วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

56วัน7ราตรี - โดย อ.ปริญญา ตันสกุล 1/5



1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

#167ไขรหัสลับจากฟ้า_clip4.flv

ซี่รี่ส์8 สหพันธืทางจิต กับพฤติกรรมมนุษย์





ซี่รี่ส์8 สหพันธืทางจิต กับพฤติกรรมมนุษย์
หนังสือที่อยากแนะนำให้หาอ่านเพิ่มเติม
บอกก่อนนะครับ ว่าไม่ได้มาขายหนังสือ เพียงแต่อยากให้ซื้อมาอ่านกัน สำหรับคนที่กำลังหาความรู้เพิ่มครับ

1สาเหตุสำคัญในการหลงมิติแห่งจิตวิญญาณ มีอะไรบ้าง แล้วอาการหลงมิติแห่งจิตวิญญาณมันเกิดขึ้นได้อย่างไรและทำไมการหลงมิติแห่งจิตวิญญาณจึงเป็นสาเหตุหรืออุปสรรคต่อการเรียนรู้
อีกทั้งทำให้จิตวิญาญาณของเราหมุนช้าลง หาคำตอบใด้จากเล่มนี้ครับ
2คุณเคยเฉลียวใจ หรือเอะใจ กับเรื่องนี้บ้างไหม ..ความสัมพันธ์ระหว่างมิติทางกายภาพ กับมิติทางพลังงาน มันเป็นยังไง (เรื่องนี้ล้วนเกี่ยวโยงไปถึงคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าด้วย   ทางสายกลาง หรือมัฌชิมาปฎิปทานั่นเอง)ถ้าจะชัดแจ้งต้องอ่าน คนสองมิติครับ
3คุณจะเป็น 1 ในนั้นหรือเปล่าที่ทำให้ ทั้งสองพระองค์ ทรงมี น้ำพระเนตหลั่งไหลเป็นสายชล
กับการที่ทั้งสองพระองค์จะต้องสูญเสียบุตรของพระองค์ไปชั่วนิรันดร์
กับข้อหาเหล่านี้
-ผู้ที่ประพฤตนไม่มีศีลธรรม
-ผู้ที่ใช้สติปัญญาอวดอุตริจากจิตไร้สำนึก
-ผู้ที่อยู่ในจมในความงมงาย
-ผู้ที่เข้าถึงพลังอำนาจในตนเองไม่ได้
-ผู้ที่มีผลกรรมเกิน 30เปอร์เซ็นต์ ของทั้งหมดที่มีอยู่(ข้อนี้ทุกคนรู้แล้วไช่ไหมครับว่า เราจะต้องจัดการกับตัวเราเองยังไง-ถ้าคุณยัง50/50)
-ผู้ที่ปฎิเสธพระโอวาทอันเป็นความรักที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระบิดา ซึ่งถ่ายถอดมาให้อย่างต่อเนื่อง
บุคคลเหล่านี้คือผู้ที่ อยู่ในบัญชีราบชื่อที่ถูกคัดออก ของพระบิดาเรียบร้อยแล้ว.
ขออนุญาติคัดลอกบางส่วนในหนังสือเพื่อเป็นกระตุ้นในการเรียนรู้เพิ่มเติมครับ

สิ่งที่พระบิดาต้องการทรงสอนให้เรามีสำนึกว่า
-จงอย่าเชื่อตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสของตนเองมากเกินไปว่าสิ่งที่เราสัมผัสรู้ดูเห็นมันอยู่นั้น ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นที่สุดแล้ว โดยเด้ดขาด เพราะเบื้องหลังทางกายภาพในมิติที่สูงกว่านั้นยังมีอยู่
-ข้อพิจารณาความจริงที่จริงแท้ดังต่อไปนี้บ้างว่า ได้แง่คิดอะไรที่จะช่วยตัวเราเองไม่หลงมิติทางกายภาพอีกต่อไปบ้างหรือไม่
 การที่สุนัขส่งเสียงเห่าหอนในยามค่ำคืน เมื่อมันได้รับคลื่นความถี่เสียง ด้วยปราสาทหูของมัน ในย่านความถี่ที่ปราสาทหูของมนุษย์ไม่อาจรับรู้ได้ หรือไม่ใด้ยิน
 การที่แมวสามารถเดินเล่นในยามราตรีในที่ๆมืดมิดได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ ชนนั่นชนนี่ ถึงขนาดวิ่งไล่จับหนูที่ปราดเปลียวท่ามกลางความมือได้เป็นอย่างดี ในขณะที่มนุษย์มองไม่เห็นในความมืดและก็กลัวความมืด
 การที่สุนัขตำรวจตามกลิ่นผู้ร้าย หรือยาเสพติดได้ด้วยจมูกของมันเอง ในขณะที่มนุษย์ไม่อาจทำได้
 การที่มอปลวกและแมลงเม่า พากันอพยพ ตนเองเพื่อหนีน้ำได้ล่วงหน้า ก่อนที่น้ำจะมา ขณะที่มนุษย์เองไม่รู้ล่วงหน้าด้วยตนเองเลย ฝนตกน้ำท่วมแล้วเท่านั้นจึงจะรู้ได้
 การที่ เต่า อึ่งอ่าง กบ เขียด และงู รู้ล่วงหน้าได้ทั้งๆที่ไม่มีปฎิทิน ไม่มีนาฬิกา โดยรู้ว่าเมื่อใดจะถึงฤดูกาลที่มันจะต้องจำศีลอยู่ในรู ไหนเป็นฤดูหนาวฤดูร้อน ทั้งๆที่มันเป็นแค่สัตว์ประจำโลกตัวน้อยๆ ปัญญานิดๆ เท่านั้นเอง
 การที่ผูงผึ้งและนกพิราบ สามารถออกไปหากินในที่ไกลๆได้ และสามารถบินกลับลังของมันได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ โดยที่ไม่ต้องมีแผนที่ ไม่ต้องมีเข็มทิศช่วยเหลือเหมือนมนุษย์
  ถาพของสัตว์ประจำโลก ที่แสดงพลังอำนาจในการรับรู้และการหยั่งรู้ข้างต้น พระบิดามีพระประสงค์ให้เป็นบทเรียน สร้างจิตสำนึกให้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อให้เกิดการละวางการหลงตัวเองลง โดยมีสัตว์เหล่านั้นเป็นครูของตนเองให้ได้เรียนรู้ความจริงในเรื่องนี้ว่า แท้จริงแล้วมนุษย์ไม่อาจกล่าวได้เลยว่า ตนเองประเสริฐสุดแท้จริงเหนือทุกสรรพสิ่งอื่นใดที่คิดและเข้าใจเลย
 ตา กับ หู ก็ยังสู้หมากับแมวไม่ได้
 ระดับการหยั่งรู้ด้วยสัญชาติญาณของจิต ก็ยังสู้ เต่า กบ ผึ้ง มด ปลวก หรือนกพิราบไม่ได้
 เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะหลงตนเอง ว่าเหนือสรรพสิ่งอื่นแท้จริงได้อย่างไร เมื่อลึกไปกว่าสิ่งที่ตนเองไม่รู้ว่าต้องรู้ยังมีอยู่อีกมาก
แม้พระบิดาจะส่งบทเรียนเตือนสติมาให้ ผ่านสัตว์ประจำโลกดังกล่าวเพื่อให้มนุษย์มีสำนึก แต่ก็ยังพากันละเลยไม่ใส่ใจ เพราะมัวแต่หลงตัวเองไปเสียตั้งนานแล้ว..

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

Video of cars, ships wrecked by tsunami waves after Japan earthquake



1. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา แห่งศาสนาที่แต่ละคนนับถืออยู่นั้น โดยไม่เชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนศาสนาโดยเด็ดขาด 2. เราถือว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว พวกเราจึงไม่ได้มีความคิดที่จะตั้งศาสนาใหม่หรือลัทธิใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น 3. เรา เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนเป็นสากล เพราะพระธรรมคำสอนของพระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนมนุษย์ให้เป็นคนดี มีความรักต่อกัน สอนให้รู้จักใช้เหตุผล สอนให้ไม่โง่และงมงาย และสอนไม่ให้ก้าวล่วงผู้อื่น (มีศีล) เหมือนกันเลย แต่ที่เราต้องเรียนรู้คำสอนรวมกันทั้งสามศาสนา เพราะพวกเราบางคนนับถือคนละศาสนากัน จึงได้นำเอาพระธรรมของแต่ละศาสดามาเติมเต็ม หรือบูรณาการให้เข้าใจกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่นเอง เราจึงจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เฉพาะที่พระศาสดาพระองค์นั้นๆ ทรงตรัสไว้ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระศาสดาพระองค์นั้นๆเป็นสำคัญด้วย มิได้มีเจตนาจะเอามาต้มยำทำแกง ตะแบงคำ อย่างที่บางคนร้อนตัวร้อนใจแต่อย่างใด และการที่เราไม่คิดบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาแทนคำนั้นๆ ก็เพราะต้องการยืนยันว่า เรามิได้ต้องการสร้างลัทธิใหม่หรือตั้งศาสนาใหม่ หรือต้องการทำลายศาสนาดีๆ ที่มีอยู่อย่างที่บางคนคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น (เรื่องนี้สมาชิกของเราทุกคน ยืนยันได้ว่าจริงอย่างที่เรากล่าวมาใช่มั้ย?) หากใครจะสร้างลัทธิใหม่ศาสนาใหม่จริงๆแล้วยังดันไปลอกเลียนคำศัพท์คำสอนของ พระศาสดาพระองค์อื่นๆ นั้น แค่คิดก็น่าอายแล้ว และคงไม่มีใครโง่ไปเชื่อตามแน่ๆ เพราะทุกท่านล้วนมีภูมิปัญญาทั้งนั้น 4. สิ่ง สุดท้ายที่อยากกราบเรียนท่านผู้เจริญทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พระผู้ทรงเป็นองค์ความรู้ของเรา คือ องค์จิตจักรวาลนั้น พวกเราเรียกพระองค์ท่านว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิไหนศาสนาใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงองค์ความรู้ของพวกเรา ที่ช่วยเมตตาสื่อสอนให้พวกเราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และทรงสอนให้พวกเราได้คิด คิดได้ และคิดเป็น เพื่อทำความเข้าใจในข้อธรรมะของพระศาสดาแต่ละพระองค์ให้กระจ่างมากขึ้นแทน ที่จะงมงาย และยึดติดอยู่กับสัญลักษณ์หรือพิธีกรรม โดยที่พระองค์มิใช่ศาสดาใหม่ของโลกที่จะมาทำลายศาสนาไหนๆ ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งที่สุดอยู่แล้ว 5. พวกเราทุกคนเชื่อว่า พระศาสดาพระองค์ต่อไปก็คือ พระศาสดาศากยมุณีศรีอริยเมตไตรย์ เท่านั้นครับ 6. พวกเรายินดีต้อนรับศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทุกคน ที่พร้อมจะยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึกร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะรับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม เพื่อจะช่วยกันปฏิบัติตามปริศนาธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา" อย่างเป็นรูปธรรมกันจริงๆ เสียที แทนที่จะมีดีแต่ที่ปากเท่านั้น 7. จง อย่าระแวงพวกเราเลยเพราะจะเกิดทุกข์ใจโดยเปล่าดาย ติดตามพฤติกรรมพวกเราไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้จักเรามากขึ้น และอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่สักวันท่านจะรักพวกเราเหมือนที่เรารักท่านอยู่เช่น กัน

