม
อันเป็นความจริงที่ใช้อายตนะพิสูจน์รู้ได้
คือ 2. ระดับโลกุตรธรรม
อันเป็นความจริงที่ต้องใช้
ความฉลาดทางจิตตปัญญา
ของสมองสองซีกของผู้เรียนเอง
เพื่อพิสูจน์ความจริงในความรู้นั้นเท่านั้น
คือ 3. ระดับอนุตรธรรม
อันเป็นความจริงขั้นสูงสุด
ที่กลไกอายตนะและปัญญาของสมองสองซีกในตน
ไม่สามารถเข้าถึงความรู้ที่ถูกต้องแท้จริงนั้นๆได้
จักต้องใช้ "ปัญญาขั้นสูงสุด"
จากจิตและปัญญาของสมองทั้งระบบ
ที่เรียกว่า "อนุตรปัญญาญาณ"
หรือ "โพธิญาณ" เท่านั้น
ซึ่งมนุษย์ทั่วไปจะเข้าถึงได้ยาก
นอกจากผู้มีหน้าที่มากล่าวพระโอวาท
แทนพระผู้เป็นเจ้าแห่งสกนธ์จักรวาล
ในบริบทแห่งพระศาสดาเท่านั้น
5.ดังนั้น
หากผู้ใดรู้ความจริงที่จริงแท้
ผู้นั้นย่อมกล่าวความจริงนั้นต่อผู้อื่นได้เสมอ
เพราะโลกนี้เป็นดาวแห่งทางเลือกเสรี
ทั้งคนที่จะรับฟังเพื่อเลือกเรียนรู้จากครูคนนั้น
ทั้งคนที่มุ่งสำแดงความจริงในบทบาทแห่งครู
แม้คนที่คิดจะเป็นครูนั้นยังมิอาจรู้ได้ว่า
ตนเป็นผู้มีหน้าที่ทางจิตวิญญาณในการเป็นครู
หรือว่าตนแค่เป็นผู้รู้กับเขาคนหนึ่งก็ตาม
คนที่จะเป็นครูจึงต้องรู้ความจริงไว้ตรงนี้ด้วยว่า
ถ้าท่านสอนผิดไปจากสัจธรรมแท้จริง
ไม่ว่าจากเหตุแห่งการมโนโมเมเอาเอง
ไม่ว่าจากการหลงผิดเข้าใจผิดหรือรู้มาผิดๆ
ท่านโดยจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเอง
จักต้องรับผิดชอบในผลกรรมแห่งความผิดบาปนั้น
ด้วยการสิ้นอายุขัยแล้วเมื่อใด
จักต้อง "หลุดลง" ไปแก้ไขที่ขุม 13
ก่อนจะย้อนกลับมาเร่ตามหาคนที่เขาเชื่อผิดหลงผิด
เพราะความผิดบาปของท่าน
เพื่อปรับความเข้าใจกันใหม่ให้ถูกต้อง
จนครบถ้วนทุกคนแล้วนั่นแหละ
เส้นทางแห่งการหลุดพ้น
จึงจะเปิดให้ท่านดำเนินต่อไปได้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-1-2016

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

มาร่วมกันสร้างสรรค์ ประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษยชาติ






           

 มาเถิด...ท่านทั้งหลาย
จงมาร่วมด้วยช่วยกัน
มาร่วมกันสร้างสรรค์
ประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษยชาติ

มาร่วมกันสร้าง "ต้นแบบ" สถานปฏิบัติธรรม
ที่จะนำพาแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
คืนกลับบ้านยังแดนสุญญตา
ที่จากกันมาหลายหมื่นปี
ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
ด้วยมหันตภัยพิบัติเขย่าโลก

ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ให้เราเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างสถานปฏิบัติธรรม
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลขึ้นเป็นแห่งแรก

เพื่อการชำระจิตวิญญาณ
ด้วยการกระทำผ่านจิตตปัญญา
สำหรับศาสนิกชนทุกศาสนา
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้น
บนเส้นทางของฆราวาส

อาคารหลังใหญ่นี้ปลูกสร้างขึ้นมาจนก้าวหน้าได้
ก็ด้วยปัจจัยของท่านผู้ใจบุญเกื้อหนุนมา

ส่วนความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของท่าน
ให้เป็นงานอันสำคัญของเราเอง
ที่จะนำพาท่านทั้งหลาย
ก้าวผ่านสู่ประตูแห่งการหลุดพ้น
บนวิถีที่ถูกต้องโดยไม่หลงทางกันอีกต่อไป

ท่านผู้ใดปรารถนาจะมีส่วนร่วม
ส่วนรวมของเรายังเปิดกว้างสำหรับท่านเสมอ

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
18-1-2016

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

นึกกับคิด ไม่เหมือนกัน






ท่านทราบหรือไม่ว่า

1.นึกกับคิด ไม่เหมือนกัน

2.สมองซีกซ้ายนำซีกขวาให้ "สติปัญญา"
กับสมองซีกขวานำซีกซ้ายให้ "ปัญญาญาณ"
ล้วนใช้ในการ "คิด" ที่แตกต่างกัน
วิธีการที่จะเข้าถึงความฉลาด
ของสมองทั้งสองซีกที่ว่านี้ก็แตกต่างกัน

3.ดับทุกข์ได้แท้จริง
เข้าถึงธรรมะขั้นสูงได้จริงๆ
ด้วยความฉลาดของตนเอง
โดยมิพักต้องพึ่งใคร

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-1-2016

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

"เหตุอาเพธ" อันควรสังวร






เราเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลายมาล่วงหน้า
กว่า 30 ปีที่ผ่านมาแล้วจนบัดนี้

โดยเรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
โลกกำลังเปลี่ยนจากยุคพลังงานเก่า
เข้าสู่โลกยุคพลังงานใหม่
มันจะทำให้ดาวโลกกับมนุษย์ถูกเปลี่ยนแปลง

พระบิดาจะทรงปฏิบัติการชำระโลกครั้งใหญ่
ทั้งในมิติทางพลังงานและมิติทางกายภาพ
เพื่อจัดองค์กรโลกใหม่ให้สมดุล
ขณะที่ดาวโลกทั้งระบบจะเสียสมดุลรุนแรง
จนยากแก่การแก้ไขเยียวยา
เพราะจิตสำนึกมนุษย์ตกต่ำเกินค่ามาตรฐาน

ภัยพิบัติหลากหลายรูปแบบ
จะเกิดซ้ำกระหน่ำโลกไปทั่ว
จนมนุษย์แทบไม่มีเวลาทำสงครามกันเอง
เพราะจะต้องใช้เวลาไปกับการทำสงคราม
กับภัยธรรมชาติที่ผิดธรรมชาติ
จนไม่มีเวลาว่างจะทะเลาะกับใคร

สัญญาณเตือนภัยร้ายว่ากำลังจะคืบคลานมา
มีหลายรหัสสัญญาณ

มีรหัสหนึ่งซึ่งเรากล่าวย้ำนำสังเกตก็คือ
สนามแม่เหล็กโลกและอำนาจแม่เหล็กโลก
จะถูกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งมันจะมีผลต่อกายหยาบและจิตวิญญาณ
ของมนุษย์ทุกคนและสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างมาก

ข้อสังเกตการเปลี่ยนแปลง
ของอำนาจแม่เหล็กโลกก็คือ
โลกจะเกิดแผ่นดินไหวทั้งค่อยๆและแรงๆ
สลับกันไปต่อเนื่องกันไปไม่เว้นแต่ละวัน
สั่นไหวกันทั้งบนบกและในมหาสมุทร

ดังเช่นรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
ประเทศที่มีพื้นที่ติดกับมหาสมุทรอินเดีย
เช่น ไทย อินเดีย และพม่า
มีรายงานแผ่นดินไหวอยู่ต่อเนื่อง

แผ่นดินไหวเกิดจาก
การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก

การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก
เกิดจากแรงสั่นสะเทือนในแกนโลกไม่สมดุล

ที่ไม่สมดุลเป็นเพราะการระเบิดในแกนโลก
ของก้อนธาตุออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% มีปัญหา

ที่การระเบิดในแกนโลกมีปัญหา
ก็เพราะจิตสำนึกมนุษย์บนพิกัดนั้นมีปัญหา

ที่จิตสำนึกมีปัญหาเพราะขาดพลังงานความรัก
เนื่องจากพลังงานความรักจากจิตมนุษย์
ช่วยให้เกิดการระเบิดที่แกนโลกได้
เมื่อโลกขาดแคลนจึงยังผลให้
การระเบิดที่แกนโลก
ของอะตอมของธาตุออกซิเจนจึงไม่สม่ำเสมอ
พอมันสั่นสะเทือนไม่สม่ำเสมอขึ้นมาเมื่อใด
จะยังผลให้แรงดันยกตัวขึ้นของแผ่นเปลือกโลก
เกิดอาการตกต่ำลงชั่วขณะ

จึงส่งผลต่อเนื่องทำให้แผ่นเปลือกโลก
เกิดการขยับทรุดตัวลง
หรือเกิดการเลื่อนสไลด์แบบกระตุก
จนเป็นที่มาของแผ่นดินไหว
ขนาดเล็กๆน้อยๆบ้าง รุนแรงบ้าง
โดยนานๆเกิดขึ้นครั้งหนึ่งก็มี
บางครั้งก็เกิดขึ้นถี่ๆแทบทุกวันก็มี

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ภูมิภาคนี้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยมาก
รวมทั้งเขตเมืองกาญจนบุรีและเชียงราย
รวมทั้งที่เกิดขึ้นในอินเดียและพม่า
ต่อมาก็เป็นญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์
(โปรดดูสถิติการเกิดถี่ๆ)

ทั้งหมดนี้มีมันจะมีผลให้
ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกแปรปรวน
รวมทั้งทิศทางสนามแม่เหล็กโลก
จะเกิดอาการสับสนชั่วคราว

แม้สนามแม่เหล็กโลกจะไม่วิปริตรุนแรง
จนวัดค่าได้ด้วยเข็มทิศแม่เหล็ก
แต่ท่านต้องรู้ว่าตรงสมองของสัตว์ใหญ่
ที่เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ปลาวาฬน้ำเงิน

พระบิดาได้ทรงติดตั้งเข็มทิศแม่เหล็ก
เรียกว่า Digitalis เอาไว้ให้ปลา
ใช้เป็นเครื่องกำหนดทิศทางเหนือใต้
แบบนักเดินเรือท่องมหาสมุทรด้วย

ปลาพวกนี้จะรู้ได้ว่าไหนเป็นทิศทางสู่ทะเลลึก
ไหนเป็นทิศทางสู่ชายฝั่งน้ำตื้นไม่ปลอดภัย
ก็ด้วยเข็มทิศแม่เหล็กที่สมองของเขานี่เอง

ดังนั้น
เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จู่ๆปลาวาฬน้ำเงินกว่า 100 ตัวคือฝูงใหญ่
พากันพลัดหลงน้ำว่ายมาเกยตื้น
เหมือนจะพากันมาฆ่าตัวตายนั้น
มันจึงเป็น "เหตุอาเพธ" อันควรสังวรไว้ยิ่งนัก

