วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วัตถุประสงค์ ของชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก





1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด
 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น
 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว
 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ
 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น
 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

ตักเตือน" เขาให้รู้สำนึก (รู้ตัว) กับวิธี "ติเตียน" นั้นมันต่างกันอย่างไร





ATTN: Srevipa JT
Question:
เราควรปล่อยเขาทำตัวไม่น่ารัก
โดยเราเตือนใดไม่ได้เลยหรือค๊ะ
เพราะบางครั้งยิ่งเตือนยิ่งเตลิด
หากเราเฉยต่อไปเขาจะค่อยๆเรียนรู้
หรือรู้ตัวได้เองชิมิค๊ะ


ANSWER:
ถ้าเธอต้องเจอคนที่ทำตัวไม่น่ารัก
สิ่งอันสมควรทำตามลำดับเลย (ห้ามข้ามขั้นตอน)
มีดังนี้นะ

1.เป็นหน้าที่ของเธอที่จะ..........
ต้องตัก ต้องเตือน ต้องติ ต้องติง
ต้องตอบโต้ หรือ ต้องต่อต้าน
เขาคนนั้นหรือเปล่า...

ถ้าคำตอบ คือ ไม่ใช่ "หน้าที่"
ก็จงล้มเลิกการคิดที่จะเตือนเขาเสียเถอะ
ไม่งั้นเธอจะผิดบาปเสียเองในข้อหา "ก้าวล่วง"
โอเคนะ?

2.ถ้าพบว่าเป็นหน้าที่ของเธอแน่แล้ว
ที่จะต้อง "ตักเตือน" ให้เขารู้สำนึก
เธอก็ต้องถามตนเองว่า
วิธี "ตักเตือน" เขาให้รู้สำนึก (รู้ตัว)
กับวิธี "ติเตียน" นั้นมันต่างกันอย่างไร
เธอควรเลือกใช้วิธีไหนจึงจะไม่ก่อกรรมขึ้นมาใหม่

3.คนส่วนใหญ่มักจะสับสนระหว่าง 2 คำนี้แหละ
เพราะอารมณ์ด้านลบที่ในใจ
มันจะพาปากของตนไปสู่
การระบายอารมณ์ลบออกมาเสมอ
คำกล่าวส่วนใหญ่จึงมิใช่แค่ตักเตือน
แต่มันกลายเป็นติเตียนหรือต่อต้านหรือตอบโต้เขาไป
โดยที่ตัวเองมิได้ตั้งใจ

เหตุผลก็คือ
ไม่ตรวจสอบอารมณ์ตนเองก่อนว่า
ในขณะที่จะทำหน้าที่ตักเตือนเขาอยู่นั้น
ตนเองกำลังทำให้เกิดมวลของคลื่นพลังงานกรรม
กระเพื่อมสั่นขึ้นแล้วเหวี่ยงมันออกมารอบตัวอยู่รึเปล่า

ถ้าพบว่ามันกำลังสั่นสะเทือนเป็นความขุ่นมัว
สั่นสะเทือนเป็นความโกรธขึ้งไม่พึงพอใจ
ก็ให้เธอรีบดับมันเสียให้ได้ภายใน 3 นาที!!!!!
ด้วยคาถาโดนใจ...."ปริญญาโมเดล"
โดยรหัสลับง่ายๆมีอยู่ว่า...
ช่างเขาเถอะ ไม่เป็นไร ยังไงก็ได้
แค่นี้ก็ดีแล้วววว....

4.จงจำไว้ว่า "ต้องจัดการที่ใจตนเองก่อน"
อย่าเพิ่งไปจัดการที่คนอื่น

เพียงเท่านี้เธอก็จะสามารถ
เข้าถึงความรักได้เพราะจิตว่างจากขยะแล้ว
เข้าถึงการใช้ปัญญาได้เพราะหายโง่
อันเกิดจากอารมณ์ขยะปิดกั้นการใช้ปัญญาได้แล้ว

5.ถามตนเองว่า.....
ที่เขาทำตัวไม่น่ารักให้เธอรู้เห็นอยู่นั้นน่ะ
เธอเองเป็นผู้สร้างเงื่อนไขด้วยการทำอะไร
ไม่สบอารมณ์เขาอยู่หรือเปล่า...

ถ้าพบว่าตัวเธอเองแหละ
เป็นเหตุให้เขาทำตัวไม่น่ารักอยู่ในขณะนั้น
ไม่ว่าเธอจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม
เพียงแค่เธอหยุดทำหยุดพูด
แล้วขออภัยในความผิดพลาด(ผิดบาป)
ที่กระทำต่อเขาเสียโดยพลัน

เพียงเท่านี้....พฤติกรรมของเขา
ที่เธอเห็นว่าไม่ดี อยากตักเตือน
มันจะหายไปเองเพราะเขาเลิกทำ
โดยที่เธอมิพักต้องไปยุ่งเกี่ยวอันใดกับเขาเลย

เพียงแค่ตัวเธอหยุดสร้างเงื่อนไขเสียเอง
แค่นั้นแหละนะ...