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

คนสองมิติ 2




คำนำผู้นิพนธ์
ถ้ามนุษย์ยังเข้าถึงความเป็นจริงของตนเอง ซึ่งเป็นความลับเบื้องหลังมิติโลกไม่ได้ มนุษย์ย่อมไม่มีวันยกระดับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ในเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนเอง ให้คืนสู่คุณสมบัติสุญญตาอันเป็นคุณสมบัติแต่เดิมของตนได้เลย
ความเป็นจริงซึ่งเป็นความลับเบื้องหลังมิติโลกของมนุษย์แต่ละคนนั้น มีมากมายหลายสิ่งที่ถูกปกปิดมิติไว้โดยที่มนุษย์ยังไม่รู้ทั้ง ๆ ที่อยากรู้ และที่ยังไม่รู้ว่าตนจะต้องรู้ในสิ่งใดอีกบ้าง การจะล่วงรู้ในความลับเหล่านี้นั้นมนุษย์ในยุคพลังงานเก่าสามารถกระทำได้ 2 ทาง คือ
1.ใช้ปัญญาญาณของตนเอง
2.ศึกษาธรรมะและโอวาทของพระศาสดา
มนุษย์จะต้องรู้ว่าแต่เดิมมานั้นมนุษย์ทุกคนที่มีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ซึ่งได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์ภพชาติแรก เมื่อต้นยุคพลังงานเก่าในหกหมื่นปีเศษที่ผ่านมานั้น ทุก ๆ คนต่างล้วนมีความสามารถในการใช้สติปัญญาของวิญญาณ หรือ มีปัญญาญาณ ที่จะล่วงรู้ความลับเบื้องหลังมิติโลกของตนเองได้ทุกสิ่ง เช่น รู้ว่าตนเองเป็นใคร ? มาจากไหน ? มาเกิดบนดาวเคราะห์โลกทำไม ? มีหน้าที่อะไร ? เป็นต้น แต่เมื่อได้มีโอกาสมาสู่รูปธรรมมนุษย์แล้วกลับทำตนเหลวไหล หลงในมิติทางกายภาพของสรรพสิ่งต่าง ๆ ในระบบโลก จนเกิดการสับสนในตนเองระหว่างสรรพสิ่งที่เป็นมายากับแก่นแท้ ทำให้สภาวะจิตที่เป็นสุญญตาแต่เดิมเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ ขณะที่กระบวนการในการใช้สติปัญญาทางสมองระบบเดิม คือ การใช้สมองซีกขวานำซีกซ้ายในการคิดรู้ด้วยปัญญาญาณ ถูกเปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้ามโดยมนุษย์เปลี่ยนมาใช้ กระบวนการของสมองซีกซ้ายนำซีกขวาแทนระบบเดิมนั่นคือ การใช้จิตหยาบแทนจิตวิญญาณเพื่อการคิดรู้ นั่นเอง
มนุษย์จึงปิดบังมิติทางปัญญาญาณอันสูงส่งของตนเองกันมาตั้งแต่บัดนั้น
เหตุที่กลไกการใช้สติปัญญาทางสมองของมนุษย์เปลี่ยนระบบมาเป็นซ้ายนำขวาจนทุกวันนี้เหตุเพราะว่ามนุษย์ในยุคพลังงานเก่ารุ่นหลัง ๆ ก่อนมาถึงปลายยุคพลังงานเก่าในขณะนี้ กระทำผิดอยู่ 3 ประการ คือ
1.หลงเงามายาแวดล้อมทุกสรรพสิ่งว่าเป็นตัวตนแก่นแท้
2.หลงยึดติดในตัวตนของมายาแวดล้อมทั้งหลายเหล่านั้น
3.ก่อกิเลสตัณหาอันเป็นโลกิยะขึ้นเป็นสันดานในจิตเพราะติดยึดอยู่กับมายาเหล่านั้น
ถ้ามนุษย์ติดตามถามหาแต่สรรพสิ่งที่เป็นตัวตนซึ่งเป็นมายาแทนที่จะถามหาคุณสมบัติของสรรพสิ่งนั้น ๆ แล้ว สมองซีกซ้าย จะถูกกระตุ้นให้สั่นสะเทือนนำหน้าซีกขวาเพื่อการคิดรู้ในทันที เพราะพระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลผู้ทรงสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์ได้ทรงกำหนดคุณสมบัติการทำงานของมันเอาไว้เช่นนั้นเอง
ถ้ามนุษย์ใช้อารมณ์หยาบ ๆ ด้วยคลื่นความถี่ของจิตแบบหยาบ ๆ เช่น อารมณ์ที่เป็นกิเลสตัณหาทั้งหลาย เป็นตัวกระตุ้นการสั่นสะเทือนเพื่อการคิดรู้ของสมองเมื่อใด สมองซีกซ้ายจะชิงทำหน้าที่เป็นผู้นำสมองซีกขวาเพื่อการใช้สติปัญญาก่อนเสมอ เพราะเหตุว่าสมองซีกซ้ายไวต่อคลื่นความถี่ของจิตที่สั่นสะเทือนด้านลบหยาบ ๆ หรือไวต่อคลื่นความถี่ต่ำ ๆ มากกว่าสมองซีกขวานั่นเองเพราะพระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลผู้ทรงสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์ ได้ทรงกำหนดคุณสมบัติการทำงานของมันเอาไว้เช่นนั้นเอง
การสับสนในตนเองระหว่างมายากับแก่นแท้ กับความมีกิเลสตัณหาครอบงำจิตใจ เพราะไปหลงยึดติดในตัวตนมายาทั้งหลายแล้วจิตคิดปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์หยาบ ๆ ขึ้นมาใหม่ ทั้ง ๆ ที่จิตวิญญาณเดิมแท้รู้จักเพียงแค่อารมณ์เดียว คือ ความรักบริสุทธิ์ เท่านั้น จึงทำให้มนุษย์มีพลังอำนาจทางวิญญาณเสื่อมถอยลง ขณะที่มิติทางปัญญาญาณก็ถูกปิดสนิทเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้เอง มนุษย์โลกทั้งหลายจึงพากันว่ายวนอยู่ในทะเลโลกีย์ จนไม่รู้ว่าทิศทางไปสู่แดนสุญญตา ต้องไปทางใด ต่างคนต่างกักขังตนเองไว้ในระบบดาวเคราะห์โลกเสรี ด้วยการสร้างกระบวนการของกฎแห่งกรรมขึ้นแล้วก้มหน้าก้มตาขับเคลื่อน กงล้อแห่งกรรม ของตนหมุนรุดไปข้างหน้า แทนที่จะขับเคลื่อนจิตวิญญาณตนเองไปตาม กงล้อแห่งกรรม จนไม่อาจดับการเกิดดับของกิเลสตัณหาในสภาวะจิตหยาบของเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนได้เมื่อดับมันไม่ได้การเกิด แก่ เจ็บ ตาย และตายแล้วเกิดใหม่ของมนุษย์จึงมิอาจหยุดการเกิดดับได้เช่นเดียวกัน
มนุษย์จึงไม่รู้ว่า สุญญาตา คืออะไร ?
นิพพาน มีจริงหรือไม่ ? ทำได้อย่างไร ?
ไม่รู้ที่มาที่ไปของตนเอง ไม่รู้ว่าถิ่นฐานบ้านเดิมของ จิตวิญญาณตนเองนั้นอยู่ที่ไหน ?
มนุษย์เลอะลืมจนหมดสิ้นไปทุกสิ่ง
น่าเศร้าใจหรือไม่ที่มนุษย์โลกทั้งหลายปิดมิติทางปัญญาญาณตนเองไว้เสียสนิท
มนุษย์ลืมถิ่นฐานบ้านเก่าของจิตวิญญาณของตนเองเสียจนไม่เคยคิดจะกลับย้อนคืน
มนุษย์ลืมแม้กระทั่งคุณสมบัติสุญญตาอันเป็นคุณสมบัติเดิมของแก่นแท้คือจิตวิญญาณของตนเอง เมื่อครั้งแรกที่มาเกิดเป็นมนุษย์ จนไม่คิด แก้ไขเพื่อคืนคุณสมบัติแห่งสุญญตาอันสูงส่งแก่ดวงจิตวิญญาณตนเองเลย