ให้สังวรว่า
ขณะนี้จิตสำนึกของดาวโลกกำลังตกต่ำย่ำแย่ลง
จนยังผลให้สนามแม่เหล็กโลกวิปริตแปรปรวน
ปลาวาฬเหล่านี้มีความว่องไวต่อการเปลี่ยนแปลง
ของสนามแม่เหล็กโลกมากกว่าสัตว์ใหญ๋อื่นๆ
พวกเขาจึงเกิดอาการ "เมา" สนามแม่เหล็กโลก
เหมือนพวกท่านเกิดอาการเมาเรือนั่นแหละ
ปรากฏการณ์ฝูงปลาวาฬน้ำเงินมาเกยหาด
ในมหาสมุทรแทบทุกที่บนโลกนี้
จึงเกิดขึ้นอยู่เนืองๆทันทีที่โลกเสื่อมลง

วานนี้ก็เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว
บริเวณชายหาดแห่งหนึ่ง
ของแคว้นทมิฬนาดู ประเทศอินเดีย
ตามคลิปที่เรานำมาแสดงเป็นหลักฐาน

เราจะขอเตือนท่านทั้งหลายอีกว่า
ยิ่งแผ่นดินไหวถี่ๆบ่อยๆแรงบ้างไม่รุนแรงบ้าง
เกิดขึ้นกระจายทั่วทุกภูมิภาคมากขึ้นเมื่อไหร่
สนามแม่เหล็กโลกจะยิ่งแปรปรวนรุนแรงขึ้น
รวมทั้งก๊าซออกซิเจนที่ท่านหายใจกันนั่น
มันก็จะมีปริมาณความหนาแน่นลดลงเรื่อยๆด้วย

อาการป่วยทางกายสังขารและจิตวิญญาณ
ของมนุษย์โลกอันเกิดจากโลกเสียสมดุล
ของสนามแม่เหล็กและก๊าซออกซิเจน
เป็นสิ่งที่พวกท่านต้องเริ่มเรียนรู้
และเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกันได้แล้วล่ะนะ

อยากช่วยโลกให้คืนสมดุล
ก็รีบหาทางแทรกแซงกระบวนการของขันธ์ 5
ด้วยจิตสำนึกของท่านเองเร็วๆเถอะ
ช้าไม่ได้การแล้ว

Cr: ABP News

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-1-2016

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

เจริญสมาธิได้โดยไม่ต้องหลับตาเรียกว่า ธรรมชาติสมาธิ






ราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ธรรมชาติสมาธิในชีวิตประจำวันนั้น
เกิดจาก "มหาสติ"

มหาสติ
เกิดได้จากสภาวะจิต "สงบ"

จิตสงบ
เกิดได้จากการฉลาดรับรู้
โดยมิให้เกิด "เวทนา" ขึ้นมาได้

การฉลาดรับรู้จนไม่เกิดเวทนานี้
ได้จาก "การสำรวม"
ถ้าสำรวมได้ต่อเนื่องตลอดเวลา
ท่านก็จะเข้าถึง "ธรรมชาติสมาธิ"

ธรรมชาติสมาธินี่แหละ
ที่จะช่วยให้ท่านเข้าถึง
ความฉลาดใน 3 ประการ คือ

1.ฉลาดทางอารมณ์เพราะเข้าถึงใจ
คือ จิตวิญญาณของตนเองได้

2.ฉลาดทางปัญญา
เพราะจะเข้าถึงการใช้สมองซีกขวา
ในระบบกดปุ่มได้

3.ฉลาดทางสังคม
เพราะจะเข้าถึงจิตใจผู้อื่นได้
ด้วยความฉลาดในสองประการที่กล่าวมา

ความฉลาดเหล่านี้
จะเป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้าง
อีกทั้งคนรอบข้างก็จะช่วยยืนยันต่อท่านได้ว่า
ท่านเป็นผู้มีมหาสติมั่นคงแข็งแกร่งแค่ไหน
โดยไม่ต้องรู้สึกเองเออเองแต่อย่างใด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-1-2016

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

จงทำความหลงผิดให้กระจ่าง อย่าแอบอ้างว่าพระพุทธเจ้าสอนสั่ง






จงทำความหลงผิดให้กระจ่าง
อย่าแอบอ้างว่าพระพุทธเจ้าสอนสั่ง
ทั้งๆที่มโนกันไปเอง....
***********************************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำกล่าวของพระพุทธเจ้าที่ว่า

"ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้...
พระพุทธองค์ทรงให้เลือก
"เดินไปคนเดียว"
เพราะเลือกคบคนอย่างไร
เราก็จะเป็นอย่างนั้น"

เป็นการยกเอามาอ้างแบบบิดเบือน
เพราะพระพุทธองค์มิได้ทรงกล่าวสอน
เช่นว่านั้นเลย....
สาธุคุณทั้งหลายเอ๋ย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.คำกล่าวที่ถูกต้อง
ที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้จริงๆนั้น
มีความว่าดั่งนี้ต่างหากล่ะ

"ถ้าเธอหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้......ชั่วชีวิตนี้
เธอคงต้องเดินไปคนเดียวแล้วล่ะนะ"

2.เราใคร่ถามท่านทั้งหลายว่า
ความในเครื่องหมายคำพูดในข้อ 1.นั้น
มีตรงไหนที่ทรงตรัสสั่งสอนว่า
ให้เลือกที่จะเดินไปคนเดียว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
????????????????

3.ท่านไม่รู้หรือว่า
คนที่ต้องเดินคนเดียวบนโลกนี้
ทั้งๆที่มีคนรอบข้างตั้งมากมายนั้น
มีสาเหตุจาก 2 ประการเท่านั้นเอง คือ

*ประการแรก
เพราะไม่มีใครต้องการจะเดินด้วย
หมายถึง ไม่มีใครคบ

*ประการที่สอง
เพราะไม่ต้องการจะเดินกับใครเลย
หมายถึง มองคนอื่นไม่มีคุณค่าแก่การคบหา

4.ท่านรู้หรือไม่ว่า.....ปกติแล้ว
การมองหาคนที่มีศีลเสมอกันไม่เจอนั้น
หมายถึงท่านมองเห็นแต่คนที่
มีศีลต่ำกว่าและสูงกว่าท่านเท่านั้นเอง
ใช่มั้ย?

5.แต่มนุษย์คนนี้นั้น......
นอกจากจะมองหาคนที่มีดีเสมอกับตนไม่เจอแล้ว
ยังมองหาคนที่มีศีลสูงกว่าตน
หรือมองหาคนที่เขาเป็นคนดีกว่าตนไม่พบอีกด้วย
แสดงว่า....นายคนนี้หลงตัวเองชัดๆ!!!

ที่เรากล่าวว่านายคนนี้หลงตัวเอง
เพราะเขาคิดว่าตนเองดีที่สุด
มีศีลสูงสุดเกินกว่ามนุษย์ทั้งโลกเลย
เขาจึงมองไม่เห็นคนที่มีศีลเสมอกันกับตน
เขาจึงมองไม่เห็นคนที่มีศีลสูงกว่าตน
กรรมเวรแท้ๆ....หนอ

6.ด้วยเหตุนี้เอง
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสกับนายคนนี้
ซึ่งเราขออนุญาติพระพุทธองค์กล่าวแทน
เป็นภาษาชาวบ้านว่า.....

"ถ้าเธอหาคนดีเท่าเธอและดีกว่าเธอ
คบหาสมาคมด้วยไม่ได้
งั้นเธอก็เดินไปคนเดียวก็แล้วกัน
เพราะเธอมองคนอื่นๆว่าเขามีศีลธรรม
ต่ำกว่าเธอทั้งนั้นเลย"

7.ศาสนิกทั้งหลายจักต้องระวัง
การเสพธรรมะของท่านเอาไว้ด้วย

พระคำและพระธรรมจากโอษฐ์พระศาสดา
ที่ตกทอดผ่านความจำของผู้คน
ติดต่อกันมานานนับพันๆปีแล้วนั้น
ยังมีอีกมากมายหลายบทหลายตอน
ซึ่งตกอยู่ในลักษณะที่เรายกมากล่าวนี้

นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เราต้องกลับมา
กลับมาชำระพระโอวาทพระบิดา
ซึ่งถูกบิดเบือนไปจากที่เราเคยกล่าวไว้
นานสองพันกว่าปีมาแล้ว...

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-12-2015

ทุกสิ่งขึ้นกับจิตสำนึกปัจจุบัน






ATTN: Surapa Ruangpanyapot
Question:
การที่คน/มนุษย์จะฉุกคิด/
จะตระหนักรู้ จะมีโอกาสมาฟังคำสอนของท่านอาจารย์
และได้ปฏิบัติธรรมตามคำสอนนั้น
ถูกกำหนดมาด้วยหรือเปล่าค่ะ...???...

Answer:
1.ใครจะฉุกคิดได้หรือไม่ได้
เมื่อรับฟังพระโอวาทแล้วนั้น
เป็นความฉลาดทางจิตปัญญา
ของคนผู้นั้นเอง
มิได้มีการกำหนดแผนมาล่วงหน้าหรอกว่า
ใครจะฉุกคิดได้หรือไม่ได้

2.ใครจะตระหนักรู้ได้หรือไม่
จะตระหนักรู้ได้มากน้อยแค่ไหน
ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกในปัจจุบัน
ของแต่ละคนกันอีกนั่นแหละ

ใครสามารถที่จะสำนึกได้ช้าเร็วกว่าใคร
เมื่อได้รับฟังคำสื่อสอนจากพระบิดาแล้วนั้น
มันก็ขึ้นอยู่กับความเอาไหนไม่เอาไหน
ของใครแต่ละคนนั้่นด้วย

3.ใครจะมีโอกาสมาฟังพระโอวาทพระบิดา
ที่ทรงสื่อผ่านมาทางเราหรือไม่นั้น
มันขึ้นอยู่กับการที่แต่ละคนจะใช้โอกาสนี้หรือไม่
เพราะการที่พระบิดาให้เรามาสื่อสอนพวกท่าน
ก็นับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ทุกๆคน
บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้
อย่างทัดเทียมกันอยู่แล้ว

คนที่บอกว่าไม่ว่างมาฟังพระโอวาท
ทั้งๆที่รู้กำหนดวันเวลาสื่ออยู่อย่างแม่นยำ
อ้างว่าต้องไปทำโน่นนั่นนี่หรือทำนองนั้น
โดยเห็นว่าเรื่องอื่นสำคัญกว่า
จึงทิ้งโอกาสรับฟังพระโอวาท
ไปทำอย่างอื่นแทน
แล้วมาอ้างว่าอยากมาฟังเหมือนกันแต่ไม่ว่างนั้น

เราจึงใคร่ถามท่านทั้งหลายว่า

ทีหิวข้าว....ทำไมจึงว่างไปกิน?
ทีปวดท้องอึ๊...ทำไมจึงว่างเข้าส้วม?
ทีเจ็บไข้ได้ป่วย....ทำไมจึงว่างไปหาหมอ?