6,มนุษย์มากมายมักมองข้ามความบกพร่องของตน
แต่แลเห็นความไม่ดีงามของคนอื่นชัดแจ๋ว
เธอพึงระวัง...ตามที่กล่าวนี้ด้วย

เรื่องเล็กน้อยและง่ายๆ
จะมิต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่และยากๆ
ดังที่มนุษย์ส่วนใหญ่เขาคุ้นชินกัน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-11-2015

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล: ความรู้เรื่องของ "กฎแห่งกรรม" ยุคพลังงานใหม่




ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:
ความรู้เรื่องของ "กฎแห่งกรรม" ยุคพลังงานใหม่
************************************************
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เรื่องของกฎแห่งกรรมที่จะกล่าวต่อไปนี้นั้น
ท่านทั้งหลายควรรับทราบไว้เป็นอย่างยิ่ง
เพราะเรามีคำตอบในเชิง Meta-physics (อภิปรัชญา)
ต่อคำถามยอดฮิทในหมู่มนุษย์โลกเสรีที่ว่า....
"การเกี่ยวกรรมกับผู้อื่นนั้น
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?"
1.การเกี่ยวกรรม หมายถึง
การที่คนอย่างน้อยสองคนขึ้นไป
ก่อ "กรรมสัมพันธ์กัน" เกิดขึ้น
โดยมีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้สร้างเงื่อนไขลบ
ด้วยการแสดงออกหรือกระทำไม่ถูกต้อง
ต่ออีกคนหนึ่งก่อน
(ในภาพประกอบนี้ผู้เริ่มก่อน คือ เบอร์ 2)
ทั้งนี้ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
2.เมื่อผู้ถูกกระทำหรือได้รับผลกระทบ คือ เบอร์ 1
สัมผัสรู้ดูเห็นหรือได้ยินได้ฟังเข้า
ก็จะเกิดอาการเสียสมดุลทางจิตใจขึ้นมาทันที
เพราะสาวเบอร์ 1 เป็นคนอ่อนไหวต่อการยั่วยุง่าย
เป็นคนที่ไม่มีมหาสติเป็นคุณสมบัติ
เธอจะสั่นสะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง
เกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบต่อการถูกยั่วยุนั้น
ด้วยอาการโกรธ เกลียด เคียด แค้น และอื่นๆ
โดยที่จิตใจเธอจะสั่นสะเทือนเป็นด้านลบ
ต่อหนุ่มเบอร์ 2 เกือบจะทันทีนั้นเช่นกัน
3.แม้ในทางโลก
สาวเบอร์ 1 อาจเก็บงำอำพราง
พฤติกรรมไม่พอใจของเธอเอาไว้ได้
หรืออดกลั้นความโกรธเอาไว้ไม่ไหว
แล้วแสดงออกหรือกระทำด้านลบ
ตอบโต้หนุ่มเบอร์ 2 เข้าให้บ้างก็ตาม
กระบวนการที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
ในมิติทางพลังงานด้านจิตใจของคนทั้งคู่
มันได้เกิด "กรรมสัมพันธ์" ขึ้นมาแล้ว
หรืออาจเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า
"การเกี่ยวกรรม" เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
4.ในศาสตร์ด้านอภิปรัชญาขององค์จิตจักรวาล
เราสามารถอธิบายได้ด้วยมายาสมมติดังภาพ
กล่าวคือ หนุ่มเบอร์ 2 ได้สั่นสะเทือนจิตใจตนเอง
จนเกิดกลุ่มมวลคลื่นพลังงานกรรมด้านลบขึ้นมา
โดยมีเป้าหมายที่จิตจดจ่ออยู่คือสาวเบอร์ 1
พร้อมๆกับการกระทำพฤติกรรมด้านลบบางอย่าง
ในมิติที่สาวเบอร์ 1 สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้ง 5
ทั้งนี้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือมิได้ตั้งใจก็ตาม
ทันใดนั้นคลื่นพลังงานกรรมของเขาอันเกิดจากจิต
ซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบที่โลกไม่ต้องการ
ก็จะถูกเหวี่ยงออกมาภายนอกร่างกายเขา