ที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่งก็คือ มนุษย์โลกทั้งหลายเลอะลืมแม้กระทั่งพระบิดาผู้ทรงให้กำเนิดจิตวิญญาณของตนเอง โดยมนุษย์จดจำไม่ได้ว่าตนนั้นยังมีพระบิดาเฝ้ารอคอยการกลับคืนของบุตรทั้งหลายอยู่ ขณะที่มนุษย์จำนวนมากเมื่อได้ยินเรื่องราวของพระบิดาจากโอษฐ์ของพระศาสดาผู้ขันอาสาพระบิดาให้มาเตือนสติพี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งหลาย ก็กลับจาบจ้วงล่วงเกินโดยมิคิดตรึกตรองให้แยบคายเสียก่อน
มนุษย์โลกล้วนผิดบาปและอกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดตนเองโดยไม่รู้ตัว
พระคัมภีร์จิตจักรวาลทุก ๆ ซีรี่ส์จนถึงซีรี่ส์ 12 คือ คนสองมิติ เล่มนี้ ล้วนเป็นสัจธรรมคำสอนและโอวาทขององค์จิตจักรวาลซึ่งบุตรมนุษย์ ทั้งหลายพึงกล่าวพระนามเรียกขานพระองค์ว่า พระบิดา ได้ทรงประทานผ่านคลื่นการคิดรู้ด้วยปัญญาญาณของผู้นิพนธ์มาให้เพื่อจะได้บันทึกและเผยแพร่ สู่พี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อนร่วมโลกต่อไป สัจธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนเป็น ธรรมะในยุคพลังงานใหม่ ที่ทรงเมตตาอธิบายขยายความให้เห็นเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อเติมเมความรู้เดิมของมนุษย์ที่ไม่อาจเข้าถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งด้วยตนเองได้ เพราะบกพร่องด้านการใช้ปัญญาญาณเนื่องจากปิดมิติทางปัญญาของตนเองไว้ด้วยการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา และการใช้ความคิดแบบจิตมนุษย์ คือ คิดไม่เป็น คิดไม่สุด และคิดหาแต่ตัวตนของตนแทนการคิดค้นหาคุณสมบัติของตัวตน นั่นเอง
ถ้ามนุษย์ยอมรับว่า คลื่นความคิดความรู้ใหม่ที่หลากหลายซึ่งบันทึกไว้ในแต่ละซีรี่ส์ที่ผ่านมาล้วนมีคุณค่าพอต่อการฉุดช่วยตนเองให้เกิดความมีสติและมีสำนึกทางจิตวิญญาณขึ้นมาได้บ้างละก็ ซีรี่ส์ที่ 12 ตอน คนสองมิติ เล่มนี้ คือ ภาพรวมในความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงโครงสร้างทางกายภาพในมิติโลกและโครงสร้างทางจิตวิญญาณในมิติทางพลังงานแก่นแท้ ที่มีความเกี่ยงข้องสัมพันธ์กันอยู่อย่างลงตัว จนอาจกล่าวได้ว่ามนุษย์แต่ละคนก็คือ สรรพสิ่งหนึ่งซึ่งดำรงตนเองอยู่ในมิติคู่ขนานบนดาวเคราะห์โลกเสรี นั่นเอง
มนุษย์ในมิติคู่ขนาน หมายถึง การที่มนุษย์แต่ละคนถูกกำหนดสร้างให้เป็นสรรพสิ่งหนึ่ง ที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์แห่งกรรมซึ่งมีมวลหยาบ ๆ แต่สลับซับซ้อน และภายในเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์นั้นก็จะมีรูปธรรมทางพลังงานที่เรียกว่า จิตวิญญาณ เร้นอยู่ภายในเพื่อเป็นแก่นแท้ด้วยกันทุกคน
หน้าที่ของทุก ๆ คนก็คือ จะต้องสร้างความสมดุลให้กับระบบโลกทั้งทางกายภาพและทางพลังงานให้จงได้ แน่นอนว่าถ้าจะสร้างความสมดุลในทางกายภาพ มนุษย์ก็จำต้องอาศัยอวัยวะร่างกายของเครื่องยนต์แห่งกรรมเป็นเครื่องมือในการกระทำจึงจะบรรลุผลที่ต้องการได้ และถ้าจะสร้างความสมดุลทางพลังงาน มนุษย์ก็จะต้องอาศัยรูปธรรมทางพลังงานของจิตวิญญาณเองเป็นผู้กระทำเท่านั้นจึงจะบรรลุผลที่ต้องการได้
การสร้างความสมดุลกับสรรพสิ่งอื่นในระบบโลกในมิติทางกายภาพ หรือมิติแห่งมายาหรือตัวตนนั้น หมายถึง การทำตนเองให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันกับสรรพสิ่งอื่นหรือมนุษย์คนอื่น ๆ โดยสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เบียดเบียนกันหรือทำร้ายทำลายกันให้จงได้
กล่าวสั้น ๆ คือ มนุษย์จะต้องไม่กระทำการใด ๆ ในอันที่จะลดน้ำหนักมวลของระบบดาวเคราะห์โลกด้วยการทำลายทำร้ายให้เสียหายหรือการเพิ่มน้ำหนักมวลด้วยกานสร้างวัตถุเทคโนโลยีขยะขึ้นมาใหม่ ๆ ให้รกโลก มนุษย์เองก็รู้ดีว่าถ้าดาวเคราะห์โลกมีน้ำหนักมวลบนพื้นผิวลดลงจากเดิม หรือเพิ่มขึ้นจากเดิมที่พระบิดาทรงกำหนดค่าคงที่เอาไว้ให้แล้วละก็ สภาวะการเสียสมดุลของระบบดาวเคราะห์โลกย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
เมื่อโลกเสียสมดุลจนเกินแก้ไขกรณีชำระโลกครั้งที่สี่อันเป็นครั้งสำคัญจึงต้องเกิดขึ้นอย่างที่กำลังจะเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง
ดาวเคราะห์โลกเสียสมดุลไปมากมายในปลายยุคพลังงานเก่าปีพ.ศ. 2544 นี้ เป็นเพราะว่าตลอดระยะเวลาหกหมื่นแปดร้อยปีเศษที่ผ่านมา มนุษย์โลกไม่เห็นแจ้ง ไม่เข้าใจแจ้ง และไม่รู้แจ้งในความเป็นคนสองมิติของตนเองเลย กล่าวคือ
มนุษย์ไม่รู้จักตนเองนั่นเอง
เมื่อมนุษย์ไม่รู้จักตนเอง หรือไม่รู้จักความเป็นคน 2 มิติของตนเอง มนุษย์จึงแสดงออกซึ่งความเหลวไหลและล้มเหลวในการใช้ดวงจิตวิญญาณและเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนทำหน้าที่ในระบบโลกกันตลอดมา มิหนำซ้ำยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งล้มเหลวมากยิ่งขึ้นอีกต่างหาก ไม่ต่างไปจากคำกล่าวที่ว่า กิเลสยิ่งหนาปัญญาญาณยิ่งเสื่อม หรือที่มนุษย์กล่าวกันเองว่า กิเลสหนาปัญญานิ่ม นั่นเอง