4.ดังนั้น เราจึงขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
ไม่มีใครหรือผู้ใดจะสามารถกำหนดมาล่วงหน้า
ตามที่กล่าวมาทั้ง 3 ประการข้างต้นนั้นได้
เพราะการที่พระบิดาทรงใช้ให้เรามา
ทำหน้าที่สื่อพระโอวาทต่อท่านทั้งหลาย
และแจ้งข่าวสารการชำระโลก

จนแม้กระทั่งจะพิพากษาว่า
ใครเป็นผู้รอดหรือใครเป็นปลาที่จะถูกคัดทิ้ง
ก็คนผู้นั้นเองแหละ
ที่จะเป็นผู้เลือกทางดำเนินของตนเอง

5.ผู้ที่เชื่อฟังเราแล้วเฝ้าติดตามฟังพระโอวาท
จะปฏิบัติตนจนหลุดพ้นได้หรือไม่ได้
จะเป็นสัดส่วนเท่าใดกับผู้ไม่รอด

ก็ล้วนขึ้นอยู่กับคนๆนั้นในภพชาตินี้เช่นกันว่า
จะใส่ใจในคำสอนแค่ไหน
จะมุ่งมั่นหมั่นปฏิบัติกันสักเพียงใด
จะฉลาดเรียนรู้กันหรือไม่ เป็นต้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-1-2016

จะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์โลกเสรีนี้บ้าง






จะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์โลกเสรีนี้บ้าง
ถ้าเราจะสมมติว่า....

ดาวเคราะห์โลกเสรีนี้
พร้อมกับมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในระบบโลก
กำลังถูกชำระเพื่อปรับสมดุลใหม่ทั้งระบบ
ทั้งในมิติทางกายภาพและพลังงาน

โลกจะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ผิดธรรมชาติ
รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ขยายพื้นที่ภัยพิบัติกว้างขวางออกไปเรื่อยๆ

ภูมิอากาศและภูมิประเทศจะเปลี่ยนไป
จะเกิดภัยร้ายที่ทำให้มีคนตายคราวละมากๆ
โดยเฉพาะเหตุจากพายุหมุน มหาอุทกภัย
พายุหิมะ พายุทราย พายุแม่เหล็ก
กับเชื้อโรคร้ายแพร่ระบาด
จนไม่รู้ว่าใครจะช่วยใคร
จนไม่มีชาติไหนว่างพอจะทำสงครามกับชาติอื่น
เพราะต้องหยัดยืนทำสงครามกับภัยธรรมชาติ

อำนาจแม่เหล็กโลกจะเสียสมดุล
โลกจะหมุนแบบแกว่งหรือส่าย
เพราะฤทธิ์แผ่นดินไหวแรงๆ
เพราะภูเขาไฟใหม่เก่า ปะทุบ่อย ปะทุแรง
แถมจะมีบางประเทศที่ภูเขาไฟจะปะทุขึ้นมาใหม่

ขณะที่สถานการณ์ปริมาณก๊าซออกซิเจน
ในระบบโลกที่มนุษย์และสัตว์ต้องใช้หายใจ
จะลดลงสู่จุดวิกฤต (Critical Point) อย่างแนบเนียน
โดยไม่มีใครทันตั้งตัว....
ปริมาณก๊าซพิษในบรรยากาศจะเพิ่มขึ้น
จนไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้

หมู่นกจะหลงฟ้าตกลงมาตาย
ปลาและสัตว์น้ำมากมาย
จะหลงน้ำมาเกยตื้นให้เห็นบ่อยขึ้น

แผ่นดินชายฝั่งทะเลจะสูญหาย
จะปรากฏแผ่นดินยุบแยกตัวและสั่นไหวไปทั่วโลก
น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาวเป็นแห่งๆ
เหตุเพราะแผ่นดินนั้นจะถูกน้ำท่วม
ทั้งถาวรและชั่วคราว

โลกจะขาดแคลนน้ำและอาหารมากขึ้น
มนุษย์จะต้องทำสงครามกับโรคร้าย
ขณะที่คนในชาติเดียวกันจะลุกขึ้นมาฆ่ากันเอง
เพราะถูกซาตานเสี้ยมเพื่อหวังประโยชน์
จนโกลาหลไปทั่วทวีป

จิตสำนึกกับพฤติกรรมมนุษย์จะตกต่ำ
สำนึกแห่งคุณธรรมจะลดลง
คนจะทำชั่วโดยไม่รู้ตัวว่าชั่วกันมากขึ้น
คนดีจะอยู่ยาก คนไม่ฉลาดจะอยู่อย่างลำบาก
ผู้คนจะใจดำ ใจร้าย นิยมความรุนแรง
ขาดความสามารถในการใช้สติปัญญา
มีปัญหาทางอารมณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

มนุษย์ส่วนใหญ่จะขาดวินัยในการดำเนินชีวิต
ไม่มีวินัยในการอยู่ร่วมกัน
ไม่มีวินัยในการกิน อยู่ หลับ นอน
ไม่มีวินัยในการคิด ฟัง พูด
เหตุเพราะเอาตนเองเป็นใหญ่
เอาความมักง่ายเป็นเกณฑ์

เราขอสมมติไว้เพียงเท่านี้ก่อน
ขอท่านทั้งหลายตรองกันเล่นๆดูว่า
ถ้าคนทั้งโลกหรือเพียงส่วนหนึ่งเชื่อเรา
เพราะยอมรับว่าน่าจะเป็นไปได้จริงๆแล้ว

พวกเขาที่เชื่อกับพวกที่ไม่เชื่อ
แต่ละขั้วเขาจะทำอย่างไรกันบ้าง
กับสถานการณ์เหล่านี้....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-1-2016

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

JItchakraval Channel

 
1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

การสื่อถ่ายทอดสดพระโอวาท ครั้งที่ 227 "มหัศจรรย์แห่งขันธ์ 5"





เชิญเข้ารับฟังและรับชม
การสื่อถ่ายทอดสดพระโอวาท
จากองค์จิตจักรวาล ในระบบจิตสู่จิต
ครั้งที่ 227 บนโลกเสรีนี้

โดยอาจารย์ปริญญา ตันสกุล
นักวิชาการสัมผัสพิเศษ
ประธานชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก UCSA

ตอน:
"มหัศจรรย์แห่งขันธ์ 5"

เผยความลับเรื่องขันธ์ 5
ที่หลายคนไม่เคยรู้

เผยความรู้ใหม่เรื่องขันธ์ 5
ที่หลายคนยังไม่รู้ว่าไม่รู้

เผยวิธีแทรกแซงกระบวนการของขันธ์ 5
เพื่อการหมุน "ธรรมจักร" แทน "กรรมจักร"
บนเส้นทางการหลุดพ้นในภพชาตินี้
ตามมรรควิถีจิตจักรวาล

หากท่านเป็นฆราวาส
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นแท้จริง
ท่านไม่ควรพลาดโอกาสอันดีนี้

หมายเหตุ:
1.ไม่คิดค่าธรรมเนียมในการเข้ารับฟัง
2.ยินดีต้อนรับศาสนิกชนทุกศาสนา
3.โปรดแต่งกายสุภาพ

4.ถามทาง-สำรองที่นั่งเข้ารับฟังฟรีได้ที่
Tel.089-1052727 คุณตุ๊ก(ในเวลาทำงาน)

5.โปรดเดินทางไปถึงห้องสื่อก่อนเวลา

หรือติตามได้อีก1ช่องทาง การถ่ายทอดสด
ที่นี่...
http://www.jitchakraval.com/home/


วิธีแทรกแซงกระบวนการของ ขันธ์ 5






เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายอีกว่า
กระบวนการของขันธ์ 5 นั้น
เป็นกระบวนการที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต
ที่ตัวท่านเองสามารถเข้าไปแทรกแซงได้
เพราะกระบวนการที่ถูกติดตั้งไว้ในระบบอัตโนมัติ
ซึ่งท่านใช้มันมาตั้งแต่เป็นกุมารน้อยนั้น
ยังเป็นกระบวนการที่ไม่สมดุล
เพื่อเว้นไว้ให้ท่านทั้งหลาย
ได้เป็นผู้ทำให้มัน "สมดุล" โดยแท้
ถ้าจะทำให้กระบวนการของขันธ์ 5 สมดุล
มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น คือ "การแทรกแซง"
การแทรกแซงทำได้วิธีเดียวเท่านั้น
คือการใช้จิตตปัญญาในตนเอง
ที่เป็น "ความรัก" กับ "ความฉลาด"
โดยความฉลาดนั้นต้องกระทำผ่าน "มหาสติ"
ซึ่งเป็นธรรมชาติสมาธิสำหรับฆราวาส
ที่ไม่ต้องนั่งหลับตาคอยตามดูจิตตนเอง
ด้วยการปลีกวิเวกอยู่คนเดียว
เพียงแต่ให้ท่านรู้เท่าทัน
อารมณ์รู้สึกนึกคิดตนเองอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่ท่านมีการปฏิสัมพันธ์อยู่กับคนรอบข้าง
เพื่อการแสดงออกหรือกระทำ
ส่วนความรักที่ได้นั้น
ท่านก็ต้องกระทำผ่าน "ปณิธานแห่งนิพพาน"
ในการดำรงชีวิตประจำวันอยู่ในสังคม
ด้วยการเรียนรู้ด้วยปัญญา
ที่จะรักคนไม่น่ารักให้ได้
ให้อภัยคนที่ไม่น่าให้อภัยให้เป็น
ไม่ก้าวล่วงใครในทุกลมหายใจเข้าออก
ถ้าท่านทำได้ในทุกเงื่อนไขสถานการณ์
ที่คนอื่นๆหยิบยื่นให้ในชีวิตประจำวันแล้ว
กระบวนการของขันธ์ 5
อันเป็นสภาวะธรรมในระดับปรมัตถธรรม
จะเป็นกระบวนการที่สมดุลทันที
นี่จึงเป็นวิธี "ธรรมชาติ" ในการเข้าถึง
กระบวนการของขันธ์ 5 อย่างแท้จริง
มันเป็นวิธีการง่ายๆที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเหมาะสมยิ่งกว่า "การเดินถ่างขา" แบบเก่าๆ
เพราะขาดความรู้ความเข้าใจอย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวลี้ลับของขันธ์ 5
ที่หลายท่านสับสน สงสัย ตลอดมา
บัดนี้เราได้กล่าวความจริงทั้งหมด
เป็นบทเป็นตอนติดต่อกันมา
ต่อท่านทั้งหลายแล้ว
หากใครต้องการเรียนรู้ว่า
การรักได้ให้อภัยเป็น
ไม่นึกคิดหรือกระทำก้าวล่วงใคร
ใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิตประจำวัน
จนเป็นคุณสมบัติของตนเองได้แล้ว
มันสามารถ "แทรกแซง"
กระบวนการของขันธ์ 5 ที่ไม่สมดุลอยู่
ให้คืนสู่ความสมดุลได้อย่างไร
โปรดติดตามตอนต่อไป
ในอีกสักครู่....
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-1-2016