โดยเป้าหมายอยู่ที่สาวเบอร์ 1 ด้วยเช่นเดียวกัน
5.ปรากฏว่าสาวเบอร์ 1
เมื่อได้รับรู้ว่าตนถูกหนุ่มเบอร์ 2
กระทำพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ต่อตัวเธอเข้า
สภาวะจิตของเธอเมื่อถูกยั่วยุเข้า
ก็จะเกิดอาการเสียสมดุลทันที
จนสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์ขยะรายวันขึ้นมา
จิตของเธอก็จะผลิตสร้างมวลพลังงานกรรม
เป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบที่รุนแรง
แล้วเหวี่ยงมันออกมาอย่างต่อเนื่อง
ตราบเท่าที่สภาวะจิตเธอขณะนั้นยังเสียสมดุลอยู่
ส่วนปรากฏการณ์ในด้านมิติทางพลังงาน
ซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกับมิติโลกทางกายภาพ
ก็จะปรากฏเป็นมวลของคลื่นพลังงานกรรมด้านลบ
เหวี่ยงกระจายตัวออกมาจากสาวเบอร์ 1 ทุกทิศทาง
โดยริ้วคลื่นแต่ละระลอกที่ถูกเหวี่ยงออกมานั้น
จะพากันทะยอยพุ่งตรงไปยังหนุ่มเบอร์ 2 ทันที
6.ถ้าพินิจจากภาพจะเห็นว่า
คลื่นพลังงานกรรมของสาวเบอร์ 1 นั้น
เป็นคลื่นที่มีความรุนแรงมาก
เมื่อมีการปะทะกันกับ
คลื่นพลังงานกรรมของหนุ่มเบอร์ 2 เข้า
จึงยังผลให้สภาวะจิตของหนุ่มเบอร์ 2
เกิดอาการเสียสมดุลทางด้านลบตามไปด้วย
ขณะที่ระลอกคลื่นพลังงานกรรมที่เกิดขึ้นนี้
เมื่อมีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างเบอร์ 1 กับ 2 แล้ว
ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นก็จะเคลื่อนตัวต่อไป
จนถึงสุดขอบเขตของจักรวาล คือ เอกภพ
เมื่อสุดเขตแล้วก็จะวกกลับคืนมาหาเจ้าของมันต่อไป
ซึ่งเจ้าของคลื่นพลังงานกรรมด้านลบ
ที่ย้อนกลับคืนมาดังว่านี้ก็คือ
ทั้งเบอร์ 1 และเบอร์ 2
จักต้องร่วมกันรับผิดชอบมันทั้งคู่
ใครคนใดคนหนึ่งจะมาโทษเถียงกัน
ด้วยการคิดแบบจิตมนุษย์ว่า
ใครหาเรื่องใครก่อน....มิได้
ใครทำร้ายใครก่อน....ก็มิได้
7.นี่ถ้า.....
เบอร์ 2 ไม่กระทำผิดบาปต่อเบอร์ 1 ก่อน
ผลกรรมที่จักต้องมาเกี่ยวกรรมดังว่านี้ก็ไม่เกิดขึ้น
นี่ถ้า...
เบอร์ 1 สามารถรักได้แม้เบอร์ 2 จะทำตัวไม่น่ารักต่อเธอ
เบอร์ 1 สามารถให้อภัยเบอร์ 2 ได้แม้ว่าเขาไม่น่าให้อภัย
ผลกรรมที่จักต้องมาเกี่ยวกรรมกันก็จะไม่เกิดขึ้น
8.ท่านเห็นว่าการรักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงกัน
ระหว่างท่านทั้งหลายนั้นสำคัญมั้ยล่ะ?
ถ้าจะทำได้ก็ต้องครองมหาสติไว้ให้ได้
ต้องฝึกฝนการมีมหาสติให้ชำนาญไว้ใช่มั้ยล่ะ?
9.คลื่นพลังงานกรรมหมู่ของทั้งสองคน
เมื่อมันย้อนคืนมาถึงทั้งคู่ในภพชาติต่อไปนั้น
มันจะนำเอาเหตุการณ์ เรื่องราว
หรือสถานการณ์แบบเดิมๆที่เกิดขึ้นในภพชาตินี้
มาให้ทั้งคู่ได้ทดสอบจิตปัญญาว่า
เบอร์ 2 จะประมาทหรือขาดสติ
โดยทำอะไรให้เป็นเงื่อนไขด้านลบ
ต่อ เบอร์ 1 เหมือนภพชาติที่ผ่านมาอีกหรือเปล่า
ถ้าเบอร์ 2 กระทำผิดบาปอีกก็ถือว่า "สอบตก"
ต้องเรียนซ้ำชั้น คือ มีภพชาติหน้าต่อไปอีก
ในขณะเดียวกัน เบอร์ 1 ก็ต้องสอบให้ผ่านว่า
ถ้าเบอร์ 2 กระทำยั่วยุอีก
ตนจะรักได้ ให้เป็น
และใช้ปัญญากระทำตอบได้หรือไม่
ถ้ารักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็น ขาดมหาสติ
การเกี่ยวกรรมนี้ก็ยังจะคงอยู่ต่อไป
แปลว่าคนทั้งคู่ยังจะต้องมีชาติหน้าต่อไปอีกนั่นเอง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-11-2015