มนุษย์ทุกคนถูกสร้างให้เป็นคนสองมิติ ซึ่งต่างล้วนมีพลังอำนาจในตนเองที่จะก่อให้เกิดกระบวนการเพื่อการดำรงอยู่กระบวนการเพื่อการสร้างใหม่ และกระบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งในมิติทางกายภาพและในมิติทางพลังงานด้านจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของตนได้เสมอ โดยที่มนุษย์จะต้องรู้ว่ากระบวนการหลักทั้งสามกระบวนการนั้น ถ้ามนุษย์จะสั่นสะเทือนทั้งสองมิติของตนเองให้ถูกต้องแล้ว จะต้องสั่นสะเทือนมันทางด้านบวกเท่านั้นนั่นคือ ต้องคิดรู้สึกด้านบวกเพื่อการกระทำทางกายภาพด้านบวกแต่เพียงด้านเดียว
การสั่นสะเทือนเป็นความคิดรู้สึกด้านบวกหรือด้านลบของมนุษย์จะเกิดขึ้นตรงตาที่สาม เมื่อมีการรับรู้และรับเอาเกิดขึ้นเสมอการสั่นสะเทือนเพื่อการรับเอาตรงตาที่สามของมนุษย์ สามารถบอกได้ว่าเป็นการสั่นสะเทือนทางพลังงานด้านบวกหรือลบกันแน่ จะต้องดูจากกลไกอีกชิ้นหนึ่งภายในกะโหลก ศีรษะมนุษย์เอง ซึ่งมีชื่อเรียกขานว่า คอพัสคอลโลซัม เมื่อใดก็ตามที่ตาที่สามเกิดการสั่นสะเทือนเป็นการคิดรู้สึกขึ้น จะส่งผลให้คอพัสคอลโลซัมสั่นสะเทือนตามไปด้วยเสมอ เมื่ออวัยวะชิ้นนี้สั่นสะเทือนขึ้นมาเมื่อใด มันจะมีหน้าที่สร้างสายธารของประจุไฟฟ้าขึ้นมาใหม่เป็นบวกหรือลบอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ
ถ้าคอพัสคอลโลซัมสร้างสายธารของประจุไฟฟ้าลบปลดปล่อยออกมา แสดงว่าสิ่งที่จิตมนุษย์กำลังสั่นสะเทือนตรงตาที่สามหรือต่อมไพนีลเกิดเป็นการคิดรู้สึกอยู่ในขณะนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ถ้าคอพัสคอลโลซัมสร้างสายธารของประจุไฟฟ้าบวกปลดปล่อยออกมา แสดงว่าสิ่งที่จิตมนุษย์กำลังสั่นสะเทือนตรงตาที่สามเพื่อการคิดรู้สึกอยู่นั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมยิ่งแล้ว
ถ้าจะสรุปคร่าว ๆ ก็คือ คอพัสคอลโลซัมจะสร้างสายธารประจุลบออกมา ทันที ถ้าหากมนุษย์สั่นสะเทือนทางการคิดรู้สึกของจิตหยาบตรงตาที่สาม ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาทั้งปวง และมันจะสร้างสายธารประจุบวกออกมาทันทีเช่นเดียวกัน ถ้าหากมนุษย์สั่นสะเทือนทางการคิดรู้สึกของจิตหยาบตรงตาที่สาม ด้วยอำนาจของความรัก
มนุษย์ผู้ปิดมิติการใช้ปัญญาญาณของตนไว้ด้วยอำนาจของกิเลส จึงสั่นสะเทือนตนเองในสองมิติเป็นด้านลบเหมือนต้องการแสดงพลังอำนาจด้านลบอย่างไรอย่างนั้น โดยไม่รู้ว่าตัวตนมนุษย์เองถูกสร้างขึ้นและกำหนดให้มีพลังอำนาจอยู่ในตนเองมาตั้งแต่แรกสร้างแล้วอำนาจที่มนุษย์สั่นสะเทือนได้ทั้งสองมิติของแต่ละคนจะมีอยู่ด้วยกันสองด้าน คือ อำนาจด้านบวกก็มีอำนาจ และอำนาจด้านลบก็มีอำนาจและอำนาจที่พระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลมีพระประสงค์ให้มนุษย์เข้าให้ถึงและนำออกมาใช้ก็คือ อำนาจด้านบวกเพียงด้านเดียวแต่เนื่องจากมนุษย์สับสนในตนเอง ตกเป็นทาสของกิเลส จนเกิดการหลงมิติทางจิตขึ้น มนุษย์จึงกลับคุ้นเคยต่อการใช้อำนาจด้านลบสั่นสะเทือนตนเองทั้งสองมิติอยู่ตลอดมา
ดาวเคราะห์โลกทั้งระบบ เพื่อนร่วมโลก และดวงจิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนจึงหาความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งระบบไม่ได้ เพราะอำนาจด้านลบมีไว้เพื่อการผลักไสซึ่งกันและกันแต่อำนาจด้านบวกเท่านั้นที่ทุก ๆ สรรพสิ่งต่างต้องมีไว้เป็นคุณสมบัติของตัว เพื่อการดึงดูดเหนี่ยวรั้งผู้อื่นสรรพสิ่งอื่นให้มาเป็นพวกเดียวกัน หรืออยู่ในระบบเดียวกัน
นี่ถ้าหากมนุษย์ไม่ปิดมิติทางปัญญาญาณของตนเองไว้ ด้วยการหมกมุ่นมัวเมากับกิเลสตัณหา จนพาให้จิตวิญญาณเสื่อมอำนาจแห่งสุญญตาไปหมดสิ้น มนุษย์ย่อมเข้าถึงการเป็นคนสองมิติได้ตั้งนานแล้ว จิตวิญญาณแต่ละคนมิพักต้องเวียนว่ายตายเกิดกันมากว่าหกหมื่นปีเพราะนิพพานไม่ได้ตราบจนบัดนี้ และแน่นอนว่ากรณีชำระโลกทั้งสองมิติ คือมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงานครั้งที่ 4 ก็คงมิต้องกำหนดวันเวลาให้เร็วขึ้นเช่นนี้ นอกจากนั้นพระศาสดาศรีอริยะเมตไตรย์ก็คงมิต้องทรงเปิดเผยพระองค์ เพื่อประกาศสัจธรรมแห่งองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน
มนุษย์โลกที่ผ่านมาพากันเหลวไหล งมงาย ไม่ใส่ใจในธรรมะขององค์พระศาสดาของตนอย่างแท้จริง มุ่งฝักใฝ่กับโลกวัตถุวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้วยการสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาสิ่งหนึ่งพร้อม ๆ กับการทำลายอีกสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่งไป ชอบแสวงหาอำนาจเหนือนำผู้อื่นมากกว่าที่จะแสวงหาอำนาจแท้จริงในตนเอง และใฝ่อุตริริอ่านเป็นผู้วิเศษโดยกระทำตนเหนือมนุษย์คนอื่น เหนือธรรมชาติของพระบิดา เสมือนจะเป็นพระเจ้าหรือพระบิดาเสียเองก็มิผิดนักความวุ่นวายสับสนบนพื้นผิวดาวเคราะห์โลก อันเกิดจากเหตุทั้งหลายเหล่านี้ เป็นภาพรวมที่ดีที่บ่งบอกมนุษย์โลกทั้งหลายให้รู้ได้เองว่ามันคือการเสียสมดุลของระบบโลกทั้งทางพลังงานและด้านน้ำหนักมวลทางกายภาพ อันเกิดจาก มนุษย์โลกเองไม่สมดุล เข้าถึงการเป็นคนสองมิติไม่ได้
มนุษย์ที่เหลือรอดจากการชำระโลก และมนุษย์โลกยุคพลังงานใหม่ในระดับสมการทางพลังงานสามมิติที่ 6-6-6 คือผู้มีหน้าที่ถ่ายทอดความจริงที่ล้มเหลวในยุคพลังงานเก่าซึ่งจวนจะสิ้นสุดลงแล้ว ไปสู่มนุษย์ยุคพลังงานใหม่ให้ได้รู้ได้เรียนได้จดจำเพื่อสร้างความมีสติแก่ตน สู่การเป็นคนสองมิติที่แท้จริงสำหรับโลกยุคพลังงานใหม่ตลอดไป