กระบวนการของขันธ์ 5 เมื่อถูกท่านแทรกแซง






เราได้สื่อพระโอวาทจากพระบิดาต่อท่าน
เกี่ยวกับเรื่องกระบวนการของขันธ์ 5
ทั้งเบื้องลับ เบื้องลึก และเบื้องหลัง
จนครบถ้วนกระบวนความมาแล้ว

แต่ความจริงที่เราจะกล่าวต่อไปนี้
เป็นความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางจิต
ที่จะสำแดงให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้ว่า
การ "แทรกแซง" กระบวนการของขันธ์ 5
มันเกิดขึ้นตอนไหนและอย่างไร

1.ท่านคงยังจดจำกันได้ว่า
เมื่อกลไกที่เป็นตา หู จมูก ลิ้น หรือกายสัมผัส
มีการสั่นสะเทือนเพราะเกิดการสัมผัสสิ่งใดเข้า
จิตจะรับรู้คลื่นความถี่จากการสัมผัสนั้นทันที

2.เมื่อจิตได้รับคลื่นการสัมผัสมาจากอายตนะแล้ว
จิตหยาบของท่านก็จะไปสั่นสะเทือนหน่วยความจำ
เพื่อหาคำตอบมาว่า
ที่อายตนะกำลังสัมผัสอยู่นั้นมันคืออะไร
ถ้าค้นหาใน "สัญญา" แล้วไม่พบ
เพราะไม่มีข้อมูลใดๆอยู่ในนั้น
จิตก็จะเก็บความรู้นั้นไว้ในสัญญาแทน

3.ในขั้นตอนที่สามต่อไปนี้เอง
ที่ท่านจะต้องเข้า "แทรกแซง" มันให้ได้
เพื่อนำพาจิตหยาบของท่าน
เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้

หลักการสำคัญก็คือ
เมื่อจิตได้รู้แล้วว่าปัจจุบันขณะนั้น
ตนกำลังสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดอยู่
ท่านจะต้องควบคุมจิตหยาบไว้
มิให้มันสั่นสะเทือนเป็น "ความรู้สึก"
ต่อสิ่งใดๆที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ให้จงได้

ความรู้สึกเป็นอาการของจิตที่เกิดขึ้น
จากการปรุงแต่งสรรพสิ่งนั้นๆที่ตนสัมผัสอยู่
จนเกิดเป็นสวย ไม่สวย น่าเกลียด น่ากลัว
น่ารัก น่าดม น่าชม น่าชิม ฯลฯ

4.สาเหตุที่ท่านต้องแทรกแซงตรงขั้นตอนนี้
ก็เพราะว่า........

4.1 มันเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องแทรกแซง

4.2 มันเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้ท่าน
เปลี่ยนกระบวนการของขันธ์ 5 ในระบบอัตโนมัติ
ไปสร้างกระบวนการใหม่ในระบบกดปุ่มแทนได้

4.3 ถ้าขืนปล่อยให้จิตของท่านมันสั่นสะเทือน
จนเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมาเมื่อไหร่
แสดงว่าจิตของท่านมันทำหน้าที่ผิดพลาดแล้ว

เพราะหน้าที่ของจิตท่านนั้น
เมื่อรับรู้เรื่องราวหรือสรรพสิ่งใดๆก็ตาม
ต้อง "เรียนรู้" ให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
มิใช่รับรู้แล้ว "รับเอา"
จนเกิดเป็นความรู้สึกต่างๆขึ้นมาแทน
เนื่องจากท่านมิใช่เด็กไร้เดียงสาแล้ว

4.4 ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้
หมายถึง จิตเกิด "เวทนา" นั่นเอง

5.ถ้าท่านสามารถควบคุมจิตของท่าน
มิให้มันสั่นสะเทือนเป็นความรู้สึกได้
ในทุกช่องทางแห่งการรับรู้

นั่นเท่ากับว่าขั้นตอนแรกของการแทรกแซงนั้น
ท่านได้ประสบกับความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
เพราะท่านสามารถ "ดับเวทนา" ได้นั่นเอง
ซึ่งท่านจะประสบความสำเร็จไม่ได้หรอก
ถ้าท่านไม่ฝึกการครองมหาสติ
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลให้แข็งแรงไว้เสมอ

6.ท่านรู้หรือไม่ว่า....การแทรกแซงที่ว่านี้
มันสำเร็จผลได้จากการ "รับรู้ ไม่รับเอา"
หรือเพียงฉลาดรับรู้นั่นแหละ
ซึ่งเป็นภารกิจที่ง่ายเกินการคาดคิด

ท่านสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน
โดยมิต้องเปลืองเวลานั่งหลับตา
คอยตามดูจิตตนเองอยู่คนเดียว
ให้มันผิดธรรมชาติของคนตาดีหูดี
ให้สิ้นเปลืองเวลาเลยแม้นาทีเดียว

7.ท่านต้องรู้ว่าความมหัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้น
เมื่อท่านสามารถเข้าแทรกแซง
กระบวนการของขันธ์ 5 ได้
เพราะเวทนาดับสูญแล้วแม้จิตยังรับรู้ได้อยู่
มันจึงเสมือนหนึ่งว่าตัวท่านนั้น

มีตา ก็เหมือนไม่มี
เพราะเห็นแล้วไม่เกิดความรู้สึก

มีหู ก็เหมือนไม่มี
เพราะได้ยินได้ฟังแล้วไม่เกิดความรู้สึก

มีจมูก ก็เหมือนไม่มี
เพราะได้รับรู้กลิ่นนั้นแล้วไม่เกิดความรู้สึก

มีลิ้น ก็เหมือนไม่มี
เพราะได้รับรู้รสชาติแล้วไม่เกิดความรู้สึก

มีผิวกาย ก็เหมือนไม่มี
เพราะได้สัมผัสกายแล้วไม่เกิดความรู้สึก

มีจิต ก็เหมือนไม่มี
เพราะแม้จะนึกคิดมโนอะไรเองได้
แต่ก็ไม่เกิดความรู้สึก

อาการของจิตในสภาวะนี้ไงล่ะ
ที่กล่าวได้ว่า "จิตเป็นสุญญตา" แล้ว
แปลว่ามี "ตา" หรือ อายตนะทั้งหก
แต่เหมือนไม่มีโดยแท้!!!!

8.เมื่อจิตไม่เกิดเวทนา
ทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนาแล้ว
จิตหยาบก็จะเป็นอิสระจากอาสวกิเลสทั้งปวง

คล้ายดั่งฆราวาสเช่นท่าน
เป็นผู้ "ถือบวช"
ด้วยการเข้าถึงปรมัตถธรรมแท้จริง
เนื่องจากจิตเป็นสุญญตา
อันหมายถึง "จิตว่างไปจากอายตนะ"
อย่างสิ้นเชิงแล้วนั่นแหละ
ดั่งท่านได้ "บวช" ที่จิตหยาบของท่านแล้ว

9.เมื่อจิตดับเวทนาได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
จิตของท่านก็จะสว่างใส
กำแพงที่เคยปิดกั้นจิตหยาบเอาไว้
มิให้ติดต่อกับจิตวิญญาณของท่านเองได้
คือ กิเลส ตัณหา และอารมณ์หยาบๆรายวัน
มันก็จะพลัน "สูญหาย" มลายไปด้วย

เพราะตัวการคือกิเลสที่เป็นความรู้สึกนั้น
ไม่สามารถที่จะนำไปสู่ความอยากไม่อยาก
ที่เรียกว่า "ตัณหา" และอารมณ์หยาบๆได้อีก

นี่จึงเป็นความแยบยลของกลไกกระบวนการ
ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้ลูกๆเช่นท่าน
สามารถเข้าถึงมันได้ง่ายกว่าที่คิด
เพราะไปคิดให้มันยาก
ไปปฏิบัติให้มันลำบากแบบฝืนธรรมชาติ
เพราะการขาดความรู้ความเข้าใจ

10.ท่านทราบหรือไม่ว่า
เมื่อจิตหยาบของท่านใส
ใจของท่านคือจิตวิญญาณก็จะสวย
ด้วยฉัพพรรณรังสีขึ้นมาโดยพลัน
เพราะพระบิดาทรงติดตั้งกระบวนการไว้เช่นนั้น

เมื่อจิตหยาบของท่านไร้อุปสรรค
เพราะว่างไปจากกิเลสตัณหาอารมณ์ได้
ก็จะสามารถเข้าถึงการสั่นสะเทือน
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณได้โดยง่าย

จิตหยาบก็จะสามารถแสดงคุณสมบัติ
ที่เป็นปรมัตถธรรมแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ได้อย่างสมบูรณ์และองอาจยิ่งนัก

นั่นคือท่านจะสามารถใช้ความรักเพื่อให้
กับการใช้ปัญญาญาณอันประเสริฐ
ด้วยพลังอำนาจของแก่นแท้ของท่าน
ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
เพื่อทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
เพื่อการไม่ก่อกรรมใหม่
เพื่อการแก้ไขกรรมเก่า
ตามบริบทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ด้วยบทบาทของผู้ครองเรือน
สู่การบรรลุมรรคผลสูงสุด
คือการ "หลุดพ้น"

โดยจิตวิญญาณของท่าน
ไม่เสี่ยงกับการ "หลุดลอย"
เพราะหลงทางไปนิพพาน

โดยจิตวิญญาณของท่าน
ไม่เสี่ยงกับการ "หลุดหล่น"
เพราะคนตนเองให้เป็นมนุษย์
ที่เรียกว่า "หมุนธรรมจักร" ไม่สำเร็จ

โดยจิตวิญญาณของท่าน
ไม่เสี่ยงกับการ "หลุดลง" นะระกะ
เพราะทำตัวเสียทีที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ด้วยความรักและปรารถนาดี

จงค่อยๆขบคิดพิจารณาทุกถ้อยอักษร
อย่าด่วนใจร้อนวู่วามไม่ว่าจะรับหรือปฏิเสธ
อย่ายึดติดของเก่าจนปิดกั้นการเรียนรู้ไว้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-1-2016

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

กระบวนการของขันธ์ 5 คือ ธรรมจักร 1






เราจะกล่าวความจริงต่อไปอีกว่า
ปฏิบัติการของขันธ์ 5 คืออย่างไร

1.กระบวนการของขันธ์ 5 นั้นมี 2 ระดับ
โดยระดับต้นนั้นจะเป็นกระบวนการอัตโนมัติ
ที่กุมารน้อยตั้งแต่วัย 3 ขวบบริบูรณ์
ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการอัตโนมัตินี้ได้แล้ว
แต่จะยังเป็นกระบวนการที่ไม่สมบูรณ์

ท่านจะต้องรู้ว่าทุกๆคนที่เกิดมานั้น
แต่ละคนมีหน้าที่จะต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
ตนจะทำให้กระบวนการของขันธ์ 5
บรรลุผลโดยสมบูรณ์ได้อย่างไร