สาส์นจิตรจักรวาล เตือนวันชำระโลก





หากจะเอ่ยชื่อของบุรุษท่านนี้ อาจารย์ปริญญา ตันสกุล หลายคนอาจจะนึกถึงหนึ่งในอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลา แต่วันนี้ อาจารย์เป็นที่รู้จักในนาม นักวิทยาศาสตร์พฤติกรรม มีความเชี่ยวชาญในการพูดบรรยาย และเขียนหนังสือเกี่ยวกับการแก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่องของบุคลากร
อาจารย์ปริญญาเป็นวิทยากรอำนวยการ ของสถาบันพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ HMDC รับเชิญจากองค์กร ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศ ไปบรรยาย ฝึกอบรม สัมมนา ฝึกอบรมปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ ผ่านจิตสำนึก ด้วยวิธีที่ท่านคิดค้นขึ้นมาเรียกว่า "ไซโคโชว์"
แต่แรงจูงใจที่พาเราไปพบ และสัมภาษณ์อาจารย์ปริญญาในครั้งนี้ มิใช่เรื่องที่กล่าวมาข้างต้น หากเป็นเรื่องของการเตือนภัยไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับคลื่นยักษ์สึนามิ โดยการเขียนหนังสือชื่อ "11:11 วันเวลาที่สิบเอ็ด รหัสแห่งหายนะโลก" พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2544 และในปีเดียวกันนั้น อาจารย์ปริญญาก็ได้จัดคณะทัวร์ลงไปภาคใต้ ทั้งเกาะภูเก็ต พังงา ท้ายเหมือง ตะกั่วป่า สุราษฎร์ธานี เพื่อบอกข่าวร้ายนี้ให้ชาวใต้ได้ทราบและเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมัน แต่กลับไม่มีใครเชื่อหรือให้ความสนใจ จนสองปีผ่านไป เหตุการณ์นั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงตามที่เป็นข่าวไปทั่วโลก
มีคำถามว่า อาจารย์ปริญญาทราบได้อย่างไรว่าจะเกิดสึนามิในอนาคตข้างหน้า?...
คำตอบที่อาจารย์ปริญญาสละเวลามานั่งอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนให้เราทราบ อยู่ในบรรทัดต่อไปนี้...
อยากทราบว่าตอนนี้อาจารย์ทำอะไรบ้างคะ
"
สิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ก็คือ คิดสร้างทฤษฎีขึ้นมา ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านวิทยาศาสตร์พฤติกรรมขึ้นมา ที่ผมเรียกว่า ทฤษฎีการถ่ายทอดพฤติกรรมผ่านจิตสำนึกของมนุษย์ แล้วก็สร้างกลยุทธ์ขึ้นมารองรับทฤษฎี ซึ่งเป็นความเชื่อของตัวเอง ผมเรียกมันว่า "ไซโคโชว์" ย่อมาจากคำว่า psychology และ show ที่แปลว่า แสดง...
ผมสร้างตัวนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขพฤติกรรมขยะของมนุษย์ และสร้างทักษะในการสั่นสะเทือนจากจิตสำนึกให้กับมนุษย์ ผมเชื่อว่า พฤติกรรมมนุษย์นั้น ไม่ได้เกิดมาจากอารมณ์ ความรู้สึก อย่างเดียว แต่มีบ่อเกิดของพฤติกรรมที่เราแสดงออกกันทั้งวัน เราเคยร่ำเรียนจากเมืองนอกกันมา เราเน้นแต่ในเรื่องจูงใจ อยากให้ใครเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็นำสิ่งล่อใจมาจูงใจ จูงด้านบวกบ้าง จูงด้านลบบ้าง ประเทศที่ด้อยพัฒนาทั้งหลายก็นำตัวนี้ไปใช้กัน ซึ่งผมมองเห็นว่าประเทศไทยเราเป็นเมืองพุทธ พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนว่า อย่า-อยู่-อย่าง-อยาก ท่านไม่ได้พูดสั้น ๆ อย่างนี้ อันนี้เป็นคำที่ผมนำมาสรุปเอง ท่านทรงสอนให้ละวางกิเลส ปฏิเสธปัญหา แต่ทฤษฎีของฝรั่งที่ว่าด้วยการจูงใจนั้น เป็นการกระตุ้น "ต่อมอยาก" ของมนุษย์ มนุษย์จะไม่ทำความดี ถ้ามองไม่เห็นว่าทำดีแล้วจะได้อะไรตอบแทน มนุษย์จะไม่ยอมเลิกทำชั่ว ถ้าไม่กลัวว่าทำชั่วแล้วจะติดคุก หรือถูกประหารชีวิต ทุกวันนี้ก็ยังมีคนทำชั่ว ยังไม่หยุดทำ เพราะจิตสำนึกบกพร่อง และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพราะเราไปกระตุ้นต่อมอยากของมนุษย์ซะจนเคยตัว มนุษย์จะทำสิ่งใดเพียงเพราะว่าอยากทำ จะไม่ทำสิ่งใดเพียงเพราะแค่ไม่อยากทำ ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งนั้นไม่ควรทำ ก็ดันไปทำ แต่สิ่งที่ควรจะทำกลับไม่ทำ ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมะ ที่เราสอนกัน ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างเบื้องบน ทำบุญหลายหนได้กุศลหลายครั้ง นี่คือคำเชิญชวนของชาวพุทธ ซึ่งนี่คือ ตะแบง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้นเลย
ทุกวันนี้คนทำบุญเพราะอยากไปสวรรค์ ไม่ได้ทำบุญหรือทำความดีงาม เพราะเห็นว่ามันดี อย่างนี้เรียกทำความดีงามแต่ก็งมงาย ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ที่ผมศึกษาถือว่าเป็นโมฆะกรรม เพราะทำดีแต่งมงาย คุณต้องทำดีให้ได้ด้วยจิตสำนึกของตัวคุณเอง นั่นคือสิ่งที่ผมศึกษา..."
อาจารย์ช่วยให้คำจำกัดความของคำว่า "งมงาย" หน่อยค่ะ
"
งมงาย แปลว่า ทำหรือเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม เชื่อหรือทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่อาจอธิบายได้ว่า มันดีหรือมีประโยชน์อย่างไร มันคืออะไร...
คำว่างมงายก็คือ เชื่อทันทีที่ได้ฟัง ปฏิเสธทันทีที่ได้ยิน มันต้องใช้สติปัญญาในการไตร่ตรองพิจารณาก่อน เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีจิตสำนึกที่สัตว์เดรัจฉานไม่มี ศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนทางจิตของมนุษย์ก็คือ สติปัญญาที่ได้จากการใช้สมองให้เป็น และจุดศูนย์กลางของการขับเคลื่อนพฤติกรรมทางความคิด และพฤติกรรมทางกายหยาบก็คือ ความรัก สัตว์มีความรักแน่ เพราะเขามีความไร้เดียงสา ถ้ามนุษย์เรารักกันไม่เป็น รักกันไม่ได้ ก็ต้องอายหมา อายสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเราไม่รู้จักรักกัน เหมือนอย่างที่เขาด่ากันว่า ขนาดหมาแมวก็ยังรักลูก แต่มนุษย์บางคนเลวกว่าสัตว์เพราะรักไม่เป็น..."
กลับมาที่ทฤษฎีที่อาจารย์บอกว่าสร้างขึ้นมานั้น เป็นประโยชน์อะไรบ้างกับมนุษย์
"
ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาที่ผมค้นพบ คือต้องการให้มนุษย์แสดงอำนาจในตัวเองออกมา โดยการค้นหาอำนาจในตัวเองให้พบ อำนาจที่แท้จริงก็คือ อำนาจที่ต้องได้มาจากการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึก ไม่ใช่อำนาจที่ได้จากการถูกจูงใจ เมืองนอกเมืองนาผมก็ไปเรียนมา และค้นพบว่าการจูงใจนั้นทำให้มนุษย์เราสันดานเสีย ถ้าเราสอนลูกหลานว่า กลับถึงบ้านต้องขยันอ่านหนังสือ ถ้าไม่มีอะไรจูงใจ ไม่ขู่ว่าจะตี ไม่คอยจ้ำจี้จ้ำไช ลูกก็อาจจะไม่ทำ มัวแต่ดูการ์ตูน แต่ถ้าบอกลูกว่า ถ้าทำการบ้านเสร็จ แม่จะให้เล่นเกม ลูกจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทันที แต่ในขณะที่ทำการบ้าน ใจก็มุ่งไปที่เกมแล้ว เด็กก็รีบทำให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้ไปเล่นต่อ ซึ่งตรงนั้นเป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน เพราะจริง ๆ เด็กยังไม่ได้รักการอ่าน การทำการบ้าน แต่รักการเล่นต่างหาก เด็กทำเพราะเป็นสิ่งที่แม่ต้องการให้ทำ หรือทำเพื่อตัวเองจะได้ไปเล่น แต่ไม่ได้มีจิตสำนึกที่จะทำ"
แล้วจะสอนอย่างไรให้เด็กมีจิตสำนึกล่ะคะ
"
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ แม่ต้องเลิกใช้วิธีนี้ ทุกวันนี้สถาบันครอบครัวในสังคมไทยเราล้มเหลว โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมือง เพียงแต่ว่าเราเองเห็นภาพไม่ชัดเจน เช่น เด็กที่ยกพวกไปตีกัน ไปสืบประวัติดูก็พบว่า พ่อแม่ก็มีนะ แต่ไม่มีเวลาดูแลลูก หรือเลี้ยงลูกแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก หรือเด็กที่มีปัญหาท้อง แท้ง ทิ้ง ก็มาจากโครงสร้างของสังคมล้มเหลว หรือแม้กระทั่ง 5 จังหวัดภาคใต้ อาจารย์ได้รับเชิญจากกระทรวงมหาดไทยให้ไปทำไซโคโชว์ให้ ทำได้แค่ 2-3 รุ่น เพราะมีปัญหาบางอย่างเลยทำให้ทำต่อไม่ได้ ผมทำให้ฟรี เสียสละทุกอย่าง เพราะอยากช่วยประเทศชาติ