แน่นอนว่า
ท่านทั้งหลายจะต้องเข้าแทรกแซง
กระบวนการของขันธ์ 5
ในระบบอัตโนมัติที่ใช้กันมาตั้งแต่เด็กนั้นให้ได้

หากทำไม่สำเร็จแทรกแซงไม่ได้แล้ว
ชาตินี้ทั้งชาติจะถือว่าเสียชาติเกิดเลยเชียว

ที่กล่าวว่าเสียชาติเกิด
ก็เพราะท่าน "คน" ตนเองให้เป็น "มนุษย์"
ไม่ประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวนั่นเอง

2.ด้วยเหตุนี้เอง
ในการมาเกิดเป็นมนุษย์ของทุกคน
ก็คือการมีหน้าที่ "คนตนเองให้เป็นมนุษย์"
ผ่านกระบวนการของขันธ์ 5 นี่แหละ

เพราะท่านเป็นคนสองมิติ
ถ้าท่านยกระดับจิตหยาบกับกายหยาบ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณ
ผู้เป็นแก่นแท้ของท่านในมิติทางพลังงานไม่ได้
ท่านก็เป็นผู้ที่จะถูกเรียกว่า "มนุษย์" ไม่ได้

ดังนั้น
ใครที่เสี้ยมสอนท่านทั้งหลายว่า
กระบวนการของขันธ์ 5
ท่านจะเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวไม่ได้นั้น
ถือเป็นการกล่าวสอนที่ผิดมหันต์
เพราะแท้แล้วมันคือ "หน้าที่" ที่ต้องทำต่างหาก

นอกจากนั้น
การที่หลายคนพยายามจะเข้าถึง
กระบวนการของขันธ์ 5
ในขณะเจริญสมาธิภาวนาด้วยวิธีหลับตาอยู่

แต่ก็ต้องไปติดแป๊กอยู่ที่ "เวทนา" และตัณหา
เพราะถูกมารพากันรุมทดสอบด้วย
และจากการที่ตนพยายามกระตุ้นตัวเอง
ด้วยการนำเอา "ความรู้สึก" ของตน
ที่เป็นอาการหนึ่งในขันธ์แห่งเวทนา
เที่ยวส่องดูเพื่อรับรู้อาการของจิตด้วย
ซึ่งเป็นวิธีที่เข้าใจผิดกันมานาน

จึงยังผลให้ผู้ใฝ่การหลุดพ้นทั้งหลาย
ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลาย
ล้วนไม่สามารถบรรลุมรรคผลกันได้เลย
เพราะยังคนตนเองผ่านการแทรกแซงขันธ์ 5
ให้เป็น "มนุษย์" ไม่ประสบผลสำเร็จ

3.เราจะเผยให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วยว่า
พระคำของพระศาสดาของท่าน
ที่ตรัสต่อปัญจวัคคีย์ผู้เป็นศิษย์เอกทั้งห้า
หลังราตรีที่ทรงบรรลุอนุตรธรรมแล้วว่า
สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสว่า "รู้แล้ว" นั้นคืออะไร

สิ่งที่พระองค์ทรงล่วงรู้ก็คือความรู้ใหม่
โดยทรงรู้ว่าจิตวิญญาณ
ของผู้ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
มีหน้าที่แรกที่ทุกคนต้องทำให้สำเร็จก็คือ
ต้องรู้ "ธรรมจักรกัปวัตนสูตร"
อันหมายถึงต้องรู้กฎการหมุนธรรมจักรในตนเอง
เพื่อหมุนมันให้สำเร็จให้จงได้
ถ้าหมุนไม่ได้หรือไม่สำเร็จ
ก็เป็นมนุษย์ไม่ได้ดังกล่าวข้างต้นนั้น

พระองค์มิได้ทรงห้ามว่าอย่าเข้าไปยุ่ง
เพราะถ้าท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ไม่สำเร็จ
ท่านก็จะช่วยให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้
เหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องไม่ได้
จะช่วยค้ำจุนโลกให้สมดุลตลอดไปไม่ได้

4.เมื่อท่านได้รู้ดั่งนี้แล้ว
ท่านคงปรารถนาที่จะเรียนรู้กันแล้วใช่มั้ยว่า
กระบวนการของขันธ์ 5
ที่ท่านมีหน้าที่ต้องแทรกแซงมันนั้น
ท่านต้องทำกันอย่างไร

โปรดติดตามตอนต่อไป
อีกสักครู่....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-1-2016

กระบวนการของขันธ์ 5 คือ ธรรมจักร 2







ความจริงเรื่องขันธ์ 5 ยังมีอยู่อีกว่า
จิตวิญญาณผู้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
ตั้งแต่เป็นกุมารน้อยวัย 3 ขวบบริบูรณ์
ก็สามารถสร้างกระบวนการของขันธ์ 5
ในระบบอัตโนมัติได้แล้ว

การที่องค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ทรงกำหนดติดตั้งระบบอัตโนมัตินี้ไว้ให้ใช้

ก็เพื่อให้ผู้มาเกิดใหม่ผลิตสร้างพลังงานชีวิต
ให้แก่เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ที่ประกอบด้วยโครงสร้างทางชีววิทยา
อันมีกระบวนการทางไฟฟ้าเคมีในระบบเซล
และมีกระบวนการทางพลังงานในระบบจิต
ที่จะต้องสั่นสะเทือนร่วมกันในสองมิติ
โดยอาศัยพลังงานชีวิตเป็นพลังงานพื้นฐานได้

เพราะถ้าเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ขาดพลังงานชีวิตที่จะต้องผลิตสร้าง
โดยสั่นสะเทือนผ่านกระบวนการของขันธ์ 5
ในระบบอัตโนมัติเป็นตัวขับเคลื่อนแล้ว
คนๆนั้นก็จะมิอาจมีชีวิตรอดต่อไปได้

กระบวนการของขันธ์ 5
ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้ใช้
ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัตินั้นมีขั้นตอนดังนี้

1.เมื่อกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
และจิตหยาบเองที่เป็นอายตนะภายในด้วย
ถ้าอายตนะชิ้นใดมีการสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งหนึ่ง
อายตนะนั้นก็จะนำส่งข้อมูลที่ตนสัมผัสได้
ไปยัง "จิตหยาบ" ตรงตาที่สามเสมอ

2.เมื่อจิตหยาบได้รับข้อมูลที่อายตนะส่งมาให้แล้ว
ก็จะสั่นสะเทือนเป็น "การรับรู้รูป" ขึ้นมาทันที

ซึ่งการที่จิตจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น
จิตของท่านจะต้องไปเอาคำตอบมาจาก "สัญญา"
แต่ถ้าจิตยังไม่รู้เพราะไม่เคยมีประสบการณ์
จิตก็จะทำหน้าที่เรียนรู้ความรู้ใหม่นั้น
แล้วนำความรู้ใหม่ที่ได้ไปบันทึกไว้ใน "สัญญา"

ขั้นตอนนี้ คือ การเกิด "รูป"
จากการผัสสะของกลไกอายตนะ
โดยมีตัว "สัญญา" ผู้บันทึกความทรงจำ
เป็นเพื่อนร่วมงานผู้ทำการช่วยเหลือด้วย

3.เมื่อจิตเกิดการรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
สภาวะธรรมที่เป็นธรรมดาของจิตหยาบนั้น
มันมักจะสั่นสะเทือนเป็นการ "รับเอา" เสมอ

การรับรู้แล้วมีการรับเอาเกิดขึ้นนี่แหละ
เป็นการปรุงแต่งของจิตเมื่อรับรู้สรรพสิ่งนั้น

ผลการปรุงแต่งของจิตก็คือ "ความรู้สึก"
ที่จิตมีต่อสรรพสิ่งนั้นในปัจจุบันขณะนั่นเอง
เช่น สวยไม่สวย ชอบไม่ชอบ ดีไม่ดี เป็นต้น
ซึ่งการที่จิตของท่านเกิดความรู้สึกขึ้นเช่นนี้
มันจะยังผลให้จิตสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ต่ำ
ที่เรียกกันว่า "จิตตก" หรือจิตเศร้าหมอง

ขั้นตอนนี้ ก็คือ
การเกิด "เวทนา" ของจิตโดยเฉพาะ

4.ทันทีที่จิตสั่นสะเทือนเป็น "เวทนา"
คือมีความรู้สึกเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตาม
จิตก็จะสั่นสะเทือนต่อเนื่องทันที
ด้วยการสร้าง "ความอยาก-ไม่อยาก" ขึ้นมา
ที่คนทั่วไปจัดว่าเป็น "ตัณหา" นั่นเอง

เหตุที่จิตของพวกท่าน
ต้องสร้างอาการอยากไม่อยากขึ้นมา
ในขั้นตอนนี้ก็เพื่อที่จะ
ทำให้สิ่งที่ตนเกิดความรู้สึกอยู่นั้น
เป็นรูปธรรมหรือมีอัตตาตัวตนขึ้นมา
จะได้ช่วยให้จิตเองสามารถยึดเกาะ
เหนี่ยวรั้งมันได้ง่ายๆนั่นแหละ

เมื่อจิตของท่าน
สั่นสะเทือนเป็นความอยากแล้ว
จิตก็จะก้าวไปสู่อีกขั้นตอนหนึ่งแบบต่อเนื่อง
โดยจิตนั้นจะไปสั่นสะเทือน
อยู่ในกลุ่มของ "ความโลภ"

เหตุที่เกิดความโลภ
ก็เพราะอยากได้ ใคร่มี
ถ้าไม่ได้ดั่งใจอยากก็จะนำไปสู่ "โทสะ"
ถ้าอยากได้มากๆก็จะกลายเป็นงมงาย
คือ เกิดการมี "โมหะ" ขึ้นมาได้

ขั้นตอนของการเกิดโทสะ โลภะ โมหะ
อันเป็นผลจากความอยากไม่อยากนี่แหละ
เป็นขั้นตอนของการเกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา
ที่รวมเรียกว่า "สังขาร"

5.เมื่อจิตสั่นสะเทือนมาถึง
ขั้นตอนของขันธ์ 5 ที่เรียกว่า "สังขาร" แล้ว

ถ้าจิตสั่นสะเทือนเป็นโลภะ โทสะ โมหะ
กับอารมณ์หยาบๆรายวันทั้งปวง
มันก็จะยังผลให้กลไกที่ชื่อ
"คอร์พัสคอลโลซั่ม"
ซึ่งอยู่ใต้สมองสองซีกของท่าน
ผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าด้านลบออกมา

เพื่อนำส่งให้ต่อมพิทูอิทารี่
ทำการแปลงระบบเป็น
คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
เพื่อนำส่งต่อไปยังสมองสองซีกส่วนหนึ่ง
และจิตหยาบจะเหวี่ยงมันออกมา
ภายนอกอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า "พลังจิต"

ขั้นตอนของขันธ์ 5 ในขั้นนี้ก็คือ
การเกิด "พลังงาน" ขึ้นมา
อันเป็นผลลัพธ์สุดท้าย
ในกระบวนการของขันธ์ 5 ของคนสองมิติแล้ว
ซึ่งพระศาสดาของพวกท่าน
เรียกพลังงานที่ถูกผลิตสร้างขึ้นนี้ว่า "วิญญาณ"
เพราะเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่โลกต้องการจากพวกท่านโดยแท้จริง

ที่ไม่ทรงเรียกว่า "พลังงาน"
ก็เพราะทรงหมายให้ท่านทั้งหลาย
เข้าแทรกแซงกระบวนการนี้ให้สำเร็จให้ได้
เพื่อให้ท่านใช้จิตวิญญาณแก่นแท้
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกระบวนการของขันธ์ 5
แทนการทำหน้าที่ของจิตหยาบ
ที่เป็นระบบอัตโนมัติ
ตั้งแต่เป็นกุมารน้อยเสียให้จงได้

เนื่องจากพลังงานที่จิตหยาบผลิตสร้างนั้น
มันจะเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่เป็นด้านลบมากกว่าด้านบวกซึ่งโลกไม่ต้องการ
เพราะช่วยค้ำจุนโลกไม่ได้
อีกทั้งยังให้พลังงานชีวิต
แก่เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่าน
ไม่เพียงพอต่อการมีชีวิตที่เป็นอมตะได้อีกด้วย

มนุษย์โลกเสรีจึงมีอายุขัยสั้นลงเรื่อยๆ
สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ
สภาวะจิตสำนึกก็ตกต่ำดำลงเรื่อยๆ
ทั้งๆที่สังขารร่างกายของทุกๆท่านนั้น
พระบิดามิได้ทรงกำหนดให้มันต้องมีอายุขัย
คือ ทุกคนต้องตายเลยสักคนเดียว!!!

มันเกิดอะไรขึ้นกับการเป็นมนุษย์
ของพวกท่านทั้งหลายกันแน่?

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-1-2016

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559

ความจริงเรื่องขันธ์ 5






เราจะเผยความจริงเรื่องขันธ์ 5
เมื่อรู้แล้วก็จงปฏิบัติเสียให้ถูกต้อง
อย่าอวดอุตริหรืองมงายต่อไปอีกเลย
นัยความจริงมีว่าดั่งนี้
1.เพราะมนุษย์ถูกสร้างให้เป็น "คน 2 มิติ"
มนุษย์แต่ละคนจึงถูกกำหนดให้
มีปฏิบัติการของขันธ์ 5
อันประกอบด้วย
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
2.ปฏิบัติการของขันธ์ 5
เป็นกระบวนการเชื่อมโยงกันระหว่าง 2 มิติ
คือ มิติแห่งกายสังขารด้านกายภาพ
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
กับมิติแห่งแก่นแท้ด้านพลังงาน
ของดวงจิตธรรมญาณผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
3.ผู้ซึ่งทำหน้าที่ปฏิบัติการของขันธ์ 5
ให้สำเร็จเสร็จสมบูรณ์ก็คือ "จิตปัจจุบัน"
หรือ จิตหยาบ หรือ จิตคนนั่นเอง
4.หลักการปฏิบัติของคนแต่ละคนก็คือ
จะต้องใช้จิตหยาบของกายหยาบหรือกายสังขาร
สั่นสะเทือนเพื่อสร้างกระบวนการของขันธ์ 5
อันเปรียบได้ดั่งบันได 5 ขั้น
เพื่อเข้าถึงตัวตนแก่นแท้
คือจิตวิญญาณในมิติทางพลังงานของตนให้ได้
ปฏิบัติการนี้เรียกว่าการ "คน" หรือ "หมุน"
ถ้าใครคนใดหมุนหรือคนจนเป็นผลสำเร็จได้
คนผู้นั้นจักเป็น "มนุษย์" ที่สมบูรณ์
เพราะสร้างสมดุลระหว่างสองมิติในตนเอง
คือมิติทางกายภาพกับมิติทางพลังงาน
เป็นผลสำเร็จอย่างสิ้นเชิงได้
หากกล่าวแบบสังเขปก็คือ
จิตวิญญาณของท่านผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
ได้มอบหน้าที่ให้จิตหยาบ
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายหยาบที่เราเรียกว่า
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์แทนตน
เพื่อสร้างสานสัมพันธ์กับตน
จนเป็นหนึ่งเดียวกันให้จงได้
ทั้งนี้เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อน 2 มิติร่วมกัน
ด้วยกระบวนการของขันธ์ 5 นี่แหละนะ
5.การสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
เพื่อสร้างกระบวนการของขันธ์ 5 นั้น
พระผู้สร้างทรงกำหนดให้มี 2 ขั้นตน
จึงเป็นหน้าที่อันสำคัญของทุกท่าน
ที่จะต้องรับผิดชอบมัน
ด้วยการปฏิบัติตาม 2 ขั้นตอนนี้ให้สำเร็จ
การปฏิบัติตามกระบวนการของขันธ์ 5
จึงถูกเรียกว่า "หมุน" หรือ "คน"
ผู้ที่หมุนหรือคนเป็นผลสำเร็จ
จึงจะถูกเรียกว่า "มนุษย์" ได้เต็มคำ
6.ขั้นตอนแรกของการ "คน"
ถูกกำหนดไว้ให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ
โดยตั้งแต่แรกเกิดเป็นทารก
ท่านก็สามารถเข้าสู่ระบบนี้ได้แล้ว
ขั้นตอนที่สองจะเป็นระบบ "กดปุ่ม"
อันหมายถึงทุกคนจะต้องนำจิตวิญญาณ
เข้า "แทรกแซง" กระบวนการของขันธ์ 5
แทนจิตหยาบหรือจิตมนุษย์แต่เดิมให้จงได้
7.ใครไม่สำนึกรู้ในภารกิจสำคัญ
ในการสร้างกระบวนการของขันธ์ 5
คนผู้นั้นจะถูกเรียกว่า "คน" ไม่ได้
เพราะว่าวันๆหนึ่งไม่ทำหน้าที่ "คน" เลย
คนผู้นั้นจะถูกเรียกว่า "มนุษย์" ไม่ได้
ถ้าวันๆนึ่งยังไม่รู้ว่าต้อง "คน" อย่างไร
คนผู้นั้นจะถูกเรียกว่า "มนุษย์" ไม่ได้
ถ้าคนๆนั้นแม้จะรู้ว่าต้องคนแล้ว
แต่ยังคนไม่เป็นผลสำเร็จ
คนผู้นั้นจะทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ตามพันธะสัญญา 6
ซึ่งเคยให้ไว้กับพระบิดาแห่งจิตวิญญาณไม่ได้
จึงพากันสอบตกทุกบททดสอบจิตสำนึก
พวกท่านจึงมิอาจผ่านบทเรียนโลกกันไปได้
เพราะมัววุ่นวายอยู่กับการมีสังสารวัฏ
จนมิอาจคืนกลับบ้านหรือหลุดพ้นออกไปได้
(โปรดย้อนกลับไปทบทวนพระโอวาท)
หมายเหตุ:
โปรดเฝ้าติดตามพระโอวาท
เกี่ยวกับเรื่องที่ทูลถามกันมา 3 ประเด็น
ในตอนต่อไป
1.ปฏิบัติการของขันธ์ 5 คืออย่างไร
ท่านจะรู้เรื่องขันธ์ 5 กันทำไม
2.ท่านมีหน้าที่จะต้องเข้าแทรกแซง
ในขั้นตอนที่ 2 กันอย่างไร
3.หลับหูหลับตานั่งคนเดียววันละไม่นาน
เพื่อหวังสร้างกระบวนการของขันธ์ 5
เหมาะสมกับบทบาทฆราวาสแค่ไหน
เราขอยืนยันว่าเป็นฆราวาสทุกเพศวัย
สามารถ "นิพพาน" หรือ หลุดพ้นในชาตินี้ได้
ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวช นักพรต
เพราะนิพพาน หมายถึง
"การกลับบ้าน" ของแก่นแท้
เราจึงกลับมาเพื่อนำพา
แก่นแท้ของพวกท่านกลับบ้าน
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-1-2016

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

อย่าใช้ ความรู้สึก รับรู้ สภาวะธรรม







เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ที่เป็นผู้ครองเรือนแล้วยังติดชินอยู่กับ
ปฏิบัติการเจริญสมาธิภาวนาว่า

เป็นการ "หลงผิด" อย่างยิ่ง
ถ้าหากท่านใช้วิธีนั่งหรือนอนหลับตา
แล้วหยิบฉวยเอา "ความรู้สึก"
มาเป็นเครื่องมือในการ "รับรู้" สภาวะธรรมใดๆ
ซึ่งบังเกิดขึ้นที่ในจิตของท่านในปัจจุบันขณะ

ที่เราชี้ว่าเป็นการ "หลงผิด" หรือ เข้าใจผิด
ก็เพราะเรามีความจริงที่จริงแท้
ซึ่งเป็นสัจธรรมในระดับโลกุตรธรรม
ที่จะกล่าวต่อท่านทั้งหลายไว้ดังนี้

1.ที่เราแย้งว่าเป็นการหลงผิดก็เพราะว่า
แม้สิ่งที่ท่าน "รู้สึกได้" นั้น
มันจะมิใช่การเห็นตัวตนรูปธรรม
หรือแลเห็นนิมิตก็ตาม

แต่ทว่า "ความรู้สึก" ของท่านที่เกิดขึ้นนั้น
ม้นยังเป็นอาการของจิตที่เกิดจากการปรุงแต่ง
มันยังมิใช่สิ่งพิสุทธิ์โปร่งใส
จึงเชื่อถือไม่ได้หรอกว่าสิ่งที่ท่านรู้สึกอยู่นั้น
มันเป็น "สภาวะธรรม" แท้จริง

2.ท่านจะเอา "ความรู้สึก" ของตนเอง
ในขณะนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนาอยู่
มาเป็นเครื่องชี้วัดตัดสินสิ่งที่รับรู้ว่า
สิ่งนั้นๆเป็นสภาวะธรรมไม่ได้

เพราะความรู้สึก คือ เวทนา
ซึ่งเป็นกิเลสตัวแม่ที่เป็นหนึ่งในขันธ์ 5 นั้น
ท่านจะยอมให้มันดำรงอยู่
เป็นคุณสมบัติของจิตต่อไปอีกไม่ได้เด็ดขาด

เนื่องจากเวทนาหรือกิเลสนี่เอง
ที่มันจะชักพาจิตท่าน
ให้เข้าป่าเข้าพงหลงมายา
จนเกิดเป็นตัณหา เป็นสัญญา
เป็นสังขาร เป็นอารมณ์ และวิญญาณ
ตามลำดับกระบวนการของขันธ์ 5 นั่นแหละ