ผมมาทำตรงนี้เพราะผมสำนึกได้ว่ามันเป็นหน้าที่ของผม มนุษย์เรามีหน้าที่สองด้าน คือหน้าที่ทางโลก และหน้าที่ทางจิตวิญญาณ ผมศึกษาวิทยาศาสตร์ทางจิต แล้วก็ค้นพบทฤษฎีอะไรมากมายเกี่ยวกับมนุษย์ และค้นพบแม้กระทั่งสึนามิจะเกิด ผมยังเป็นคนเตือนคนในประเทศไทยเอาไว้ ผมลงทุนพาชาวคณะจากกรุงเทพฯ 2 คันรถบัสไปเตือนคนที่เกาะภูเก็ต ประมาณปี 44 ผมไปถึง 2 ครั้ง แต่เชื่อมั้ย ไม่มีใครสนใจ แม้แต่นายกเทศมนตรีของภูเก็ต ฟังผมพูดไม่ทันถึง 5 นาที ก็ลุกเดินออกจากห้องไปเลย..."
เราชาวพุทธเคยได้รับการสั่งสอนมาว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อใช้กรรม สำหรับทฤษฎีของอาจารย์นี่มนุษย์เราเกิดมาเพื่ออะไรคะ
"...
มนุษย์เราทุกคนที่มาเกิดในโลกย่อมมีหน้าที่ติดตัวมาด้วยทุกคน คือหน้าที่ทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำประเทศ หรือเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำทางศาสนา เพื่อเป็นแม่ทัพนายกอง หรือเพื่อจะมาเป็นแบบนายกรัฐมนตรี หรือจะเป็นใครก็ตามทุกคนมีหน้าที่ทางจิตวิญญาณ แต่ว่าคนบางคนเกิดมาทั้งภพชาติ ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำหน้าที่อะไร เลยต้องเวียนตายเวียนเกิดกันพอสมควร...
บังเอิญผมโชคดีที่ผมศึกษา เรียนรู้ และค้นพบว่าตัวผมเองมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใด ซึ่งหน้าที่ของผมก็คือ ต้องเป็นบุรุษไปรษณีย์ ให้กับพี่น้องประชาชนที่อยู่ในยุคนี้ด้วยกัน เป็นบุรุษไปรษณีย์รับสารจากผู้ที่มีข่าวสารจากคนละมิติกัน ซึ่งผมเรียกว่า จิตจักรวาล ใช้ระบบจิตสื่อจิต เป็นวิธีพิเศษที่เราใช้จิตเราร่วมกับสมองซีกขวาและซีกซ้ายเพื่อให้เกิดปัญญา
การสื่อกับจิตจักรวาลที่ผมพูดถึงนี้ก็คือ ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของมนุษย์ทุก ๆ คน และเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ เขาเรียกว่า God แต่ผมกลัวคนจะสับสน เพราะผมเป็นพุทธ ผมก็เลยขอพระนามพระองค์ว่า จิตจักรวาลคำว่าจิตแปลว่า แก่นแท้ จักรวาล ก็คือ สนามพลังงานสากลที่กว้างใหญ่ไพศาล เพราะฉะนั้น จิตของจักรวาลก็คือ จุดกึ่งกลาง หรือจุดศูนย์กลาง ของจักรวาลอันไพศาล และจุดศูนย์กลางนั้นก็คือ สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่งในสนามพลังงานสากล
God
หรือจิตจักรวาลนี้มีพระองค์เดียวนะ คำว่า God ก็คือที่เราเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้าง ไม่มีอะไรเลยในสนามจักรวาลนี้ที่จะเกิดขึ้นมาเองได้ ไม่มีสิ่งใดบังเอิญ ล้วนมีผู้ให้กำเนิด หรือมีจุดกำเนิดทั้งนั้น เช่น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับ ทุกอย่างย่อมดับตามไปด้วย หมายความว่า เมื่อมีผลเกิดขึ้น แสดงว่ามีเหตุแห่งการทำให้เกิดผลนั้น เมื่อมนุษย์และโลกคือผลของการเกิดนั้น ถ้าเราเชื่อตามพระพุทธเจ้า ก็แสดงว่า มีเหตุแห่งการทำให้มนุษย์เกิด มีเหตุแห่งการทำให้โลกเกิด ซึ่งการเป็นผู้ทำให้โลกเกิดก็คือ การเป็นผู้สร้างนั่นเอง เช่น พ่อแม่ของเราเป็นผู้สร้างให้ลูกอย่างเรามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะพ่อกับแม่เราเป็นเหตุแห่งการเกิดของเรา ดังนั้น พ่อแม่ของเราล้วนเป็นผู้สร้าง ทางศาสนาจึงเรียก บิดา-มารดาว่า พ่อพระ แม่พระของลูก เพราะเป็นพระผู้สร้างในโลก แต่พ่อแม่เราก็มีผู้สร้างมาเหมือนกัน และสิ่งที่พ่อแม่เราไม่ได้ให้เรามาก็คือ จิตวิญญาณที่อยู่ในกายเรา จิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นเรา ซึ่งเวลาตายไปแล้ว จิตวิญญาณของเราจะละออกจากสังขารไป แล้วเราเคยคิดไหมว่า จิตวิญญาณเรามาจากไหน และเมื่อตายแล้ว จิตวิญญาณเราจะไปไหน
...
จิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงาน นักวิทยาศาสตร์โลกก็ทราบว่า พลังงานสูญหายไปไหนไม่ได้ พลังงานทั่วๆไปจะเป็นคลื่นความถี่ที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ แต่จิตวิญญาณของคนเราไม่ใช่คลื่นความถี่ที่ไปเรื่อยๆเป็นกล่องพลังงาน พลังงานมี 2 รูปแบบ 1. คือพลังงานที่เป็นคลื่นความถี่ที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดนิ่ง คือสั่นสะเทือนไปด้วย เป็นคลื่นไปด้วย อย่างคลื่นทะเลที่เป็นระลอก ถึงฝั่งก็ซัดเลย แต่จิตวิญญาณของเราเป็นกล่องพลังงาน เป็นกล่องหรือขวดใบหนึ่ง หรือลูกบอลลูกหนึ่ง ที่มีคลื่นความถี่อยู่ข้างในหลายคลื่นความถี่ ที่ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ในกล่องนั้น ไม่แตกกระสานซ่านเซ็นออกมาภายนอก มีภาชนะห่อหุ้มเก็บไว้อย่างดี ภาชนะที่ห่อหุ้มจิตวิญญาณนั้น จิตจักรวาลหรือพระบิดาของเราเรียกว่า เมอร์คขะบาห์ คือพลังงานเวลาสั่นสะเทือน จะมีเสียงด้วยซึ่งหูมนุษย์เราไม่ได้ยิน แต่ชาวโลกวิญญาณเขาได้ยิน ความถี่ของเมอร์คขะบาห์จะเป็นความถี่ชนิดหนึ่งที่มีความเข้มข้น มีความถี่สูงมาก เวลาสั่นสะเทือนแล้วจะเกิดเสียงว่า เมอร์คขะบาห์ สิ่งที่ผมพูดนี้ ลูกศิษย์ผมที่เป็นระดับด็อกเต้อร์ เป็นนายพล เขาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว..."
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรคะว่า เราแต่ละคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไร
"
การที่เราจะรู้ได้ว่า เราเกิดมาเพื่อทำอะไรมีอยู่ 2 วิธี คือ 1. ต้องศึกษา ต้องเรียนรู้ เพื่อจะเปิดมิติทางวิญญาณให้กับตนเอง ซึ่งภาษาผมเรียกว่า ต้องหาหนทางรู้แจ้งด้วยตนเอง อย่างเช่น เป็นกษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดินนี่ มีใครอยากเป็นแล้วเป็นได้บ้างมั้ย นั่นคือเป็นหน้าที่พิเศษเฉพาะบุคคล ไม่ใช่ทุกคน คือจะต้องขันอาสาว่า ต้องมาทำหน้าที่เช่นนั้น และได้รับอนุญาตจากจิตจักรวาลให้ทำหน้าที่อย่างนั้น หรือตัวผม หน้าที่ของผมนี้ก็เป็นหน้าที่พิเศษเป็นบุรุษไปรษณีย์ รับสาส์นจากจิตจักรวาลมาบอกกับเพื่อนมนุษย์..."
จิตจักรวาลที่อาจารย์เอ่ยนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรคะ
"
ผมจะยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจว่าจิตจักรวาล หรือ God คือใคร คืออะไร นึกถึงภาพแมงมุมตัวหนึ่ง เป็นแมงมุมยักษ์ เวลาเขาชักใย ใยของเขาก็จะยักษ์ใหญ่ตามไปด้วย และตัวแมงมุมอยู่ตรงกลางของใยแมงมุม แมงมุมตัวนี้ ผมสมมุติว่าเป็น จิตจักรวาลใยแมงมุมที่แผ่กระจายออกไปกว้างใหญ่ เปรียบเสมือนสนามพลังงานสากล ที่กว้างใหญ่ไพศาลเสมือนหนึ่งไร้ขอบเขต แต่ไม่ไร้ขอบเขตนะ เหมือนแมงมุมกว้างใหญ่ขนาดไหนก็จะมีสุดขอบของมันอยู่ สนามพลังงานก็เช่นกัน และแม่แมงมุมตัวนี้ เขาก็ไข่ออกมาทีเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ล้าน ๆ ฟอง ๆ พอไข่ออกมาแล้ว จะไปวางบนใยก็ไม่ได้ เพราะไม่ปลอดภัย ก็เลยชักใยทำเป็นเปลือกไข่ขนาดใหญ่ห่อหุ้มไข่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตัวเองไข่ไว้อีกทีหนึ่ง โดยเปลือกไข่นี้ก็วางไว้บนใยแมงมุมของตัวเองอีกทีหนึ่ง หมายความว่า ใยแมงมุมนั้น จะมีไข่แมงมุมใบใหญ่อยู่ใบหนึ่ง ซึ่งมีไข่เล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ข้างในเยอะแยะ เปลือกไข่ที่แม่แมงมุมชักใยห่อหุ้มไว้นี้คือสิ่งที่สร้างใหม่ วางอยู่บนสนามพลังงานสากลอย่างที่อาจารย์บอก