หน้าที่ของท่านก็คือจะต้อง "ดับ" มัน
มิใช่สั่นสะเทือนเพื่อที่จะใช้มัน

ท่านรู้หรือไม่ว่า
เพราะจิตเกิดเวทนาขึ้นมานี่แหละ
สภาวะสุญญตาของจิตจึงเกิดขึ้นไม่ได้
(โปรดย้อนไปอ่านพระโอวาทที่ผ่านมา
เพื่อทบทวนว่า "จิตสุญญตา" คือยังไง)

3.ท่านจงอย่าไปเชื่อว่า
ขณะปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยการปลีกวิเวก
คือ นั่งหลับตาแล้วภาวนาจิตอยู่คนเดียวนั้น
มันไม่มีอะไรที่จะใช้เพื่อรับรู้สภาวะธรรมได้
นอกเสียจากการใช้ "ความรู้สึก" เท่านั้น

แท้จริงแล้วเครื่องมือของท่าน
ที่จะใช้รับรู้สภาวะธรรมที่ในจิตนั้นมันมีอยู่
มันคือสิ่งที่เรียกกันว่า "จิตตปัญญา" ไงล่ะ
ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า
"ปัญญาญาณ" นั่นเอง

โดยท่านจะสามารถเข้าถึง "ปัญญาญาณ"
อันเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญ
ที่จะใช้แทน "ความรู้สึก"
เพื่อรับรู้สภาวะธรรมได้
ก็ด้วยการยกระดับความฉลาดทางจิตตปัญญา
ที่พวกท่านเรียกกันสั้นๆว่า "ญาณ"
ผ่านปฏิบัติการ "วิปัสสนากรรมฐาน" นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง
การใช้ความรู้สึกรับรู้สภาวะธรรม
อันหมายถึงความจริงที่จริงแท้
ในระดับสากลจักรวาล
ที่เรียกว่าปรมัตถธรรมนั้น
จึงเป็นการหลงผิดอย่างยิ่ง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-1-2016

เข้าถึงสภาวะธรรม ด้วยวิธีธรรมชาติสมาธิ





การนั่งหลับตาเพื่อค้นหาความจริง
ของสรรพสิ่งใดๆแม้แต่ที่อยู่ในจิตใจตน

จักต้องใช้ความสามารถทางจิตตปัญญา
เพื่อการนึกเอาด้วยจิต
ร่วมกับการคิดด้วยสมองสองซีกนั้น
ค่อนข้างลำบากยากยิ่ง
เพราะท่านจะต้องใช้วิธีนึกเอาเองว่า
ท่านปรารถนาจะเรียนรู้สภาวะธรรมของสิ่งใด
ท่านก็ต้องหยิบยกเอาสิ่งนั้นมาพิจารณา

เปรียบได้ดั่งนักเรียน
ที่จะต้องลงมือเขียนหลักสูตรเอง
เพื่อเรียนรู้เอาเองนั่นแหละ
ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องที่ตนกำหนดไว้ว่าจะเรียน
ด้วยการหยิบเอามาขบคิดพิจารณานั้น
มันสมควรที่จะเรียนรู้แล้วหรือไม่
ที่เรียนรู้จนได้รู้แล้วนั้นมันใช่หรือเปล่า
เพราะต้องมโนนึกเอาเองโดยแท้

เราจึงมักกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จงอย่าเดินถ่างขาต่อไปเลย
เพราะว่ามันจะสร้างปัญหาให้ตัวเองมากกว่า

ถ้าท่านเลือกที่จะเป็นผู้ครองเรือน
ในบริบทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
โดยไม่เลือกใช้วิธีเข้าถึงสภาวะธรรม
ด้วยปฏิบัติการเท็คนิกสมาธิในแบบนักบวชแล้ว
ท่านก็ยังสามารถเข้าถึง
สภาวะธรรมของสรรพสิ่งได้
ด้วยวิธีธรรมชาติสมาธิ
อันเป็นวิธีที่ไม่ต้องปลีกวิเวก

ขอเพียงในชีวิตประจำวันท่านต้องใส่ใจ
ติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ตนเองให้จงได้
อีกทั้งเน้นการครองมหาสติ
และแสดงปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจนเข้าไว้
ซึ่งคนแวดล้อมรอบตัวท่าน
จะเข้ามาช่วยกันสร้างปัญหาและทำตัวไม่น่ารัก
เพื่อให้ท่านเรียนรู้ที่จะใช้ความรักและปัญญา
พัฒนาตนเองให้ยอดยุทธยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

นี่หมายความว่า
ท่านมิพักต้องเขียนหลักสูตรเอง
แต่มีเพื่อนมนุษย์ช่วยกำหนดเรื่องราวให้ท่าน
ได้เข้าใจและเข้าถึงสภาวะธรรมนั้นๆ
โดยที่ท่านเรียนรู้ทุกสิ่งในโลกแห่งความเป็นจริง
ไม่ต้องนั่งมโนนึกหรือสร้างจินตภาพมายาเองเลย

สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ท่านเข้าถึง
สภาวะธรรมอันเป็นสากลของสรรพสิ่งใดๆได้
มีอยู่ 2 ประการที่สำคัญคือ

1.ท่านจะสามารถมองผ่านอัตตารูปลักษณ์
ที่เป็น "มายา" ของสรรพสิ่งนั้นๆ
เข้าไปให้ถึงแก่นแท้ของมัน
ได้หรือไม่ อย่างไร

2.ท่านจะสามารถมองเห็นหรือรับรู้
"คุณสมบัติ" แท้จริงของสรรพสิ่งนั้น
ได้หรือไม่ ได้ดีแค่ไหน และได้อย่างไร เป็นต้น

ดังนั้น
การที่ท่านจะเข้าถึงความจริงของสรรพสิ่งได้
ท่านจึงต้องมีความฉลาดทางปัญญา
เพื่อใช้ปัญญาของท่านมองเห็นความจริง
หรือเห็นสภาวะธรรมของสรรพสิ่งได้ถูกต้อง
ด้วยจิตตปัญญาของท่านเท่านั้น
มิใช่รู้เห็นด้วยอายตนะหรือรับรู้ด้วยความรู้สึก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-1-2016

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

การเปลี่ยนแปลงโลกแห่งความจริงที่ยิ่งใหญ่





เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
ขึ้นปีใหม่ 2559 ทั้งที
ถ้าท่านปรารถนาจะมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
ก็จงอย่าเที่ยวร้องขอพรจากคนอื่น
ก็จงอย่ามัวยืนรอรับพร
ที่คนอื่นเขา "อวย" ให้
ก็จงอย่าเอาแต่ทำบุญสิ้นปี
แล้วเว้าวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยบันดาลให้
จงอย่ารอให้ส้มหล่นไปวันๆ
โดยที่ท่านไม่ได้คิดอ่านทำอะไรๆ
ให้มันผิดแผกแตกต่างไปจากปีกลายเลย
เคยคิดแบบไหนก็ยังคิดอยู่แบบเดิมๆ
เคยมองโลกมุมไหนก็ยังมองอยู่แต่มุมเดิมๆ
เคยทำแบบไหนก็ยังทำอยู่แบบเดิมๆ
เคยบกพร่องอะไร
ท่านก็ยังบกพร่องอยู่อย่างเดิม
เคยมีนิสัยไม่ดีด้านไหน
ท่านก็ยังอนุรักษ์มันไว้อยู่อย่างเดิม
เชื่อเถิดว่าตลอดปีใหม่นี้
มันจะเป็นอีกปีหนึ่ง
ซึ่งท่านคงจะเหมือนเดิมนั่นคือ
ถ้าจะรวยก็คงรวยเท่าเดิมหรือน้อยกว่า
ถ้าจะจนก็คงจะจนเหมือนเดิมหรือมากกว่า
ถ้าจะสุขก็คงจะสุขเท่าเดิมหรือน้อยกว่า
ถ้าจะทุกข์ก็คงจะทุกข์เหมือนเดิมหรือมากกว่า
ด้วยเหตุดั่งนี้เอง
เราจึงย้ำต่อท่านทั้งหลายเสมอมาว่า
การเปลี่ยนแปลงใดๆในชีวิตท่านที่ผ่านมา
มันมิได้ขึ้นอยู่กับใครอื่นเลย
เกิดจากตัวท่านเองทั้งสิ้น
การที่คนๆหนึ่งพลัดตกท่อทางเท้า
เป็นเพราะเขาเดินไม่ระวังเอง
หรือเป็นเพราะเทศบาลเหลวไหล
ไม่ปิดฝาท่อให้เรียบร้อยกันแน่
การที่ใครคนหนึ่ง
มีตำแหน่งงานไม่ก้าวหน้า
ก้าวช้ากว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
เป็นเพราะเจ้านายไม่ดีหรือว่า
เป็นเพราะเจ้านายตาบอด
มองไม่เห็นความดีและผลงานของคนๆนั้น
หรือเป็นเพราะคนๆนั้นมีผลงานบกพร่อง
หรือเป็นเพราะคนๆนั้น
มีนิสัยบางอย่างไม่เข้าตานาย
หรือนายมองไม่เห็นความโดดเด่น
เพราะเขายังเน้นทำดีน้อยไปหน่อย
ท่านจะเห็นตัวอย่างแล้วว่า
ถ้าใครคนนั้นยังหลงตัวเองอยู่
เขาก็จะได้แต่โทษคนอื่นมากกว่าจะยอมรับผิด
เมื่อตนเองไม่ยอมรับว่าตนผิดตนบกพร่อง
การปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดบกพร่องนั้น
เพื่อการเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่
มันก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้เลย
ท่านจึงต้องใช้หลักการเปลี่ยนชีวิตให้ดีกว่าเดิม
เพื่อให้พรและให้รางวัลแก่ตนเอง
ด้วยทีเด็ดที่เราขอชี้แนะดังต่อไปนี้
1.จงทบทวนความไม่สำเร็จในรอบปีที่ผ่านมา
ถ้าท่านปรารถนาจะทำสิ่งนั้นอยู่อีกในปีนี้
ว่ามันมีข้อผิดพลาดบกพร่องตรงไหนอย่างไรบ้าง
2.เรียนรู้ที่จะยอมรับข้อผิดพลาดบกพร่องนั้น
ด้วยการไม่โทษคนอื่น ไม่กล่าวตำหนิผู้อื่น
ท่านต้องไม่โทษเพื่อนร่วมงาน ไม่โทษเจ้านาย
3.ท่านต้องไม่โทษฟ้าดิน
ไม่โทษผีสาง ไม่โทษโชคชะตา
ที่สำคัญคือ ต้องไม่โทษตัวเองด้วย
เพราะการเที่ยวโทษคนอื่นๆหรือสิ่งอื่นๆ
แม้กระทั่งการโทษตัวเองนั้น
มันมิใช่การยอมรับข้อผิดพลาดของตน
ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างจริงใจ
แต่มันเป็นการ "หาที่ลง" ให้มันแล้วๆไป
เพื่อที่ตนจะไม่ต้องทำอะไรกับมันต่างหาก
4.เมื่อค้นพบข้อผิดพลาดบกพร่องแล้ว
ขั้นตอนต่อมาก็คือ "การรู้จักตักเตือนตนเอง"
มิให้มีการพลาดพลั้งเผลอไผล
ไปกระทำแบบเดิมๆนั้นซ้ำเข้าให้อีกตลอดทั้งปี
เพราะ "การไม่กระทำผิดซ้ำ"
มันก็คือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
ในชีวิตนี้ชาตินี้ของท่านเลยทีเดียวนะ
5.ค้นหาวิธีคิดวิธีทำแบบใหม่ๆ
อ่านมาก ฟังมาก ถามผู้รู้มากๆ
และคิดให้มากๆ (แต่อย่าคิดมาก)
โดยให้คิดนอกกรอบด้วย
คือคิดในแง่มุมที่ท่านไม่เคยคิดบ้าง
มองในมุมที่ท่านไม่เคยมองบ้าง
ฟังคนรอบข้างที่ท่านไม่เคยใส่ใจจะฟังเขาบ้าง
หยุดฟังหยุดมองหยุดคิดตามคนรอบข้าง
แล้วหันมาลองฟังความคิดตัวเองบ้าง
มองในมุมของตัวเองบ้าง
ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้
มันคือ การเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น
อย่าลืมว่า.....
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายบนโลกใบนี้
ไม่มีใครเกลียดกลัวหรือรังเกียจ
การเปลี่ยนแปลงตนเองเลยสักคน
เคล็ดลับของพวกเขา
ที่ช่วยให้พวกเขาเป็นผู้นำคนอื่นๆได้
ก็เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้น
"เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง" โดยแท้
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็น "พร" หรือสิ่งดีๆที่ท่านทั้งหลาย
สามารถจะหยิบยื่นให้กับตนเองได้เสมอ
จงอย่ามัวสนุกสุขสมหวังแต่ทางโลก
จนลืม "หยิบสุขสงบนิรันดร์"
ให้แก่จิตวิญญาณของท่านด้วยก็แล้วกัน
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-1-2016