คือวางอยู่บนใย สิ่งที่สร้างใหม่นี้ นักวิทยาศาสตร์โลกเรียกกันว่า เอกภพ และภายในเอกภพประกอบด้วยไข่แมงมุม ขี้แมงมุม อะไรต่ออะไรเยอะแยะเลย เวียนตายเวียนเกิดกันอยู่อย่างนี้ ก็เหมือนเป็นเปลือกที่สร้างไว้ให้ พอลูกเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ผสมพันธุ์กันก็ออกลูกออกหลาน วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ หาทางหลุดออกมาข้างนอกไม่ได้ จิตจักรวาลหรือ God ก็เลยต้องส่งพระพุทธเจ้าบ้าง พระเยซูคริสต์บ้าง พระนะบี มะฮะหมัด บ้าง มาคนละยุคคนละสมัย มาเกิดในเปลือกไข่นี้ เพื่อไปบอกคนที่อยู่ในเปลือกไข่ หรือในเอกภพนี้ว่า มรรคผลสูงสุด ต้องนิพพานนะ ที่นี่ไม่ใช้บ้านนะ ต้องออกไปอยู่ข้างนอก ให้เจาะเกราะที่หุ้มห่อป้องกันภัยเอาไว้ให้ ออกมาข้างนอก มาสู่ใยแมงมุมที่พ่อหรือแม่เกาะอยู่ตรงกลาง รอว่าเมื่อไหร่ลูกโตแล้ว จะเจาะเปลือกไข่ออกมาสักที แต่ลูกก็ไม่ยอมเจาะ ก็สนุกสนานว่ายวนกันอยู่ในนั้น นั่นก็คือคำว่า ไม่หลุดพ้น การหลุดพ้นนี้คือ หลุดพ้นออกไปจากเปลือกที่ห่อหุ้มไว้สู่สนามพลังงานภายนอกที่เรียกว่า แดนสุญตา มาสู่ใยแมงมุมก็คือ สู่อ้อมอกของพระบิดาก็คือแม่แมงมุม
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาว่า แดนนิพพานอยู่ไหน แค่เราเจาะเปลือกไข่ออก แค่นี้ก็พอ แต่ทุกวันนี้ ลูกๆของพ่อคือ เทหวัตถุ ทุกสิ่งที่สร้างก็อยู่ในเปลือกไข่นั้น ทั้งโลก ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตในเอกภพ พระบิดาเป็นผู้สร้างไว้ทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดบังเอิญเกิดเลย ทุกอย่างพ่อสร้างให้มันเป็นทั้งนั้น อย่างเช่น น้ำ พระบิดาหรือจิตจักรวาล ก็เป็นผู้กำหนดก็ไม่ต้องมายืนควบคุมกำกับว่า ถ้าเจอความร้อนต้องระเหยเป็นไอนะ ถ้าเจอความเย็นต้องควบแน่นก่อนนะ เป็นหยดน้ำนะ พระบิดาไม่ต้องคอยยืนกำกับ เช่น สมมุติว่า เราเป็นพ่อเป็นแม่ของลูก ถ้าลูกยังเตาะแตะ ไปเองไม่ได้ เราต้องอุ้มกะเตงๆไป พอลูกโตขึ้นมา ไปไหนเองได้ ใครเห็นลูกเราก็ต้องรู้ว่า เป็นเด็กมีพ่อมีแม่ แต่มนุษย์เราโง่ พอเห็นต้นไม้ใบหญ้า เห็นทุกสิ่งก็นึกว่ามันเกิดของมันเอง ไม่ได้นึกว่า สิ่งเหล่านี้มีพ่อแม่สร้างขึ้นมานะ มีผู้สร้างนะ ลืมแม้กระทั่งตัวเอง ลืมว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม..."
หมายความว่า จิตจักรวาล ท่านสร้างมนุษย์ให้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่บางอย่างใช่ไหมคะ
"
หลักใหญ่ของจิตจักรวาล ก็คือสอนคนให้รู้สำนึกในหน้าที่ของตัวเอง เรามาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม คำว่าเราคือ จิตวิญญาณ และเราต้องสำนึกไว้ว่า ตัวเรานั้นเป็นคนสองมิติ มิติที่หนึ่งคือ มิติของกาย สังขาร ซึ่งผมเรียกว่า เครื่องยนต์แห่งกรรม อีกมิติหนึ่งคือ มิติของจิตวิญญาณ จิตจักรวาลต้องการให้คนรู้ว่า ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ที่อาสาพระบิดาขอมาเกิดเป็นมนุษย์ มาเพื่อมาขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม ที่พระบิดากำหนดสร้างให้เลือดในครรภ์ของแม่ สร้างเป็นกายหยาบขึ้นมาที่เราเรียกว่า เครื่องยนต์แห่งกรรม ที่เรียกว่าเครื่องยนต์แห่งกรรม ก็เพราะว่าจิตวิญญาณต้องมาขับเคลื่อนร่างกายเรา ในการทำหน้าที่บางสิ่งที่อาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ ในการแสดงออกหรือกระทำใด ๆ ก็ตามบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ว่าที่สูงสุดคือ เพื่อมาค้ำจุนความสมดุลของโลกทั้งระบบ แต่ที่ผ่านมา มนุษย์บอกว่าโลกคือโลก กูคือกู โลกเป็นแค่วัตถุ หิน ดิน ทราย ไม่เกี่ยวอะไรกับกู กูมีหน้าที่เหยียบดินอยู่บนโลกใบนี้ โลกก็มีหน้าที่อยู่ของโลกไป กูอยากจะเก็บเกี่ยวอะไรบนโลกนี้ก็ได้ กูนึกอยากจะทำอะไรกูก็ทำ เรียกว่า ไร้สำนึก เพราะเกิดมาหลายภพชาติแล้ว มัวแต่หลงโลกมายา หลงอัตตาที่เป็นมายา ลืมหน้าที่ของแก่นแท้ของตัวเอง ภาษาผมเรียกว่า ขาดสติทางวิญญาณ
และสิ่งนี้คือสิ่งที่ไปเชื่อมโยงกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ผมถึงต้องแฉให้มนุษย์รู้ว่า มนุษย์มีจิตวิญญาณมาเกิด จิตวิญญาณของเรานั้นต้องมาขับเคลื่อนร่างกายที่พ่อกับแม่ช่วยผสมพันธุ์กัน และสร้างกายหยาบให้ไว้รองรับจิตวิญญาณที่มาขับเคลื่อนกายหยาบเพื่อ 1. ทำให้มันเจริญเติบโต 2. ทำให้ยิ้มได้ พูดได้ คิดได้ แสดงออกได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะโลกนี้เป็นโลกเสรี แต่หน้าที่จริง ๆ ก็คือ จิตวิญญาณต้องมาขับเคลื่อนร่างกายนี้ในการสร้างโลก โดยใช้หนึ่งสมองกับสองมือและจิตวิญญาณนี้สร้างโลก สร้างความสมดุลของระบบโลก โลกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงที่เป็นดินอย่างเดียว สรรพสิ่งที่อยู่ในระบบโลกล้วนเรียกว่าเป็นโลกทั้งหมด รวมทั้งตัวเองด้วย นั่นก็แสดงว่า มนุษย์มีหน้าที่สร้างตนเอง และสร้างทุกสิ่งให้สมดุล
ทุกสรรพสิ่งล้วนต้องเป็นไปตามที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ทั้งสิ้น สิ่งใดก็ตามที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ พระบิดาเรียกมันว่า ธรรมชาติ แต่ธรรมชาติมันไม่ได้เป็นของมันขึ้นได้เอง ต้องมีผู้กำหนดขึ้นอยู่ดี และผู้ที่ทรงกำหนดธรรมชาติก็คือ พระบิดา หรือจิตจักรวาล นั่นเอง"
แล้วมนุษย์ต้องทำอย่างไรให้โลกเกิดความสมดุล
"
การทำให้สมดุลก็คือ ค้ำจุน พระผู้เป็นเจ้า สอนมนุษย์ไว้เป็นปริศนาธรรม แต่มนุษย์เราไปมองได้แค่ด้านเดียว พระพุทธเจ้าสอนว่า เราคือโลก โลกคือเรา และอีกประโยคหนึ่งคือ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก แต่มนุษย์เข้าใจผิดว่า คำว่า 'เรา' คือพระผู้เป็นเจ้าคนเดียว มนุษย์เลยวางประโยคนั้นไว้ ไม่ใส่ใจอีก แต่มนุษย์มาใส่ใจเพียงประโยคที่ว่า เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก แสดงว่า ถ้ามนุษย์รักกัน จะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข นั่นคือ ถูกต้องแค่ครึ่งเดียว ถ้าจะถูกที่แท้จริงคือ เราไม่ได้ค้ำจุนโลกในทางสังคมอย่างเดียว การสร้างเมตตาธรรมก็คือ ถ้าเราเป็นคนมีจิตใจที่งดงาม เราจะไม่ทำลายโลก เราจะไม่ไประเบิดภูเขา ไม่ตัดโค่นต้นไม้ ทำลายป่า ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สัตว์ก็คือโลก พระพุทธเจ้าจึงเอา ปาณาติปาตา เอาไว้เป็นศีลข้อแรกเลย เพราะสัตว์พวกนั้นเขาต่อสู้ ต่อต้านเราไม่ได้ อย่างคนเราฆ่ากัน เราแลกชีวิตกันได้ แต่สัตว์เขาแลกไม่ได้ เป็นลูกไล่เราอย่างเดียว ท่านเลยห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นั่นก็คือการรักโลก ถ้าเราไม่ฆ่าเขา แสดงว่าเรารักเขา พระพุทธองค์หมายถึงอย่างนั้น...
แต่จริง ๆ แล้ว โลกเรามันจะสมดุลทางกายภาพอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีสมดุลทางพลังงานด้วย ตรงนี้คือสิ่งที่เป็นความลับมาตลอด ที่มนุษย์ทั้งหลายไม่รู้ และอาจารย์ก็มีหน้าที่มาเปิดเผย ที่จิตจักรวาลมอบหมายให้มาทำหน้าที่เผยแพร่
ร่างกายของเราเปรียบเสมือนรถยนต์ ซึ่งจะวิ่งได้ก็ต้องมีแบตเตอรี่ และตัวที่เป็นแบตเตอรี่ก็คือ จิตวิญญาณนี่ละ เวลาที่แม่ตั้งครรภ์ ถ้าหากว่าไม่มีจิตวิญญาณมาปฏิสนธิอยู่ในครรภ์เป็นทารก ทารกซึ่งอยู่ในกายหยาบ ก็จะเป็นได้แค่ลูกกรอก จะเติบโตมีหน้ามีตา แสดงพฤติกรรมเป็นมนุษย์ไม่ได้ ต้องมีจิตวิญญาณมาปฏิสนธิ เพราะฉะนั้น ทารกในครรภ์ถ้าเป็นผู้หญิงก็เหมือนรถเก๋ง ถ้าเป็นผู้ชายก็เป็นรถถัง หรือรถสิบล้อ หน้าที่ต่างกัน ผู้หญิงก็มีหน้าที่อย่าง ผู้ชายก็มีหน้าที่อย่าง แต่ทุกคนก็มีหน้าที่มาค้ำจุนโลก และผู้หญิงกับผู้ชายก็ต้องทำหน้าที่ร่วมกันด้วย พระบิดาสร้างขึ้นมาให้รู้ว่า ทุกคนเป็นสัตว์สังคม ผู้หญิงจะอวดเก่งกว่าผู้ชายไม่ได้ จะท้องเองโดยไม่ต้องพึ่งผู้ชายไม่ได้ หรือผู้ชายจะท้องโดยไม่ต้องพึ่งผู้หญิงก็ไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน พระบิดาสอนอย่างนี้ ทุกคนมีความสำคัญทัดเทียมกัน
เวลารถวิ่ง จิตวิญญาณจะเป็นเหมือนกับคนที่นั่งอยู่หลังรถ เหมือนกับเจ้าของรถ พอมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จิตวิญญาณก็แบ่งภาคตัวเองออกมาส่วนหนึ่งเพื่อให้มาทำหน้าที่ขับรถแทนตนเอง เหมือนกับจ้างคนขับรถมาขับให้ มนุษย์เราเรียกว่า จิตหยาบ ซึ่งผมไม่ชอบใช้คำนี้ ผมใช้คำว่า จิตปัจจุบันแทน จิตวิญญาณได้รับอนุญาตให้แบ่งภาคตัวเองออกไปอีกส่วนหนึ่งมาเป็นพลังงาน เป็นรูปธรรมทางจิตเหมือนกัน เป็นกล่องพลังงานเหมือนกัน แต่ให้มาทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายหยาบ ขับเคลื่อนกลไกทั้งหมด จิตวิญญาณก็ประทับเป็นเหมือนแบตเตอรี่รถเฉย ๆ แต่ดูเหมือนไม่สำคัญได้มั้ย รถยนต์ไม่มีแบตเตอรี่ รถยนต์ก็เดี้ยง ไปไม่ได้ แต่จิตวิญญาณไม่ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนโดยตรง แต่มอบหมายให้คนขับขับให้ คนที่ขับให้นี่ก็คือ จิตปัจจุบัน แต่ไอ้คนขับทุกวันนี้ ขับไปขับมา มันนึกว่าไอ้รถคันนี้เป็นของมัน มันลืมไปว่ามีจิตวิญญาณที่เป็นเจ้าของรถ เป็นนายมันน่ะ นั่งอยู่เบาะหลัง มันนึกจะขับซิ่งมันก็ซิ่ง ไม่ได้แคร์เลยว่าผู้โดยสารจะประสาทเสียหรือเปล่า ทุกวันนี้ที่พาไปตกนรกหมกไหม้ก็คือไอ้คนขับนี่แหละพาไป จิตวิญญาณน่าสงสารที่สุด"
แล้วมนุษย์ที่เกิดมาพิการ ร่างกายไม่สมประกอบ หรือมีสมองไม่ปกติ ทำอะไรไม่ได้ จะอธิบายได้ไหมคะว่าเขาพวกนั้นเกิดมาทำหน้าที่อะไร
"
อย่าลืมว่า มนุษย์ทุกคนที่เราเห็นไม่ได้มาเกิดภพชาตินี้เป็นภพชาติเดียว ทุกคนเวลามาเกิดภพชาติแรก ทุกคนจะถือพันธะมาสองอย่าง อย่างหนึ่งเราเรียกว่า พันธะสัญญา เป็นพันธะที่รับปากกับพระบิดาว่า ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะปฏิบัติอย่างไร พันธะสัญญาข้อหนึ่งก็คือ มาเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก คือมาช่วยโลกทางกายภาพให้สมดุล เช่น หมุนรอบตัวเอง 22 ชั่วโมงต่อรอบ มีความเข้มของสนามแม่เหล็กเท่ากับ 14 เกาส์ มีแกนหมุนที่เอียงทำมุมกับแนวดิ่ง 23 องศา เพราะทุกวันนี้มันเพี้ยนไป โลกหมุนช้าลงเป็น 24 ชั่วโมง ยิ่งโลกหมุนช้าขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์จะยิ่งอายุสั้นลงมากเท่านั้น พระบิดาไม่ได้สร้างร่างกายของมนุษย์ให้เกิดมาแล้วต้องตาย มันจะตายได้ยังไง มันเจริญเติบโตได้ใช่มั้ย มันซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซ่อมแซมตัวเองได้ มีอำนาจอยู่ในตัวเอง ทำไมต้องตายด้วยล่ะ ?..."
แล้วที่พระพุทธเจ้าสอนว่ามนุษย์ทุกคนต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมล่ะคะ
"...
พระพุทธเจ้าสอนว่า มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดานั่นคือ สอนในสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้น แล้วสอนให้คนรู้จักปลง รู้จักยอมอะไรซะบ้าง จะโลภโมโทสันไปทำไมนัก สุดท้ายก็ต้องตาย ที่พูดเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่า จิตวิญญาณรอคิว สับเปลี่ยน หมุนเวียนกันมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง ถ้าหากว่าไม่มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้มาเกิด มาเกิดแล้วไม่ยอมตาย พวกที่รอมาเกิดเพื่อจะแก้ไขตัวเอง หรือเพื่อทำหน้าที่ก็มาไม่ได้"
...
ที่ถามว่ามนุษย์เกิดมาแล้วสมองพิการอะไรต่าง ๆ เพราะเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ นอกจากเขาจะไม่ทำหน้าที่ที่เป็นพันธะสัญญา ที่อาจารย์บอก เขาก็ยังสอบตกด้วยการทำผิดเกิดขึ้นอีกด้วย เมื่อกี้พูดถึงพันธะสัญญาอย่างที่ 1 ไปแล้ว พันธะสัญญาอย่างที่ 2 ก็คือ ก่อนจะมาเกิด จิตวิญญาณของคุณกับจิตวิญญาณอีกหลาย ๆ ดวงจะมานั่งประชุมเพื่อวางแผนกันว่า เราจะจูงมือกันไปเกิดเป็นมนุษย์บนโลก เราจะไปเล่นบทบาทไหนกันบ้าง เช่น คนหนึ่งจะแสดงบทภรรยา อีกคนหนึ่งแสดงเป็นสามี อีกคนแสดงบทลูกสาว อีกคนแสดงบทลูกชาย จากนั้น ยังจะมีคาแร็คเตอร์กำกับไว้อีกว่า จะเป็นคนดีหรือไม่ดี และจะเป็นคนบกพร่องอย่างไร แต่เวลาที่มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว มิติของการที่ไปนั่งประชุมกันมามันจะถูกปิด คุณจึงไม่รู้ว่า ก่อนที่คุณจะมาเกิด คุณได้วางแผนกันเรียบร้อยแล้วว่าจะมาแสดงบทบาทเหล่านั้น เพราะบทบาทที่คุณจะต้องมาแสดงนี้ เป็นบทบาทที่เมื่อคุณแสดงอย่างสมบทบาทแล้ว มันจะนำคุณและทุกๆคนในครอบครัวของคุณไปสู่การค้ำจุนโลกให้สมดุลได้ ซึ่งเป็นการค้ำจุนโลกทางพลังงาน ไม่ใช่โลกทางกายภาพ ปกติแล้วโลกทางกายภาพของมนุษย์ เราไม่มีบ้าน เรานอนถ้ำ นอนโคนต้นไม้ตามป่าตามเขา เราอยู่กันธรรมชาติ ไม่ใครคิดทำร้ายธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือบ้านของตัวเอง แต่ทีนี้เมื่อเราแยกตัวออกจากป่ามาสร้างบ้านอยู่ในเมือง เราเลยทำลายธรรมชาติในป่าอย่างไร้สำนึก เพราะเราไม่คิดว่ามันคือบ้านของเรา...
...
หน้าที่ของมนุษย์ก็คือ จะต้องมาสั่นสะเทือนร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเองในการที่จะค้ำจุนดาวเคราะห์โลกของเราดวงนี้ให้สมดุล คำว่าสมดุลก็คือต้อง 22 ชั่วโมงต่อรอบ ต้อง 14 เกาส์ อย่างที่พูดมาแล้ว จริง ๆ มันต้องละเอียดกว่านั้น แต่พูดแบบคร่าว ๆ ให้ฟัง อย่างประเทศไทยเราปีหนึ่งต้องมี 3 ฤดู อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ก่อนเรามีร้อน ฝน หนาว แล้วน้ำก็ไม่ท่วมใหญ่ ร้อนก็ไม่แห้งระแหงจนกระทั่งอดอยากอดตาย หนาวก็ไม่หนาวจนตาย จะพอดี ๆ แต่ต่อไปนี้ อาจารย์ปริญญาบอกไว้ว่า ประเทศไทยเราและโลกเราส่วนใหญ่ หนึ่งปีจะมีฤดูร้อนถึง 2 ฤดู พูดง่าย ๆ คือมีฤดูร้อน 2 หน ก็เพราะโลกวิปริตเนื่องจากจิตสำนึกของมนุษย์วิกฤต อย่างที่ผมเล่ามาถึงชะตาชีวิต หน้าที่ของมนุษย์ก็คือ จะต้องใช้จิตปัจจุบันของตัวเองสั่นสะเทือนร่างกาย และจิตใจของตัวเองให้เกิดเป็นความรักขึ้นมาให้ได้ นั่นคือหน้าที่ที่จิตวิญญาณอาสามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเพื่อจะมาใช้จิตปัจจุบันซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือของตัวเอง สั่นสะเทือนจิตใจและร่างกายที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ผมเรียก หรือทางพระเรียก กายหยาบ ให้สั่นสะเทือนเป็นความรักเกิดขึ้นมาให้ได้
...
พระพุทธเจ้าบอกความรักคือเมตตาธรรมค้ำจุนโลกใช่มั้ย เมื่อมีความรักความเมตตามีเยื่อใยต่อกัน ก็จะสามารถอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้ เป็นครอบครัว อยู่สังคมเดียวกัน อยู่ทีมงานเดียวกัน อยู่บริษัทเดียวกันได้ มนุษย์มองแค่นี้ ว่านี่คือการค้ำจุนโลก โลกของพวกเราจะมั่นคงเพราะเรามีความรักความเมตตา แต่จริง ๆ แล้วมนุษย์มองแค่ตรงนั้นไม่ได้ จริง ๆ แล้วเราค้ำจุนโลกทั้งใบด้วย แต่เราค้ำจุนทางพลังงาน..." (โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)

ที่มา นิตยสาร หญิงไทย ฉบับที่ 707 ปีที่ 30 ปักษ์หลัง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2548