ใครจะโชคดีรับปีวอก 2559:





ใครจะโชคดีรับปีวอก 2559:

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ความโชคดีในปลายยุคพลังงานเก่านี้
เป็นสิ่งดีๆที่ท่านจะต้องสั่นสะเทือนมัน
ที่จิตสำนึกของตนเอง
เพื่อสร้างมันขึ้นมาแล้วมอบให้แก่ตนเอง
ในโลกแห่งความเป็นจริง

มิใช่สิ่งดีๆใดๆในชีวิตที่ท่านปรารถนา
ด้วยการฝันที่จะได้มันมาจากอากาศธาตุ

ดังนั้น
คนที่จะโชคดีรับปีวอก
จึงต้องเป็นผู้มีความสามารถ
ในการสั่นสะเทือนจิตสำนึกตนเองเป็น
เพื่อกระทำสิ่งดีๆที่ตนประสงค์นั้น
ด้วยคุณสมบัติอันประเสริฐ 6 อย่าง คือ

1.ต้องมีความอยากรู้
อยากเห็นสูง
จะยังผลให้ท่าน
มีความต้องการเรียนรู้สูงตามไปด้วย

เมื่อมีความต้องการเรียนรู้สูง
มันก็จะช่วยให้ท่าน
ใส่ใจในทุกสิ่งรายรอบตัวท่าน
จะทำให้ท่านมี "ความรอบรู้" มากขึ้นได้

เพราะการรู้จริง รู้มาก หรือรอบรู้
เป็นคุณสมบัติหนึ่งของ "คนเก่ง"

2.ต้องมีความว่องไวปราดเปรียว
จะยังผลให้ท่านทันโลกทันสมัย
ไม่ล้าหลังใครอื่น

ความปราดเปรียวว่องไว
ในที่นี้ยังหมายถึง
ความเชี่ยวชาญในด้านที่ท่านลงมือทำ
ความชำนาญในการใช้อายตนะและอวัยวะ
มันจะช่วยให้ท่านเข้าถึงความก้าวหน้า
มันจะช่วยให้ท่านเข้าถึงความสำเร็จ
ได้อย่างราบรื่น รวดเร็ว และเรียบร้อย

3.ต้องมีความเฉลียวฉลาดพอตัว
จะยังผลให้ท่านสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ได้
จะยังผลให้ท่านข้ามผ่านอุปสรรคปัญหาได้
จะยังผลให้ท่านมองโลกหลายมิติได้มากขึ้น
จะยังผลให้ท่านฉลาดคิดวิเคราะห์
จะยังผลให้ท่านฉลาดและกล้าตัดสินใจ
จะยังผลให้ท่านฉลาดเรียนรู้

ความเฉลียวฉลาดทางปัญญาที่สูงกว่า
มันจะนำพาความก้าวหน้าและความสำเร็จ
มาให้ชีวิตท่านกับคนที่ร่วมชีวิตกับท่านได้แน่

4.ต้องมีความรักในพวกพ้อง
เพราะการสร้างปิรามิดหรือกรุงโรมนั้น
เป็นงานอันยิ่งใหญ่อลังการณ์
ที่ไม่มีใครหรือแม้แต่ตัวท่านเองหรอก
ที่จะสามารถเนรมิตมันขึ้นมาได้

งานใหญ่ๆต้องใช้พลังคนหมู่มากกันทั้งสิ้น
ท่านจึงต้องพึ่งพาคนอื่นด้วยมาช่วยกันสร้าง
ท่านจะหลงตนเองทำเบ่งอวดเก่งคนเดียวไม่ได้
ท่านจะดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่นไม่ได้
ท่านจะไม่แคร์คนอื่นไม่ได้

ความร่วมมือที่ดีๆจากคนรอบข้างของท่าน
มันจะมากน้อยแค่ไหนก็ต้องอาศัย
การมองเห็นคุณค่าของพวกเขา
ในสายตาที่ทอดยาวๆไปข้างหน้าของท่านด้วย

5.ต้องมีความสามารถรับฟังและใช้
สัญชาตญาณภายในตนเองได้ดีพอตัว

สัญชาตญาณภายในตัวท่าน
มันคือการสื่อสารจากแก่นแท้ภายใน
กับจิตมนุษย์หรือจิตหยาบของท่านเอง
เพื่อบอกความต้องการของแก่นแท้แก่ท่าน
เพื่อแจ้งข่าวสารสำคัญให้ตัวท่านรู้ล่วงหน้า
เพื่อให้ความจริงแก่ท่านว่าไหนควรไม่ควร

ทุกวันนี้พวกท่านส่วนใหญ่
ไม่เคยได้รับรู้สัญชาตญาณของตนเองเลย
เพราะพวกท่านไม่เคยใส่ใจรับฟังมานานแล้ว
มิติจึงเสมือนถูกปิดไปนานแล้ว

น่าเสียดายจริงๆนะ
ถ้าจิตวิญญาณของท่านรู้ล่วงหน้าว่า
จะเกิดอะไรร้ายๆต่อตนเองบ้าง
แต่ไม่สามารถสื่อสารกับจิตหยาบของตนได้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ความสำเร็จใดๆในมิติโลกและแก่นแท้นั้น
ท่านสามารถกระทำควบคู่กันได้ทั้งสองมิติ
โดยมิพักต้องลาออกจากการเป็นฆราวาสเลย

เพียงท่านใช้จิตตปัญญาของท่าน
คิดแบบ "จิตจักรวาล"
แทนการคิด "ด้วยจิตมนุษย์" อยู่ด้านเดียว

ความทุกข์
ความไม่สำเร็จ
ความไม่ก้าวหน้า
ความไม่มั่นคง
ความเดียวดาย
ฯลฯ

ท่านจะไม่รู้จักมันอีกตลอดปีและตลอดไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-1-2016

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

สวัสดีปีใหม่ 2559 มาอวยพรให้ตนเองสำเร็จในสิ่งที่หวังกันดีกว่า






ลาทีปีเก่า พ.ศ.2558
ลาทีวิธีร้องขอแบบเก่าๆ
ลาทีวิธีคิดแบบเก่าๆ
ลาทีวิธีทำแบบเก่าๆ
ลาทีนิสัยไม่ดีแบบเก่าๆ
ทิ้งมันไว้ที่ปีเก่าที่ผ่านมาเสียเถอะ

สวัสดีปีใหม่ 2559
มาอวยพรให้ตนเองสำเร็จในสิ่งที่หวังกันดีกว่า
*******
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ชีวิตของท่านจะเป็นเช่นไร

จะรุ่งเรืองอร่ามโรจน์
จะรุ่งริ่งหรือร่อแร่
ตลอดปีใหม่ 2559 นั้น
ท่านทั้งหลายจงระลึกเสมอว่า

1.คำอวยพรของผู้อื่นที่เขายื่นหยิบมาให้ท่านนั้น
ต่อให้หวานไพเราะและแยบยลแค่ไหน
มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตท่านได้

2.คำอวยพรของผู้สูงส่งท่านใดก็ตาม
มันเป็นแค่เพียงการแสดงความเมตตาต่อท่าน
ที่พอจะเป็นความหวังกับกำลังใจให้ท่านได้บ้าง
แต่ก็ไม่สามารถสร้างความสำเร็จใดๆ
ไปตามคำอำนวยพรนั้นได้

3.การทำบุญสุนทานและอธิษฐาน-ภาวนา
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ข้ามทิวาราตรี
ก็มิอาจบันดาลสิ่งใดที่ท่านประสงค์ร้องขอได้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระบิดาทรงกำหนดให้ท่านเป็นคนสองมิติ
ท่านต้องเน้นที่ "จิตตปัญญา" ตนเอง
หรือสั่นสะเทือนที่จิตสำนึกตนเองเท่านั้น
ทุกสิ่งที่ฝัน ทุกอย่างที่ต้องการ
มันจึงจะเป็นรางวัลสำหรับท่านได้

หมายความว่า
ถ้าท่านต้องการสิ่งดีๆใดๆในชีวิต
ท่านต้องการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตท่าน
ให้มันมีอะไรที่ดีๆยิ่งกว่าขวบปีที่ผ่านมา
ก็จงอย่ายึดมั่นใน 3 ประการที่กล่าวมา
แต่ให้ท่านก้มลงมา
สั่นสะเทือนที่จิตตปัญญาของตนเองแทน

อย่าลืมว่าท่านน่ะ
สามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้
ด้วยการกระทำที่จิตตปัญญาของตนเองเท่านั้นแหละ

ท่านจะร่ำรวย รุ่งเรือง สำเร็จ สมหวัง
ท่านจะมีทุกสิ่งอย่างที่ดีๆได้
โดยมิพักต้องอาศัยโชคชะตา
โดยมิพักต้องตั้งตารอเพื่อฉลองกันในวันขึ้นปีใหม่หรอก

ความรัก และสติปัญญาของท่านเท่านั้น
ที่จะบันดาลทุกสิ่งแก่ท่านได้
ท่านจงร้องขอจากตนเองเถิด
แล้วท่านจักประสบผลสำเร็จสมปรารถนา

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตาท่าน
เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
1-01-2016